แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(พร้อมแล้ว) บัดนี้เป็นโอกาสเพื่อการปิดประชุม การอบรมวิชาศีลธรรม ไม่ใช่เพื่อปิดการสอนศีลธรรมหรือว่าปิดเรื่องศีลธรรม ซึ่งเราจะต้องทำกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้จึงจะว่าปิดประชุมคราวนี้ ที่มาทำความเข้าใจกันว่าศีลธรรมคืออะไร จะสอนกันอย่างไร อาตมาขอแสดงความยินดีแด่ทุกท่านที่มา อย่างน้อยก็มาใช้สถานที่นี้ให้เป็นประโยชน์ และขออนุโมทนา ในความพยายาม เหน็ดเหนื่อย เสียสละ เพื่อทำสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ที่ยังขาดอยู่ ความมีศีลธรรมหายไปจนขาดอยู่ในโลกมนุษย์ นี่เราก็พยายามที่จะดึงกลับมา นี่ก็เป็นโอกาสดีมากที่ว่า ทางการ ทางรัฐบาลสนใจเรื่องศีลธรรม เปิดให้มีการอบรมสอนศีลธรรม ถ้าทางการรัฐบาลไม่สนใจด้วย ไม่เอาด้วย ไม่ให้โอกาส เราก็คงทำกันไม่ได้ ขอให้ถือว่าเป็นนิมิตที่ดี ของโชคดีสำหรับประชาชน ที่ว่าจะได้มีศีลธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัยต่อไป ควรจะมองเห็นว่าถ้าศีลธรรมกลับมาไม่ทัน โลกนี้วินาศ ถ้าเยาวชนรุ่นนี้เกิดไม่มีศีลธรรมกันขึ้นมา ทั้งรุ่นแล้วก็ ถ้ามนุษย์ข้างหน้า เป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม แล้วมันจะเป็นอย่างไร
ขอให้ถืออย่างที่อาตมาได้กล่าวแล้วเมื่อวานว่า ครูเป็นผู้สร้างโลก พูดนี่ไม่ใช่ประจบครู มันไม่มีเหตุผล ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องประจบกัน จะพูดว่าครูเป็นผู้สร้างโลก โลกจะเป็นอย่างไรมันแล้วแต่ครู เพราะว่าครูคือผู้สร้างเด็ก เด็กนั่นคือรวมกันแล้วก็เป็นตัวโลก เราสร้างเด็กไว้อย่างไรโลกมันก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราสร้างเด็กให้เป็นเด็กที่ดีมีศีลธรรม โลกนี้มันก็ดีและมีศีลธรรม ถ้าครูสร้างไปในทางตรงกันข้าม มันก็ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าครูได้พยายามอย่างยิ่ง พยายามสุดความสามารถ ที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ในการปั้นวิญญาณของเด็กๆ ให้เป็นวิญญาณที่ประเสริฐแล้ว เขาก็จะทำสิ่งที่มันประเสริฐ แล้วโลกนี้ก็จะประเสริฐ และครูก็จะเป็นปูชนียบุคคล มีคุณอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทุกคนในโลก สมกับที่ว่าได้จัดไว้เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่คนถืออาชีพรับจ้างสอนหนังสือ หรือสอนวิชาความรู้ แล้วก็เอาเงินไปกินไปใช้ อย่างอาชีพธรรมดาสามัญ อย่างนี้มันก็ไม่ใช่ปูชนียบุคคล
นี่เรากำลังทำให้เด็กเป็นเด็กที่ดี แล้วก็กลายเป็นประเทศชาติที่ดี รวมกันแล้วก็เป็นโลกที่ดี แม้ว่าเดี๋ยวนี้อาจจะหวังยาก ยังห่างไกล ก็ขอให้เป็นจุดตั้งต้นกันเสียที การจุดชนวนนั้นถ้าจุดดีๆ จุดเป็น จุดให้ดีแล้วมันก็ระบาดเร็ว เร็วเกินคาดก็ได้ ขอให้พยายามจุดชนวน คือความมีศีลธรรมให้สุดความสามารถของตน ของตน แต่ละคน ช่วยกันให้เด็กเขามีแสงสว่างในทางวิญญาณ หรือรู้จักเรื่องที่ยังสลับซับซ้อนซึ่งมันไม่ตรงกับความรู้สึก เช่น เราสอนให้เด็กๆ เข้าใจหรือยอมรับว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่ตาของคนทุกคนมันเห็นอยู่ชัดๆ ว่าดวงอาทิตย์มันหมุนรอบโลก นี่เรายังทำกันได้ ทำไมครูจึงทำได้ สอนให้เด็กยอมรับว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกอย่างที่ตาเราเห็น
ทีนี้ธรรมะนี้ก็เหมือนกัน มันมีธรรมะอีกประเภทหนึ่งซึ่งความรู้สึกของเราไม่ชอบ ไม่ค่อยจะยอมรับ คือธรรมะประเภทที่บังคับความรู้สึก อย่าปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส เด็กๆ เขาปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส ไม่บังคับความรู้สึก จึงน้อมไปในทางที่ไม่มีศีลธรรม เราพยายามชี้แจงให้เขาเห็นว่าอย่างนั้นมันเป็นความทุกข์ เหมือนกับเชือดคอตัวเองทีละน้อยละน้อยอยู่ตลอดเวลา
ขอให้พยายามทำให้เขาเข้าใจให้จงได้ว่าคนเราต้องมีความรู้สองประเภทอยู่ร่ำไป คือ ฝ่ายกาย และ ฝ่ายจิตวิญญาณ ฝ่ายแรกเราจะรวมเรียกกันหมดว่าเป็นความรู้ฝ่ายศิลปศาสตร์ รู้หนังสือ รู้หนังหา รู้วิชาชีพ รู้ประกอบชีวิต ประกอบการงานดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่าความรู้ฝ่ายศิลปศาสตร์ ครูก็สอนเหมือนกัน แต่ว่าความรู้ฝ่ายศิลปศาสตร์นั้นมันไม่รับประกันว่าคนเราจะไม่มีความทุกข์ และก็มักจะมีความทุกข์เนื่องจากประกอบศิลปศาสตร์นั่นเอง เช่น เราประกอบอาชีพ แล้วก็ต้องพบอุปสรรค ซึ่งจะทำให้เกิดความทุกข์ อาชีพหรือศิลปศาสตร์นั้นมันก็เป็นทางให้เกิดความทุกข์ ยิ่งมีการแข่งขันริษยากันด้วยแล้วยิ่งมีมาก ความทุกข์เหล่านี้จะขจัดออกไปเสียด้วยอะไร ก็ต้องขจัดออกไปเสียด้วยความรู้อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งอาตมาจะให้จำกันไว้ง่ายๆ ว่าเป็นความรู้ประเภทธรรมศาสตร์ แต่เคยบอกแล้วว่าไม่ใช่ธรรมศาสตร์การเมืองที่ท่าพระจันทร์ มันธรรมศาสตร์ ไอ้คำอีกคำหนึ่งโดยเฉพาะ ความรู้ประเภทศิลปศาสตร์มันช่วยให้ร่างกายอยู่ได้ ความรู้ประเภทธรรมศาสตร์ช่วยให้จิตและวิญญาณอยู่ได้ เมื่อคนเรามันมีทั้งร่างกายและจิตใจ เราก็ต้องมีความรู้ทั้งสองอย่าง
ในเมื่อเด็กๆ เขาขยันเรียน แต่ปรากฏสอบไล่ตกขึ้นมา เขานั่งร้องไห้อยู่ เขาจะเอาความรู้อันไหนมาช่วยอย่าให้ต้องร้องไห้ มันเป็นความรู้ฝ่ายธรรมศาสตร์ นี่เรียกว่า ในระยะการเรียนแท้ๆ มันยังต้องการไอ้ความรู้ฝ่ายธรรมศาสตร์เสียแล้ว ในเมื่อไปประกอบการงานประกอบอาชีพในศิลปศาสตร์เต็มที่ มันก็มีเหตุที่จะต้องใช้ไอ้ความรู้ฝ่ายธรรมศาสตร์นั้นยิ่งๆขึ้นไป มิฉะนั้นจะเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วมันไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งที่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของเรา เราต้องอยู่ในโลกด้วยสิ่งที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้ แม้ว่าเราจะจัดได้ในบางอย่างบางประการแต่ก็ไม่เด็ดขาด เราต้องรู้จักอยู่กับสิ่งเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย ประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาอยู่เรื่อยๆ ไป ปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้สิ่งนั้น เพราะฉะนั้นทำจิตใจอย่างไรจึงจะอยู่ได้ในสถานการณ์อย่างนี้ ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ทุกวัน เป็นสิ่งประจำวันก็ว่าได้
ให้เด็กๆเขามองเห็นว่าจำเป็นที่สุดที่เราจะต้องมีความรู้ฝ่ายธรรมศาสตร์ ซึ่งเดี๋ยวนี้เราเรียกกันสั้นๆ ว่าศีลธรรม มีแต่ที่เรียกกันว่าอารยธรรมนั้นไม่พอแน่ เพราะมันจัดการกันแต่เรื่องฝ่ายวัตถุ ฝ่ายร่างกาย หรือเกี่ยวกับภายนอกกายเล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงจิตไม่ถึงวิญญาณ จะมีความรู้ที่ลึกซึ้งถึงเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ คือธรรมะ ที่เป็นธรรมศาสตร์ เป็นมโนธรรมนี่อยู่ด้วย เมื่อเด็กๆ เขายอมรับข้อนี้แล้วคงไม่ยากที่จะสนใจศึกษาและปฏิบัติหรือทดลองในเรื่องอันเกี่ยวกับศีลธรรม
ธรรมะนี่ก็มีความศักดิ์สิทธ์อยู่อย่างหนึ่ง ถ้าใครไปลองเข้า ไปพิสูจน์เข้าก็จะยิ่งพอใจ ยิ่งสอนกันให้ถูกต้อง ให้ลองกันอย่างถูกต้อง ให้พิสูจน์กันอย่างถูกต้อง แล้วเขาก็จะพอใจ เรียกว่าเราทำให้เขาสนใจในสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะสนใจ ไม่อยากจะสนใจ เพราะฝืนไอ้ความรู้สึกสามัญสำนึก ชอบกิน ชอบเล่น ชอบสนุกสนาน ชอบเอร็ดอร่อย เอานั่นเป็นเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าดีชั่วผิดถูกมันอยู่กันที่ตรงไหน นี่ก็อาจจะทำให้เด็กๆ คนหนึ่งไม่ยอมรับกฎเกณฑ์เรื่องดีชั่วผิดถูก นี่มันคงจะลำบากบ้าง แต่ว่าไอ้ความลำบากนี่เองที่ทำให้ครูได้กลายเป็นปูชนียบุคคล
จึงขออย่าให้ครูทั้งหลายเบื่อหน่ายในการที่จะต่อสู้กับเด็กๆ พาเด็กๆ ไปสู่จุดหมายของความเป็นมนุษย์ให้จงได้ มันมีปัญหาเกี่ยวกับภาษาที่จะใช้พูดจา อาตมาอยากจะฝากไปไว้เสียเลยว่า จงพยายามให้เด็ก รู้ภาษาทั้งสองภาษา คือภาษาคนธรรมดาพูด เรียกว่าภาษาคน กับภาษาผู้รู้พูด เรียกว่าภาษาธรรมะ จะยกตัวอย่างอันแรกที่สุด ก็อย่างว่า ถ้าพูดโดยภาษาคนธรรมดาพูด พระพุทธองค์ก็ตายแล้ว เผาเสร็จแล้วเหลือแต่กระดูกเท่านั้น แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรม ภาษาของผู้รู้ ก็พูดว่าพระพุทธองค์ยังอยู่ อยู่กับเราตลอดเวลา และอยู่ในใจของเราด้วย เมื่อพระพุทธองค์เองก็ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม การจะเห็นร่างกายของเราหรือมาจับจีวรของเราอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่เห็นธรรมก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการเห็นธรรม ถึงจะเห็นพระพุทธองค์ แล้วก็เห็นในจิตใจด้วย พูดอย่างนี้เรียกว่าพูดโดยภาษาธรรม แล้วเราก็ให้เด็กๆ เรียนแต่พุทธประวัติว่าตายแล้วเผาแล้วอย่างนี้ แล้วเด็กๆเขาจะรู้จักพระพุทธเจ้าได้อย่างไร นี่ครูก็สอนพุทธประวัติแต่ว่าพระพุทธเจ้าตายแล้วเผาแล้วทั้งนั้นเลย ครูไม่ค่อยสอนว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ อยู่กับเรา สมตามที่พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสไว้อย่างนั้นว่า ธรรมวินัยที่เราแสดงไว้ บัญญัติไว้นั้นจะอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ ภายหลังแต่การล่วงลับไปแห่งร่างกายของเรา
ครูจะต้องเขยิบมาใช้ภาษาธรรมให้มาก พูดกันในเรื่องของภาษาธรรมให้มาก เด็กๆ จะเข้าใจเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องนรกเรื่องสวรรค์อะไรได้ดีกว่าที่แล้วๆมา เขาจะรู้เรื่องกรรม จนถึงกับมีความเชื่อเรื่องกรรมอย่างเต็มที่ ไม่มามัวมีปัญหาว่าทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำไม่ดีกลับได้ดี อย่างที่กำลังถามกันอยู่ทั่วไป นั่นเพราะไม่รู้จักใช้คำพูดจาให้ถูกต้องโดยภาษาคน หรือโดยภาษาธรรมนั่นเอง จึงเห็นว่าเรื่องใช้ภาษานี้ก็สำคัญ ขอให้ตั้งอกตั้งใจไปศึกษาเพิ่มเติม เรื่องนี้เพิ่มเติมอยู่เรื่อยไป ให้รู้จักใช้ภาษาที่จะให้เด็กเขาเข้าถึงพระธรรมแล้วก็มีศีลธรรม อย่างดี ดี ในภาษาคนมันอย่าง ดี ดีในภาษาธรรมมันอีกอย่างหนึ่ง เขารู้จักแต่ดีในภาษาคน ไม่รู้กันในภาษาธรรม ไม่รู้เรื่อง นี่ขอให้พยายามเถอะ ถ้าเรายังจะตั้งใจที่จะสร้างโลกกันให้ดี ครูเป็นผู้สร้างโลกให้ดี
อาตมาขออ้วนวอนดีกว่า ให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จงเต็มใจเสียสละ อดกลั้นอดทน ไม่ได้ต้องทนสักเท่าไร กันในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน คือเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เป็นแสงสว่างในทางวิญญาณให้แก่อนุชนในโลกนี้ ให้มองเห็นว่าเป็นอาชีพที่ประเสริฐที่สุด คือ มันได้บุญ อาชีพตามธรรมดาได้แต่เงิน ค่าแรง ค่าจ้าง ค่าเหนื่อย อาชีพนี้ไอ้เรื่องค่าจ้าง ค่าแรง ค่าเหนื่อยมันก็ได้ มันไม่ไปไหนเสีย แต่อย่าไปเห็นแก่สิ่งเหล่านั้นเพียงเท่านั้น ให้ถือว่ามันได้บุญในการที่ช่วยกันสร้างโลกสร้างวิญญาณในโลกของคนทุกคน ให้รู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุด ที่ได้เกิดมาแล้วมีอาชีพชนิดนี้ อาชีพชนิดที่ได้บุญด้วยได้เงินด้วยนี้มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ที่ประเสริฐสูงสุดของอาชีพนี้ก็คือความเป็นครู เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นแก่วัตถุหรือเงินหรืออะไรจนถึงกับละหน้าที่อันนี้เสีย ถึงกับเปลี่ยนอาชีพเสีย หรือว่าทำไปอย่างขอไปที ไม่มุ่งหมายจะยกสถานะทางจิตทางวิญญาณของเยาวชน ถ้าท่านทั้งหลายยังมองเห็นอย่างนี้อยู่ ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าการกระทำจะยังไม่หยุดลง คือท่านทั้งหลายก็จะไปขวนขวายยิ่งขึ้น ขวนขวายทุกอย่างทุกทางเพื่อจะทำหน้าที่นี้ให้ดียิ่งขึ้นจนกว่าจะถึงที่สุด
ช่วงเวลาเพียงวันสองวันเราพูดกันให้หมดไม่ได้ ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้ว ว่าช่วงเวลาเพียงวันสองวันนี้ไม่อาจจะพูดกันให้หมดทุกเรื่องทุกราวได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้พูดกันถึงวิธีการที่เป็นหลักพื้นฐานสำหรับจะไปประพฤติปฏิบัติให้สมบูรณ์ อย่างน้อยก็พูดกันถึงอุดมคติที่ว่าจะจรรโลงใจให้พอใจในการงานอันนี้ ถ้าจะถือว่ารับใช้คนทั้งโลก มันก็ไม่มีอะไรดีกว่าการเป็นครู คือทำให้คนทั้งโลกมีความเป็นมนุษย์ที่ดี โลกนี้ทั้งโลกก็เป็นโลกที่ดี จะไม่ให้เรียกว่ามีบุญกุศลอย่างใหญ่หลวงอย่างไร เอาบุญกุศลอันไหนมาเปรียบเทียบกับบุญกุศลอันนี้ ขอให้มองตรงลึกลงไปถึงข้อที่ว่าวัดวาอารามโบสถ์วิหารอะไรต่างๆ ในโลกนี้ เต็มไปหมดทั้งโลก วัดวาอารามโบสถ์วิหารสถานศาสนาต่างๆนั้นมันเพื่ออะไร มันก็มุ่งหมายเพื่อจะทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่ดีทั้งนั้น แล้วถ้าพวกครูไม่ทำแล้วใครจะทำ มันก็มีแต่เปลือกคือวัดวาอารามโบสถ์วิหาร โรงเรียนก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่มีครูที่ทำหน้าที่อันนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ลองคิดดูให้ดีว่าถ้าเราจะทำให้สิ่งเหล่านั้นมันมีค่าขึ้นมา เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเปลือก เรามันเป็นเนื้อใน อาศัยเปลือกเพื่อเจริญงอกงามในฝ่ายเนื้อใน ให้ได้ทำหน้าที่ที่ประเสริฐที่สุด ที่จนไม่รู้ว่าจะพูดว่าประเสริฐอย่างไร มันประเสริฐมากเกินไปกว่าที่จะพูดได้ กว่าที่จะบรรยายได้ การทำคนให้พ้นทุกข์นี่ถือกันว่าเป็นความประเสริฐเหนือที่จะบรรยายได้ ขอให้มองเห็นข้อนี้แล้วซึมซาบข้อนี้อยู่เสมอ แล้วท่านก็จะสนุกสนาน จะมีกำลังวังชาในการปฏิบัติงาน ไม่ท้อแท้อ่อนเพลียในการที่จะทำงานอันยากเย็นนี้ พูดว่ายากไม่ได้พูดสำหรับให้ท้อแท้ แต่ว่าให้แสดงความสามารถให้แข็งข้อขึ้นมา เอาชนะให้ได้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเป็นอย่างนั้น
ในที่สุดนี้อาตมาขอโอกาสให้พรแก่ท่านทั้งหลายทุกคนว่า จงเป็นผู้เข้าถึงอุดมคติของการช่วยโลกให้มีศีลธรรม มีกำลังใจ มีความกล้าหาญ ปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนให้ก้าวหน้า และก็มีความสุขอยู่ในการปฏิบัติงานนั่นเอง อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ปิดประชุม