แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
) นักศึกษาและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาถึงที่นี่ของท่านทั้งหลาย สำหรับการขอร้องให้ช่วยพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นประโยชน์แก่การศึกษานั้น ก็รู้สึกยินดีเหมือนกันที่ขอร้องให้พูด เพราะว่ามันเป็นการทำให้สถานที่นี้ได้บำเพ็ญประโยชน์สมตามความมุ่งหมาย คือการจัดสถานที่นี้ขึ้นมานั้นก็มุ่งหมายจะให้เป็นที่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ หรือบางอย่างก็เป็นการให้แสงสว่างไป สำหรับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้สนใจในการศึกษา และกำลังศึกษา และกำลังให้การศึกษาอยู่ ก็เลยคิดว่าควรจะพูดเรื่องเกี่ยวกับการศึกษานั่นเอง แต่เรื่องการศึกษานี้มันกว้าง มีขอบเขตกว้างมาก ก็ต้องนึกดูว่าจะพูดกันในส่วนไหนดี ก็เห็นว่าควรจะพูดถึงส่วนที่มันกำลังมีปัญหาแก่มนุษย์ ถ้าเรามีการศึกษาไม่ครบถ้วนไม่สมบูรณ์ ไอ้ความเป็นมนุษย์ก็ไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นขอให้ถือเป็นหลักได้เลยว่า จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์ก็เพราะมีการศึกษาสมบูรณ์
ทีนี้ก็มีข้อที่ต้องดูกันต่อไปว่า การศึกษามันมีอย่างไรที่จะพอมองเห็นได้ว่าสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ เท่าที่ได้ผ่านมา จากการศึกษาเหมือนกัน คือสังเกตค้นคว้าสอบสวนดู ก็เห็นว่าไอ้การศึกษานี้ไม่สมบูรณ์ คือยังขาดอยู่หนึ่งอย่างในสามอย่าง แล้วขาดอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญด้วย ที่ว่าสามอย่างนั้นก็คือการศึกษาอย่างที่หนึ่งเพื่อให้มีความรู้หนังสือและมีความเฉลียวฉลาด นี่มันอย่างหนึ่ง ทีนี้อย่างที่สองให้มีความรู้ในเรื่องอาชีพอย่างเพียงพอ นี่มันอย่างหนึ่ง ทีอย่างที่สามก็ให้มีความรู้เรื่องทางจิต ทางวิญญาณ อย่างถูกต้องเพียงพออีกด้วย มันเป็นสามอย่างอยู่
อย่างที่หนึ่งรู้หนังสือ มีความฉลาดเพราะเหตุนั้น นี่ก็รู้สึกว่าทำกันมากอยู่แล้ว ไม่พูด เสียเวลาเปล่าๆ ทีนี้อย่างที่สองเป็นความรู้ทางอาชีพ ก็เข้าใจว่าพูดกันอยู่แล้ว สอนกันอยู่แล้ว และจะสอนกันต่อไป จนสมบูรณ์หรือจนเฟ้อ อาชีพนี้ ดูให้ดีเถอะมันจะสอนกันจนเฟ้อ จนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ นี่ก็เลยไม่ต้องพูดการศึกษาที่เกี่ยวกับอาชีพ นี้อย่างที่สามการศึกษาเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ คือให้สามารถดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง ในการที่จะประกอบอาชีพหรือมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อย่างที่สามนี่แหละเห็นว่ายังขาดอยู่ และเป็นได้ว่าการที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ ก็คือต้องการความรู้ส่วนที่สามนี้เอง อาจจะโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ เพราะการมาสู่สถานที่นี้ มันต้องการไอ้ความรู้อะไร ที่แท้มันก็มาต้องการมา ก็ต้องการความรู้อย่างที่สามนี้ ก็ไม่รู้สึกตัวแล้วก็มาๆกันอย่างนั้น บางคนก็อาจจะรู้สึกแต่เพียงว่ามาหาความรู้ทางธรรมะไปประกอบกันกับความรู้ทางโลกๆ มันก็ถูกแล้ว แต่ควรจะถูกให้มากไปกว่านั้นก็ต้องพูดว่า มาหาความรู้ชนิดที่จะทำให้ความรู้สาม อ้อ, สองอย่างแรกน่ะเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประโยชน์มากที่สุด หมายความว่าแม้ว่าเราจะรู้หนังสือ มีความเฉลียวฉลาด รู้ประกอบอาชีพ แต่ถ้าไม่มีความรู้อย่างที่สามคือเรื่องทางจิตใจด้วยแล้ว สิ่งอย่างนั้น อ้า, สิ่งสองอย่างข้างแรกข้างต้นนั้นก็ยังไม่ดับทุกข์ ยังจะสร้างปัญหาเป็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะว่ารู้หนังสือแล้ว ประกอบอาชีพอยู่ในโลกแล้ว มันก็ต้องเผชิญกันกับสิ่งที่มีอยู่ในโลกนั่นเอง ที่ทำให้เกิดกิเลสและความทุกข์
ดังนั้นเราต้องมีวิชาความรู้ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสและความทุกข์ที่เนื่องมาจากการที่มีชีวิตอยู่ในโลก เช่นว่าเราประกอบอาชีพอยู่ เป็นคนหนึ่งในโลก มันก็พบกันเข้ากับการแข่งขัน การต่อสู้ การผิดหวัง การขาดทุน และอะไรๆอีกหลายอย่าง กระทั่งถึงปัญหาโดยธรรมชาติ เช่น ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความอะไรต่างๆเหล่านี้ เรียกว่าความไม่ได้ตามต้องการนี้มันก็มีอยู่แล้วเราก็เป็นทุกข์ เป็นความทุกข์ชนิดที่ว่าเงินก็ช่วยไม่ได้ ความรู้อย่างโลกๆนั้นก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันต้องการให้ช่วยด้วยเรื่องของธรรมะ หรือเรื่องของจิตของวิญญาณ ของสติปัญญาที่สูงขึ้นไป เพราะฉะนั้นขอให้ดูให้ดีว่าไอ้ความรู้อย่างที่สามนี้ มันจะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา
แม้ที่สุด แต่เรื่องแรกที่สุดเบื้องต้นที่สุด ยังเป็นเด็ก ยังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นประถมชั้นมัธยมอย่างนี้ มันก็เผชิญกันกับความผิดหวัง ความไม่เป็นไปตามต้องการ ความถูกยั่วยุด้วยอารมณ์ในโลกจนจิตใจไม่ปกติ เรียนแทบจะไม่ได้เพราะกิเลสรบกวน และเมื่อประสบความผิดหวังเข้าแล้วก็เป็นทุกข์มาก เช่น สอบไล่ตกมันก็เป็นทุกข์มากเกินไป แล้วก็ไม่โทษตัวเองที่เหลวไหล ไปเที่ยวโทษโชค โทษชะตา โทษนั่นโทษนี่ หรือหาทางคอรัปชั่นซื้อประกาศนียบัตรอะไรกันไปตามเรื่อง ล้วนแต่มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดต่อไปอีก แล้วถ้าสอบไล่ตกทำไมจะต้องมานั่งเสียใจเป็นทุกข์อยู่ ก็มองเห็นว่ามันเรียนยังไม่พอ มันก็เรียนให้มันพอแล้วมันก็จะสอบไล่ได้ ไม่ต้องไปทำอันตรายตัวเองอย่างคนโง่คนเขลาบางคน แม้แต่เพียงเรื่องของการสอบไล่ตก ส่วนเรื่องที่เหลวไหลไม่เรียนจริง ขี้เกียจไปเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กอะไรทำนองนี้มันก็เป็นเรื่องไม่มีธรรมะเอาเสียเลย
เราจะต้องมีธรรมะสำหรับจะใช้แม้แต่ในวัยต้นของชีวิต ตลอดเวลาที่มีการศึกษาจะต้องรู้จักใช้ธรรมะให้การศึกษาดำเนินไปด้วยดี เพราะมีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคอง เรียกว่ามีศาสนา มีศีลธรรม มีธรรมะนั่นเอง เป็นเครื่องประคับประคองชีวิตจิตใจของคนเราไปตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งโตขึ้นมันก็ผ่านไปได้ด่านหนึ่ง ทีนี้ก็มาถึงเป็นผู้ใหญ่แล้วประกอบอาชีพ มันก็ต้องมีธรรมะเป็นเครื่องช่วยประคับประคองให้ใจคอปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะเป็นบ้า เพราะความผิดหวังต่างๆนาๆ ก็ล้วนแต่เป็นความทุกข์หนักยิ่งขึ้นทุกที หนักยิ่งขึ้นทุกที จนทำอะไรไม่ถูก จนเป็นโรคประสาท จนเป็นบ้าไป ก็เห็นๆกันอยู่ หรือมิฉะนั้นมันก็ต้องทุจริต ประกอบกรรมที่ทุจริต มันอาจจะบังเอิญรวย แต่มันก็รวยอย่างคนเลว ในที่สุดมันก็ต้องเป็นคนเลว มันก็ต้องวินาศในที่สุดอีกเหมือนกัน เพราะมันไม่ได้เจริญงอกงามมาอย่างถูกต้องตามวิถีทางของธรรมะ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องมีธรรมะเข้ามาประคับประคองอยู่ในหลายๆอย่าง หลายๆทาง ให้มีความถูกต้องแห่งความเป็นมนุษย์ของตน
ขอให้จดจำไว้อย่างแม่นยำว่าธรรมะนั้น คือการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เพราะธรรมะนั้นคือการปฏิบัติ นี่เน้นตัวอักษรว่าคือการปฏิบัติ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นี่คือธรรมะแหละ ไม่ใช่เพียงแต่คำสั่งสอนอย่างที่มักจะพูดๆกัน เพียงคำสั่งสอน มันต้องเป็นการปฏิบัติ มันก็ต้องมีการเรียนการรู้หรือการสอน แล้วก็มีการปฏิบัติ จึงจะเป็นตัวธรรมะจริงๆ แล้วการปฏิบัตินั้นมันถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ถูกต้องสำหรับความเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ แล้วก็ยังถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ถ้าให้ดีแล้วก็ให้ถูกต้องมาตั้งแต่ในท้องแม่ หมายความว่าพ่อแม่ปฏิบัติถูกต้อง ให้กำเนิดลูกที่ดีออกมาแล้ว มีการปฏิบัติดูแลดีด้วยกันทุกฝ่าย ทุกขั้นทุกตอนจนเด็กๆเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่ ให้มันมีความถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการอย่างนี้ นี่เราเรียกว่าธรรมะ ก็อย่างที่พูดมาแล้วว่ามาเป็นนักเรียนก็ถูกต้อง เมื่อมาประกอบอาชีพเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้ครองเรือนก็ถูกต้อง แล้วก็ถูกต้องไปจนกระทั่งเฒ่าแก่ แก่เฒ่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ สอนลูกสอนหลานได้อย่างถูกต้องต่อไปอีก การปฏิบัติตลอดสายนั้นเรียกว่าธรรมะ เพราะฉะนั้นขอให้สนใจ
นี่เป็นเรื่องทางจิต เป็นเรื่องทางวิญญาณแล้ว แล้วมันแปลกจากเรื่องธรรมดา ไอ้เรื่องธรรมดาการศึกษาตามธรรมดาเราก็เรียนจากวัตถุสิ่งของ เรียนด้วยการขีดการเขียน การจดการจำ เรียนจากหนังสือที่ทำด้วยกระดาษ แต่พอมาถึงธรรมะจริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่เรียนจากกระดาษที่จดๆโน้ตๆนี้แล้ว นี่มันเป็นไอ้กระดาษจดช่วยจำเท่านั้น สำหรับจะไปเรียนจริง ซึ่งเป็นการเรียนจากจิตใจ เพราะฉะนั้นจะต้องจดจำให้แม่นยำอีกทีหนึ่งว่า ธรรมะเป็นเรื่องที่จะต้องเรียนจากชีวิตนั่นเอง คือไม่ใช่เรียนจากกระดาษเรียนจากหนังสืออะไร ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องเรียนจากชีวิตนั่นเอง เป็นสิ่งที่ต้องเรียนจากจิตใจ คือความรู้สึกในภายใน มันจึงต้องมีความรู้สึกในภายในจิตใจสำหรับให้เราเรียน เราต้องรู้จักกำหนด สังเกต ค้นคว้า ศึกษาจากทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้นในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องที่ว่ากิเลสมันเกิดขึ้นมาอย่างไร แล้วจะป้องกันได้อย่างไร จะดับจะได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเราเรียนธรรมะนี้เราต้องมองเข้าไปข้างใน หนังสือเป็นเพียงบันทึกเรื่องของธรรมะ ก็อ่าน อ่านก็รู้เรื่อง แต่ยังไม่ใช่เรียนธรรมะโดยตรง เมื่อเรียนธรรมะต้องมองเข้าไปข้างในเอาตัวคนทั้งตัวนี่เป็นหนังสือ มองให้เห็นว่าร่างกายเป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร ความรู้สึกคิดนึกเป็นอย่างไร ทำปรุงกันไปอย่างไรจึงเกิดเป็นกิเลสและเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา จะต้องศึกษาวิธีที่จะเรียนธรรมะจากจิตใจ
ทีนี้ก็อยากจะบอกว่า การมาที่นี่มันเป็นการสะดวกที่จะเรียนธรรมะจากจิตใจ ไปจากความหมายของทุกสิ่งซึ่งรวมทั้งจิตใจด้วย เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดเมื่อมาที่นี่ มานั่งอยู่ในที่นี่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจจะเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงมากไปจากที่เราเคยรู้สึกอยู่ที่บ้านที่โรงเรียน ทีนี้ขอให้สังเกตตอนนี้กันก่อนว่า เรามีความรู้สึกที่เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในทางจิตใจ เมื่อเรามานั่งอยู่กลางทรายอย่างนี้ จิตใจเรารู้สึกเหมือนกับที่นั่งบนโต๊ะเรียนในห้องเรียนในวิทยาลัยไหม ถ้ามันเหมือนกันนะก็ไม่ต้องมาที่นี่ ป่วยการ ถ้ามันต่างกัน มันต่างกันอย่างไร เราจะต้องจับไอ้ความต่างนั้นให้ได้ คือเราเรียนจากจิตใจนั่นเอง เพราะเดี๋ยวนี้ของใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วในจิตใจ เป็นความรู้สึกอันใหม่ ความรู้สึกอันนี้มาจากอะไร มันก็มาจากไอ้ธรรมชาติที่มีอยู่ในที่นี้ ซึ่งไม่เหมือนกับที่โรงเรียนหรือที่วิทยาลัย เดี๋ยวนี้เรานั่งกลางทรายมันจะเหมือนกันได้อย่างไร แล้วมันยังจะแปลกประหลาดต่างๆกันไปอีกทางหนึ่งก็ได้ เช่นบางคนอาจจะไม่ชอบแล้วไอ้นั่งกลางทรายอย่างนี้ รู้สึกว่าไม่มีเกียรติหรือว่าไม่อะไรบางอย่าง แต่บางคนอาจจะไม่รู้สึก บางคนอาจจะมีจิตใจที่รู้สึกหยุด เย็น ว่าง เงียบลงไปทันที ตามอำนาจของธรรมชาติที่ได้นั่งกลางทราย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนสนใจวิธีที่จะศึกษาจากภายใน หรือจากจิตใจจึงจะรู้ธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจ และเป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ
ทีนี้คนบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน ก็อยากจะบอกให้ได้ยินว่ากลางดินนี่ มันเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ถ้าใครเคยอ่านพุทธประวัติก็นึกได้ทันทีว่า เอ้อ, พระพุทธเจ้าประสูตินี้กลางดิน ไม่ได้ประสูติในพระราชฐานพระราชวังอะไร พระพุทธเจ้าประสูติกลางดินในป่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เที่ยวเล่น และพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เมื่อนั่งอยู่กลางดินในป่าแห่งหนึ่งเหมือนกัน ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย แต่นั่งตรัสรู้กลางดินในป่าแห่งหนึ่ง และพระพุทธเจ้าก็ยังนิพพานกลางดินที่ในป่าแห่งหนึ่งเหมือนกัน และตลอดเวลาอันยาวนานหลายสิบปีนั้นก็อยู่ด้วยกันกลางดินกับพระสาวกทั้งหลาย ก็สอนกันกลางดิน คณะสงฆ์ในครั้งพระพุทธกาลนั้นทำสังฆกรรมก็กลางดิน ที่พัก กุฏิ วิหารของพระพุทธเจ้าก็กลางดิน เพราะฉะนั้นดินน่ะมันมีความหมายมากสำหรับพระพุทธเจ้า จนถึงกับถือว่าไอ้กลางดินนี่เป็นที่นั่ง ที่นอน ที่ตาย ที่อะไรของพระพุทธเจ้า ทีนี้เราได้มานั่งกลางดินอย่างนี้ ก็ควรจะมีความรู้สึกที่ลึกที่เปลี่ยนแปลงว่าเรามานั่งอยู่บนที่นั่งนอนของพระพุทธเจ้า และถูกต้องตามวิธีการของพระพุทธเจ้า คือใกล้ชิดกับธรรมชาติ
พระศาสดาของทุกๆศาสนาน่ะ ตรัสรู้เป็นพระศาสดาตามแบบของท่าน เมื่ออยู่กับธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ กลางดิน และในถ้ำ บนภูเขา คนเดียว กลางคืน ธรรมชาติอันเงียบสงัด ตรัสรู้เป็นพระศาสดาตามแบบของท่านนั้นๆ เพราะฉะนั้นเรารู้จักถือเอาประโยชน์จากธรรมชาติให้เพียงพอ เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ ความทุกข์เป็นเรื่องของธรรมชาติ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นเรื่องของธรรมชาติ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเรามานั่งกับธรรมชาติ ให้ธรรมชาติมันช่วยปรับปรุงจิตใจของเราให้เป็นธรรมชาติ ให้ความคิดปรุงแต่งโง่ๆ เขลาๆ หลอกๆลวงๆ ออกไปเสียจากจิตใจสักขณะหนึ่ง มันมีจิตใจที่เกลี้ยง ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ที่เป็นเกลอกับธรรมชาติได้ ก็เข้าใจ ก็รู้จักตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่ตัวผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่
เอ้า, ทีนี้ให้มันก็มีหลักที่จะต้องจำกันไว้บ้างสักนิดหนึ่งว่า ไอ้คำว่าธรรมะนั้นมันมีความหมายถึงสี่อย่าง คำว่าธรรม คำนี้มีความหมายสี่อย่าง คือหมายถึงตัวธรรมชาตินั้นก็ได้ หมายถึงตัวกฎของธรรมชาติก็ได้ หมายถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นก็ได้ แล้วก็หมายถึงผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นก็ได้ ดังนั้นถ้ารู้ธรรมะจริงต้องรู้ ๔ อย่างนี้ รู้จักตัวธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้น และรู้จักหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาตินั้น นี่มันหมายถึงหน้าที่นะ ที่ได้รู้จากผลที่เกิดมาจากหน้าที่ ถ้าเราจะเรียกให้สั้นที่สุดก็เรียกว่าธรรมชาติอย่างหนึ่ง กฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง แล้วก็ผลจากหน้าที่นั้นอีกอย่างหนึ่ง รวมเป็นสี่อย่าง นี่คือความหมายของคำพูดคำนี้ที่เป็นคำที่สำคัญที่สุดคือคำว่าธรรมะ แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ อย่าไปแปล ป่วยการ ธรรมะคือคำสั่งสอนอันนี้มันก็เป็นส่วนน้อยส่วนหนึ่งของไอ้ความหมายสี่อย่างนี้ ถ้าให้หมดแล้วก็ต้องเป็นสี่อย่างนี้ เช่น พระธรรมแปลว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็รวมอยู่ในคำว่ากฎของธรรมชาติ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นการบอกกล่าวถึงกฎของธรรมชาติและหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คำว่าธรรมมันหมายถึงธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ นี้จะไปดูกันที่ไหน เมื่อตะกี้บอกแล้วว่าให้ศึกษาธรรมะจากภายใน คือจากตัวคนไม่ใช่จากหนังสือ จะจดไว้ก็ได้ ไปศึกษาจากกระดาษที่จดไปแล้วก็ได้ แต่นั่นยังไม่ถึงขนาด จะต้องศึกษาจากตัวคน
ธรรมะในความหมายที่หนึ่งคือตัวธรรมชาติ ก็ดูตัวเรานั่นแหล่ะ ตัวคนๆหนึ่งๆนั่นแหล่ะ มีร่างกาย แล้วก็มีจิตใจ แล้วก็มีความรู้สึกคิดนึก คนคนหนึ่งเป็นอย่างนั้นใช่ไหม คือตัวเราเองนั่นแหล่ะ มันมีส่วนที่เป็นร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนังอะไรต่างๆ นี่ก็เป็นส่วนร่างกาย แล้วมันก็มีส่วนจิตที่เรารู้สึกได้ ที่มันคิดนึกได้ นี้ก็เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งเป็นส่วนจิตใจ ทั้งกายและใจนี้เราเรียกว่าธรรมชาติ ก็คือตัวเราคนหนึ่งๆที่นั่งอยู่นี่มันเป็นตัวธรรมชาติ ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ที่คิดนึกได้แปลกๆ มันก็ไม่แปลกออกไปจากธรรมชาติได้ มันต้องคิดไปตามแบบตามแนวตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเรารู้จักตัวธรรมชาติที่ตัวเราเอง
ทีนี้ก็รู้จักตัวกฎของธรรมชาติ ที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นๆ ร่างกายของเรากี่ส่วนๆ มันก็ล้วนแต่มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่อย่างไม่รู้สึกตัว กฎธรรมชาติควบคุมอยู่ทำให้เกิดอันนั้นขึ้นมา เกิดอันนี้ขึ้นมา แม้แต่เซลล์หนึ่งๆที่มันจะสร้างขึ้นมาได้ มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ จนกระทั่งมีเซลล์มาประกอบกันเป็นร่างกาย มีหน้าที่การงานเป็นกลุ่มๆ ไป เป็นระบบๆไป ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนของโลหิต ระบบประสาท ระบบต่อต้านโรค มันมีเป็นระบบๆ ทุกระบบเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ แล้วยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นไปตามกฎที่ว่า มันจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง แล้วเป็นทุกขัง เป็นอนัตตา นี่ร่างกายเรามีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ มันจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ เกิดมาแล้วก็เติบโตมาเป็นคนอยู่อย่างนี้ นี่มันมีกฎของธรรมชาติอยู่ในร่างกายนี้ คู่กับตัวร่างกายนี้ซึ่งเป็นตัวธรรมชาติ นี่ดูให้ดี ต้องศึกษาธรรมะนี้จากในตัวเรา
ทีนี้มาถึงข้อที่สาม หน้าที่ตามธรรมชาติก็ต้องดูในตัวเรา หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมันมีอยู่ที่เรา ที่เราต้องประพฤติกระทำอยู่ มิฉะนั้นเราก็ตาย ถ้าไม่ถึงตายก็ต้องเป็นบ้า เจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นเราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่ว่าเราต้องหาอาหารกิน ใครบ้างไม่กินอาหาร แล้วก็จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องเกี่ยวกับการกินอาหาร ถ้าเรียกว่าต้องแล้ว มันก็เป็นหน้าที่ หรือแม้แต่ควร มันก็เป็นหน้าที่แล้ว ต้องปฏิบัติหรือควรปฏิบัติ เขาเรียกว่าหน้าที่ทั้งนั้น ต้องอาบน้ำ ต้องชำระชะล้าง ต้องถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ แล้วก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ นี่เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องทำหน้าที่ ต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ การทำหน้าที่นี้ก็คือธรรมในความหมายที่สาม ก็ต้องมีธรรมในความหมายที่สาม คือการทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงศึกษาเล่าเรียนธรรมในความหมายที่สองคือรู้กฎของธรรมชาติ คือธรรมะที่สอนๆกันอยู่ แล้วก็มีธรรมะคือการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่ฟังๆจดๆๆ เอาไปนี้ต้องเอาไปทำให้เป็นการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ที่กฎของธรรมชาติมันบังคับอยู่
ทีนี้อันต่อไปก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก ก็ไปทำหน้าที่แล้วก็มีผล ทำหน้าที่ถูกก็มีผลดี ทำหน้าที่ผิดก็มีผลร้าย ระวัง ทำให้มันถูก ปฏิบัติให้มันถูก ให้มีผลดีตั้งแต่บัดนี้ไปจนตลอดชีวิตเลย นี่ประโยชน์ของธรรมะซึ่งมีอยู่ตรงตามลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นๆ แม้ที่สุดแต่การศึกษาเล่าเรียนนี้ ก็เป็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไม่อย่างนั้นมันไม่ฉลาด มันโง่ มันทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเล่าเรียนศึกษาก็เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็ประกอบอาชีพซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็รู้จักประพฤติกระทำอย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาในการทำหน้าที่นั้นๆ นี่ก็เรียกว่าเป็นหน้าที่เหมือนกัน มิฉะนั้นจะสูญเปล่า การศึกษาการเล่าเรียนจะสูญเปล่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่ขอให้เห็นความเกี่ยวข้องกันในระหว่างการศึกษาทั้งสามประการนั้น เรียนหนังสืออย่างหนึ่ง เรียนอาชีพอย่างหนึ่ง เรียนธรรมะในด้านจิตด้านวิญญาณนี่อีกอย่างหนึ่ง สามประการนี้มันแยกกันไม่ได้ คนเราอยู่ไม่ได้โดยไม่มีอาชีพ แล้วมันจะประกอบอาชีพโดยมีความโง่นั้นมันก็ไม่ได้ จึงต้องศึกษาหนังสือหนังหาให้มันมีความเฉลียวฉลาด เรียนอาชีพประกอบอาชีพได้ เพราะฉะนั้นมีอาชีพแล้วยังต้องรู้จักทำ อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะการประกอบอาชีพหรือการเป็นอยู่ เป็นมนุษย์เรื่อยๆไปจนกว่าจะตาย
นี่อยากจะฝากให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าจงไปสังเกตดู ว่ามีคนกำลังเป็นโรคประสาทอยู่ในประเทศไทยเราตั้งเก้าแสนคน นี่ตามสถิติที่หมอเขาประกาศออกมา แล้วก็มีคนเป็นโรคจิตเต็มขั้นอยู่แล้วถึงสี่แสนคนทำนองนี้ หรืออย่างน้อยก็สี่หมื่นคน เป็นโรคจิตเต็มขั้นน่ะสี่หมื่นคน เป็นโรคประสาทอยู่ตั้งเก้าแสนคน เกือบล้านคน นี่เพราะมันทำผิดเรื่องนี้ คือไม่มีธรรมะ ไม่มีความรู้ด้านชีวิตจิตใจสำหรับมาประคับประคองชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เขาไม่มีธรรมะเพราะไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักศึกษาธรรมะจากชีวิตจิตใจ ไม่รู้จักทำชีวิตจิตใจให้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ เขาก็เป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้นๆๆจนรักษาไม่ได้ จนเป็นคนพิการไปในทางจิตทางวิญญาณ เป็นคนรกโลก เป็นคนเป็นภาระหนักแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้เป็นโรคประสาท มันเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นโรคประสาทตั้งแต่เด็กๆนั้นนับว่าเสียหายมาก แย่มาก มันเป็นเรื่องของคนแก่มากกว่า ถ้าใครเริ่มเป็นโรคเส้นประสาทแล้วก็รู้สึกละอายให้มาก เพราะมันน่าละอายมากสำหรับที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาแล้วก็เป็นโรคประสาทกันตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นการศึกษาเล่าเรียนก็ดี ทำให้ดี อย่าให้มันเป็นต้นเหตุของโรคประสาทเลย เรียนให้สำเร็จให้ผ่านพ้นไปด้วยความสวัสดี มีความสุขในการเรียน เป็นที่พอใจอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไปประกอบอาชีพแล้วก็อย่าให้ไอ้โรคประสาทนี้มีโอกาสเข้ามาย่ำยีอีก แล้วก็ไม่ต้องเป็นโรคจิต
การศึกษาที่ถูกต้องจะช่วยคุ้มครองให้อย่างนี้ ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าต้องเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์คือครบทั้งสามประเภท คือเรียนหนังสือรู้หนังสือ มีปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็สอง เรียนอาชีพประกอบอาชีพได้ดี สาม รู้เรื่องชีวิตจิตใจในเรื่องของธรรมะ ควบคุมชีวิตนี้ให้สดชื่นแจ่มใส เป็นไปอย่างเป็นที่น่าพอใจจนตลอดเวลา ที่เรียกว่ามีความรู้ที่เพียงพอที่ครบถ้วนที่ถูกต้องทั้งสามความหมาย เพราะฉะนั้นในความหมายที่สามที่อุตส่าห์มากันจนถึงที่นี่ ขอให้สำเร็จตามความประสงค์อย่าให้เป็นหมันในการมาที่นี่ เหมือนกับรูปเขียนที่ผนัง ตึกด้านนอก หัวตึกน่ะ ดู คนรับลูกตาสองสามคน ทีนี้คนที่กลับไปหัวขาดไม่มีลูกตาติดไปเลยนะวิ่งกลับไปเป็นฝูงๆ นี้ก็มาแล้วฝูงหนึ่งเหมือนกันใช่ไหม ทั้งหมดนี้เราถือว่ามาฝูงหนึ่ง จะวิ่งกลับไปหัวขาดอย่างไอ้ฝูงๆนั้นหรือ ถ้าจะได้รับลูกตาติดไปบ้างก็ช่วยพิจารณาตนเองดูให้ดีๆ ถ้าได้รับลูกตากลับไปก็ต้องเรียกว่าเป็นที่พอใจด้วยกันทุกฝ่าย ไม่หมดเปลืองเปล่า
ขอให้สนใจคำว่าการศึกษาชีวิตจิตใจ ในด้านลึกด้านจิตด้านวิญญาณนี้ด้วยกันทุกคน มาศึกษาในที่ที่จัดไว้ให้เพื่อความสะดวก เพื่อมาถึงแล้วมันเข้าถึงธรรมชาติได้โดยง่าย โดยเฉพาะเช่นมานั่งตรงกลางทรายอย่างนี้มันง่าย มาถึงก็นั่งตรงกลางทรายแล้วมันก็ง่าย ถ้าเขาไม่ได้จัดไว้อย่างนี้มันยากนะที่จะมานั่งสะดวกกลางทราย ในท่ามกลางธรรมชาติอันสงบ ธรรมชาตินี้เมื่อมันเป็นไปตามธรรมชาติแล้วมันมีความสงบ เพราะมันประกอบด้วยธรรมะ ความหมายหนึ่งคือความปกติ ก้อนหิน ต้นไม้ ก้อนดิน ก้อนทราย อะไรต่างๆ มันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็มีความปกติ มานั่งดูให้รู้จักความปกติให้เข้าใจความปกติ ไม่ขาดไม่เกิน ต้นไม้ทุกต้นอยู่ด้วยความไม่ขาดไม่เกิน อยู่พอดี ไม่ขาดอาหารแล้วก็ไม่กินอาหารเกิน มันก็มีความปกติ
เดี๋ยวนี้เรามักจะมีความเกิน อะไรเอร็ดอร่อยก็กินมากเกิน มันก็เลยเกิดโรคกิเลสที่มาจากการเกิน เพราะฉะนั้นมานั่งที่นี่ควรจะได้ยินต้นไม้พูด ถ้าทำจิตให้ถูกต้องก็จะได้ยินต้นไม้พูดว่าอะไรๆ อย่าให้มันเกินนะ ใครได้ยินบ้างนั่งอยู่ตรงนี้ ได้ยินต้นไม้พูดว่าอะไรๆอย่าให้มันเกินนะ ถ้าเกินแล้วมันยุ่ง แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนมันก็ต้องพอดีกับกำลังกาย กำลังสมอง กำลังอะไรต่างๆ เรื่องกินอยู่นุ่งห่มก็เหมือนกัน อย่าให้มันเกิน ถ้ามันเกินแล้วก็จับแม่ใส่นรกได้ นักเรียนหญิงหรือชายก็ตาม ถ้ากินอยู่เกินแล้วก็ต้องจับพ่อแม่ใส่นรก ความเดือดร้อนมันจะไปอยู่ที่พ่อแม่ เพราะรบกวนกันมากเกินไป ทีนี้เราอย่าให้มันเกิน ให้มันพอดี ให้มันถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนเค้าปรารถนากันมากเกินไป จนเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็ได้เบียดเบียนกันทั้งโลก เพราะต่างฝ่ายต่างปรารถนากันมากเกินไป ไอ้คำว่าเกินนี้อธิบายยาก แม้แต่รู้เกินไป มันก็ยังเป็นอันตราย สู้รู้พอดีไม่ได้ รู้เกินไปตัวอย่างเช่น เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วไปติดยาเสพติด นี่ไปดูเถอะมันเกินหรือไม่เกิน มันเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วมันไปติดยาเสพติด นี่ความรู้มันเกินไปเสียแล้ว มันไปทำคอรัปชั่นก็มี ที่เรียนมาอย่างสูงสุดมากลายเป็นคนทำคอรัปชั่นในวงราชการนี้มันก็มี มันเป็นเรื่องเกิน โบราณเขาเรียกว่ามันรู้จนเหยียบรู้ ความรู้นั้นมันเกิน เราระวังให้ดีอย่าให้มีการเกิน
ถ้าจะไม่ให้มีการเกินในการดำรงชีวิตแล้วก็อยากจะแนะให้รู้จักถือศีลอุโบสถ ทีนี้บางคนคงจะรู้แล้วว่าศีลอุโบสถคืออะไร บางคนอาจจะไม่รู้ก็ได้ ใครยังไม่ทราบว่าศีลอุโบสถคืออะไรยกมือสิ ใครยังไม่ทราบว่าศีลอุโบสถคืออะไรช่วยยกมือให้เห็น มีคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเกือบไม่ต้องอธิบายแล้ว เพราะว่าทั้งหมดรู้อยู่แล้วว่าศีลอุโบสถคืออะไร ก็จะบอกแต่ใจความว่า อุโบสถนั้นแปลว่าการเข้าไปอยู่ในความถูกต้อง เขียนให้ก็ได้เผื่อมันจะลืมเสียว่าอุโบสถเท่ากับการเข้าไปอยู่ในความถูกต้อง ชีวิตของเรากำลังเข้าไปอยู่ในความถูกต้อง ศีลห้าก่อนและเติมเข้ากับสามเป็นศีลแปดคืออุโบสถ ศีลห้าไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายผู้อื่นนี้เป็นความถูกต้อง ข้อที่สองอทินนาฯ ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น นี้ก็เป็นความถูกต้อง ข้อที่สามไม่ประทุษร้ายของรักของใคร่ของผู้อื่น ศีลกาเมฯ นี้ก็เป็นความถูกต้อง ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรม ความชอบธรรมของผู้อื่น นี้เป็นข้อมุสาฯ นี้ก็เป็นความถูกต้อง แล้วก็ไม่ประทุษร้ายสติปัญญาสมปฤดีของตัวเอง คือไม่ดื่มน้ำเมาทุกชนิด ไม่เสพของเมาทุกชนิด นี่ไม่ประทุษร้ายสติสมปฤดีสติปัญญา นี้ก็เป็นความถูกต้อง เรียกว่าศีลห้ามันถูกต้องที่เป็นล่ำสันสำคัญทั้งห้าแล้ว ไปพิจารณาให้ดี ให้มีศีลห้าเป็นตอนต้น เป็นเสาหลักใหญ่ๆ
ทีนี้อีกสามข้อที่เหลือ มันก็ว่า วิกาลโภชนาฯ ไม่กินอาหารในเวลาวิกาล หมายความว่าไม่กินอาหารส่วนเกิน เป็นคำที่แปลกอยู่แต่ว่าเป็นคำที่มีความหมายครบถ้วน อย่ากินอาหารส่วนเกิน เกินเวลาอย่ากินเลย ค่ำแล้วอย่ากินเลย ซื้อไปไว้ข้างที่นอนจะนอนก็ยังกินอีก อย่างนี้มันเกิน หรือมันแพงเกิน ดีเกิน สวยเกิน แปลกเกิน ประหลาดเกิน ก็อย่าเลย ก็ว่าอย่ามีการกินในส่วนที่มันเกิน เดี๋ยวนี้เขามีศิลปะที่จะทำให้มันอร่อย แล้วคนก็กินจนเกิน ระวังให้ดี เด็กๆชอบกินของเล่น กินเล่นที่เป็นส่วนเกิน ที่เขาเรียกกันไว้ประเภทหนึ่งว่าอาหารหลอกขายเด็กๆ นี่เคยเป็นเด็กๆกันมาแล้ว ผลไม้บ้างไอ้ขนมบ้างเป็นของเกิน ซึ่งไม่จำเป็นแต่เด็กๆก็ชอบกิน เขามีวิธีประดิษฐ์ให้เด็กกินส่วนเกินได้ นี้โตแล้วก็ยังมีส่วนเกิน
ถ้าสิ่งใดเขาปรุงให้มันผิดธรรมชาติแล้วก็ให้รู้เถอะว่านั่นเขาต้องการจะหลอกให้เรากินในส่วนเกิน เข้าใจว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ชอบน้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ ที่มีบนโต๊ะอาหารเอามาวางก่อน อันนั้นเราก็ใช้น้ำจิ้มนั้นล่ะเป็นเครื่องหลอกตัวเราให้กินมากกว่าที่ควรจะกิน นี่ศิลปะการปรุงน้ำจิ้มนั้นมากมาย บางทีถ้วยน้ำจิ้มบนโต๊ะอาหารนั้นมีตั้งสิบถ้วย รสต่างๆกัน เพื่อหลอกคนโง่ให้มันกินมากเกินกว่าที่จำเป็น จิ้มน้ำปลาเค็ม กินแล้วอร่อย เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นจิ้มน้ำส้ม อ้าว, ก็อร่อยอีกกินได้อีก ก็เปลี่ยนเป็นจิ้มน้ำเผ็ดๆ อ้าว, ก็อร่อยอีก กินอีก มันก็กินได้อีก จนไม่รู้ว่าเท่าไหร่พอดี ไอ้ศิลปะชูรสแต่งรสนี้ล้วนแต่ทำให้คนกินเกิน ก็ผิดศีลข้อนี้หมด คือกินในส่วนเกิน กินเป็นการเกิน ถ้าเคยถูกหลอกอย่างนี้มาแล้ว ก็ต่อไปนี้ก็ไประวังกันเสียใหม่ ระวังอย่าให้มันเป็นเรื่องกินชนิดที่เกิน เกินเลยเวลา เกินเลยลักษณะ เกินเลยกิริยาอาการ หรือเกินเลยอะไรก็ตาม อย่าได้กินอาหารส่วนเกินเลย ไอ้ที่ยิ่งปรุงให้อร่อยเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้กินเกินมากเท่านั้น ถ้าให้เรากินเนื้อดิบๆเหมือนคนครั้งกระโน้น เราก็กินเพียงเท่านี้ เพราะมันไม่ไหวนี่ พอมันหายหิวแล้วมันก็หยุดทันที แต่ถ้าให้เรากินไอ้เนื้อที่มันย่างสุกหวานอร่อยเข้าไปอีก เรากินมากขึ้นไปอีก มากกว่าที่กินดิบๆ ทีนี้ไอ้ย่างแล้วถ้าว่าไปจิ้มน้ำจิ้มเป็นอะไรเข้าอีก มันก็กินมากกว่าที่ไม่จิ้ม เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจว่าไอ้เรื่องปรุงรสทั้งหลายนั้นคือทำให้มันเกิน เดี๋ยวนี้ก็มีวิธีแกงอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไปเห็นเข้าแล้วน้ำลายไหลอดไม่ได้ต้องใช้เงินซื้อ ไอ้แกงที่แปลกๆ เข้าไปในร้านอาหารนี่ ทุกคนเคยผ่านมาแล้วไม่ต้องพูดก็ได้ว่าเราโง่กว่าเขา เราต้องไปยอมเสียเงินซื้ออาหารที่ปรุงให้มันมีกลิ่นรสแปลกๆ ยั่วน้ำลาย มันก็เรียกว่าเกิน
เพราะฉะนั้นไปตั้งอัตราเอาใหม่ด้วยตนเองว่าเท่าไรไม่เกิน กินข้าวเท่าไร กินกับเท่าไร ควรจะสั่งอาหารอย่างไรมันจึงจะไม่หลอกให้เรากินเกิน เดี๋ยวนี้เขาพูดกันว่ากินอาหารมื้อหนึ่งตั้งหมื่นบาทก็มี บ้าหรือไม่บ้าก็คิดดู ถ้ากินอาหารมื้อหนึ่งสองคนสมมติว่าสองคนต้องเสียหมื่นบาทนี่มันคนบ้าหรือคนดี ถ้าเรามีเงินขนาดนั้นบ้างเราจะเอาไหม ก็ระวังไว้ก่อน อย่าให้มีอาหารส่วนเกิน ไอ้เรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ เรื่องอะไรที่มันเกินๆๆ นั้นไม่ต้องพูดแล้ว นั่นมันเกิน เกินเหลือเกินแล้ว เพราะฉะนั้นที่เรากินอยู่ทุกวันอย่าให้มันมีอะไรเกิน อุตส่าห์เสียเงินซื้อของที่แปลกที่แพง ที่กลิ่นรสพิเศษมากินนี่ มันก็เรียกว่ามันเกิน สรุปความว่าอย่ากินอาหารส่วนเกินเลย ก็จะมีใจคอปกติ มีสุขภาพอนามัยดี มีความถูกต้องทางร่างกาย มีความถูกต้องทางจิตใจ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส กิเลสมาจาก.. กิเลสย่อมเกิดมาจากความโง่ที่ไปหลงในส่วนเกิน เช่น โลภนี่มันโลภในส่วนเกิน แล้วมันเป็นกิเลส เมื่อไม่ได้ตามที่มันโลภมันก็โกรธ ดังนั้นความโกรธมันก็เกิดมาแต่ส่วนเกิน ไอ้ความโง่มันก็โง่อยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องกิเลสอยู่แล้วที่ไปหาส่วนเกิน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องบำรุงร่างกาย ศีลข้อที่เจ็ด ศีลอุโบสถข้อที่เจ็ด นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ (วิภูสะนัฎฐานา-พูดไม่ครบ) เหล่านี้ ฟ้อนรำขับร้อง ประโคม ดีดสีตีเป่า ประดับประดา ลูบทาตกแต่ง เหมือนที่เขาทำๆกันอยู่ สิ่งเหล่านี้เขาหมายถึงที่มันเป็นสิ่งผิด กระตุ้นให้เกิดกิเลส หรือในฐานะที่มันเป็นส่วนเกิน ฟ้อนรำขับร้องนี้มันเป็นส่วนเกิน แต่ถ้ามันเป็นศิลปะมันเป็นการศึกษาที่บริสุทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่งจะจัดไว้ไม่เป็นส่วนเกินก็ได้ แต่มันมีน้อยมาก ดนตรีเพลงที่เป็นการศึกษา ที่เป็นศิลปะบริสุทธิ์มันก็มี ไม่เป็นส่วนเกิน ไปเกี่ยวข้องเพื่อทำให้ฉลาดขึ้นอย่างนี้มันก็มี แต่มันน้อยมาก เดี๋ยวนี้เราหมายถึงที่มันมีอยู่ตามธรรมดา ตามตลาด ตามที่เขาใช้ล่อคนให้หลง นี่เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ฟ้อนรำนั้นมันอาการของคนบ้า ร้องเพลงอาการคนร้องไห้ หัวเราะนั้นอาการของเด็กอ่อนนอนเบาะ คนที่เคยอ่านหนังสือกามนิตมาแล้วก็คงจะพบข้อความนี้ เขาดึงออกมาจากพระไตรปิฎกตอนอังคุตตรนิกาย มาใส่ไว้ในหนังสือกามนิต เราก็ฟังดูความคิดเห็นของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า การเต้นรำเป็นอาการของคนบ้า ไปเปรียบเทียบดู เมื่อเต้นรำมันต้องมีอาการเหมือนคนบ้า ยักไปยักมาตามความกระตุ้นของความรู้สึก ดนตรีอะไรก็ตาม ร้องเพลงมันต้องทำเสียงหยีหลับตาเหมือนกับคนร้องไห้ หัวเราะมันก็เหมือนเด็กๆ ยังโง่เขายั่วให้หัวเราะได้ นี้เรียกว่ามันเกิน เราแยกไอ้ส่วนที่เป็นการศึกษาเป็นศิลปะบริสุทธิ์ออกไปเสียสำหรับทำให้คนฉลาด อย่างนั้นจะไม่ถือว่าเกิน แต่ถ้ามันกระตุ้นความรู้สึกทางกิเลสก็เรียกว่าเกินทั้งนั้น การทำให้หอม การทำให้สวย การประดับประดาอะไรก็เรียกว่าเป็นส่วนเกิน อย่าเอาเลย นี่แต่งเครื่องแบบอย่างนี้ไม่เรียกว่าเกิน แต่ถ้าไปใส่เสื้อลายผีเสื้อนั้นระวังให้ดี มันจะเป็นผีเสื้อแล้วมันก็จะเกิน เข้าใจว่ามีกันอยู่ทุกคนใช่ไหม ไอ้เครื่องแต่งตัวชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดนักเรียนนี่มันจะเป็นเรื่องส่วนเกิน ระวังให้ดี อย่าให้มันถูกหลอก ว่าไปบูชาส่วนเกิน เครื่องลูบเครื่องทา มันก็เพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางกิเลส เรื่องสวยเรื่องงามก็กระตุ้นความรู้สึกทางกิเลส มันเป็นความผิดมันไม่ถูก เราเว้นเสียมันจึงจะเป็นความถูก นี่ความถูกต้องข้อที่เจ็ดนี้อย่าไปบำรุงบำเรอร่างกายด้วยเรื่องเกิน
ทีนี้ข้อที่แปด อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา อย่าใช้ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่นี่ เขาหมายความรวมกันไปเป็นหลักว่าอย่าใช้เครื่องใช้ไม้สอยที่มันเกิน เครื่องนั่งเครื่องนอน มันก็อย่าให้มันเกิน แล้วเครื่องอะไรต่างๆ เครื่องเรือนบ้านเรือนตัวเรือนก็อย่าให้มันเกิน เดี๋ยวนี้เขามันเกินไม่รู้จักสิ้นสุด คนมั่งมีเขามีบ้านนี่ราคาล้านแล้วเขายังไม่พอใจ เขาสร้างใหม่ให้ราคาสามล้านสี่ล้านเขาก็ยังไม่พอใจ เขาสร้างใหม่ให้มีบ้านราคาสิบล้านยี่สิบล้านเขาก็ยังไม่พอใจอยู่นั่นล่ะ เพราะว่าเขามันโง่ ไม่รู้จักส่วนเกิน เขาทำไปจนต้องเอาเปรียบคนจน คนมั่งมีเหล่านี้ต้องเอาเปรียบคนจน ปัญหาในโลกก็เกิดขึ้น จะฆ่ากันตายทั้งโลกอยู่แล้ว เพราะว่ามีไอ้ส่วนเกินมาล่อให้คนทำผิด ถึงคนจนก็เหมือนกันแหละ ก็มีทางที่จะไปหลงในส่วนเกิน แล้วก็จะมุทะลุดุดัน แล้วก็จะทำร้ายคนมั่งมี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีใครเอาส่วนเกิน โลกนี้ก็จะสงบ
ทีนี้ก็จะเลยไปถึงว่า เมื่อมันเหลือกินเหลือใช้เอาไปช่วยคนอื่น เราหามาได้มากเหลือกินเหลือใช้ เอาไปช่วยคนอื่น ส่วนที่เกินนั้นอย่ากินเองเลย เรามีวิชาชีพดี เราทำเต็มที่ ไม่ต้องกลัวเกิน เมื่อทำให้เกิดผลประโยชน์นี้ไม่ต้องกลัวเกิน แต่ต้องทำโดยสุจริตและถูกต้อง ได้ผลมามากแล้วอย่ากินเกินอย่าใช้เกินอย่าเอาไปถลุงกันเกิน ให้มันเหลืออยู่เอาไปช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยประเทศชาติ ศาสนา แล้วทุกคนก็จะมีความสุข นี่เรียกว่าไม่เอาส่วนเกิน เป็นความถูกต้องแปดประการ ข้อสามที่เป็นศีลกาเมฯ เปลี่ยนเป็นศีลอพรหมฯ นี่ก็หมายความว่าไม่ควรจะประกอบกิจกรรมระหว่างเพศทุกวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องเกิน ต้องมีการเว้นเท่าที่จะเว้นได้ อย่าให้มีเรื่องเกิน มันก็จะมีศีลข้ออพรหมฯ มาแทนกาเมฯ รวมกันแล้วเป็นความถูกต้องแปดประการเรียกว่าอุโบสถ เข้าไปอยู่ในความถูกต้องแปดประการนี้เรียกว่าถือศีลอุโบสถ เหมาะสมแก่คนทุกคน นี่ขอยืนยันว่าเหมาะสมแก่คนทุกคน นับตั้งแต่เด็กๆไปจนถึงวาระสุดท้าย
มันเป็นการถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เราจะไม่ประทุษร้ายร่างกาย ทรัพย์สมบัติ ของรักใคร่หรืออะไรๆ แล้วก็ไม่ประทุษร้ายตัวเองให้ทำผิดไปด้วยเรื่องส่วนเกิน อย่างที่ยกตัวอย่างให้ฟังมาแล้วเมื่อตะกี้นี้ว่า ต้นไม้นี้มันก็ไม่กินเกิน มันไม่มียุ้งฉางสำหรับจะเก็บ มันกินอาหารพอดี ได้แสงสว่างพอดี แล้วงอกงามพอดี ไม่มีปัญหา ส่วนมนุษย์นั้นมันมียุ้งมีฉางสำหรับเก็บ มันมีท้องที่ยืดหยุ่นได้มาก ที่จะกินได้จนไม่รู้จักส่วนเกิน บางทีมันจะมีอาการทำให้อาเจียนออกมาเพื่อจะกินอีกก็ได้ นี่สำหรับมนุษย์มันจะเป็นอย่างนี้ เรียกว่าความผิดพลาด เพราะฉะนั้นขอให้สนใจในความถูกต้องแปดประการที่เรียกว่าศีลอุโบสถ อย่าเข้าใจผิดๆไปว่าเป็นของครึคระงมงาย สำหรับคนแก่คนเฒ่าหรือคนสมัยแล้ว เดี๋ยวนี้ขอยืนยันว่ายังเป็นนักเรียนสมัยปรมาณูนี่ ศีลอุโบสถไม่ได้ครึคระอะไร เป็นศีลที่ทำให้เราเป็นอยู่อย่างถูกต้อง ในความถูกต้องทั้งแปดประการดังที่กล่าวแล้ว ลองไปประพฤติปฏิบัติดู มันจะเป็นจุดตั้งต้นที่ดี มันตั้งต้นดีแล้วมันจะเจริญงอกงามไปดี ขอให้สนใจที่จะปฏิบัติตามหลักของอุโบสถศีล ไม่เอาส่วนเกินทั้งแปดประการนี้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกการปฏิบัตินี้ว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ เราอย่ากลัว อย่าเห็นว่าเป็นของครึคระในการที่จะตามรอยพระอรหันต์ เราไม่ได้อวดว่าเราเป็นพระอรหันต์ แต่เรายืนยันว่าเราจะเดินตามทางที่ถูกต้องของพระอรหันต์ ตามท่านไป เมื่อเขาสวดมนต์บทปัจจเวกขณ์อุโบสถศีล จะมีคำว่าตามรอยพระอรหันต์ ตามรอยพระอรหันต์ ตามรอยพระอรหันต์ ทั้งแปดข้อนี้ นี่ก็ขอให้ลองดู ไปศึกษาใหม่ ไปทบทวนใหม่เรื่องศีลห้าแล้วก็เติมอีกสามเป็นศีลแปด ประพฤติอย่างเคร่งครัดในโอกาสที่กำหนดไว้ แล้วก็จะเป็นการตามรอยพระอรหันต์ มันเป็นรูปแบบของการปฏิบัติที่สำเร็จรูป ไม่ต้องเสียเวลามาคิดนึกค้นคว้า แล้วมันก็ไม่ดีไปกว่า ดังนั้นเราจะยอมรับรูปแบบที่พระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้ดีแล้ว แล้วก็เอาไปปฏิบัติดู มันจะพิสูจน์ความจริงให้เราเห็นว่ามันเป็นความถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สรุปความว่า มันป้องกันการเกิดแห่งกิเลสโดยประการทั้งปวง เรามีเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้กิเลสเกิด มันก็สะดวกดี สบายดี ดีกว่าที่จะต้องไปทำผิดพลาดและต่อสู้กับกิเลสและซึ่งจะแพ้มันทุกที เดี๋ยวนี้มีอุบายที่ฉลาดกว่า เหนือกว่า มาเหนือเมฆ ป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดได้ โดยการที่เป็นอยู่โดยไม่แตะต้องกับส่วนเกิน ถ้าจะใช้คำพูดรวบรัดก็ต้องใช้คำว่าไม่เป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน ถ้าเหลือกินเหลือใช้เอาไปช่วยผู้อื่น หรือจะเก็บไว้เป็นหลักทรัพย์ก็ยังดีกว่าที่จะกินเป็นแบบส่วนเกิน ก็ไม่ต้องเก็บหลักทรัพย์ไว้จนเกิน ก็ไปช่วยผู้อื่น ซึ่งมันมีเรื่องที่จะต้องช่วยกันอีกมาก เพราะฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงผู้อื่น เราจึงจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง การนึกถึงแต่ตัวเองผู้เดียว ส่วนเดียวนั้น ไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เพราะว่าจิตใจมันต่ำ คนที่นึกถึงแต่ตัวเอง เห็นแก่ตัวเองนั้นจิตใจมันต่ำ แต่คำว่ามนุษย์มันแปลว่าจิตใจสูง เพราะฉะนั้นคนที่เห็นแก่ตัวเองข้างเดียวนั้นมันเป็นมนุษย์ไม่ได้ มันต้องนึกถึงผู้อื่น ต้องเตรียมพร้อมที่จะทำประโยชน์ผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นขอให้ถือว่าเราเกิดมานี้ มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้เกิดความดี มีประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น นั่นแหละคือธรรมะ
เพราะฉะนั้นขอให้จับฉวยให้ถูกตัวสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ซึ่งเป็นความถูกต้องสำหรับมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ถ้าเราจะใช้วิธีรวบรัดโดยฉลาดแล้ว จะพูดแนะว่า อุโบสถศีลเป็นวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์เราทุกขั้นตอนทีเดียว แต่ไม่ใช่ให้ถืออย่างงมงายเงอะงะ เหมือนที่ว่าเขาดูถูกดูหมิ่นกัน เราเข้าใจดี เรามีเหตุผล เรามีการปฏิบัติชัดเจนถูกต้องโดยคำแปลที่ให้เสียใหม่อย่างเมื่อตะกี้นี้ ทบทวนกันอีกทีก็ได้ว่าข้อที่หนึ่งอย่าประทุษร้ายชีวิตร่างกายเขาโดยวิธีใดก็ตาม เมื่อตะกี้เขียนไปอย่างนั้นหรือเปล่า อย่าประทุษร้ายชีวิตร่างกายเขาโดยวิธีใดก็ตาม ข้อสองอย่าประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเขาโดยวิธีใดก็ตาม ข้อที่สามอย่าประทุษร้ายของรักของใคร่ของเขาโดยวิธีใดก็ตาม ข้อที่สี่อย่าประทุษร้ายความชอบธรรมของเขาโดยวิธีใดก็ตาม ข้อที่ห้าอย่าประทุษร้ายสติสมปฤดีของตนเองโดยวิธีใดก็ตาม อย่าเมาเหล้า เมาหนัง เมาละคร เมาการพนัน เมาอะไรต่างๆที่มันเป็นความเมา แล้วประทุษร้ายสติสมปฤดีของตนเอง ข้อที่หกอย่ากินอาหารส่วนเกิน คำว่าเกินนี่ความหมายครอบจักรวาลไปคิดเอาเอง ข้อที่เจ็ด อย่าบำรุงบำเรอร่างกายด้วยวิธีที่เป็นส่วนเกิน ข้อที่แปดอย่ามีเครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นส่วนเกิน ไปดู อะไรเกินแล้วก็รีบกำจัดออกไปเสียดีกว่า บางอย่างก็เอาไปทำลายเสียดีกว่าที่จะเอาไปให้ผู้อื่น เป็นเรื่องส่วนเกินแก่ผู้อื่นอีก อย่างนี้มีความถูกต้องแปดประการ เป็นการปฏิบัติธรรมะในลักษณะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าเป็นการตามรอยพระอรหันต์ เป็นการทำตามพระอรหันต์แปดข้อ
นี่ก็คือความถูกต้องทางชีวิตจิตใจ เป็นการศึกษาปฏิบัติทางชีวิตจิตใจที่ถูกต้อง เป็นการศึกษาประเภทที่สาม เราเรียนหนังสือแล้ว เรามีอาชีพแล้ว เรายังต้องเรียนธรรมะ เพื่อความถูกต้องในทางชีวิต วิญญาณ จิตใจในส่วนลึก สติสมปฤดีการมาสวนโมกข์ด้วยความหวังอย่างนี้ นับว่าเป็นที่น่าพอใจ เป็นสิ่งที่มีเหตุผลว่าควรกระทำ แล้วขอแสดงความยินดีในเจตนาที่มา ที่มุ่งหมายจะกระทำ แล้วก็ขอให้เป็นไปสมตามเจตนา ขอให้มีความเข้าใจให้ถูกต้องจนสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้อง มันก็ปฏิบัติไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็เรียนธรรมะอย่างเพ้อๆไปไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักจบ ไม่เป็นธรรมะอันแท้จริงขึ้นมาได้ เป็นธรรมะส่วนที่มันสลัวมืดมัว เป็นปรัชญาเป็นอะไรที่เพ้อเจ้อ ไม่มีจุดจบแก่พระนิพพาน เพื่อพระนิพพาน ต้องมีความรู้เรื่องธรรมะที่ชัดเจน ที่ตรง มีจุดหมายเป็นพระนิพพาน คือดับทุกข์ได้ทุกอย่างทุกประการ และทันในเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ สติสมปฤดีขอให้ทุกคนเยือกเย็นอยู่ด้วยไม่มีอะไรเป็นส่วนเกิน มีเวลาที่ไม่เกิดกิเลสนั้นแหละมากที่สุด วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่าได้เกิดกิเลส กิเลสเกิดเมื่อไร เป็นนรกทันทีที่เมื่อนั้นที่นั่น ไม่เกิดกิเลสเมื่อไรก็อยู่กับสวรรค์หรือนิพพานนี่นั่นและเมื่อนั่น ขอให้มันเป็นอย่างนี้ ขอให้มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีกิเลสรบกวน ไม่ต้องตกนรก และไม่ต้องทำผู้อื่นให้พลอยตกนรก เมื่อพอใจในตัวเองก็เป็นสวรรค์ และเมื่อเบื่อนรกเบื่อสวรรค์ก็หยุด ว่าง ไม่ปรารถนาอะไรก็เป็นนิพพาน ขอให้เราอยู่ด้วยจิตที่มันว่าง ไม่มีความทุกข์นี้ให้มากยิ่งๆขึ้นไป
เอ้า, ในที่สุดนี้จะให้พร ขอตั้งสัตยาธิษฐานให้พรแก่ท่านทั้งหลายว่า จงเป็นผู้มั่นคงอยู่ในพระธรรม ซึ่งขยายออกไปว่าในพระพุทธ ในพระธรรม และในพระสงฆ์ เห็นว่าเป็นสิ่งสูงสุด ยอมเสียสละได้แม้ชีวิตเพื่อรักษาธรรมะนี้ไว้ แล้วก็จะเป็นผู้ที่มีธรรมะคุ้มครอง ปกป้องรักษา ไม่ให้พบกับความผิดพลาด แต่ให้พบกันอยู่กับความถูกต้องตลอดเวลา มีความสุขมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน ในหน้าที่เป็นนักศึกษาก็ดี เป็นครูบาอาจารย์ก็ดี ขอให้ประสบความสำเร็จ มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ