แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาภาพขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย และขออนุโมทนาด้วยในการที่ให้มีการการกล่าวธรรมกถาในคราวนี้ ในข้อแรกนี้ก็อยากจะกล่าวถึงการมานั่งในสถานที่นี้ ในสภาพอย่างนี้ ขอได้โปรดจดจำความความรู้สึกอันนี้ไปด้วย คือข้อที่ว่าเรามานั่งกลางพื้นดิน บางคนก็อาจจะนึกรังเกียจ หรือไม่ชอบที่จะนั่งกลางดิน แต่ขอบอกให้ทราบว่าเป็นเจตนาของที่นี่ ที่ต้องการให้ทุกคนมาแล้วก็มีโอกาสที่จะนั่งกลางดิน เป็นพุทธานุสสติแด่พระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งใครๆก็รู้แล้วว่าท่านประสูติกลางพื้นดินที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งในเวลาเที่ยงวัน และท่านก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั่งกลางพื้นดินใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งริมลำธาร และท่านก็ได้สอนภิกษุสงฆ์ตลอดพระชนมายุของท่านด้วยการนั่งกลางพื้นดิน ด้วยการเดินทางอยู่ก็มี และในที่สุดท่านก็ปรินิพพานกลางดินใต้ต้นไม้ที่อุทยานแห่งหนึ่ง
ขอได้โปรดทำในใจว่าบัดนี้เราได้มานั่งที่ที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้าผู้มีการเป็นอยู่ชนิดที่เรียกว่ากลางดิน แม้แต่กุฏิของท่านก็พื้นดิน ขอได้ประทับความรู้สึกมานั่งกลางดินวันนี้ไว้ในฐานะเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า และก็เข้าใจถึงประโยชน์ของการอยู่กลางดินนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญหรือมีความลับซ่อนเร้นอยู่ ในข้อที่ว่า ธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ คนที่ทำตนใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็จะมีโอกาสที่จะรู้ธรรมะได้โดยง่าย พระศาสดาทั้งหลายแห่งทุกศาสนาจึงทำตนใกล้ชิดธรรมชาติ แล้วก็ได้ตรัสรู้ธรรมแห่งศาสนาของตนๆในเมื่ออยู่ใกล้ชิดธรรมชาติด้วยกันทุกๆศาสนา ดังนั้นการนั่งกลางดินนี้ก็เป็นเรื่องทำตนให้ใกล้ชิดธรรมชาติด้วยอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่ว่าธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาตินั้นได้เคยสรุปเป็นคำสั้นๆสำหรับจำง่ายๆว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรเท่าที่มนุษย์จะรู้ รู้จักได้ แต่เดี๋ยวนี้เราก็จะแบ่งเป็นสี่ส่วนเพื่อการศึกษาง่ายๆ
ธรรมะในความหมายที่๑ ก็คือตัวธรรมชาติทั้งหลายที่มีปรากฏการณ์ก็ดี ไม่มีปรากฏการณ์ก็ดี ตัวธรรมชาติทั้งหลายเหล่านั้นก็เรียกว่า ธรรม โดยภาษาบาลี และความหมายที่ ๒ ก็คือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นเอง ควบคุมธรรมชาติอยู่ หรือเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง กฎของธรรมชาติที่เราจะถือว่าเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง คือสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นมาได้โดยอำนาจกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติจึงมีลักษณะเหมือนกับพระเป็นเจ้าผู้สร้างสิ่งทั้งปวง ความหมายนี้เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๓ ก็คือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพื่อรอดอยู่ได้และเพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มันควรจะได้รับ นี้เรียกว่าธรรมหรือธรรมะในภาษาบาลีด้วยเหมือนกัน คือตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ความหมายที่ ๔ คือผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อปฏิบัติหน้าที่อะไรแล้วมันก็ต้องได้รับผล และตัวผลเหล่านั้นก็ยังเรียกว่าธรรมหรือธรรมะในภาษาบาลีอยู่นั่นเอง เราเรียกว่าธรรม ธ-ร-ร-ม ในภาษาไทย หรือเรียกธรรมะ ธมฺ ในภาษาบาลีก็คือคำๆเดียวกัน หมายถึงเรื่องของธรรมชาติใน ๔ ความหมาย คือตัวธรรมชาติเองนั้นอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง ตัวผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างหนึ่ง นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลายควรจะรู้จักสิ่งนี้ รู้เรื่องสิ่งนี้ และก็สอนสิ่งนี้ในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นบรมครูก็เพราะทรงสอนสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นขอให้มีความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือเรื่องของธรรมชาติใน ๔ ความหมายดังที่กล่าวแล้ว
เราควรจะทราบว่า คำว่าธรรมในความหมายนี้ไม่อาจจะแปลเป็นภาษาต่างประเทศใดๆได้ มันไม่มีคำในภาษาต่างประเทศที่มีความหมายพอจะครอบคลุมไปถึงสิ่งทุกสิ่งในลักษณะ ๔ ประการดังที่กล่าวแล้ว ดังนั้นเราจะเรียกสิ่งนี้ว่าธรรม ตามคำเดิมคำโบราณในประเทศอินเดียต่อไปตามเดิม ในปทานุกรมภาษาอังกฤษชั้นดีชั้นหลังก็มีคำนี้เข้าไปอยู่แล้ว คือคำว่าธรรมะนี่ ในรูปสันสกฤตเป็นธรรมะเป็นนาม ถ้าเป็นคุณนาม ก็เป็นธรรมิก นี่เราจะต้องพูดกับชาวต่างประเทศด้วยคำเดิม ขืนใช้คำแปลใหม่ก็ไม่หมด ไม่อาจจะมีความหมายตรง ไม่มีคำในภาษาอังกฤษที่จะมีความหมายพอสำหรับคำว่าธรรม ในภาษาอื่นๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงรับเอาคำว่าธรรมในสำเนียงเดิมของภาษาอินเดีย
ทีนี้ขอให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์ จะรู้จักธรรมะได้ง่ายก็ด้วยการใกล้ชิดธรรมชาติ ยกตัวอย่างมานั่งที่นี่ ธรรมชาติช่วยแวดล้อมจิตใจไปในทางให้หยุด ให้เย็น ให้ว่าง ให้เกลี้ยง อาตมาเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น พอเข้ามาสู่สถานที่นี้ ธรรมชาติจะแวดล้อมจิตใจหรือมีอิทธิพลเหนือจิตใจ ทำให้จิตใจหยุด เย็น ว่าง หรือเกลี้ยง แล้วจะใช้คำไหนก็รู้สึกเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามันมีการได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติแล้วเราก็จะได้รับผลอย่างนี้ เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่หยุด ที่เย็น ที่เกลี้ยง ที่นิ่ง หรือที่ว่างหรือที่สงบ เพราะฉะนั้นจึงช่วยจิตของเราหยุด เย็น ว่าง เกลี้ยง หรือสงบไปด้วย ขอให้ศึกษาสิ่งนี้จากธรรมชาติหรือจากความรู้สึกในจิตใจของเราเอง ไม่อาจจะศึกษาได้จากหนังสือหรือคำพูด จะพูดว่าหยุด ว่าเย็น ว่าเกลี้ยง ว่าว่างกันสักกี่ครั้งมันก็ไม่รู้สึกได้ เว้นไว้เสียแต่ว่าจิตมันได้เป็นอย่างนั้นเอง เราจึงไปในสถานที่ที่มันช่วยให้มันเกิดความรู้สึกอย่างนั้น แล้วเราก็ศึกษาจากความรู้สึกในใจนั้น ว่าที่ว่าเย็น ว่าหยุด ว่าเกลี้ยง ว่าว่าง ว่าเป็นสุขนั้นคือย่างไร ได้รู้จักความสุขชนิดที่ไม่ประกอบไปด้วยเหยื่อ
ที่อยู่ในสังคมนั้นก็มีสิ่งที่เรียกกันว่าความสุขแต่มันคนละอันกัน ความสุขแต่หนหลังนั้นเป็นความสุขที่ประกอบด้วยเหยื่อ คือมีอะไรมากระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขเวทนา เอร็ดอร่อยไปตามเรื่องของเหยื่อ ความสุขนั้นไม่ว่าง ไม่เกลี้ยง ไม่สะอาด ไม่อิสระ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงคือจิตมันหยุด เย็น เกลี้ยง ว่าง ไปตามแบบของธรรมชาติ คือไม่ต้องมีเหยื่อ เหยื่อคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เราเรียกว่าเหยื่อ เข้ามาปรุงให้ยุ่ง ให้วุ่น ให้ร้อน ในความหมายหนึ่งก็ถูกใจก็เรียกว่าเป็นความสุข ในความหมายหนึ่งไม่ถูกใจก็เรียกว่าเป็นความทุกข์ แต่เรื่องของธรรมชาติไม่เป็นอย่างนั้นถ้าไม่หยุดให้ว่างให้เกลี้ยงโดยแท้จริง จึงมีความสุขไปตามแบบที่ไม่มีเหยื่อ นี้เรียกว่าศึกษาธรรมะจากธรรมชาติ ต้องมาสู่ธรรมชาติที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นธรรม และยังมาดูมาเห็นมาสังเกตกันได้ว่าตัวธรรมชาติทั้งหลายเป็นอย่างไร กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอย่างไร หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเป็นอย่างไร แล้วก็ผลที่เกิดจากหน้าที่นั้นเป็นอย่างไร ขอให้ตั้งข้อสังเกตศึกษาอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนตลอดชีวิต สักวันหนึ่งก็จะรู้จักธรรมะโดยสมบูรณ์
ทีนี้ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าเรามีความหมายหรือจำกัดความหมายของธรรมนี้ถึง ๔ ความหมาย คือตัวธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง ตัวผลที่ได้รับจากหน้าที่นั้นอย่างหนึ่ง เป็น ๔ อย่าง แล้วอย่างไหนล่ะที่จำเป็นที่สุด ที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็จะพอตอบกันได้ว่า อย่างที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ คือธรรมหรือธรรมะในความหมายที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ พจนานุกรมตามธรรมดาในประเทศอินเดีย ของภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤตก็ตาม คำว่าธรรมนั้นเขาจะให้คำแปลว่าหน้าที่ ในวงพุทธบริษัทเราอธิบายคำว่าธรรมว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี้เป็นคำเฉพาะในพุทธศาสนาในวงแคบ แต่เมื่อกล่าวโดยทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วมันก็เป็นเรื่องหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ
ข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาทั้งหมดที่สอนไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์มันก็เป็นเรื่องหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทั้งนั้น ขอให้สนใจธรรมในความหมายที่เรียกว่าเป็นหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ นับตั้งแต่มันจะต้องหาอาหารกิน หรือมันจะต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ อาบน้ำ ทุกอย่างที่จะต้องบริหารร่างกายให้รอดชีวิตอยู่ได้ การประกอบอาชีพก็เป็นหน้าที่ที่จะทำให้มันมีชีวิตอยู่ได้ นอกไปจากนั้นก็คือปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่าเพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้ ก็คือได้รับธรรมะในระดับสูงสุดที่เรียกกันว่ามรรคผลนิพพาน หรือความหลุดพ้นตามหลักของพระศาสนา เพราะฉะนั้นธรรมในความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละจำเป็นที่จะต้องรู้และจะต้องปฏิบัติ
ถ้าดูเป็นก็จะเห็นได้ว่าในคนๆหนึ่งๆนี้มันมีอยู่ครบทั้ง ๔ ความหมาย เช่นร่างกาย จิตใจของเราคนหนึ่งๆนี้เรียกว่าธรรมในความหมายที่ ๑ คือตัวธรรมชาติ และในร่างกายเรา จิตใจร่างกายเรานี้ก็มีสิ่งที่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ สร้างมันขึ้น ความคุมมันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจึงหาพบกฎของธรรมชาติในชีวิตร่างกายนี้ แล้วตลอดเวลานั้นเราต้องทำหน้าที่ กินอาหาร ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง นี่ก็คือธรรมในความหมายที่ ๓ ที่เราก็ได้รับผลเป็นความสุขความทุกข์อยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือธรรมในความหมายที่ ๔ เพราะฉะนั้นธรรมในทุกความหมายคือทุกอย่างทุกประการ หาพบได้ในร่างกายคนที่เป็นๆ ที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ร่างกายที่ตายแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ศึกษาสนใจให้รู้จักสิ่งๆนี้อย่างเพียงพอ เพื่อจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมโดยครบถ้วน โดยสมบูรณ์ คือทั้งโดยตัวหนังสือและทั้งโดยความหมายและการกระทำ ดังนั้นธรรมมี ๔ ความหมายโดยรวบรวม โดยรวมความทั้งหมดเป็นอย่างนี้
ทีนี้ที่ต้องปฏิบัติต้องรู้กันเป็นพิเศษ และปฏิบัติกันเป็นพิเศษก็คือความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ ถ้าถามว่าธรรมคืออะไรในความหมายที่ ๓ นี้ เห็นว่าบทนิยามที่ถูกต้องที่สุดควรจะเป็นว่า ธรรมคือระบอบการปฏิบัติระบอบหนึ่งๆที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ขอให้ช่วยนึกสังเกต นึกเข้าใจดีๆว่า เมื่อใครก็ตามถามเราว่าธรรมคืออะไร เราต้องรู้โดยประจักษ์ และตอบเขาว่าธรรมคือระบอบปฏิบัติระบอบหนึ่งๆ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นับตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ คลอดออกมาเป็นเด็กเป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่คนเฒ่า กระทั่งเข้าโลงไป ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการต้องมีการประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเขา นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม จำเป็นหรือไม่จำเป็นก็ลองคิดดู ถ้าประพฤติไม่ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ มันก็เรียกว่า มันต้องประสบปัญหา คือความทุกข์ยากลำบาก เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือเกิดมามีความทุกข์ยากลำบาก ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการมีอยู่อย่างไร ต้องมีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการนั้นๆ เพราะฉะนั้นเราจึงสอนลูกเด็กๆให้ทำเต็มตามหน้าที่ คนหนุ่มคนสาวก็มีระบบปฏิบัติตรงตามความเป็นมนุษย์ในขั้นนั้น เป็นผู้ใหญ่ พ่อบ้านแม่เรือนก็มีระบบปฏิบัติสำหรับพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งว่าเป็นคนแก่คนเฒ่ามันก็มีการปฏิบัติตรงตามที่จะเป็นคนแก่คนเฒ่ากันอย่างไร
นี้ขอให้สังเกตดูสักหน่อยหนึ่งว่า คำว่าธรรมนี้หมายถึงระบบการปฏิบัติ หมายถึงระบบการปฏิบัติ ส่วนความรู้หรือการศึกษานั้นมันแฝงอยู่ในการปฏิบัติ เพราะถ้ามีการปฏิบัติมันก็มีความรู้ที่จะปฏิบัติ ถ้าเราจะสอนกัน เราก็สอนกันแต่เรื่องที่ให้ปฏิบัติอย่างไร สอนธรรมะนั้นคือสอนให้รู้ว่าปฏิบัติอย่างไรให้ตรงตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดมันก็มีการปฎิบัติธรรมเป็นระบอบๆๆ อาจจะมีมากระบอบสำหรับคนบางคน เขาว่าเขามีกิจการงานกว้างขวาง เช่นที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าเป็นทิศทางถึง ๖ ทิศทาง คนๆหนึ่งเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์แล้ว เขาก็มีทิศทางที่จะต้องปฏิบัติต่อให้ถูกต้อง ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา หรือพวกที่สงเคราะห์ลงในบิดามารดา ก็ต้องปฏิบัติต่อท่านให้ถูกเรื่อง ทิศเบื้องหลังก็คือบุตรภรรยา หรือบุคคลที่จะสงเคราะห์ไว้ในคำว่าบุตรภรรยาก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ทางซ้ายมือก็เรียกว่าทิศทางสำหรับมิตรสหาย ผู้ที่สงเคราะห์ไว้ในคำว่ามิตรสหายก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ขวามือก็เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ เช่นเราเป็นศิษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อครูบาอาจารย์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดูเหมือนเลื่อนลอยมาก ทิศข้างบนหัว ทิศเบื้องบนก็คือพระเจ้า พระสงฆ์ สมณะ ผู้รู้ทางไปแห่งโลกุตระ ก็ต้องปฏิบัติต่อให้ถูกต้องเพื่อได้รับผลตามสมควร ที่ใต้เท้าลงไปหรือเบื้องต่ำนั้นก็เรียกว่าคนใช้ ทาส กรรมกร หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างน้อย ก็ต้องปฏิบัติต่อเขาให้ถูกทิศทาง เพราะฉะนั้นจึงมีการปฏิบัติอยู่หลายระบอบในคนหนึ่งๆที่จะต้องรู้และจะต้องปฏิบัติ ถ้าเขาปฏิบัติสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องก็เรียกว่าเขาปฏิบัติธรรม คือทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพื่อตนเองก็อยู่เป็นผาสุก เพื่อผู้อื่นก็อยู่กันผาสุก เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ถือว่าจะต้องไปให้สุดปลายทางด้วยกันทั้งนั้น
ฉะนั้นเราก็จะต้องนึกถึงสิ่งๆหนึ่งซึ่งเรียกว่าศาสนา เราก็ถือศาสนา เกี่ยวข้องกับศาสนา อยากจะมีศาสนา ก็จึงรู้ว่าศาสนานั้นคืออะไร โดยเจาะจงแล้วคือธรรมในความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัตินั่นเอง ขอให้เข้าใจคำว่าศาสนาในฐานะเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติโดยตรง อย่าให้ศาสนากลายเป็นปรัชญา เป็นจิตวิทยา หรือเป็นอะไรๆที่มันเตลิดเปิดเปิงไป ไม่มีจุดที่ควรจะยุติ พุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นศาสนา คือมีระบบปฏิบัติธรรมแบบของพุทธศาสนา ทีนี้การที่บางคนจะพูดว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนา เพราะไม่มีพระเจ้านั้น มันว่าเอาเองเกินไป พุทธศาสนาสอนธรรมะใน ๔ ความหมายคือตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ และผลที่ได้รับ ดังนั้นกฎของธรรมชาตินั่นเองคือพระเจ้า พุทธศาสนาก็มีพระเจ้าแต่เราไม่เรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่ากฎ ถ้าใครอยากจะมีพระเจ้าก็ออกเสียงกฎให้มันยาว กฎ ก็กลายเป็นกอด (God) ก็กลายเป็นพระเจ้าได้เหมือนกัน ทีนี้เราไม่เอาอย่างนั้นเราพูดไปตามตรงๆว่ากฎของธรรมชาติเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง
ทีนี้ถ้าถามว่าศาสนาคืออะไร เหตุที่ไม่มัวมาเถียงกันว่าเป็นศาสนาหรือไม่ มีพระเจ้าหรือไม่มี พวกหนึ่งว่าถ้าไม่มีพระเจ้าก็ไม่เรียกว่าศาสนา เพราะศาสนาต้องมีพระเจ้า ที่พุทธบริษัทก็ว่าเราก็มีพระเจ้า เราก็เป็นศาสนาด้วยเหมือนกัน นี้เขาไม่ยอมก็เถียงกันไปเรื่องมีพระเจ้าหรือเรื่องไม่มีพระเจ้า มันเสียเวลาทะเลาะกัน ก็หน้าที่ตามกฎเกณฑ์ว่าพระเจ้านั้นทำอะไรบ้าง พระเจ้าก็สามารถสร้าง สามารถควบคุม สามารถเลิกล้างทำลายล้าง สามารถสร้าง สามารถควบคุมต่อไปอีก นี่คือพระเจ้า แต่อย่าไปเอาพระเจ้าอย่างนั้นเลย เอาพระเจ้าในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ว่าเมื่อได้เข้าถึงโลกพระเจ้า เป็นอยู่กับพระเจ้าแล้วก็หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง คือไม่มีความทุกข์เลยนั่นแหละ จะเรียกพระนิพพานก็ได้ หรือจะเรียกว่าเมืองพระเจ้าก็ได้ ถ้าจะเถียงกันว่าเป็นศาสนาหรือไม่ก็ต้องบัญญัติความหมายคำๆนี้ให้ถูกต้อง
อาตมาสังเกตแล้วมองเห็นว่า ไอ้คำว่าศาสนาที่ใช้เป็นสากลได้ทุกคนทุกศาสนาในโลกนั้นต้องจำกัดความว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความผูกพันกันระหว่ามนุษย์กับสิ่งสูงสุด ฝ่ายหนึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราท่านทั้งหลายนี่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งสูงสุดที่ถึงแล้วก็หมดปัญหาหมดทุกข์ ระบบอะไรที่ทำให้มันเกิดความผูกพันกันได้ในระหว่างสองสิ่งนี้แล้ว นั่นก็เรียกว่าศาสนา เพราะฉะนั้นเราก็มีสิทธิที่จะเป็นศาสนาได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าในวงของศาสนานั้นๆ มีระบบการปฏิบัติเพื่อให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่ความไม่มีทุกข์ เอาคำว่า religion ที่เป็นคำสากลเป็นหลักและก็ได้ความหมายสากลยิ่งขึ้นไปอีก เพราะคำว่า religion นั้นก็แปลว่าการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผูกพันกันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุด พุทธศาสนาก็มีอย่างนี้ มีระบอบการปฏิบัติที่เรียกว่าธรรมนั่นแหละ ปฏิบัติแล้วก็เกิดการถึงกันเข้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดคือพระเจ้า หรือการอยู่อย่างพระเจ้า ซึ่งเราถนัดจะเรียกว่านิพพาน ภาวะแห่งนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะถึงได้ด้วยการปฏิบัติตามระบอบการปฏิบัติ ที่เรียกว่าธรรมหรือศาสนานั่นเอง
เพราะฉะนั้นช่วยบอกลูกเด็กๆว่าศาสนานั้นไม่ใช่ยาเสพติด พวกคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ยังเป็น Bolshevik ยังไม่มีคำว่าคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น พวก Bolshevik ก็จัดศาสนาหรือ religion นี้ว่าเป็นยาเสพติดมาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เป็นสิ่งชี้ชวนของคอมมิวนิสต์ว่าศาสนาเป็นยาเสพติด เราก็บอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ศาสนาคือระบบปฏิบัติเพื่อให้เกิดการถึงกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ศาสนาเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติด ยาเสพติดที่มนุษย์เสพติดอยู่นี่แหละจะละได้ด้วยศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่กำจัดยาเสพติด เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากมียาเสพติดคืออบายมุข ๖ ประการ ซึ่งเข้าใจว่าทุกคนเคยได้ยินมาแล้วในหนังสือเรียน อบายมุข ๖ ประการนั้นคืออะไร คือดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานที่เต็มไปหมด ในกรุงเทพฯยิ่งมากกว่าบ้านนอก
อบายมุขทั้ง ๖ นี้ ก็ดื่มน้ำเมาทุกชนิด เดี๋ยวนี้กำลังเป็นปัญหา มันเรียนอย่างไรกันที่จบการศึกษาแล้วไปติดยาเสพติด นี่มันไม่ใช่บ้าที่สุดหรืออย่างไร ถ้าเรียนผ่านมหาวิทยาลัยมาแล้วมาชอบยาเสพติด สู้เด็กเลี้ยงควายก็ไม่ได้ มันสั่นหัวแต่กัญชายาฝิ่นมันไม่ชอบไม่บูชายาเสพติด แล้วคนที่ผ่านโรงเรียนผ่านมหาวิทยาลัยแล้วมาชอบยาเสพติด ซึ่งรวมอยู่ในคำว่าดื่มน้ำเมา หมายถึงของมึนเมาทุกชนิดจะกิน จะสูบ จะทา จะอาบ จะล้างยังไงก็ตาม เรียกว่าของเมาต้องเว้น นั่นแหละคือยาเสพติด ศาสนาเป็นเครื่องช่วยให้เว้นจากยาเสพติด เที่ยวกลางคืน ยุคนี้ยุคสมัยนี้นิยมสนุกสนานทางวัตถุนี้ ก็มีการเที่ยวกลางคืนมากกว่าสมัยก่อน แม้ในกรุงเทพฯนี้เมื่อ ๖๐ ปีมาแล้วกลางคืนมันก็ยังเงียบ เดี๋ยวนี้มันก็ชุลมุนวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน เพราะมันมีเรื่องให้เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น ก็ดูเถอะการเล่นที่เขาจัด ซึ่งสมัยนี้เป็นหนังเป็นละคร เป็นอะไรก็ตาม มันล้วนแต่ส่งเสริมกิเลส เป็นยาเสพติด ติดหนังติดละคร ติดเหมือนกับติดยาเสพติด เล่นการพนัน ก็น่าหัวที่ว่าตำรวจห้ามไม่ให้เล่นตู้ม้าไฟฟ้า ม้าตัวเล็กๆสำหรับเด็ก แต่ม้าตัวใหญ่ๆที่วิ่งในสนามไม่ห้าม มันก็เรียกว่ามันมีการพนัน เป็นลอตเตอรี่ เป็นอะไร เป็นเรื่องส่งเสริมไปเสียอีก คบคนชั่วเป็นมิตรนี่ มันก็ต้องแน่นอนเพราะมันนิยมกันอย่างนี้ มันก็ต้องเฮกันไปในทางนี้ คือว่าชอบอบายมุขกันไปทั้งนั้น แล้วเกียจคร้านทำการงาน นี้มีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คือทุกคนไม่ชอบทำงานหนัก เพราะฉะนั้นจะเรียนเอาปริญญานี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงงานหนักใช่ไหม ไม่อยากทำงาน จึงไปเรียนเอาใบปริญญาเพื่อได้งานเบาได้เงินมาก นี้ก็เรียกว่าขี้เกียจทำการงานเหมือนกัน ถ้าไม่ขี้เกียจก็สมัครที่จะเป็นชาวนาทำงานหนักๆก็ได้ เดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยมีใครสมัครทำนากันเสียแล้ว ขอให้ลองคิดดูให้ดี ว่าผู้ที่ทำงานนั้นเขาขี้เกียจทำงานทั้งนั้นแต่เขาทำเพราะจำเป็น ฉะนั้นลูกจ้างก็ดีเป็นข้าราชการก็ดี มันขี้เกียจทำงานกันทั้งนั้นแหละ คือมันมาสายแล้วมันกลับก่อน นี่มันคือขี้เกียจทำงาน และมันไม่อยากจะทำให้เลยเวลา ถ้าไม่ต้องทำได้ก็ยิ่งดี ก็แปลว่าคนงานของเรา ข้าราชการของเราก็เป็นคนขี้เกียจทำงานกันทั้งนั้น แต่ถ้าพวกเค้าถือธรรมะ เขาจะรู้สึกว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เป็นสุขพอใจในการทำงาน โดยไม่ต้องหวังเงินเดือนหรือผลงาน แต่เป็นสุขอยู่ได้ด้วยตัวการงานที่ทำ ตัวการงานนั้นเองเป็นตัวการปฏิบัติธรรม พอได้ทำงานก็สบายใจ พอใจตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง เป็นสุขอยู่ในการทำงาน ไม่ต้องพูดถึงผลงาน ผลงานนั้นอย่างไรก็ได้แหละ แต่ถ้าไปหลงกับมันเข้าเดี๋ยวก็จะได้กลายเป็นยาเสพติด
เพราะฉะนั้นเรามีความสุขความพอใจในการได้ประพฤติธรรม คือทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อย่างนี้ไม่เรียกว่าคนขี้เกียจทำการงาน พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านก็ทำงานมาก และก็ไม่ได้ค่าจ้างไม่ได้เงินเดือน แต่ท่านก็สนุกไปได้ในการทำงาน เป็นการช่วยผู้อื่น เพราะฉะนั้นลองคิดดูให้ดี ให้มีความสนุกสนานในการทำงาน ให้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ก็มีความสุขอยู่ที่นั่น จะไม่เกิดกิเลสเนื่องในการทำงาน มิฉะนั้นแล้วมันจะเกิดกิเลสในขณะที่ทำงานนั่นแหละมาก และก็มีความทุกข์มาก เรารู้จักสอนให้หลบเลี่ยงการเกิดแห่งกิเลสกันอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่าอยู่กับพระนิพพานตลอดเวลา หรือว่าเหมือนกับมานั่งอยู่ตรงนี้มันไม่ได้เกิดกิเลส เพราะธรรมชาติมันบีบไว้ไม่ให้เกิด เราก็สบาย เรามีจิตว่าง มีจิตเกลี้ยง ตรงตามคำว่าโมกขะ สถานที่นี้เรียกว่าสวนโมกขพลาราม แปลว่าป่าไม้เป็นกำลังให้ถึงซึ่งโมกขะ โมกขะแปลว่าเกลี้ยง หมายถึงจิตใจเกลี้ยงไปจากสิ่งสกปรก เศร้าหมอง เป็นชื่อแทนของพระนิพพาน เพราะฉะนั้นถ้าเรามาถึงที่นี่มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมีจิตเกลี้ยงก็ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์ ถ้าไม่รู้สึกว่าจิตเกลี้ยงแล้ว ต่อให้มานั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์ ถ้ามานั่งหงุดหงิดรำคาญอะไรอยู่ในสภาพอย่างนี้อีก ก็รีบไปหาหมอดีกว่า เป็นโรคประสาทแล้ว คนนั้นไปหาหมอดีกว่า นอกจากจะไม่ถึงสวนโมกข์แล้วควรจะรีบกลับไปหาหมอประสาท เพราะฉะนั้นเราเรียกว่าสวนโมกข์ ก็คือที่ที่จัดไว้ สำหรับให้คนมีจิตเกลี้ยงได้โดยง่าย (00:37:44 – ฟังไม่ชัด) ก็มานั่งอยู่ที่นี่ทั้งนั้น
ทีนี้คำว่าโมกขะแปลว่าภาวะของจิตที่เกลี้ยงเกลาจากกิเลสและความทุกข์ เป็นเองอยู่ได้เรื่อยๆ และบางเวลาก็ไม่เกลี้ยงและมีกิเลสและมีทุกข์ แต่ที่มันเกลี้ยงนี่ มันมีพอสมควร ดังนั้นเราจึงมีอาการที่ไม่เป็นโรคประสาทหรือไม่เป็นบ้า เราให้กิเลสเกิดทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ไม่กี่วันก็ต้องเป็นบ้า จะเป็นโรคประสาทและเป็นบ้า ที่เราทุกคนไม่เป็นประสาทหรือไม่เป็นบ้า เพราะว่ามันมีจิตเกลี้ยงสลับอยู่ๆมากพอ ขณะที่มีกิเลสเป็นจิตวุ่นสกปรกนั้นมันมีอยู่น้อยกว่า ก็เลยไม่ทำให้เป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคบ้า ถ้าเรามีจิตเกลี้ยงมากออกไปๆ มันก็ยิ่งดีขึ้น ถ้าเกลี้ยงจนไม่มีระยะที่สกปรกวุ่นวายนั้นคือการบรรลุมรรคผลนิพพาน คนที่จะจิตเกลี้ยงเด็ดขาดลงไปก็มีแต่พระอรหันต์ อย่างพวกเรานี้เอาแต่ว่าให้มันเกลี้ยงอยู่มากกว่าที่มันสกปรก จงได้สนใจในการกระทำที่ให้จิตมันเกลี้ยง เพราะฉะนั้นของให้จำภาวะจิตเกลี้ยงนี้กลับไปบ้าน กลับไปกรุงเทพฯ หรือไปที่อยู่แห่งตน ถ้าจิตมันวุ่นวายขึ้นมาก็ขอให้นึกถึงภาวะจิตเกลี้ยง แล้วมันก็จะง่ายที่มันจะหยุดได้และมันก็เกลี้ยงไปอีก ขอให้ความเกลี้ยงอย่างนี้มากขึ้นยาวออกไปๆ ไอ้ความไม่เกลี้ยงนั้นหดสั้นเข้าๆ จนกระทั่งมีแต่ความเกลี้ยงในที่สุด ก็จะถือได้ว่าท่านทั้งหลายก็ได้มาถึงสวนโมกข์และได้รับประโยชน์จากสวนโมกข์เอากลับไปเป็นประโยชน์จนตลอดชีวิต อาตมาก็จะขออนุโมทนาเพราะเหตุนี้ และก็ยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย และก็คงจะได้รับประโยชน์อะไรๆบางอย่างที่ผิดแปลกออกไปจากที่ไม่เคยมา แต่ขอให้ได้รับประโยชน์อันนั้นโดยแท้จริง
เรารู้สึกว่าบริการอันนี้ยังมีผลน้อยมาก ขอให้ผ่านไปที่ตึกหลังนั้นแล้วก็ดูรูปภาพที่เขียนอยู่ฝาผนังด้านนอกมีการแจกลูกตา ภาพแจกลูกตาและสองสามคนรับเอา นอกนั้นวิ่งกลับไปไม่มีลูกตาเป็นฝูงๆ คือพวกทัศนาจรอย่างเดียว ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากคำว่าสวนโมกข์ วิ่งกลับไปเป็นฝูงๆ รูปหัวขาดไม่มีลูกตา และพวกที่มีลูกตาสองสามคน นี่เลยรู้สึกว่าตลอดวเลา ๑๕ ปีมานี้ ผลของงานที่เราทำนั้นยังไม่ได้รับมากเป็นที่พอใจ เพราะว่าคนส่วนมากไม่ยอมรับลูกตา ไม่สนใจเรื่องลูกตา พยายามจะแจกให้ในตึกนั้นก็กลับไปโดยไม่มีลูกตา แต่ว่าคนที่ได้รับลูกตาก็มีพอสมควรเหมือนกัน จะพูดว่าคุ้มค่าคุ้มเหนื่อยมันก็พอจะคุ้ม เพราะว่าถ้าใครเกิดแสงสว่างขึ้นมาแม้เพียงคนเดียว มันก็มีค่ามากเกินกว่าค่าที่ลงทุนก่อสร้างสิ่งเหล่านั้น เพราะความสูงสุดของมนุษย์ ความดีความงานของมนุษย์มันมีค่ามากจนเหลือที่จะคำนวณเป็นเงินตรา จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะอยู่ในจำพวกที่ได้รับลูกตา ตามความมุ่งหมายของการจัดสถานที่นี้ ขอให้สนใจในคำว่าธรรมะคืออะไร คำว่าศาสนาคืออะไร แล้วก็จะได้รู้จักประพฤติปฏิบัติให้ได้รับผลตามความมุ่งหมายของธรรมะหรือของศาสนา
ในที่สุดนี้อาตมาขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงมีความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งในสัจธรรมเหล่านี้แล้ว มีความพอใจยินดีในการที่จะปฏิบัติแล้ว มีความก้าวหน้าไปในหน้าที่การงานของตนทั้งส่วนตัวและส่วนสังคม ไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาอยู่จงทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ยังมีเวลาขอแนะนำให้ไปดูภาพสอนธรรมะในตึกหลังนั้น สอนธรรมะด้วยรูปภาพ วิธีโบรงโบราณของปู่ย่าตายายที่เขาไว้ใช้สอนประชาชนที่ไม่รู้หนังสือ เพียงสมัยสุโขทัยนี้ประชาชนก็ไม่รู้หนังสือกันกี่คนเรียกว่าไม่รู้หนังสือก็ต้องใช้รูปภาพเพื่อสอนธรรมะ นี่เราก็ยังใช้วิธีนั้นอยู่ แม้ในสมัยที่ประชาชนรู้หนังสือก็ยังมีประโยชน์อยู่ ขอได้ไปพิจารณาดู
คุณประยอมมาช่วยหน่อยนะ ช่วยหน่อย ช่วยไปดูหนังสือหน่อย (คุณประยอมตอบ เสียงเบาๆ ) ไปดูแล้วหรอ งั้นก็แล้วไป ก็ยังมีไปเดินรอบวัดถ้าสนใจ กินเวลาเกือบชั่วโมง เดินรอบวัด ไปดูนั่นดูนี่ กระทั่งไปที่โรงปั้น แจกตุ๊กตา แล้วจะมีโปรแกรมไหนต่อไปก็เชิญตามที่ต้องการ
(ญาติโยมพูด....)
นี่ครู ครูผู้เปิดประตูครอบมืด บางคนยังไม่ได้ไปดูใช่ไหม ถ้ายังไม่ได้ไปดูก็ไปดูสิ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามันมีอะไร
(ญาติโยมพูด....)
ถ้าจะดูละเอียดมันก็เป็นวันๆ ถ้าดูเพียงชั่วโมงสองชั่วโมงก็พอรู้เรื่องได้
(ญาติโยมพูด....)
ก็ได้ อย่างน้อยก็จำเอาไปใช้สอนเด็กบ้าง ด้วยรูปภาพ สอนธรรมะด้วยรูปภาพ
(ญาติโยมพูด.....) ท่านคะที่รูปที่เขียนว่าทั้งวันไม่ทำอะไร หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าเรามีความรู้สึกว่ามีตัวมีตน ไม่มีตัวตนของเรา ก็เป็นการเคลือนไหวที่ไม่มีบุคคลผู้เป็นเจ้าของการเคลือนไหว ต้องการจะให้มีจิตใจอย่างนั้นเพื่อจะไม่มีควาทุกข์ ถ้ามีตัวตนมันก็มีความทุกข์ และก็เป็น ทำอะไรมันก็มีได้มีเสีย มีขาดทุน มีกำไร ซึ่งมันวุ่นวาย มันขึ้นๆ ลงๆ มันไม่สงบ (ญาติโยมพูด....) ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่ามีตัวตน มีผู้ทำมันก็เท่ากับว่าไม่มีใครทำ นี่เราก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ทำตลอดวัน
(ญาติโยมพูด)
ทำด้วยสติปัญญาบังคับร่างกายให้ทำ ไม่มีความหมายมั่นว่าเราทำ จึงไม่มีเราผู้ทำ จึงพูดว่าทั้งวันมิได้ทำอะไร เรื่องได้เรื่องเสียเรื่องขาดทุนเรื่องกำไร ก็ยกให้เป็นเรื่องของร่างกาย ของจิตใจ อย่าเป็นเรา ร่างกายจิตใจที่มีสติปัญญามันทำอะไรของมันได้ แต่อย่าไปเกิดความคิดว่าเราขึ้นมา จะมีความทุกข์ทันที พอมีเราก็มีปัญหา มีความทุกข์ทันที ต้องมีคววามยาก ต้องมีความหวัง ต้องมีความผิดหวัง และมันก็เป็นความทุกข์ นี่เป็นอุบายที่จะไม่มีความทุกข์ คือรู้จักใช้ประโยชน์ของคำว่าอนัตตาในพระพุทธศาสนานั้นเอง จึงกลายเป็นว่าทั้งวันเรามิได้ทำอะไร
ที่ตรงโน้นเป็นสนามหญ้ามีเสาสูง มีรูปอวโลกิเตศวร สวยดี สำหรับไปถ่ายรูปหมู่ สัญลักษณ์ของสวนโมกข์ เดินเลี้ยวจากนี้ไปนิดเดียวถึงสนามหญ้ามีรูปอวโลกิเตศวร สัญลักษณ์ของธรรมะ สุทธิปัญญา เมตตา ขันติ นี่เป็นสัญลักษณ์ เป็นตัวธรรมะ อันมีอวโลกิเตศวรเป็นสัญลักษณ์
(ญาติโยมพูด)
คืออวโลกิเตศวร รูปอวโลกิเตศวร มันเพิ่ง make up ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะ โดยเฉพาะความเมตตากรุณา ไปถึงเมืองจีนเค้าเปลี่ยนชื่อเป็นกวนอิม อยู่อินเดียเป็นอวโลกิเตศวร อวโลกิตะ อิศวระ คือพระอิศวรที่มองดูโลกอยู่ พระเจ้าที่มองดูโลกอยู่ คำว่าโลกิตะ คือมองดูอยู่ อิศวระ คืออิศวร คือพระเจ้าที่มองดูโลกอยู่ ก็คือธรรมะเหมือนกัน เขาปั้นได้สวยและมันเป็นของพบที่เมืองไชยานี้ ตัวจริงก็ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ห้องกลาง ห้องสำริด ห้องใหญ่ นี่เราก๊อบปี้จากองค์นั้นและขยายให้ใหญ่เห็นกันได้ง่าย ไว้เป็นสัญลักษณ์ของสวนโมกข์ ว่าถ้ามาเยี่ยมสวนโมกข์แล้วไปถ่ายรูปรุปปั้นอันนั้น
(ญาติโยมพูด)
เขาก็มี มันก็มีอย่างนี้แหละ ธรรมะเองก็เหมือนกันแหละ พอไปถึงเมืองจีนมันก็เรียกว่าอะไร เรียกว่า develop หรือว่า supplement(00:49:45) ให้มันเหมาะกับเรื่องที่นั่น มันก็เกิดพุทธศาสนาอย่างเซนขึ้นมา หรือว่าชาวบ้านทั่วไปก็เกิดกวนอิมขึ้นมา พอไปถึงเมืองจีน เขาบัญญัติเรื่องราวว่าพระอวโลกิเตศวรนี่มีจำแลงเป็นปางต่างๆ ตั้ง ๓๒ ปาง ๓๒ ชนิด เป็นยักษ์เป็นมารก็มี กระทั่งเป็นผู้หญิงที่ว่า
(ญาติโยมพูด)
เพื่อให้เหมาะแก่บุคคลให้เข้ารูปกันได้ และไม่มีที่เว้นที่ว่าอวโลกิเตศวรจะเข้าไปไม่ได้ แม้แต่ในหมู่ยักษ์มารก็เข้าไปช่วยไปโปรด และตรงนั้นมีต้นไม้พิเศษเรียกว่าต้นสาละ ต้นที่สูงเขียนป้ายติดต้นสาละ พระพุทธเจ้าประสูติและปรินิพพานใต้ต้นสาละ นี่เอามาจากอินเดีย เอาต้นอ่อนมาจากอินเดีย กรมป่าไม้เอามาให้ ต้นสาละ ไปดูต้นอย่างนี้ เรียกว่าต้นสาละที่ประสูติ จะเรียกว่ารังก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าไม่ปลอดภัย เรียกไปตามเดิมดีกว่า เพราะต้นรังมันมีอะไรผิดกันนิดหน่อย โชเรียโรบัสต้า กับโชเรียอ๊อบตุสซ่า ไม่เหมือนกันแท้ เพียงแต่สกุลเดียวกันกับต้นรัง นี่มันโชเรีย โรบัสต้า ต้นรังมันโชเรียอ๊อบตุสซ่า
(ญาติโยมพูด)
นั่นแหละแจกลูกตา ไม่ใช่ว่าเป็นภาพ copy จากอียิปต์ มันยืมแบบอียิปต์ มันทำง่ายเส้นตรง ถ้าเป็นลายไทยมันโค้งมากทำยาก มันทำกับโมเสก มันทำเส้นอย่างอียิปต์มันทำง่าย มันทำด้วยโมเสก ไม่มีความหมายเกี่ยวกับอียิปต์ เพียงแต่ว่าวิธีเส้นตรงมันทำง่าย มันจึงดูคล้ายอียิปต์ แจกลูกค้าแล้วก็ไม่มีใครเอากี่คน วิ่งหนีไปเสียหมด
(ญาติโยมพูด)
ก็มี จีนก็มี รูปนั้นเป็นอักษรทิเบต ลามะให้ copy ไว้ที่นี่ รูปปฏิบัติจิตใจขาวขึ้นๆๆน่ะ ช้างกับลิงที่เคยดำน่ะ ขาวขึ้นๆ ไปดู
(ญาติโยมพูด)
ไอ้วันนี้ก็ใช้ เท่าที่จะมีให้ เท่าที่จะมีเวลาให้ได้ประโยชน์ ให้มากเท่าที่จะมีเวลา
(ญาติโยมพูด)
ต้นโมกข์ก็มีอยู่บ้าง มีทั่วๆ ไป ตรงประตูนั่นก็มี ใครรู้จัก ตรงประตูพอเข้ามาจะมีอยู่สองสามต้น ดอกขาวๆใบเป็นขน เนื้ออ่อนทำพาย พายเรือ แล้วตรงจอดรถตรงนั้น ก็จะมีต้นพลา นี่ต้นพลา นี่ต้นนี้ก็ต้นพลา นี่สวนโมกขะ พลา ราม ต้นโมกข์ ต้นพลา พลาเอามาจากพละ แปลว่ากำลัง
(ญาติโยมพูด)
แล้วมันก็หมายถึงธรรมะ ธรรมะที่เรียกว่าโมกขะ โมกสะ หมายถึงนิพพาน และมันเป็นชื่อต้นไม้เผอิญมันตรงกันเข้า และเผอิญมันมีอยู่ในวัดเรา
(ญาติโยมพูด)
หลุดพ้น ถ้าเป็นธรรมะแปลว่าหลุดพ้น ถ้าเป็นคำชาวบ้านเรียกกว่าเกลี้ยง
(ญาติโยมพูด)
อะไร อันนี้ไว้วางพระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปไปวางไว้หน้านั้น ถ้ามีเวลาพิธี เอาพระพุทธรูปมาวางที่ตรงนั้น
(ญาติโยมพูด)
นี่มันใช้ก้อนหิน นี่เป็นโต๊ะ (00:54:54 – ฟังไม่ออก) ยกมาวาง
(ญาติโยมพูด)
โรงเรียนอยู่ทางโน้น โรงเรียนอบรมนักศึกษา อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา เรียกว่าโรงเรียนอยู่ตรงไหล่เขา ขึ้นไปดูก็ได้ มันเป็นก้อนหินๆ วางๆ ใช้รองเขียนหนังสือ
(ญาติโยมพูด)
ก็มีที่พักแบบตามบุญตามกรรม
(ญาติโยมพูด)
ลงไปตรงนั้นจะเห็นบ้านพักอยู่เป็นแถว หลังใหญ่นั่นพักได้ มีนักศึกษามาพักอยู่หลายสิบคนเหมือนกัน จากเชียงใหม่ พวก sisterยังมาพักเลย สองพวกมาแล้ว พวก sister ของโรงเรียนมาแตร์ โรงเรียน (00:56:03- ฟังชื่อโรงเรียนไม่ออก) มาขอให้อธิบายศีลธรรมสำหรับจะไปสอนในโรงเรียนตามหลักสูตรใหม่ ดูเอาจริงเอาจังมาก แล้วก็อยากจะสอนให้ได้จริง บางคนบอกว่าฉันไม่ใช่เพียงแต่จะเอาไปสอนเด็ก อยากเอาไปปฏิบัติเองเลยด้วย เขาไม่รังเกียจว่าเป็นพุทธเป็นอะไร ถ้ามันมีประโยชน์เขาก็เอา มีประโยชน์แก่ดับทุกข์ก็เอา
(ญาติโยมพูด)
เป็นรังกระรอกใหญ่ พญากระรอก วันนี้เรียกว่าพะแมว
(ญาติโยมพูด)
ดูสักสองสามภาพ อย่าดูทั้งหมด ภาพไหนจะมีประโยชน์ เช่นภาพว่าเดี๋ยวนี้จะอยู่ในโลกนี้ต้องอยู่เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู อย่าให้มันถูกกับเขี้ยวงูแม้ว่าอยู่ในปากงู
(ญาติโยมพูด)
นั่นแหละมันเต็มไปด้วยเขี้ยว ในโลกนี้ ก็มีสติสมบูรณ์พอ สติให้สมบูรณ์พอ มันก็ไม่ไปปะทะกับเขี้ยวงู
(ญาติโยมพูด)
ก็มีบางภาพ นายวิโรจน์ สิริอัต ร้านธรรมะบูชา เขาเคยจัดพิมพ์ขึ้นมา เป็นบางภาพไม่ใช่ทั้งหมด ไปดูที่ร้านธรรมะบูชา ถนนอัษฎา
(ญาติโยมพูด)
หนังสือทั้งหมดเขาถอดเทปและพิมพ์อยู่ที่นั่น ไปเลือกเอา
(ญาติโยมพูด)
ในตึกนี้มีรูปภาพที่รวบรวมมาทุกทิศทุกทาง เท่าที่จะรวบรวมได้สุดความสามารถ ได้มาเท่านี้ ง่ายๆก็มี กลางๆก็มี ยากก็มี ลึกซึ้งที่สุดก็มี ในภาพ ไปดู แล้วก็จำไปได้สักสองสามภาพ ถ่ายรูปไปก็ได้ ถ่ายรูปภาพไปสักสองสามรูป
(ญาติโยมพูด)
เสียงของการตบมือข้างเดียว ภาพเสียงของการตบมือข้างเดียว
(ญาติโยมพูด)
ยังไม่สบาย ยังโงนเงน เส้นโลหิตตีบในสมองยังไม่หาย
(ญาติโยมพูด)
สบายกว่าปีกลาย ปีกลายเป็นลมบ่อย ปีนี้ก็มีแต่โงนเงนๆ ต้องระวัง จะล้ม มันจะล้ม
(ญาติโยมพูด)
อาหารก็ ไม่เฝ้าระวังอะไร ส่วนมากก็ฉันผัก ก็ชอบ ชอบแต่ผักอยู่นั่น
(ญาติโยมพูด)
เชิญ เชิญไปดู ไปถ่ายรูปกับต้นสาละ
(ญาติโยมพูด)
มีโอกาสก็เจอ ไม่เข็ดก็มาอีก บางคนก็เข็ด มาทีเดียวแล้วไม่มาอีก
(ญาติโยมพูด)