แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้คิดว่าพูดเรื่องการศึกษา เพราะสังเกตเห็นว่าเรายังไม่เข้าใจคำว่าการศึกษาที่ตรงกันในทัศนะของนักคิดหรือผู้มองในด้านจิตใจ การศึกษามันก็ไปอย่างหนึ่ง มองกันแต่ด้านวัตถุไอ้การศึกษามันก็ไปอีกอย่างหนึ่ง เราส่วนมาก เรามองกันแต่ในด้านวัตถุ เราจึงมีการศึกษาไปแต่ในทางนั้น คือทางวัตถุ เลยยังไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ของสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา
ท่านทั้งหลายเป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักศึกษา ก็ขอให้ลองฟังดูว่ามันจะเป็นเรื่องมีอะไรที่แปลกออกไปบ้าง หรือว่ามันจะเป็นเรื่องอย่างที่เขาเรียกกันว่าเอามะพร้าวมาขายสวน เดี๋ยวนี้ในโลกเขาก็พูดกันว่าเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ด้วยการศึกษา แต่แล้วโลกมันก็หาความสงบสุขไม่ได้ ยิ่งเลวร้ายลงไปมากเท่ากับที่ว่าไอ้การศึกษามันเจริญแล้ว มันคงจะมีอะไรผิดอยู่อย่างร้ายแรงสักอย่างหนึ่ง ที่พูดว่าการศึกษาเจริญก้าวหน้า แต่แล้วโลกมันยิ่งเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์หรือสิ่งเลวร้าย พูดตัดบทเลยก็ได้ว่าในสมัยที่การศึกษาไม่เจริญ เรียกว่ายังไม่เจริญ เขามีความสงบสุขกันมากกว่าสมัยนี้ที่เรียกว่าการศึกษาเจริญ โดยส่วนบุคคลก็ดี โดยส่วนสังคมรวมๆกันก็ดี สมัยที่การศึกษายังไม่เจริญกลับมีความสงบสุขความผาสุกกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาในสองยุคสองสมัยนี้ต้องต่างกันแน่ สมัยนู้นก็มีการศึกษาแบบหนึ่ง รูปหนึ่ง ในปริมาณหนึ่ง ไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ด้วย แต่ก็มีไม่ใช่จะไม่มี แล้วโลกนี้ก็มีความสงบสุขอย่างน่าพอใจกว่าปัจจุบันนี้ หรือเรียกว่าการศึกษาเจริญก้าวหน้า ขอให้พิจารณากันในส่วนนี้ มันเป็นการศึกษาที่ต่างกันอย่างไร
ที่เขายอมรับกันทั่วไป มองเห็นได้ก็คือการศึกษาสมัยนู้นมันผนวกกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนา เพราะว่าการศึกษาสมัยนู้นก็หมายถึงการศึกษาเรื่องทางธรรมหรือทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เรื่องวิชาความรู้เรื่องเทคโนโลยีนี้เป็นส่วนน้อย หรือเกือบจะไม่รู้จักคำว่าเทคโนโลยี พอมาถึงสมัยนี้ก็แยกออกจากกัน แยกการศึกษาออกไปจากเรื่องของธรรมะหรือเรื่องของศาสนา ดังนั้นมันจึงต่างกันมาก สมัยนี้เป็นการศึกษาเรื่องวิชาฝ่ายวัตถุฝ่ายเทคโนโลยีที่กำลังใฝ่ฝันเพ้อฝันกันนัก จนไม่รู้ว่าธรรมะหรือศาสนานั้นคืออะไร นี่คือข้อแตกต่าง เราจึงได้รับผลต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม เดี๋ยวนี้หาศีลธรรมยาก จนถึงกับจะพูดว่าหามาทำยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะพอ คิดดูเถิดว่ามันกี่มากน้อย พูดไปแล้วมันก็เป็นการด่า ที่จะพูดว่าเดี๋ยวนี้หาศีลธรรมมาทำเป็นยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะพอ
ที่เป็นชั้นเลวมากปรากฏอยู่เป็นอาชญากรรมแม้ในเมืองหลวง ในเมืองหลวงยิ่งมีความเลวร้ายทางศีลธรรมมีอาชญากรรมมากกว่าบ้านนอกเสียอีก นี่มันเปลี่ยนมากถึงขนาดนี้ เมื่อห้าหกสิบปี เมื่อก่อนนู้นในกรุงเทพเงียบสงบ มีร่องรอยของศีลธรรม ไปไหนมาไหนคนเดียวดึกดื่นก็ได้ สมัยเมื่ออาตมาไม่ได้บวช คือประมาณสักหกสิบปีมาแล้ว ยังจำได้ดีว่าในกรุงเทพนั้นเป็นอย่างไร ไปไหนคนเดียวดึกดื่นก็ได้ เงียบกริบไม่มีใครก็ไม่มีอันตรายอะไร เดี๋ยวนี้แม้แต่กลางวันแสกๆก็ไม่ได้ เผลอไม่ได้ ในป่าในดงซะอีกกลับมีความสงบ หรือพอจะหาศีลธรรมดูได้ ในเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งหายาก แล้วเมืองหลวงของประเทศไหนก็ดูจะเหมือนๆกันไปหมด ยิ่งเมืองหลวงของประเทศที่เจริญที่สุดในโลกแล้วยิ่งหายากเย็นกันไปอีก แล้วเราก็ยังพูดกันอยู่ว่าการศึกษาเจริญ ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลายลองคิดดูคำนวณดูว่าทำไมมันจึงเล่นตลกกันอยู่อย่างนี้
อาตมาจึงเห็นว่าเราควรจะพิจารณาเรื่องการศึกษากันดูสักที เอาปัจจุบันเป็นจุดตั้งต้นสำหรับพิจารณา คือลูกเด็กๆของเราโตขึ้นมาก็ให้เขาเรียนหนังสือ ให้เขาฉลาดในการเรียนหนังสือ เรียนได้เร็วทดสอบได้ชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดม ไปจบอยู่แค่วิชาชีพ จะเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีไปหมดไม่ว่าอะไร พอเรียนจบก็ต้องได้ปริญญาสำหรับไปประกอบอาชีพที่เหนื่อยน้อยที่ได้เงินมาก แม้แต่จะไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา มันก็วิชาชีพทั้งนั้น แล้วก็ทำเพื่ออาชีพด้วย อย่างตุลาการ ครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอาชีพไปหมด ไม่มีความหมายแห่งปูชนียบุคคลเหมือนสมัยก่อน พูดอย่างนี้มันก็คล้ายกับด่ากันอีกแล้ว ว่าอาชีพอย่างตุลาการ อย่างครูบาอาจารย์สมัยก่อนนั้นมันเป็นอาชีพที่เป็นที่เคารพนับถือหรือว่าได้บุญ เดี๋ยวนี้กลายเป็นอาชีพธรรมดาสามัญเหมือนกับอาชีพทั้งหลาย คือมุ่งแต่จะได้เงินให้มากแล้วก็ลดต่ำลงมาในแง่ของศีลธรรม จนเรียกว่าเผลอไม่ได้เผลอก็คอรัปชั่น เป็นอย่างนี้ทุกอาชีพ มันก็มาจบอยู่แค่อาชีพ มันก็ไม่เลยจากนั้นไปได้ ถ้าหากว่าการศึกษาให้ผลสูงสุดในอันดับสุดท้ายเพียงอาชีพเท่านั้น มันก็น่าสงสาร จะพูดว่าไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็มีอาชีพ นกกระจิบนกกระจอกก็ไม่อดตาย แล้วมันก็อยู่ได้ด้วยเพราะมีอาชีพ ถ้ามนุษย์เราจบการศึกษาลงเพียงแค่อาชีพ ก็คือว่าเมื่อเทียบส่วนกันแล้ว เทียบ ratio เทียบอะไรก็ตามโดยเทียบการเทียบส่วนแล้ว มันไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานก็เป็นเพียงแค่อาชีพ
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปว่าถ้ามันเลยไปจากอาชีพล่ะ มันจะเป็นอะไร มันก็ต้องมีอะไรที่ดีไปกว่าที่สักแต่ว่าจะรอดชีวิตอยู่ได้ด้วยความสนุกสนาน สะดวกสบาย มันต้องไปไกลกว่านั้น ถ้าจะมองดูว่ามันมีอะไรที่ดีกว่านั้นนี่ มันจะต้องมองกันในแง่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือศาสนานั้นทุกศาสนามุ่งหมายจะดับความทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นละเอียดที่สุดของมนุษย์
ความทุกข์ชั้นละเอียดที่สุดนั้นขอให้สนใจ คือความทุกข์ชนิดที่คนร่ำรวยก็ยังเป็นทุกข์ คนมีอำนาจวาสนาก็ยังเป็นทุกข์ แม้แต่พวกเทวดาก็ยังเป็นทุกข์ ความทุกข์นั้นคืออะไร นั้นล่ะจะต้องสนใจ ว่าทำความทุกข์ชนิดที่พวกเทวดาก็ยังเป็นทุกข์ ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีก็ยังเป็นทุกข์ อยู่ในระดับไหนก็ยังเป็นทุกข์ ไม่ต้องพูดถึงคนยากจนเจ็บป่วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไปกว่าความร่ำรวย ก็คือความที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ายังมีเรื่องหนักอกหนักใจก็ยังเป็นทุกข์ มีความเครียดในจิตใจจนเป็นโรคเส้นประสาท โรคจิต นี่มันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน คุณเคยเห็นสัตว์เดรัจฉานเครียดและเป็นโรคเส้นประสาทที่ไหนบ้าง ที่อยู่รอบๆตัวเรา สุนัขแมวหมากาไก่ก็ดี มันไม่เคยเครียดและเป็นโรคเส้นประสาท ไม่มีปัญหาเรื่องปวดหัว
เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ไอ้ส่วนที่มนุษย์จะต้องทำให้สมกับความเป็นมนุษย์ คือเมื่อหมดปัญหาเรื่องอาชีพ เป็นอยู่สะดวกสบายในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติแล้วความทุกข์อะไรเหลืออยู่ นั่นแหละจะต้องจัดการ หรือถ้าว่ามันโง่มากไป ไอ้ความทุกข์มันก็เกิดมาจากไอ้เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั่นเอง มันเป็นสองขยักอยู่
คนพวกหนึ่งมันมีความทุกข์ด้วยเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เอาละทีนี้คนพวกหนึ่งมันไม่เป็นทุกข์ มันมีกิน มีกาม มีเกียรติเต็มที่แล้วแต่มันมีความทุกข์อย่างอื่นเหลืออยู่อีก นี่จึงว่าคนรวยก็ยังเป็นทุกข์ แม้แต่เทวดามันก็ยังเป็นทุกข์ เพราะเทวดาก็ร้องไห้เป็นเหมือนกัน อึดอัดขัดใจเมื่อไอ้สิ่งต่างๆมันไม่เป็นไปตามที่ตัวต้องการ เราถือว่ามนุษย์นี้ยังมีปัญหาเหลืออยู่ หลังจากที่มีกินมีใช้ สะดวกสบายในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติแล้วมันก็ยังมีปัญหาเหลืออยู่ แล้วมันมักจะย้อนวกกลับมาหาไอ้เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้นเองเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมา เราจะต้องมีสติปัญญาควบคุมเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้นแหละให้เพียงพอด้วย
การศึกษาเท่าที่เราศึกษากันอยู่เดี๋ยวนี้มันก็มุ่งหมายเรื่องกินให้ดี เรื่องกามให้ดี เรื่องเกียรติให้ดี เขาก็มีเท่านั้น แล้วก็ต้องนั่งร้องไห้อยู่บ้าง เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นบ้าไปก็มี พวกที่ปริญญายาวเป็นหางน่ะ มันก็ยังเป็นโรคประสาทก็มี เป็นบ้าก็มี ตายเลยก็มี นั่นถือว่าปริญญาที่ยาวเป็นหางนั้นมันยังช่วยไม่ได้ เพราะมันยังมีอะไรเหลืออยู่
ทีนี้คุณก็เลือกเอาเอง ที่ว่าเราจะเอาผลจากศึกษากันอย่างไร คุณก็เป็นครูบาอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย แล้วคุณมีบทนิยามสำหรับคำว่าการศึกษานั้นว่าอย่างไร อาตมาฟังที่พวกฝรั่งเขาให้บทนิยามสำหรับคำว่าการศึกษานั้นจนเวียนหัว จนไม่รู้อะไรกันแน่ ก็เลยไม่อยากจะพูดตามเขา แต่เราก็จะรวมๆเอามาทั้งหมดนั้นแหละ มาพูดใหม่ตามทัศนะของพุทธบริษัท หรือจะเรียกว่านักศาสนาทั่วไปก็ได้ ก็มันตรงๆกันทุกศาสนา
ถ้าถามว่าการศึกษาคืออะไร เราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จงนึกถึงที่เคยเล่าเรียนเคยรู้กันมาก่อนว่าการศึกษานั้นคืออะไร แล้วก็ไปดูว่ามันไปตายด้านอยู่ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้นจะถือว่าการศึกษานี้จะทำคนให้เป็นคน เหมือนกับบทสโลแกนของการกีฬาที่ร้องกันอยู่ทุกวันว่า กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษแก้กรองกิเลสทำคนให้เป็นคน ถ้ามันได้จริงอย่างนั้น มันก็พอจริงเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันมาติดอยู่ที่ว่าไอ้เป็นคนไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร จะเอาความเป็นคนกันในระดับไหน จากการศึกษาทำคนให้เป็นคน มันคนในระดับไหน
อาตมาถือว่ามันต้องเป็นคนในระดับที่มีความทุกข์ไม่เป็น ถ้ามันยังมีความทุกข์เก่ง มีความทุกข์ง่าย มีความทุกข์เป็นอยู่ มันก็เป็นคนในแบบหนึ่งซึ่งไม่มีความหมายอะไรนัก ใครๆมันก็เป็นคนกันได้ เกิดมามันก็เป็นคน แล้วมันก็หัวเราะแล้วมันก็ร้องไห้ไปวันหนึ่งๆ ตามความขึ้นลงของจิตใจหรือสิ่งที่มันมากระทบ ถ้าเป็นคนเพียงเท่านี้มันก็ไม่ไหว ไม่มีอะไรดีกว่า เดี๋ยวจะต้องพูดว่าเป็นคำด่าอีก คือสัตว์เดรัจฉานมันไม่มีปัญหาอย่างนี้ แล้วคนมันมามีปัญหาอย่างนี้ เอาที่มันต่ำลงไป แต่ว่าไอ้กีฬาทำคนให้เป็นคนหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เราเห็นได้เลยว่ากีฬานี้ทำคนให้เป็นสัตว์นะ กีฬาที่เล่นกันอยู่ในโลกเวลานี้ ในประเทศไทยนี้ก็ตามแต่ มันทำคนให้เป็นสัตว์ มันกัดกันในสนามกีฬา มันเล่นด้วยความหลงในการแพ้การชนะ มันไม่ได้มุ่งหมายจะแสดงความเป็นนักกีฬา เพราะฉะนั้นจึงมีเจตนาเลวร้ายที่จะทำอันตรายอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่เล่นกีฬาเสียดีกว่า ไปเล่นกีฬาก็ยิ่งไปเพิ่มไอ้นิสัยโหดร้ายแก้แค้น ในสนามกีฬาในวงการกีฬามีคำว่าแก้แค้น ภาษาบ้าบอที่สุด ภาษาสัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่เลวถึงเท่านั้น จะพูดว่าสัตว์เดรัจฉานนี้มีการแก้แค้นกันน้อยที่สุดหรือเกือบจะไม่รู้จักนะ แต่คนในสนามกีฬามันมีคำว่าแก้แค้น ล้างแค้นแก้แค้น เมื่อแพ้แล้วก็แก้แค้น แล้วก็ล้างแค้น อย่างนี้ยิ่งไม่เป็นคนนะ เพราะฉะนั้นกีฬาไม่ได้ทำให้คนเป็นคน
ถ้าเขาจะเล่นเพื่อแสดงน้ำใจนักกีฬา แพ้-ชนะไม่สำคัญ คือประตูอาจจะเสียไปก็ได้ แต่ฝ่ายนั้นชนะในการที่มีน้ำใจนักกีฬา มันขัดกันอยู่อย่างนี้มันเลยตัดสินไม่ถูก แต่ถ้าจะเล่นให้เป็นกีฬาเพื่อทำคนให้เป็นคนแล้วทุกคนต้องมีน้ำใจนักกีฬา มี sporting spirit หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกนี่ อยู่ที่เนื้อที่ตัวที่แข้งที่ขาที่ทุกอิริยาบท นั่นถึงจะเป็นนักกีฬา และการกีฬานั้นทำคนให้เป็นคน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น จะเจอกีฬาทั้งโลกก็ได้ มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าทำคนให้เป็นคนนั้นความหมายใช้ไม่ได้แล้ว
ทีนี้มาดูไอ้ความเป็นคนในภาษาการศึกษากันบ้าง เดี๋ยวนี้มันมายึดติดอยู่แค่ปริญญาสาขาใดสาขาหนึ่ง การศึกษามันจบอยู่เพียงปริญญาสาขานั้น อ้าว, แล้วมันเป็นคนหรือยัง มันโกรธเก่ง มันโลภแก่ง มันเห็นแก่ตัวจัดตามที่หางของปริญญามันยาวหรือเปล่า ขออภัยพูดตรงๆอย่างนี้เพื่อมันฟังง่าย เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา ยิ่งปริญญายาวเป็นหาง ยาวเท่าไรมันยิ่งโกรธเก่ง โลภเก่ง เห็นแก่ตัวจัดเท่านั้นหรือเปล่า มันต้องเป็นอย่างนี้
เมื่อสมัยอาตมายังเด็กๆกระทั่งรุ่นหนุ่ม ได้ยินได้ฟังเรื่องการศึกษาในโลกนี้แล้วก็ประหลาดที่สุด ยังจำได้ติดหูติดตาว่าในสมัยนั้น จุดมุ่งหมายสูงสุดของการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนั้นคือความเป็นสุภาพบุรุษ ฟังดูให้ดีสิ มันคล้ายๆกับไม่มี ไม่มีความหมายอะไร คนที่เค้าไปเรียนอ๊อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ประเทศอังกฤษสมัยนั้นมา เขามาเล่าให้ฟังอย่างนั้น เขามาแสดงปาฐกถาที่สามัคยาจารย์ (23:12) ตอนนั้นอาตมายังบวชเรียนอยู่ที่กรุงเทพ ก็ไปฟังกับเขาด้วยทั้งเป็นพระนี่แหละ แล้วก็ได้รับความรู้ซึ่งสรุปผลเกี่ยวกับการศึกษาว่าเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ ฟังแล้วมันน่า... น่าสงสารหรือน่าหัวหรือน่าทึ่งหรือน่าอะไรก็แล้วแต่จะเรียก เขาไม่พูดถึงปริญญานั้นปริญญานี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกไอ้อย่างนั้นเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเขาจะเป็นปริญญาอะไรก็ตามใจ เขาต้องเป็นสุภาพบุรุษ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ก็ตาม ไอ้จุดสูงสุดของการศึกษาคือต้องเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนเขาจะได้ปริญญาเฉพาะวิชาแขนงไหนนั้นตามใจ ไม่มีความสำคัญอะไร แต่ความสำคัญน่ะทุกคนจะปริญญาไหน แขนงไหนเขาต้องเป็นสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนแล้ว มันไม่คำนึงถึงความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีใครพูดอย่างนั้นแล้ว แม้ที่มหาวิทยาลัยนั้นเองแหละ ไปเฝ้า ไปสืบเสาะดูเถิด จะไม่มีการพูดว่าระดับสูงสุดของการศึกษานั้นคือความเป็นสุภาพบุรุษ
เมื่อมหาวิทยาลัยยุคนู้น หกสิบเจ็ดสิบปีมาแล้ว มันยังเกี่ยวข้องกับพระกับศาสนาอยู่มาก ซึ่งนักศึกษาต้องสวดมนต์เป็นภาษาละตินก่อนจะกินอาหารอย่างนี้ เป็นต้น เพราะว่าพระมันจัด จัดให้เป็นสุภาพบุรุษ มันก็ง่าย เพราะการศึกษาสูงสุดมันอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ แกจะได้ปริญญากฎหมาย ปริญญาวิศวะ ปริญญาแพทย์อะไรก็ตาม ไม่มีความสำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ความเป็นสุภาพบุรุษ และการกีฬาของมหาวิทยาลัยก็เพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนได้จริง
ทีนี้มาดูกันที่ความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสุภาพบุรุษนั้นมันคือหมดปัญหา มันมีน้ำใจยิ่งกว่านักกีฬา มันมีความทุกข์ไม่ได้ มันมีกิเลสมากไม่ได้ ถ้ามันมีกิเลสมาก มีอะไรทางจิตใจไม่ถึงขนาด เขาไม่เรียกว่าสุภาพบุรุษหรอก เดี๋ยวนี้มันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างนั้นเหลืออยู่ เพราะมันทะนงแต่เรื่องปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกในวิชานั้นๆ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเหลืออยู่ในจิตใจของผู้ได้รับปริญญานั้นๆ มันจึงต่างกันลิบลับ ถึงขนาดที่ว่าคนพวกหนึ่งเป็นสุภาพบุรุษ พวกหนึ่งไม่เป็น ถ้าใครมีความเป็นสุภาพบุรุษตามความหมายนั้นแล้วจะประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ธรรมะในทางศาสนาก็ต้องมีความประพฤติดี น้ำใจดี มีจิตใจสูง นี่จะมาเข้ากันกับความหมายของคำว่าการศึกษาที่แท้จริง
ที่อาตมาใคร่ครวญมาตลอดเวลาห้าสิบหกสิบปีนี้ พบว่าไอ้บทนิยามของคำว่าการศึกษานั้น อยากจะกล่าวให้ฟังเดี๋ยวนี้เลย ขอให้ตั้งใจฟังเพื่อจะจำด้วย เพราะการศึกษานั้นคือสิ่งที่ทำความก้าวหน้าอย่างถูกต้อง สิ่งที่ทำความก้าวหน้าอย่างถูกต้องก็เพื่อมนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา มันออกจะยาวเฟื้อย แต่มันจำเป็นที่จะพูดให้สั้นกว่านี้ไม่ได้ จึงขอซ้ำขอย้ำอีกทีเพื่อให้ช่วยจำให้ถนัด เพราะการศึกษานั้นคือสิ่งที่ทำให้เกิดการก้าวหน้าอย่างถูกต้อง คำว่าก้าวหน้าจะต้องกำกับไว้ด้วยคำว่าอย่างถูกต้อง เพราะมัน เดี๋ยวนี้มันก้าวหน้าอย่างไม่ถูกต้อง มันมากเกินไปกับสิ่งที่ทำความก้าวหน้า แล้วก็อย่างถูกต้อง ก็เพื่อมนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์
ทีนี้มันยังมีคำสองคำที่จะต้องจำกัดลงไป ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการในชีวิตของเขา ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการในชีวิตของเขา ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ก็แบเบาะลืมตาเรื่อยมาๆ จนจะเป็นเด็กวิ่งได้ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนเฒ่าคนแก่ กว่าจะเน่าเข้าโลงไป นี่ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เดี๋ยวการศึกษาของเราที่มีอยู่นี้ มันให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้หรือเปล่า สิ่งที่ทำให้เกิดความก้าวหน้า ก้าวหน้า ก้าวหน้าแล้วก็อย่างถูกต้อง ถูกต้อง เพื่อมนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิต และอะไรดีที่สุดของชีวิตมนุษย์ และทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เดี๋ยวนี้เราได้อบรมลูกเด็กๆในชั้นอนุบาลให้มันถูกต้องที่สุดหรือเปล่า หรือยังล้มเหลว บางทีจะผิด จะสอนให้ลูกเด็กๆชั้นอนุบาลเป็นบ้าเป็นหลังในเรื่องสวยงามสนุกสนานเอร็ดอร่อยบ้าบอไปเสียอีกโดยไม่รู้สึกตัว อย่างนี้เรียก มันผิดนะ มันผิดไปตั้งแต่ขั้นอนุบาลแล้ว
คำว่าก้าวหน้านั้นก็ต้องถูกต้องนะ ถ้าก้าวหน้าไปตามอำนาจของกิเลสหรือความเห็นแก่ตัวแล้วมันไม่ถูกต้องแน่นอน ต้องก้าวหน้าไปด้วยความรู้สึกตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัวไว้ได้ ไอ้การก้าวหน้านั้นจะถูกต้อง การเรียน ก. ข. ก. กา ก็ต้องถือว่าเป็นการก้าวหน้า และก็เป็นไปอย่างถูกต้อง ทีนี้เขาเป็นเด็กรู้จักคิดรู้จักนึก เราจะทำให้เขามีนิสัยอย่างไร จิตใจอย่างไรนี้มันก็ต้องถูกต้อง ถ้าเราสร้างนิสัยความเห็นแก่ตัว รักสวยรักงาม ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่สามัคคี ไม่อะไรอย่างนี้เรียกว่าผิดแล้ว การศึกษานั้นมันผิดแล้ว ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม เด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักความหมายอันแท้จริงของคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปัญหามันจึงได้เกิดขึ้น ถึงครู ครูบาอาจารย์ก็เถอะ ขอให้ไปสอบสวนตัวเองดูว่า เราได้รู้จักความหมายของคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างถูกต้องหรือเปล่า เพียงพอหรือเปล่า สมบูรณ์หรือเปล่า
อาตมาคิดว่าถ้าเรารู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องแล้ว ปัญหาจะไม่เกิด จะไม่เกิดในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยอย่างที่กำลังเกิด ตีกันเองในมหาวิทยาลัยก็มี ทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อครูบาอาจารย์ก็มี กระทั่งว่าเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลก็ยังมี มันต้องมีความไม่ถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในความหมายของการศึกษาที่เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ทีนี้ที่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ในชีวิตของเขานั้นคืออะไร เดี๋ยวนี้มันมีแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเกิน จนเป็นคนบ้า กินเกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน เล่นหัวเกิน บำรุงบำเรอร่างกายเกิน มีเครื่องใช้ไม้สอยเกิน จนเงินไม่พอใช้ รบกวนพ่อแม่ เหมือนกับเอาพ่อแม่ฝังลงไปในนรก เหมือนตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน เป็นนักศึกษารบกวนพ่อแม่ ได้เงินเดือนมาแล้วก็ยังไม่หยุดไอ้สิ่งที่มันเป็นการตามใจกิเลส ก็ต้องเรียกว่าพ่อแม่ก็โง่ ลูกก็โง่ มันจึงทำกันมาได้อย่างนี้ ให้ศึกษากันมาอย่างแพงที่สุด แล้วก็มาเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่แก้ปัญหาของสังคมได้ของโลกได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์นั้นคืออะไร รู้จักแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ อย่างนี้ถ้าถือตามหลักทางศาสนาแล้วเขาว่าคนพาล คนโง่ ที่เห็นว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ เพราะทางศาสนาจะถือเอาว่าไอ้จิตที่ปกติ ที่ไม่มีความทุกข์ร้อนไม่มีปัญหา อยู่ได้อย่างเป็นสุข ทำประโยชน์ตนก็ล้นเหลือ แล้วก็จุนเจือไปยังผู้อื่น มีชีวิตชนิดที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองนิดเดียว ก็มีประโยชน์แก่ผู้อื่นมากมาย เพราะว่าคนเดียวจะกินสักเท่าไรมันก็เป็นเรื่องนิดเดียว เหลือนั้นมันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นี่เขาถือว่าเป็นความหมายของคำว่ามนุษย์ที่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เขามีประโยชน์แก่ตนเองเต็มบริบูรณ์แล้ว เขามีประโยชน์แก่ผู้อื่นมากมายเหลือที่จะกล่าวได้
ตรงนี้อยากจะแทรกถ้อยคำสักประโยคหนึ่งว่า เขาไม่แตะต้องส่วนเกิน คนสมัยนี้มันตะกละ มันจะกินเกิน มันจะแต่งเนื้อแต่งตัวเกิน บำรุงบำเรอร่างกายเกิน สะสมไอ้เครื่องบำรุงบำเรอร่างกายเกิน เครื่องใช้ไม้สอยอะไรแล้วแต่บ้านเรือน มันจะสร้างบ้านเรือนราคาแสน เอ้า, พอมันสร้างบ้านเรือนราคาแสนได้ มันจะสร้างบ้านเรือนราคาล้าน แล้วมันจะสร้างบ้านเรือนราคาสิบล้านร้อยล้าน แล้วมันจะเอาอะไรเหลือไปช่วยผู้อื่นล่ะ คุณคิดดู เดี๋ยวนี้มันกินอาหารมื้อละร้อยบาท เอ้า, แล้วมันจะกินอาหารมื้อละพันบาท แล้วมันจะกินอาหารมื้อละหมื่นบาท แล้วมันจะมีเงินไหนเหลือไปช่วยผู้อื่น
เมื่อไม่กี่วันมีคนมาเล่าให้ฟังที่นี่ เล่าอย่างซ้ำๆซากๆ ว่าผู้หญิงสี่คนไปที่ร้านอาหารซีฟู้ด มีเงินไปห้าพันบาท ว่าจะกินให้เอร็ดอร่อย ห้าพันบาทสำหรับสี่คน เขากินแล้วเขาส่งบิลหมื่นสองพันบาท สมน้ำหน้ามัน มันเอาไปห้าพันบาท แล้วมันมีบิลหมื่นสองพันบาทในอาหารคราวเดียวมื้อเดียว นี่แสดงว่าถ้ามันมีเงินเท่าไรมันจะกินให้หมด มันจะเล่นให้หมด มันจะบำรุงบำเรอร่างกายให้หมด มันจะสร้างบ้านราคาแสนราคาล้าน แล้วสิบร้อยล้าน มันจะขี่รถยนต์คันละสองสามล้านแล้วทีนี้ แล้วมันจะเอาเงินไหนเหลือไปช่วยผู้อื่น นี้เรียกว่ามันละโมบส่วนเกิน มันบูชาส่วนเกิน ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษล่ะอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงจะเป็นสาวกที่ดีในศาสนา มันเป็นไปไม่ได้
เพราะว่าการศึกษาเดี๋ยวนี้มันทำให้เด็กๆทะเยอทะยานไปตั้งแต่ตัวเล็กๆ นี่ไม่ใช่จะด่าแช่งใครที่ไหน ไม่ใช่ แต่บอกให้สังเกตดูว่าเด็กๆของเรา มันถูกอบรมให้ไม่รู้จักเพียงพอไปตั้งแต่เล็กๆ ฟังนิสัยอันนี้ เพราะฉะนั้นไปทำงานได้มาเท่าไรมันก็ไม่พอใช้เรื่อยไป เพราะบูชาส่วนเกิน แล้วขี้เกียจในข้อนี้ อยากจะทำงานน้อยเหนื่อยน้อย เหงื่อออกน้อยแต่จะเอาเงินเดือนมากๆๆจนไม่มีจำกัด มันเสียนิสัย ถ้าเป็นทางธรรมะทางศาสนาเขาจะไม่ทำอย่างนั้น เขาจะไม่เอาเงินเดือนเลยก็ได้ เขาจะไม่เรียกร้องเงินเดือนเหมือนที่กำลังเรียกกันเดี๋ยวนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์ อย่าไประบุเลยว่าแผนกไหนบ้าง เดี๋ยวนี้จะเรียกร้องเงินเดือนกันทุกๆแผนกงาน ทุกชนิดของไอ้ข้าราชการแล้วนี่ นี่เพราะว่าเขาตั้งเป้าหมายที่จะกินเกิน อยู่เกิน ใช้สอยเกิน อะไรเกิน แล้วก็หายใจอยู่แต่เรื่องเกินนั่นแหละ มันก็เลยส่วนตัวก็ไม่อิ่ม ส่วนตัวแท้ๆก็ไม่รู้จักอิ่ม ไอ้ที่ไม่รู้จักอิ่มนี้ในทางศาสนาเขาเรียกว่าหิว เป็นเปรตอยู่เสมอ ได้เงินเดือนละหมื่นสองหมื่นสามหมื่นมันก็ไม่พอใช้ มันก็หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ ไม่มีส่วนเหลือที่จะไปช่วยผู้อื่น
ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนนั้นเขาประหยัดเขาอดทน เขาทำจนมีส่วนเกินเหลือ ส่วนเกินเหลือก็ไปช่วยผู้อื่น เพราะฉะนั้นขอให้สนใจเป็นพิเศษตรงนี้ว่าทุกศาสนาถือว่าการหามากิน มาเก็บเป็นส่วนเกินนี้มันเป็นบาป แล้วมันต้องไปช่วยผู้อื่นมันจึงจะแก้บาปได้ เพราะฉะนั้นขออย่าให้หลงใหลในส่วนเกิน อาหารการกินอย่าให้มันเกิน เวลาที่มันไม่ควรจะกินแล้วก็อย่ากินเลย อย่างเขาให้ถือศีลอุโบสถ หลังเที่ยงแล้วก็ไม่กิน คนทำงานเบามันก็อยู่ได้สบาย ถ้ากินมันก็เกิน เดี๋ยวเราไปกิน ค่ำแล้วก็กิน ดึกแล้วก็ยังกินน่ะ ดึกแล้วจะสว่างแล้วก็ยังกินอีก มันเหมือนกับคนบ้า มันเลยคนตะกละไปแล้ว ดึกแล้วก็ยังกิน
เพราะฉะนั้นเรื่องกินนี้อย่าให้มันเกิน ระวังไอ้ที่มันหลอกให้กินเกิน ไอ้สิ่งที่มันหลอกให้กินเกินน่ะ ระวัง นั่นคืออันตรายที่สุดของมนุษย์ แล้วเขาว่าอะไรบ้างล่ะ ไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ ระวัง ไอ้ตามบนโต๊ะ ไอ้น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ ระวัง มันทำให้คนกินเกิน ถ้าไม่จิ้มน้ำจิ้มแล้ว บางทีมันอิ่มแล้ว มันชืดแล้ว ร่างกายมันพอแล้ว มันกินไม่ได้อีก พอไปเอาน้ำจิ้มแปลกๆมา เอ้า, มันก็กินเข้าไปได้อีก ร่างกายมันก็ยอมแพ้ มันกินเข้าไปได้อีกจนเกินๆ เพราะฉะนั้นสิ่งชูรสทั้งหลายคือสิ่งอันตราย เพราะทำให้คนกินเกิน แล้วคนเดี๋ยวนี้เป็นโรคเกิดมาจากการกินที่ดี ที่มากที่เกินทั้งนั้น เป็นเรื่องของหมอ ไปถามหมอ อาตมาพูดคงไม่เชื่อเพราะว่าอาตมาไม่ได้เป็นหมอ แต่ขอให้ไปถามหมอว่า เดี๋ยวนี้ไอ้โรคที่มันเกิดขึ้นมากในหมู่คนนี่มาจากที่มันกินดีเกิน กินมากเกิน เกินที่ธรรมชาติมันต้องการ เพราะฉะนั้นเราระวังไอ้เรื่องกินเกิน
ทีนี้ที่เกินไปกว่านั้นอีกก็คือเกินจนเป็นอันตราย เช่น บุหรี่นี่มันเกินอยู่แล้ว แล้วมันเกินจนเป็นอันตราย มันบั่นทอนชีวิต มันเอาไฟเอาควันไฟเข้าไปรมปอด มันโง่หรือฉลาดคิดดูนะ คนสูบบุหรี่ขอให้นึกดู เอาควันไฟเข้าไปรมปอด มันโง่หรือมันฉลาด มันเกินในส่วนเกินแล้วมันยังเป็นอันตรายอีก เมื่อเห็นว่าบุหรี่เป็นส่วนเกินก็เลิกเสียสิ ไอ้กินเหล้าก็เหมือนกันแหละ ร่างกายมันไม่ต้องการ แล้วบังคับให้กินเข้าไป ไปหลอกกินเข้าไปจนมันเปลี่ยนแปลงจนมันติด มันกินเหล้าซึ่งร่างกายมันไม่ต้องการ แล้วมันเกิน แล้วมันเป็นอันตราย ทุกอย่างที่มันเกินกว่าธรรมชาติต้องการ เราจะถือว่าเป็นส่วนเกิน อย่ากิน อย่าไปทำเข้า มันจะทำอันตรายชีวิตโดยไม่รู้สึกตัว แล้วมันเปลืองเปล่าๆ แล้วมันก็เป็นคนโง่ลงๆๆ เพราะไปบูชาส่วนเกิน ถ้าเงินเหลือ ก็ไปเต้นรำ เอาไปสถานเริงรมย์ นี่มันเพื่ออะไร มันก็เรื่องบ้าเกิน
เพราะฉะนั้นทางศาสนาจึงห้ามว่ามันเกิน การฟ้อนรำ ขับร้อง ดีดสีตีเป่า ไอ้ลูกทาประดับประดาตกแต่งที่เกินกว่าที่จำเป็น มันเป็นเรื่องบาป เราจึงเห็นได้ว่าถ้ามันเกินแล้วก็บาปทั้งนั้น เพราะว่ามันให้เกิดกิเลส กิเลสไม่เกิดถ้าไม่มีไม่มีเรื่องเกิน ถ้าต้องการเกินก็เป็นกิเลส ก็บาป กินเกินอะไรเกิน เป็นกิเลสหรือเป็นบาปทั้งนั้น เครื่องใช้ไม้สอยก็อย่าให้มันเกิน เดี๋ยวนี้มันเกินมาจนไม่รู้สึกตัว มาบอกว่าเสื้อลายๆแบบนี้เกินทั้งนั้นแหละ คุณคิดดูเอง คุณใส่เสื้อลายๆอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่ลายมันก็คงจะถูกกว่านี้ มันก็จะราคาถูกกว่านี้ ไอ้เสื้อลายนี้มักจะบางทั้งนั้นแหละ เคยเห็นภาพถ่ายที่เขาไปถ่ายมาจากเมืองจีน ตลอดทางถนนมันไม่ได้ใส่เสื้อลายอย่างนี้ มันใส่เสื้อธรรมดาหนาๆสีเดียวหรือสองสีเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นเขาก็ได้เปรียบเราแหละ เพราะเรามาทำลายในส่วนนี้เสียมาก เรื่องใส่เสื้อลายก็ขอให้ไปพิจารณาดูให้ดีว่ามันเกินหรือไม่เกิน นี่เป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจจะกระทบกระทั่งอะไร แต่ว่าจะบอกให้คิดแล้วมันจะได้รู้เท่าไหร่ไม่เกิน เท่าไหร่พอดี เราก็จะทำถูกต้อง เราจะได้รับประโยชน์จากการเป็นมนุษย์ คือความสงบสุขเป็นผาสุก เพราะอานิสงส์มันมีอยู่ว่า พอเราไม่แตะต้องส่วนเกินนั้น เงินจะเหลือใช้หรือพอใช้ อย่างน้อยเงินเดือนจะพอใช้ แม้แต่กรรมกรที่ได้เงินเดือนหรือค่าจ้างน้อยมาก ขอให้หยุดส่วนเกินเท่านั้นเงินจะพอใช้ นี่ถ้าเป็นครูเป็นตำรวจเป็นเสมียนพนักงานอะไร มันก็จะพอใช้หรือเหลือใช้ นี่เงิน ไอ้เงิน การเงินจะดีขึ้นน่ะ เศรษฐกิจในครอบครัวจะดีขึ้น หยุดส่วนเกิน หยุดเหล้าหยุดบุหรี่ หยุดบำรุงบำเรอต่างๆที่มันเป็นส่วนเกิน เงินจะพอใช้หรือเหลือใช้
นี่ก็เรียกว่าส่วนเกินมันเหลือออกมาสำหรับไปช่วยผู้อื่น ทำบุญทำกุศลก็ได้ เก็บไว้เป็นหลักทรัพย์ก็ได้ ทีนี้ร่างกายก็จะสบายกว่ากัน คนที่ไปหลงใหลในส่วนเกิน ร่างกายทรุดโทรม อนามัยทางกายก็ไม่ดี ทีนี้ไปหลงมัวเมาในส่วนเกินนั้น แม้ทางจิตระบบจิตระบบประสาทก็ไม่ดี ประสาทถูกกระทบกระเทือนด้วยของที่มันเกิน หรือกระทั่งมันมึนเมาอนามัยทางจิตก็ไม่ดี พอเราเว้นเสีย อนามัยทางกายก็ดี อนามัยทางจิตก็ดี แล้วไอ้อันดับสุดท้ายคือสติปัญญาในระดับวิญญาณ คือวิชาความรู้ความคิดความเห็นนั้นมันก็ดี มันถูกต้อง พูดตรงๆก็คือว่าไม่มีอวิชชา ไม่มีโมหะไม่มีความโง่
ทีนี้ยังมีไปถึงว่าเวลาก็จะเหลือมากขึ้น ถ้าเราไม่แตะต้องส่วนเกิน เวลาจะเหลือมากขึ้น ถ้าคุณบูชาส่วนเกิน วันเสาร์วันอาทิตย์ก็ไม่พอ วันเสาร์วันอาทิตย์ได้หยุดงานที่ออฟฟิศแต่ก็ไปหาส่วนเกินที่สถานเริงรมย์ เพราะฉะนั้นไอ้ที่ๆทำลายมนุษย์ เช่น พัทยา เช่นอะไรอย่างเดี๋ยวนี้ที่มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นมาได้เพราะมีคนบูชาส่วนเกิน วันเสาร์วันอาทิตย์มันก็ไปกันที่นั่น ถ้าเราไม่เอาส่วนเกินกับเขา เราก็ไม่ต้องไป เวลาของเราก็เหลืออยู่ที่บ้าน หรือพักผ่อนหรือศึกษาเพิ่มเติม หรือว่าสั่งสอนลูกเด็กๆเล็กๆในบ้านในเรือนนี้ มันได้ประโยชน์กว่ากันอย่างนี้ หรือแม้ที่สุดแต่จะพักผ่อนนอนหลับเสียก็ยังดีกว่าที่จะไปถลุงร่างกายจิตใจเงินทองที่เป็นส่วนเกินตามสถานเริงรมย์เหล่านั้น นั่นน่ะคือความไม่เป็นสุภาพบุรุษเสียเลย เป็นมนุษย์ก็ไม่เป็น เหลือแต่เป็นคนที่โง่ที่บูชาส่วนเกิน มีปริญญายาวเป็นหางมันก็ยิ่งเกินมาก ก็ยิ่งบูชาส่วนเกินมาก มันก็เงินเดือนไม่พอใช้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเรียกว่าการศึกษานั้นช่วยไม่ได้แล้ว นี่เราจะมีการศึกษาที่จะประมวลมาจากหลักธรรมะหรือความคิดนึกสติปัญญาที่เคยค้นคว้ากันมาแล้ว ก็จะสรุปลงไปอย่างเมื่อตะกี้นี้ ว่าการศึกษานี้มันต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าแล้วก็อย่างถูกต้อง เพื่อมนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะได้รับในชีวิตของเขา ทุกขั้นทุกตอน ทุกขั้นทุกตอนเป็นลำดับไปแห่งวิวัฒนาการของเขา ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ ออกมาจากท้องแม่แล้วก็ไปเข้าโลง นี่วิวัฒนาการมันจะมีกี่ตอน กี่สิบตอนกี่ร้อยตอนขอให้มันถูกต้องไปทุกตอน
เดี๋ยวนี้การศึกษาที่เราเรียน เรามีอยู่นี้ มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ทำไมมันทำให้มีปัญหามากจนนอนไม่หลับ จึงเครียดจนเป็นโรคทางประสาทเป็นโรคทางจิต แล้วก็ตายเร็ว นี่เรียกว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอให้ไปคิดเอาเองโดยรายละเอียดว่าเราต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในชีวิตของมนุษย์กับทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ไม่มีตอนไหนที่พลาดได้ ตั้งแต่แรกคลอดออกจากท้องแม่แล้วก็แบ่งออกเป็นกี่สิบตอนกี่ร้อยตอนจนกว่าจะเข้าโลง มีการศึกษาที่ถูกต้อง การศึกษาแท้จริงจะต้องเป็นอย่างนี้ เพื่อผลอย่างนี้ โดยเอาผลเป็นหลักสำหรับการนิยามความหมาย เพราะมันต้องเป็นการก้าวหน้าที่ถูกต้องไปทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการในชีวิต จนกระทั่งมนุษย์คนนั้นได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
นี่ขอฝากไว้เท่านี้แหละ คือบทนิยามบทเดียวเท่านั้น ที่จะฝากท่านทั้งหลายกลับไปว่า การศึกษาคือสิ่งที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ จนมนุษย์ จนเราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่ไม่มีความทุกข์ที่ไม่มีความร้อน อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวงแม้แต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตายก็ไม่มีปัญหา นี่การศึกษาอย่างนี้ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยอย่างของคุณ แต่มันมีสอนในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า คือการนั่งตามโคนไม้ตามกลางดิน เดี๋ยวนี้คุณก็ลองนั่งอยู่ในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า คือกลางดิน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน พระพุทธเจ้าสั่งสอนสาวกออกมาเป็นรูปพระไตรปิฎกเยอะแยะนั้นก็สอนกลางดิน กุฏิของพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน เพราะฉะนั้นเราจะถือว่านั่งกลางดินอย่างที่กำลังนั่งอยู่นี่ เรานั่งในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า แล้วมีโอกาสที่จะรู้ไอ้ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามธรรมชาติ แล้วจะได้รับผลตรงตามกฎของธรรมชาตินี่
นี้การได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั้นคืออย่างนี้ เรียกว่าไม่มีความทุกข์อีกต่อไป พ้นความเป็นมนุษย์เรียกว่าหลุดพ้น อยู่เหนือปัญหาของมนุษย์ ถ้าพูดว่าเหนือความเป็นมนุษย์เดี๋ยวก็เข้าใจว่าบ้าซะอีกแล้ว ก็เลยต้องพูดว่าดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มนุษย์นั้นจะมีชีวิตชนิดที่ดีที่สุด คือมีความทุกข์กับเขาไม่เป็น เพราะรู้จักแต่ธรรมะสูงสุดของธรรมชาติ อย่างเดียวกับที่พระศาสดาทุกๆศาสนาเขาสอนให้ มีความทุกข์ไม่เป็น นี่คือการศึกษาสูงสุด มันสูงไปกว่าการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ปริญญาพิเศษปริญญาอะไรหมด จึงจะเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์สำหรับมนุษย์ด้วยบทนิยามที่ว่าแล้วว่าอีก คุณคงจะรำคาญนะ การศึกษาคือการก้าวหน้าที่ถูกต้อง คือมนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ เมื่อเป็นลูกเด็กๆนอนแบเบาะก็ดีที่สุด ได้รับสิ่งแวดล้อมหรือการศึกษาดีที่สุด เป็นเด็กวิ่งได้ก็ดีที่สุด เป็นหนุ่มสาวก็ดีที่สุด เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ดีที่สุด เป็นคนแก่ก็ดีที่สุด กระทั่งคนชราเข้าโลงไปก็ดีที่สุด ไม่มีตรงไหนที่จะเรียกว่าบกพร่องหรือไม่ดี นั่นแหละคือผลการศึกษา หรือว่าการศึกษาคือสิ่งที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น
ทีนี้จะจบแล้ว จะพูดอีกสักคำว่าไอ้ตัวการศึกษานั้นมันเป็นอย่างไร นี่เข้าใจว่าเรียนหนังสือ อ่านจากตำรา นั่งอยู่ในห้องเรียนเขียนอ่านไปอะไรไปตามวิธีการในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย นั่นเป็นการศึกษาในขั้นต้นในระดับต้น ระดับที่ว่าจะอย่างมาก อย่างสูงสุดก็เพียงแค่มีอาชีพ การศึกษาที่แท้จริงมันต้องเป็นการผ่านไปด้วยชีวิตจิตใจจริงๆ ในตัวชีวิตนั่นเองเป็นการศึกษา ตั้งแต่แรกเกิดมาจนกระทั่งตาย ในตัวชีวิตนั่นเองเป็นการศึกษา ถ้าเราไม่ผ่านอะไรไปในความรู้สึก หรือในการกระทำก็ตาม ยังไม่เป็นการศึกษา
เพราะฉะนั้นเราจึงศึกษาเพิ่มขึ้นเรื่อย ตั้งแต่รู้จักกินอาหาร รู้จักนั่ง นอน ยืน เดิน รู้จักทุกอย่าง ผ่านสิ่งเหล่านั้นไปจึงจะเป็นการศึกษา มันไม่เกี่ยวกับกระดาษสักแผ่นหนึ่งก็ได้ แต่เป็นการศึกษาที่ประเสริฐที่สุด ไม่เกี่ยวกับดินสอปากกาอะไรเลยก็ได้ จะเป็นการศึกษาที่ดีที่สุดกว่าการศึกษาที่ต้องใช้กระดาษ ดินสอ ปากกาเป็นหอบๆเหมือนที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างสมัยพุทธกาลเขาศึกษากันจนเป็นพระอรหันต์ก็ได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษหรือดินสอสักแผ่นเดียวสักชิ้นเดียวเลย เพราะว่ามันศึกษาชีวิต ชีวิตมันเป็นการศึกษามันผ่านไปในจิตใจ ขอให้เราเข้ามาถึงการศึกษาในระดับนี้ อย่าอยู่เพียงแค่ว่ากระดาษ ดินสอ ตำรับตำรา ห้องเรียน ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องทดลองนะ มันอยู่เท่านั้นแหละ มันอยู่ที่ตรงนั้น มันไม่เป็นการศึกษาที่ทำให้มนุษย์ถึงระดับสูงสุดได้ มันต้องเลื่อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วรับปริญญาแล้วไปทำอาชีพแล้ว ให้มันผ่านไปในชีวิตในอาชีพในการงาน ที่เรียกว่า experience ซึ่งมันไม่รู้จะแปลเป็นไทยว่าอะไรกันแน่นอน ยังไม่มีใครให้คำแปล แต่ก็คือสิ่งที่กำลังพูดนี่ คือสิ่งที่ชีวิตได้ผ่านไป จะเรียกว่าอะไร จะเรียกว่าความเจนจัดหรือความอะไรก็ดูยังไม่ค่อยถูก มันจะเรียกว่าไอ้สิ่งที่ชีวิตมันได้ผ่านไป แล้วก็อย่าให้มันเป็นไปในแต่ในทางวัตถุ ร่างกายให้มันเป็นเรื่องทางจิตใจ ทางวิญญาณ ทางสติปัญญา ความที่เคยโง่ที่สุดและความที่เคยฉลาดที่สุด นั่นคือการศึกษาที่แท้จริง ที่เรามาฟังและจดไว้จำไว้ มันไม่ใช่การศึกษาที่แท้จริง เดี๋ยวมันก็ลืมเพราะเราก็ไม่เข้าใจ ก็ได้แต่จดๆจำๆลืมๆจำๆกันอยู่อย่างนี้ มันต้องเป็นสิ่งที่ผ่านไปจริงๆมันลืมไม่ได้ มันยิ่งกว่าเข้าใจเสียอีก มันลืมไม่ได้ นี่การศึกษาที่แท้จริงของพระศาสดาแห่งพระศาสนาทั้งหลายในระดับสูงสุดเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เขาเรียกว่าตรัสรู้ เอาคำนี้มาใช้กับสิ่งที่เราได้ผ่านไปโดยจิตใจ ตรัสรู้ในสิ่งที่จะต้องตรัสรู้โดยลำดับ โดยลำดับ โดยลำดับ กว่าจะถึงลำดับสูงสุดที่มนุษย์ควรจะถึง
สรุปความว่าต่อไปนี้มันมีความทุกข์ไม่เป็น คนอื่นเค้ามีความทุกข์เก่ง ทุกเป็น เราทุกข์ไม่เป็นก็แล้วกัน ระดับสูงสุดมันอยู่ที่นี่ จนกระทั่งว่าจะมีเงินหรือว่าไม่มีเงิน จะมีเกียรติหรือจะไม่มีเกียรติ มันมีความทุกข์ไม่เป็น ทุกข์กับเขาไม่เป็น นี่สิ่งที่ดีที่สุดมันอยู่ที่นี่ ความตายก็ไม่มีความหมาย ความอยู่ก็ไม่มีความหมาย มีความหมายอยู่แต่จิตนี้มันทุกข์ไม่เป็นก็แล้วกัน จิตใจนี้มันทุกข์ไม่เป็นก็แล้วกัน ก็เรียกว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะได้จากการศึกษาอันแท้จริงอันลึกซึ้ง คือการได้ผ่านไปผ่านไปในสิ่งต่างๆตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนกว่าจะเข้าโลงไป นี่เป็นการศึกษา
ทีนี้มีอยู่อีกนิดหนึ่งที่จะต้องสังเกตด้วยก็คือว่า มาถึงชั้นนี้แล้วครูสอนไม่ได้หรอก ครูในโรงเรียนครูบาอาจารย์สอนไม่ได้ มันสอนในตัวมันเอง ถ้าการศึกษาชนิดที่ยังต้องให้ผู้อื่นสอนนี่ยังเป็นการศึกษาของเด็กอมมือ นี่เดี๋ยวพูดก็เป็นคำด่าอีกแล้ว การศึกษาที่ยังมีคนหนึ่งสอนคนหนึ่งเรียนไม่ใช่การศึกษาหรอก ยังไม่ควรเรียกการศึกษาที่แท้จริง ในการศึกษาที่แท้จริงมันต้องมาถึงระดับไม่มีใครสอนได้แล้ว นอกจากชีวิตมันสอนของมันเอง ในตัวมันเอง นี่เป็นการศึกษาที่แท้จริง แล้วก็สูงสุดขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วมนุษย์เราได้รับประโยชน์สูงสุดของความเป็นมนุษย์ การกระทำมันสอน การผ่านไปมันสอน
อาตมาจะให้ตัวอย่างที่ลืมยากไปอีกข้อหนึ่ง โดยเข้าใจว่าทุกๆคนที่นั่งอยู่ที่นี่ขี่รถจักรยานเป็น ใครขี่รถจักรยานไม่ได้ยกมือซิ มีคนเดียว ขี่ไม่เป็นก็ต้องขอยกเว้น เป็นคนเดียวที่ขี่รถจักรยานไม่เป็น ตัวอย่างนี้ใช้ไม่ได้ คือจะบอกให้รู้ว่า การที่ขี่รถจักรยานเป็นนั้นไม่ใช่คนสอน คนจะสอนคนให้ขี่รถจักรยานเป็นไม่ได้ นี่คนที่ขี่รถจักรยานเป็นแล้วจะนึกออกว่าคนมันจะช่วยสอนคนให้ขี่รถจักรยานเป็นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่บอกนิดๆหน่อยช่วยจับทีแรกนิดๆหน่อยๆมันก็ขี่ไม่ได้ พอถึงทีมันจะขี่ได้ รถน่ะมันสอน ไอ้รถจักรยานน่ะมันสอนคน คือการหกล้มน่ะมันสอน ทุกทีที่มันหกล้ม คนอื่นมาสอนไม่ได้ เดี๋ยวรถจักรยานมันสอน หัวเข่าถลอกปอกเปิก แผลถลอกปอกเปิกนี่มันสอน นี่บางคนมันก็ขี่ได้ก๊อกแก๊กๆ เซไปเซมา ตอนนี้ยิ่งไม่มีใครสอนได้นะ ใครจะมาสอนได้ล่ะคิดดู มันก็ต้องรถสอนต่อไปอีก หกล้มสอนต่อไปอีก ทีนี้ก็ขี่ได้เรียบฉิวไปเลย จนกระทั่งว่าปล่อยมือก็ขี่ได้ เลี้ยวได้ เรียบไปเหมือนกับว่าพอจับ มือจับ ปล่อยมือก็ทำได้ ไอ้ตอนที่เป็นการขี่ได้จริงนี้ไม่มีใครสอนได้ คนก็สอนไม่ได้ ครูคนไหนก็สอนไม่ได้
นี้ขอให้เปรียบเทียบดูว่า แม้แต่เรื่องขี่รถจักรยานเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องวัตถุแท้ๆนี่คนก็ยังสอนกันไม่ได้ แล้วเรื่องจิตใจมันละเอียดลออกว่านั้นมันสอนกันไม่ได้หรอก ต้องสอนเอง มันถึงระดับที่มันสอนเอง ผ่านไปเอง สอนเองผ่านไปเอง สอนเองนี้เราจะเรียกว่าการศึกษาที่แท้จริง คือการผ่านไปในชีวิตคือทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางสติปัญญาอะไรต่างๆที่ได้ผ่านไปแล้วนั้นเป็นการศึกษา
ที่สอนกันได้เป็นการศึกษาในส่วนอาชีพ การศึกษาในส่วนที่ว่าให้พอมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันยังมีส่วนหนึ่งตอนหนึ่งที่ว่าคนไม่สอนได้ คนสอนไม่ได้ต้องไปเรียนต่อด้วยตนเอง จะยกตัวอย่างเหมือนว่าทำงานฝีมือ นับตั้งแต่ไอ้จักสาน กระจาด ตะกร้า กระบุง ครูสอนได้ สอนได้จนทำเป็น แต่ยังไม่ดีที่สุด ตอนจะทำดีที่สุดทำสวยที่สุดชำนาญที่สุดนี้ทำเองสอนเองทั้งนั้น นี่งานฝีมือมันก็ยังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้เรามองให้ถึงสุด ว่าชีวิตนั่นแหลเป็นผู้สอนอยู่ในตัวมันเอง ให้การศึกษาขึ้นมาถึงขั้นนี้ ก็จะได้ชื่อว่าก้าวหน้าขึ้นมาถึงความสมบูรณ์ที่มนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แล้วเป็นมาตามลำดับทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของตนๆ ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่จนกว่าร่างกายนี้มันจะสลายลงไป ก็มีจิตใจที่อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง
อาตมาก็เรียกมันสั้นๆว่า การศึกษาที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ต้องถูกต้องนะ แต่ว่าถูกต้องถึงที่สุดเรียกว่าสมบูรณ์ การศึกษาที่ถูกต้องและสมบูรณ์เป็นอย่างนี้ และที่พวกเรากำลังมีอยู่ในโรงเรียนในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยนั้นมันถูกต้องหรือยัง สมบูรณ์หรือยัง ก็ไปคิดเอาเองเปรียบเทียบเอาเองโดยหลักที่ได้กล่าวมานี้ ก็ได้พอว่าถูกต้องสักกี่มากน้อย สมบูรณ์หรือยัง
เอาละเป็นอันว่าอาตมาก็ได้พูดสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย แล้วก็ขออภัยที่ว่า ถ้าพูดไปแล้วไม่ชอบใจ รู้สึกกระทบกระทั่งก็ต้องให้อภัย เพราะว่าไม่มี ไม่จำเป็นไม่เหมาะสมที่มาพูดเรื่องที่รู้ๆกันอยู่แล้ว กลัวจะถูกหาว่าเอามะพร้าวขายสวน เดี๋ยวนี้ก็พูดไปอย่างชนิดที่ป้องกันไม่ให้ถูกหาว่าเอามะพร้าวมาขายสวน จึงได้พูดเรื่องการศึกษากับพวกท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษา แต่แล้วมันก็อีกความหมายหนึ่ง อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่ามันยังขาดอยู่หรือมันยังไม่สมบูรณ์ ขอให้ช่วยนำไปทำให้สมบูรณ์ แล้วก็อย่าลืมว่าขอให้ช่วยกันศึกษาในมหาวิทยาลัยสูงขึ้นไปจนถึงมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า หรือของพระศาสดาแห่งศาสนาไหนก็ได้ คือนั่งกลางดินอย่างนี้ อย่าชอบนั่งในห้องเรียนตึกเรียนที่หรูหราเลย มีเวลาเมื่อไรมานั่งกลางดิน มานั่งกับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ รู้จักพระศาสดาซึ่งเป็นมนุษย์สูงสุดกันเสียบ้าง
อยากจะท้าให้คุณไปค้นหาว่าพระศาสดาแห่งศาสนาไหนบ้างที่ตรัสรู้บนตึกบนปราสาท ที่ไม่ใช่กลางดินหรือบนก้อนหินวางกลางดิน นี่ทุกศาสดาแห่งทุกศาสนาท่านตรัสรู้กลางดินตามธรรมชาติ เพราะว่าไอ้ความรู้สูงสุดนี่มันเป็นความรู้เรื่องธรรมชาติ รู้กฎของธรรมชาติ แล้วมานั่งกลางดินอย่างนี้มันใกล้ชิดธรรมชาติกว่า เพราะฉะนั้นมันจึงง่ายที่จะเข้าถึงธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติ
ถ้าอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าก็ช่วยรักการนั่งกลางดินเถิด ที่เรียนที่สอนอยู่บนมหาวิทยาลัยตึกเรียนสวยหรูนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งเถิด มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมันมีทั้งสองอย่าง คือทั้งทางฝ่ายวัตถุและจิตใจ ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ และมีความมุ่งหมายที่จะเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีความดีไม่มีที่ติ และยอดของสุภาพบุรุษนั้นคือพระอรหันต์ทั้งหลายในโลก ถ้าอยากรู้ว่าพระอรหันต์คือใครยังไงก็ไปติดตามแสวงหาศึกษาต่อไป มันเป็นเรื่องใหญ่เอามาพูดที่นี่ไม่ได้ ไม่พอ เวลาไม่พอ แต่ขอยืนยันว่านั่นล่ะคือยอดของสุภาพบุรุษ ผู้ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นในระดับสูงสุด
และเป็นอันว่าขออวยพรให้ท่านทั้งหลายผู้ตั้งใจมาในสถานที่นี้จงได้รับประโยชน์ตามที่ควรจะได้รับ ขออวยพรให้มีความสุขความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน ได้รับผลที่ดีที่สุดที่ควรจะพอใจในทุกแง่ทุกมุมอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ (ทีนี้จะไปทำอะไรต่อไป จะไปดูหนังหรือจะทำอะไร)