แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้าเชิญนั่งตามสบายกลางทรายขัดสมาธิก็ได้อะไรก็ได้ แล้วแต่จะสะดวกให้เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการนั่งกลางทราย กลางดิน ไม่ได้หมายความว่ากลางทราย มาที่สวนโมกข์ก็มีโอกาสนั่งกลางทราย นี่กล้าท้าสักหน่อยว่า เป็นที่ (นาทีที่ 00:33) ไปที่อื่นก็หาโอกาสนั่งกลางทรายยาก ถ้ามาสวนโมกข์นี้ อ้าเป็น (นาทีที่ 00:43) มีโอกาสแน่ เพราะเป็นความตั้งใจหรือมุ่งหมายอยู่อย่างหนึ่งด้วย เพื่อใกล้ชิดธรรมชาติขนาดที่เป็นเกลอกับธรรมชาติ จึงจะเรียกว่าขอร้องก็ได้ ให้นั่งกันกลางทราย
ครบแล้ว
อาตมาได้รับการขอร้องให้กล่าวทำนองอารัมภกถาปรารภเรื่องเกี่ยวกับการอบรมครูในทางศีลธรรม อาตมาก็อยากจะพูดเฉพาะความหมายของครูมากกว่า ส่วนเรื่องศีลธรรมและวิธีสอนศีลธรรมนั้นก็ตกเป็นหน้าที่ของผู้อบรมคนต่อไป อาตมาต้องขอโอกาสหรือจะเรียกว่าขออภัยก็ได้ที่จะกล่าวตรงๆ เกี่ยวกับอุดมคติของความเป็นครู เพราะว่ามันมีอะไรเข้าใจผิดกันอยู่บางอย่างในข้อที่จะถามขึ้นมาว่ามีครูทำไมกัน ในโลกนี้มีบุคคลประเภทที่เรียกว่าครูขึ้นมาทำไมกัน มันเป็นแต่เพียงรับจ้างสอนหนังสือเอาเงินเดือนไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แต่งตัวสวยๆ แต่งงาน สมรสกับคนที่ตัวต้องการแล้วก็เป็นพลเมืองคนหนึ่งเท่านั้นหรือ อาตมาคิดว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นครูอย่าหวังเพียงว่ารับจ้างสอนหนังสือหรือสอนวิชาชีพหรืออะไรก็ตาม เอาเงินเดือนไปกินไปอยู่ไปใช้ไปแต่งงานไป แล้ว (นาทีที่ 03:16) ก็หมดเรื่องของความเป็นครู อย่างนี้เราเคยเรียกกันมาว่าลูกจ้างสอนหนังสือ ไม่มีความเป็นครู มีความเป็นครูที่แท้จริงแต่โบราณนั้นต้องมีอะไรๆ ที่เป็นไปในทางเป็น ปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือเอาเงินไปซื้อของที่ตัวปรารถนาแล้วก็เป็นอยู่อย่างพลเมืองธรรมดาคนหนึ่ง ขอให้สนใจความหมายคำว่าครู จะเรียกว่าอุดมคติความเป็นครู เจตนารมณ์ของความเป็นครู หรือ (นาทีที่ 04:02) อะไรก็สุดแท้เถอะ ให้พบที่ตรงนั้นนา แล้วก็จะได้เป็นครูชนิดที่พ้นจากความเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเพื่ออาชีพ คือเป็นปูชนียบุคคลด้วยนั่นเอง
ทีนี้บางคนจะรู้สึกว่าอาตมาพูดรุนแรง ลุกล้ำ ล่วงเกิน จ้วงจาบเกินขอบเขตไปแล้ว อาตมาก็ขอบอกกล่าวยืนยันว่าไม่ได้ประสงค์อย่างนั้น ประสงค์แต่เพียงว่าจะให้คงความมีครู ความเป็นครูอยู่ในโลกอย่าให้โลกนี้มันขาดครูประเภทที่เป็นครูคือผู้ที่เป็นปูชนียบุคคล ฉะนั้นจึงขอเอาความหมายของคำว่าครูในทางฝ่ายศีลธรรม หรือปรัชญาของศีลธรรมก็ได้ว่า ครูนั้นมีความหมายว่าอย่างไร บางท่านก็เคยฟังเรื่องนี้มาอย่างซ้ำซากแล้ว บางท่านก็ยังไม่เคยฟัง แม้เคยฟังแล้วก็ขออย่าเพิ่งรำคาญใจ ฟังซ้ำๆ เพื่อความแม่นยำยิ่งขึ้น ดูปทานุกรมภาษาโบราณของอินเดีย คำว่าครูเขาแปลว่าผู้เปิดประตู มี คำหมาย (นาทีที่ 05:43) ความหมายสั้นๆ ว่าผู้เปิดประตู แล้วคนก็ไปคิดเอาเองว่าเปิดประตูอะไรเปิดทำไม นี่ ก็ว่าเห็นได้ชัดว่ามันเรื่องทางจิตทางวิญญาณ คือจิตหรือวิญญาณของคนถูกขังอยู่ในขอบเขตของอวิชชา ความไม่รู้ ความโง่ ความหลง เป็นเหมือนกับคอกหรือเล้าที่มืดบอด สัตว์ถูกกักขังอยู่ในนั้นเหมือนเป็ดเหมือนไก่ แล้วคนๆ หนึ่งก็มาเปิดประตูให้สัตว์เหล่านั้นออกมาสู่แสงสว่าง นี่คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตูในลักษณะอย่างนี้จึงถูกยกขึ้นเป็นปูชนียบุคคลเหนือระดับคนธรรมดา มีความรู้ความสามารถ มีประโยชน์ มีคุณค่ายิ่งกว่าคนธรรมดา แล้วก็ช่วยเหลือคนธรรมดาในลักษณะนี้ จึงได้ถูกยกขึ้นเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเกล้าเหนือหัว เป็นอันว่าคำว่าครูที่แปลว่าหนักที่คนต้องเคารพต้องมีความหนักนั้นเป็นความหมายที่ ที่(นาทีที่ 07:05) ที่ต่อมาอีก ความหมายที่สอง ที่สาม ทีนี้ถ้าจะดูปทานุกรมธรรมดาสามัญ คำว่าครูก็แปลว่า spiritual guide guide คือ (นาทีที่ 07:23) มัคคุเทศก์ spiritual นี่แปลว่าทางฝ่ายวิญญาณ ภาษาธรรมดาในปทานุกรมธรรมดาจะแปลครูว่า spiritual guide ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญๆ เช่นพระราชาเป็นต้น จะต้องมี spiritual guide นี้เสมอ ฉะนั้นมันจึงเป็นอีกแขนงหนึ่งไปจากหน้าที่ตามธรรมดา อยากจะพูดถึงคำว่า spiritual ก่อน ในภาษาไทยเราก็ไม่แน่นอนว่าจะแปลคำๆ นี้ว่าอะไรก็เลย พูดเอา หาเอาเอง หาความหมายเอาเอง อาตมาใช้คำว่าทางวิญญาณ คือไม่เกี่ยวกับวัตถุหรือร่างกายแต่เป็นเรื่องทางวิญญาณ วิญญาณในที่นี้หมายถึงความรู้หรือสติปัญญา ทิฏฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเดียวกันกับจิต เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ใช้คำว่าทางจิต ทีนี้บางคนก็เคาะเล่นว่าถ้าอย่างนั้นก็วิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจสิ เอ้า ก็ได้เหมือนกัน คือขอให้นำตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปในทางที่ถูกต้องไม่ให้เกิดกิเลส ก็ตรงตามคำว่าวิญญาณอยู่ดี ทีนี้คำว่า spiritual นี่ช่วยจำกันไว้เพื่อประโยชน์ต่อไปข้างหน้าจะเป็นการประหยัดเวลา หรือเป็นการประหยัดการศึกษา คำนี้มีใช้มากในภาษาสากล คือภาษาอังกฤษ แม้แต่ความสุขความทุกข์ เอง (นาทีที่ 07:23) ก็ยังใช้คำ spiritual นำหน้า จึง (นาทีที่ 09:19) เป็นเรื่องที่สูงไปกว่าความรู้ธรรมดา ทีนี้คำว่า spiritual guide หรือเรียกว่า (นาทีที่ 09:27) มัคคุเทศก์ทางจิตทางวิญญาณคือนำสติปัญญาไปให้ถูกต้อง คนนั้นทำผิดไม่ได้ก็เลยเป็นคนสูงสุด ผู้นำนั้นก็เป็นผู้นำสูงสุด คำนี้เป็นคำธรรมดาไปแล้วคำว่า spiritual guide ถ้าเราอ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ปัจจุบันนี้จะพบคำว่า spiritual guide ที่ใช้แก่โปปโรมันคาทอลิก ถ้า (นาทีที่ 09:58) ใครจะมาเป็น spiritual guide คนต่อไปอย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่ภาษาลี้ลับอะไร ทางพุทธศาสนาก็อนุโลมตามภาษาอินเดียโบราณ เพราะฉะนั้นคำว่าครูก็คงหมายถึงผู้เปิดประตู ซึ่งมีความหมาย อย่าง (นาทีที่ 10:17) เดียวกับผู้นำในทางวิญญาณ
อาตมาเคยอธิบายคำนี้ในฐานะเป็นผู้นำว่าครูน่ะเป็นผู้นำทางวิญญาณมาเรื่อยๆ นั่น (นาทีที่ 10:30) แล้วก็เพิ่มคำว่าผู้เปิดประตูให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีกโดยอาศัยหลักทางภาษา เราไม่ได้ทำตัวชนิดที่เรียกว่ายกตัวเทียมท่าน เช่นยกตัวเทียมพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้นำทางวิญญาณ หรือแม้แต่ยกตัวเทียมโปป เพราะมันจะ อุตริ (นาทีที่ 10.55) ที่ภาษาสากลเขาก็ใช้คำว่า spiritual guide ด้วยเหมือนกัน เราเป็นสาวกเราก็ทำตาม เมื่อเราเป็นสาวกของผู้นำทางวิญญาณ เราก็ เป็น (นาทีที่ 11:08) ทำหน้าที่ผู้นำทางวิญญาณไปตามสถานะของเรา ฉะนั้น (นาทีที่ 11:13) จึงหวังว่าครูทุกคนคงจะไม่มีความตะขิดตะขวงใจหรือสงสัยอะไรในการที่จะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ทีนี้เราก็มาพูดเรื่องผู้นำในทางวิญญาณให้ชัดแจ้งลงไปเท่านั้น อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าถ้าปล่อยไปตามเรื่องของมนุษย์ธรรมดา วิญญาณนี้จะถูกกักขังมากขึ้นๆ ตามที่มันเติบโตขึ้นมา เมื่อมันอยู่ในท้องแม่ แม้ว่า (นาทีที่ 11:49) ร่างกายจะถูกกักขังอยู่ในอู่มดลูกแต่จิตมันไม่ถูกกักขัง เพราะมันยังไม่ไปติดยึดมั่นในอะไร พอมันคลอดออกมาจากท้องแม่ มันก็เริ่มรู้สึกต่ออารมณ์ที่มากระทบ จนกระทั่งทารกนั้นรู้จักอร่อย รู้จักไม่อร่อย รู้จักสบาย ไม่รู้จัก (นาทีที่ 12:13) รู้จักไม่สบาย รู้จักอบอุ่น รู้จักไม่อบอุ่นอย่างนี้ ก็เริ่มรู้สึกยึดถือในความสบาย ความเอร็ดอร่อย ความอบอุ่นเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ กัน(นาทีที่ 12:28) มากขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ถูกแวดล้อมอยู่ด้วยอิทธิพลของอารมณ์นี้ เราจึงเรียกว่าเหมือนกับถูกกักขังอยู่ในเล้าในคอกอันมืดของอวิชชา คือความไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่านี่มันคืออะไรกัน เพราะฉะนั้นจึงจมอยู่ในความยินดียินร้ายไปตามอารมณ์ที่มากระทบเป็นประจำวัน และเป็นอย่างนี้มากขึ้นๆ จนเป็นโรคประสาทก็มี จนเป็นคนบ้าก็มี ตายไปก็มี ถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็เป็นอันธพาลอย่างเลวร้าย อย่างอันธพาลข่มขืนแล้วฆ่าอย่างนี้เป็นต้น เพราะมันอยู่ในห้วงมืด เล้ามืดของอวิชชามากเกินไป ไม่ได้รับการเปิดประตูหรือการนำที่ถูกต้องในทางวิญญาณ โลกนี้มันเป็นอย่างนี้แล้วเขาก็รู้ความเป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นู้น (นาทีที่ 13:36) จึงเกิดบุคคลประเภทผู้นำทางวิญญาณที่เรียกว่าครู คำแนะนำสั่งสอนนั้นก็เรียกว่า ธรรม ซึ่งหมายถึงศีลธรรมหรือ ธรรมทุกแขนง มีระบบของคนนั้นสอนอย่างนั้น คนนั้นสอนอย่างนี้ ทั้งหมดก็เพื่อเอาชนะอันตรายทางจิตใจนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นครูเกิดเป็นบุคคลพวกหนึ่งขึ้นมาในโลก ความที่ครูต้องมี ความที่โลกต้องมีครู ก็ (นาทีที่ 14:13) เพราะว่าโลกมันมืดบอด จึงมีผู้นำที่จะเปิดประตูออกสู่แสงสว่าง แล้วก็นำไปให้ถูกทาง นี่ความเป็นครูอยู่สูงลิบในฐานะเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือเอาเงินมาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ อาหารการกินแล้วก็เล่นหวยไปตามประสาคนที่รู้จักเพียงเท่านั้นจนกว่ามันจะตายไป มันไม่มีความเป็นครูอยู่ที่ตรงไหนถ้าทำกันอย่างนี้ มันก็ต้องนึกถึง ไอ้ (นาทีที่ 14:50) เจตนาของความเป็นครูนี่ให้ถูกต้องว่า spirit หรือเจตนาของความเป็นครูอยู่ที่ไหน อยู่ที่สนองความต้องการของโลกในการที่โลกมันต้องการผู้นำในทางวิญญาณ ฉะนั้นเราจงทำตนเป็นผู้นำในทางวิญญาณก็จะเป็นครูตามความหมายที่แท้จริง เป็นปูชนียบุคคลมันมีค่ามากกว่าเงินเดือนพันสองพันสามพันที่ได้รับมันเป็นขี้ฝุ่นไปเลย ถ้าเอาไปเทียบกับค่าของความเป็นปูชนียบุคคล ทีนี้มาเป็นปูชนียบุคคลแล้วก็ไม่ต้องห่วงว่ามีอะไรกิน จะไม่มีอะไรกิน มันก็มีสิ่งที่เขาบูชา เช่น เงินเดือนเป็นต้น ต้องถือเป็นเครื่องสักการะบูชาครูที่เป็นปูชนียบุคคล ถ้ามันไม่เป็นปูชนียบุคคลเงินเดือนก็เป็นค่าจ้าง ท่านจะทำให้เงินเดือนเป็นค่าจ้างก็ได้ ท่านจะทำให้เงินเดือนเป็นเครื่องบูชาครูก็ได้ มันแล้วแต่เจตนาของเรา นี่ขอให้ทราบถึงข้อเท็จจริง หรือจะเรียกว่าความลับก็ได้ถ้ายังไม่ทราบ ความลับของความเป็นครูมันอยู่ที่นี่ คือความเป็นปูชนียบุคคลเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยของที่เขาบูชา ทำหน้าที่สูงสุดในหมู่มนุษย์คือเป็นผู้เปิดเผยแสงสว่าง เป็นผู้นำในทางวิญญาณดังที่กล่าวแล้ว
อาตมาพูดตามความรู้สึกแท้จริงว่า การได้เป็นครูนั้นเป็นผู้ที่มีโชคดีที่สุดในบรรดาหมู่มนุษย์ที่เกิดมาเพราะว่าได้มีอาชีพประเสริฐด้วย แล้วก็มีความเป็นปูชนียบุคคลด้วย เกิดมาได้เป็นบุคคลที่อยู่บนหัวคน ความเป็น ปูชนียบุคคลนั้นตามรูปศัพท์มันก็อยู่บนหัวคนอยู่แล้ว เพราะว่าคนเขาต้องบูชา เรามีอาชีพในระดับที่ทุกคนต้องบูชาก็เรียกว่าเกิดมามีบุญ เกิดมามีโชคมีวาสนาที่ได้เป็นครู เพราะฉะนั้นอย่าไปลดตัวเองเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ หรืออาศัยอาชีพครูเป็นเพียงสะพานเพื่อจะไต่เต้าไปสู่อาชีพอื่นเหมือนที่บางคนเขากระทำเลย มีอาชีพเป็นครูนี้ประเสริฐที่สุดสูงสุดอยู่แล้ว อย่าเอาพิมเสนไปแลกเกลือเลย นี่พูดกันธรรมดาสามัญก็ต้องพูดอย่างนี้เพื่อจำง่ายๆ หวังว่าท่านทั้งหลายที่แสดงตัวเป็นครูประกาศตัวเป็นครูตั้งตัวเป็นครูมีอาชีพครูจะได้ทำความเข้าใจในความหมายข้อนี้ แล้วเป็นครูให้ตรงตามความหมายของคำว่าครู ก็จะชื่อว่าเกิดมาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือตั้งตนอยู่ในความถูกต้องไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์แล้ว ยังสามารถสั่งสอนบุคคลผู้อื่นให้หมดปัญหาให้หมดความทุกข์อีกด้วย
การทำให้ทุกคนเป็นอะไรนั่นเรียกว่ามันเป็นการช่วยกันสร้างสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นจึงอยากจะให้ครูมองต่อไปถึงข้อที่ว่าครูมันเป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าครูสร้างเด็กๆ ขึ้นมาอย่างไร เด็กๆ โตขึ้นมันก็เป็นผู้สร้างโลก เพราะว่าโลกนี้มันจะเป็นไปตามอำนาจของบุคคลผู้อยู่ในโลก ถ้าคนทุกคนที่อยู่ในโลกมันเลว โลกนี้มันก็เลว ถ้าทุกคนที่อยู่ในโลกมันดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าทุกคนในโลกนี้มีศีลธรรม โลกนี้ก็มีศีลธรรม มันเห็นชัดๆ ง่ายๆ อยู่อย่างนี้ ช่วยกันสร้างโลกที่มีศีลธรรมจะอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก สมกับที่ว่าเป็นมนุษย์คือสัตว์ที่มีจิตใจงดงามสูงส่ง เดี๋ยวนี้ขอให้สังเกตดูเถอะว่าความเจริญในโลกนี้มันก้าวหน้ามากเหมือนกับวิ่ง ความเจริญของบ้านเมืองก็ดูเถอะ เรื่องถนนหนทาง เรื่องก่อสร้าง เรื่องประดิษฐ์ เรื่องสิ่งที่ส่งเสริมความสะดวกสบาย เลยไปจนถึงความเอร็ดอร่อยจนเป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลงนั่นน่ะมันมากเหลือเกิน เรียกว่าบ้านเมืองมันเจริญแล้วทำไมบ้านเมืองมันจึงเต็มไปด้วยอันธพาลและโรคประสาท ทำไมบ้านเมืองยิ่งเจริญ แล้วแต่มาเต็มด้วย (นาทีที่ 20:17) อันธพาลและโรคประสาท อันธพาลและโรคประสาท (นาทีที่ 20:24) นี้ไม่ ไม่เคยมากในสมัยที่บ้านเมืองไม่เจริญ ทีนี้เราพูดได้เลยอย่างคลุมเครือกำปั้นทุบดินเอาก็ได้ว่าเพราะความเจริญจึงมีอันธพาลมาก และมีโรคประสาทโรคจิตมากอย่างน่าวิตก ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ยิ่งเจริญยิ่งเต็มไปด้วยอันธพาล และคนเป็นโรคประสาท ทั้งนี้ก็เพราะว่ายิ่งเจริญมันยิ่งไร้ศีลธรรม อาตมาพูดอย่างนี้ยืนยันอย่างนี้ไม่กลัวใครโกรธ เพราะว่ายิ่งเจริญแบบนี้มันยิ่งไร้ศีลธรรม เพราะว่าความเจริญนั้นมันยั่วให้คนสนองความต้องการของกิเลส คนมันก็เป็นอันธพาล และเมื่อคนมันไม่ได้ตามต้องการปัญหายุ่งยากมากนักมันก็เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตเนื่องมาจากความเจริญนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราช่วยเขาหน่อย ช่วยอย่าให้ความเจริญนั้นมันเป็นพิษ เป็นภัย เป็นโทษอย่างนี้ คือช่วยให้มีแสงสว่างทางวิญญาณให้มีศีลธรรม จนกล่าวได้ว่าบ้านเมืองยิ่งเจริญคนยิ่งมีความสงบสุข ไม่ใช่บ้านเมืองยิ่งเจริญคนยิ่งเป็นอันธพาลและเป็นโรคประสาท ความเป็นอันธพาลนั้นเรียกว่าไร้ศีลธรรมนี่ไม่ต้องอธิบายเห็นได้ชัด แต่ความเป็นโรคประสาทโรคจิตนี้ก็เพราะไร้ศีลธรรม คือมันไร้ศีลธรรมส่วนบุคคลที่ว่าจะดำรงตนอย่างไรในความถูกต้อง เขาไร้ศีลธรรมข้อนี้จึงได้เป็นโรคประสาทหรือโรคจิต ไม่ใช่ไปเป็นอันธพาลฆ่าใครทำร้ายใครที่ไหน เขาทำร้ายตัวเองด้วยความโง่ของตัวเอง ก็เรียกว่าไม่มีศีลธรรม คือธรรมที่ทำความปกตินั้นมันไม่มี มัน (นาทีที่ 22:28) ปั่นป่วนรวนเรไปหมดในทางด้านจิตด้านวิญญาณเขาไม่ได้มีการตั้งไว้อย่างถูกต้อง ไม่มีการดำเนินไปอย่างถูกต้องในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ จึงเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่จะเป็นผู้นำในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณสมตามความหมายของคำว่าครู คือผู้เปิดประตูให้ทุกคนได้รับแสงสว่าง อาชีพของปูชนียบุคคลเป็นอย่างนี้
อาตมาอยากจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ครูอายุน้อยๆ วัยรุ่นนี้อย่าเพิ่งเจียมตัวจนถึงกับไม่กล้ารับหน้าที่อันนี้ ขอให้ทำไปก่อนขอให้บากบั่นไปก่อนไม่เท่าไหร่อายุก็จะมากขึ้นเองก็จะเข้ารูปกับการที่จะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นครูที่ยังอยู่ในวัยน้อยอายุน้อยๆ ก็อย่าเพิ่งเจียมตัวว่าไม่เอาแล้วมันสูงเกินไปสำหรับเรา เพียงแต่ตั้งใจว่าเราจะเดินตามรอยของบุคคลประเภทครูบาอาจารย์ มุ่งหมายยกหน้าที่วิญญาณของตนและของผู้อื่น เพราะฉะนั้นจะต้องทำตัวเองให้ถูกต้องในทางวิญญาณเสียก่อน เพราะฉะนั้นการที่ครูทั้งหลายมีความรู้เพียงพอในทางศีลธรรมในทางธรรม นั่นแหละจะเป็นเครื่องช่วยให้ประสบความสำเร็จในการที่จะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ตัวเองมีความรู้ให้เพียงพอเสียก่อน ปฏิบัติให้ถูกต้องเพียงพอเสียก่อน แล้วก็เป็นผู้นำในทางวิญญาณได้โดยสะดวก การที่ปฏิเสธหน้าที่ที่สูงหรือประเสริฐนั้นมันก็ไม่ถูก เมื่อมันทำได้หรือได้เข้ามาอยู่ในขอบเขตแล้วก็ในวงของผู้ที่ตั้งใจจะทำ ก็ทำไปก็แล้วกัน นี่ศึกษาในเรื่องทางฝ่ายวิญญาณแล้วปฏิบัติถูกต้องในเรื่องฝ่ายวิญญาณ แล้วก็เป็นผู้นำในทางฝ่ายวิญญาณไปให้ตลอด เพื่อช่วยโลกเพื่อช่วยกันสร้างโลกที่มันน่าอยู่น่าดู แม้ว่าครูบางคนจะต้องสอนเลขสอนหนังสือสอนวิชาภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอาชีพก็ขอให้เข้าใจไว้เถอะว่ามันมีโอกาสที่จะสอนหรือแทรก แหก (นาทีที่ 25:16) ความรู้เรื่องทางวิญญาณเข้าไปด้วยเสมอไป แม้แต่วิชาเลขก็บอกให้รู้ว่ามันเป็นกฏของธรรมชาติ สองบวกสองเป็นสี่อะไรอย่างนี้มันด้วยอำนาจของ กฏของธรรมชาติสูงสุดเหนือกฏอื่นใด เรารู้เราก็มีความสว่างในทางวิญญาณ ใช้สำหรับคำนวณความผิดความถูกอะไรได้ดี แม้ (นาทีที่ 25:44) จะสอนวิชาวาดเขียนมันก็ต้องให้มันมีความรู้เรื่องทางวิญญาณเข้าไปแทรก คือให้เป็นคนละเอียดลออ สุขุมไม่สะเพร่าให้เป็นคนรู้จักความสวยงามนับตั้งแต่ด้านวัตถุขึ้นไปจนถึงความหมายของรูปภาพมันก็เป็นเรื่องทางวิญญาณไปเรื่อยๆ ทุกเรื่องมันสามารถที่จะสอนให้เกิดความรู้ในทางฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับข้อ ข้อนี้ฝ่ายที่ถือศาสนาที่มีพระเจ้าได้เปรียบมาก เพราะเขาจะสอนอะไรก็ตาม เขาก็หยอดท้าย ด้วย (นาทีที่ 26:27) ว่านี่ตามกฏของพระเจ้า นี่โดยอำนาจของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ พระพุทธ (นาทีที่ 26:33) พระเจ้าให้เป็นไป นี่เขาสอนได้ง่ายอย่างนี้ เรื่องทางวิญญาณมันจึงสอนได้ง่าย เพราะมันขึ้นอยู่กับคำว่าพระเจ้า เราไม่มีคำว่าพระเจ้าในทำนองนั้น เราก็มีพระธรรมเป็นพระเจ้า มีกฏของความจริง กฏของธรรมชาติ ว่านี่เป็นกฏของธรรมชาติ จะเรียกชื่อว่าพระเจ้าก็ได้เหมือนกัน เราต้องทำให้ถูกต้องตามนั้นจึงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในทางวิญญาณไม่มีใครเป็นอันธพาลไม่มีใครเป็นโรคประสาทไม่มีใครเป็นโรคจิต เอาล่ะเป็นอันว่าอาตมาได้กล่าวถึงเจตนารมย์ของความเป็นครู หรือว่าเจตนารมย์ของการที่โลกต้องมีครู การที่โลกนี้มันต้องมีครู จึงเป็นเจตนารมย์ของโลกที่จะต้องมีครู เราก็ช่วยกันสนองความต้องการอันนั้น ด้วยการทำให้โลกมีครูคือมีผู้นำทางวิญญาณ หากผู้ใดเข้าใจความจริงข้อนี้แล้วคงจะไม่เบื่อหน่ายระอาในการที่จะรับการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นขอให้การเปิดการอบรมคราวนี้ได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของการจัดการทำว่าให้ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายรู้เรื่องศีลธรรมซึ่งเป็นเรื่องทางวิญญาณแล้วก็สามารถสั่งสอนศีลธรรมคือการช่วยกันทำให้ผู้อื่นมันมีความก้าวหน้าทางวิญญาณสมตามความหมายทุกๆ ประการเถิด อาตมาขอยุติอารัมภกถาไว้เพียงเท่านี้
นาทีที่ 28.33-29.12ไม่ได้ถอดเสียง ญาติโยมพูดฟังไม่ชัด
ที่นี้จะไปที่ไหน จะใช้ที่นี่หรือจะไปที่ไหน เอาสิ (นาทีที่ 28.44 – 28:53)
นับตั้งแต่ (นาทีที่ 29:12) ภาพแรกข้างประตูทางซ้ายมือ ภาพนั้นสำคัญมากแหวกม่านออกนิดเดียวพบพระพุทธเจ้า ม่านคือความโง่ของตัวเอง แหวกความโง่ออกนิดเดียวพบพระพุทธเจ้า พระองค์อยู่หลังม่านแหวกม่านนิดเดียว พบ ไม่ต้องไปเที่ยวหาทั่วโลกไหน ม่านคือความโง่ของตัวเอง
...............................................................................................................
คุณบริษัทจะช่วยอธิบาย (นาทีที่ 30:10) นั่งขัดสมาดเขียนหนังสือบนเข่า กระดานดำมาวางที่นี่ด้วยก็ได้ ก็ดี ไปดูโบสถ์ ไปดูโบสถ์ธรรมชาติ ธรรมชาติ เราจะมาดูความสำคัญของธรรมชาติ แล้วก็เลยไปโรงปั้น แล้วก็เลยไปดู ซากนาฬิเก พบความดับทุกข์ที่ความทุกข์ โอ้ย! อย่างนี้มันมันมัน ไม่ลงจริง มันลงหลอก ปิดเครื่อง