แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ตามที่ท่านมีความประสงค์จะให้พูดอะไรกันบ้างในวันนี้ อาตมาก็นึกดูแล้ว ในที่สุดเห็นว่าควรจะพูดกันเรื่อง การกลับมาแห่งศีลธรรมที่เกี่ยวกับครู ในชั้นแรกเราจะต้องมองกันเพื่อให้เห็นปัญหาใหญ่หลวงเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้กันเสียก่อน คือความที่โลกมีศีลธรรมเสื่อมทรามลงทุกที ไม่ใช่ศีลธรรมมันจะเสื่อมทราม แต่ว่าการประพฤติศีลธรรมของคนในโลกเสื่อมทราม คือไม่ค่อยประพฤติศีลธรรม จึงทำให้เกิดภาวะเสื่อมทรามทางศีลธรรมขึ้นมาในโลก แล้วปัญหาเกิดขึ้นอย่างไร ท่านทั้งหลายก็เห็นได้เองแล้ว ว่าทั่วไปทั้งโลกมันมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไร โดยรายละเอียดปลีกย่อยนี้มันก็พูดกันไม่ไหว มันมากนัก แต่โดยสรุปแล้วก็คือการเบียดเบียนกัน ที่เนื่องมาแต่การเอาเปรียบกัน ที่เนื่องมาแต่การเห็นแก่ตัว แล้วก็ที่เนื่องมาจากความไม่มีศีลธรรม
ความไม่มีศีลธรรมทำให้เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้คิดเอาเปรียบผู้อื่น การเอาเปรียบผู้อื่นก็ทำให้มีการต่อสู้ มันก็คือการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี่เราจึงพบไอ้ความเดือดร้อนระส่ำระสาย ไม่ใช่เป็นมาเฉพาะประเทศไทย มันเป็นกันทั้งโลก ประเทศไทยนี้ ขออภัยต้องพูดว่าดีแต่ตามก้นเขา โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ประเทศไทยดีแต่ตามก้นเขา หรือตะวันออกนั้นมันดีแต่ตามก้นตะวันตก ก่อนนี้มันเป็นตัวเอง ฉะนั้นการศึกษาของประเทศไทย มันก็เดินตามก้นพวกฝรั่งเขา แม้จะละอายกันเต็มทีแล้ว มันก็ยังอดตามก้นเขาไม่ได้ ไม่มีการทำอะไรให้ผิดแปลกแตกต่างออกไปได้ มันก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ไอ้พวกฝรั่งมันแก้ปัญหาไม่ได้อย่างไร พวกไทยก็แก้ปัญหาทางการศึกษาไม่ได้อย่างนั้น มันก็เลยเหมือนกันไปหมดทั้งโลก คือไม่สนใจเรื่องศีลธรรมนั่นเอง
ก่อนนี้การศึกษาเป็นไปตามความหมายของคำว่าครูอยู่มาก คือมีความหมายในทางวิญ ทางวิญญาณ ที่เรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ตามความหมายของคำว่าครูในภาษาอินเดีย เดี๋ยวนี้ก็มีครูอีกพวกหนึ่งคือผู้สอนวิชาชีพ ขอให้แยกดูให้ดีจึงเห็นว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้จริง ๆ ครูในความหมายเดิมแปลว่าผู้เปิดประตู คุรุนี่แปลว่าผู้เปิดประตู เปิดประตูทางวิญญาณ คือประตูคอกเล้าของความโง่ที่มืด ให้สัตว์ออกมาสู่แสงสว่าง คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตู เขาเอาความกันง่าย ๆ ว่า ผู้นำในทางวิญญาณ หนังสือเก่า ๆ จะอธิบายอย่างนี้ทั้งนั้น เรียกกันสั้นๆ ว่า ผู้นำในทางวิญญาณ
ส่วนผู้สอนวิชาชีพหรือวิชาหนังสือด้วย นี้ก็มีอีกความหมายหนึ่ง เป็นครูบาอาจารย์ในทางวิชาชีพ หนังสือเก่า ๆ ใช้คำว่าอุปัชฌาย์ก็มี คือผู้สอนวิชาชีพ ให้วิชาดนตรี วิชาอะไรต่าง ๆเอาละ เป็นอันว่ามันมีอยู่ ๒ ความหมาย ผู้นำในทางวิญญาณความหมายหนึ่ง ผู้สอนวิชาชีพในความหมายหนึ่ง ทีนี้บางยุคบางสมัย ครูได้ทำหน้าที่ทั้ง ๒ อย่างควบคู่กันไป คือสอนหนังสือหรือสอนอาชีพก็สอน แต่ควบคุมมากในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ คือดูแลในทางมรรยาท ทั้งทางร่างกาย ทางวาจา กระทั่งมรรยาทในทางจิตใจด้วย มันก็เลยสมบูรณ์ ศิษย์เรียนจบแล้วมันก็มีความรู้และมีความเป็นสุภาพบุรุษตามภาษาสากล เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยในระยะสักสองสามร้อยปีมานี้ มีความมุ่งหมายจะสร้างสุภาพบุรุษทั้งนั้น อย่างเช่น มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด แคมบริดจ์ เหล่านี้ จุดมุ่งหมายเดิมเขาก็สร้างสุภาพบุรุษ มันเน้นหนักในข้อนี้ เดี๋ยวนี้พอมันเปลี่ยนแปลงกลายหมดเป็น เป็นสร้างผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพหรือเทคโนโลยีทั้งหลาย ความเป็นสุภาพบุรุษนั้นมันถึงพร้อม ความสุ ถึงพร้อมด้วยความถูกต้องในทางวิญญาณ คือมีความรู้ทางธรรม ทางที่เกี่ยวกับจิตหรือวิญญาณนั้นด้วย แต่ถ้าสอนกันแต่วิชาชีพ มันก็รู้แต่วิชาชีพ เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนหมด สอนแต่วิชาชีพ ที่เคยยึดถือเอาความเป็นสุภาพบุรุษเป็นจุดหมายของการศึกษานั่นก็เลิกร้างไป ค่อยๆ เลิกร้างไป เพราะความพ่ายแพ้แก่เนื้อหนังในยุคที่วัตถุมันเจริญ ฉะนั้นขอให้มองให้ดีๆ ว่ามันเพิ่งเปลี่ยนเมื่อความเจริญทางวัตถุมันเป็นไปหนักเข้าๆ คนนิยมความสุขที่เกิดมาแต่วัตถุ นิยมพึ่งพาอาศัยวัตถุ สนใจกันแต่วัตถุ มีความสุขแบบวัตถุ ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับศาสนา เพราะถ้าพูดกันถึงตอนนี้แล้ว ธรรมะหรือศาสนานั้นมันออกจะเป็นก้างขวางคอ ไม่ให้คนมันบ้าหลงในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ
ขอย้ำอีกทีว่าศาสนาทุกศาสนา มันต้องการไม่ให้คนหลงใหลในเรื่องกิน และเรื่องกาม และเรื่องเกียรติ ทีนี้ทางวัตถุมันเจริญมากขึ้น รสของไอ้เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องทางวัตถุนี้มันครอบงำจิตใจของคนไว้หมด คนก็หันไปทางนั้น ไม่นิยมธรรมะ ไม่นิยมศาสนาตามแบบเดิม จะกอบโกยวัตถุ จะสะสมวัตถุ จะใช้กำลังอำนาจทางวัตถุนั่นแหละประหัตประหารกันเพื่อให้ตนเป็นผู้ชนะและก็จะครองโลกแห่งวัตถุ นี่ เดี๋ยวนี้ปัญหาได้เกิดขึ้นอย่างนี้ ละเลยเรื่องจิตใจกันไปหมด
ข้อเท็จจริงมันก็เห็นๆอยู่ว่าเดี๋ยวนี้มันเจริญทางวัตถุ มันมีความสุข ความสะดวก ความสบายตามแบบทางวัตถุนั่น เหลือประมาณ จนเกิน จนเฟ้อ ก็เป็นโลกอีกแบบหนึ่ง เพิ่งจะเป็นเมื่อเร็วๆนี้ เมื่อเร็วๆนี้ก็หมายความเมื่อความก้าวหน้าหรือความเจริญทางวัตถุมันได้เกิดขึ้น ถ้าให้เข้าใจเรื่องนี้ดี ก็ขอให้ทุกคนลองกำหนดอย่างที่อาตมาจะว่าให้ฟัง ว่าไอ้โลกแบบหนึ่งหรือสมัยหนึ่งมีอยู่แบบหนึ่ง ก็คือเจริญแต่ในด้านธรรมะหรือจิตใจ ไม่มีความเจริญหรือสมบูรณ์ทางวัตถุ แม้ในยุคพระพุทธเจ้าแท้ๆนี้ก็เราก็กล่าวได้ว่า มีความเจริญในทางจิตใจ ไม่ได้ก้าวหน้าในทางวัตถุเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ นี้เป็นไปแบบหนึ่ง
ทีนี้โลกอีกแบบหนึ่งก็คือเจริญแต่ในทางวัตถุ ไม่มีความเจริญในทางธรรมะหรือทางจิตใจ ไม่มีธรรมะสำหรับจะควบคุมวัตถุ ทีนี้ ยังมีแบบของโลกอีกแบบหนึ่งซึ่งเราหวังกันว่าจะมาในอนาคต คือโลกที่จริญทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ ซึ่งเราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอว่าโลกของพระศรีอารย์ หรือโลกในศาสนาของพระศรีอารย์ เรียกเต็มๆว่าพระศรีอริยเมตไตรยที่จะมาข้างหน้า เข้าใจว่าทุกคนคงได้ยินชื่อนี้
ทบทวนอีกทีว่าโลกที่มันสมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายวัตถุกับทางฝ่ายจิตใจนี้ เขาเรียกว่าโลกของพระศรีอารย์ มนุษย์ใจดี มีธรรมะเต็มที่ และความก้าวหน้าทางวัตถุก็มีอย่างยิ่งในสมัยนั้น ก็บริโภควัตถุนั้นๆ แต่ในทางที่ถูกที่ควรหรือพอเหมาะพอดี ไม่ได้ใช้ประหัตประหารกัน มันก็มีความสุขไปตามแบบนั้น คือแบบที่มีทั้งธรรมะและมีทั้งความเจริญในทางวัตถุ รายละเอียดเกี่ยวกับโลกชนิดนี้ หรือโลกของพระศรีอารย์นี้มีมากมาย ไปหาอ่านดูเองก็ได้ ข้อที่ไม่มีความเบียดเบียน มันก็พูดไว้เหมือนกับว่า นอนไม่ต้องปิดประตูบ้าน คือไม่มีใครจะขโมยใคร หรือสร้างบ้านก็ไม่ต้องสร้างประตูก็ยังได้ คือไม่มีการเบียดเบียนถึงขนาดว่านอนไม่ต้องปิดประตู แล้วคุณก็เปรียบเทียบกันดูว่า สมัยนี้ที่ไหนบ้างที่นอนไม่ปิดประตู แม้ปิดประตูอยู่ มันก็ยังพังประตูเข้าไปประทุษร้ายสิ่งของ ทรัพย์สมบัติ ชีวิตร่างกาย
ในข้อที่มีศีลธรรมดี มันมีกล่าวไว้ว่า พอลงจากบ้านเรือนออกไปธุระที่ไหนก็ตาม จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร คือเหมือนกันไปหมดจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ต่อเมื่อกลับมาบ้านของตัวแล้ว จึงจะรู้ว่า อ้าว, นี่ สามีของเรา ภรรยาของเรา ลูกของเรา คือมันเหมือนกันไปเสียหมดนี่ มันมีความหมายว่ามันไม่มีใครเป็นศัตรู มีแต่ความเป็นมิตร มีแต่ความสุภาพอ่อนน้อม มีแต่ความสมัครสมานสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหมือนกันไปหมด นี่เป็นตัวอย่างว่ามีศีลธรรมชนิดที่ทำให้ไม่มีใครเป็นอันธพาล หรือเป็นไอ้ เป็นผู้ที่น่ารังเกียจ
ในรายละเอียดทางวัตถุ ก็เช่นว่ามัน น้ำในแม่น้ำนั้นทางหนึ่งไหลขึ้น ทางหนึ่งไหลลงนี่ ก็เปรียบไปตามแบบง่ายๆธรรมดา ก็มีความสะดวกในการคมนาคม ไม่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ คือมียานพาหนะที่ดีเหมือนอย่างที่กำลังมีอยู่สมัยนี้ เพราะว่าโลกชนิดนั้นของพระพุทธเจ้าชื่อศรีอริยเมตไตรยนั้นเจริญอย่างยิ่งทั้งทางฝ่ายจิตใจและฝ่ายวัตถุ ไม่มีการเบียดเบียน สะดวกสบายไปหมดและมีใจคอที่สงบเย็น ไม่มีกิเลส นี้เรียกว่าเจริญทั้งทางฝ่ายจิตใจและทางฝ่ายวัตถุ โลกของพระพุทธเจ้าเท่าที่เรารู้จักกันแล้วๆมาแต่หนหลังนั้น จะเห็นได้ว่า จะมีความเจริญในทางจิตใจเสียมากกว่า เพราะเป็นในยุคที่ไม่เจริญทางวัตถุ
ทีนี้ เดี๋ยวนี้ ไอ้โลกปัจจุบันนี้ มันมีแต่ความเจริญแต่ในทางวัตถุ กำลังหลงใหลเป็นบ้าเป็นหลังแต่ความเจริญทางวัตถุ จนลืมเรื่องทางจิตใจ จึงไม่มีศีลธรรม เพราะว่าไอ้ความเจริญทางวัตถุนี่ มันเป็นสิ่งสนุกสนานเอร็ดอร่อย เป็นเครื่องล่อให้หลงใหลยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที จนมันก็ลืมไอ้เรื่องทางธรรมไปเอง กิเลสมันครอบงำแล้วมันก็ลืมธรรมะไปเอง แล้วก็เป็นกันอย่างนี้มากขึ้นๆ จนเป็นกันไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก แล้วก็ไม่ต้องมีใครว่าใครกัน เพราะชอบเหมือนกันไปหมด
ขอให้เหลือบดูสักนิดหนึ่งว่า ในโลกนี้ เวลานี้ ที่ไหนบ้าง ที่พูดกันเรื่องศีลธรรม คำว่าศีลธรรมจะหายไปๆจากคำพูดของมนุษย์ที่พูดกันอยู่ในประจำวัน มีเรื่องอื่นมาแทนเต็มไปหมด แล้วเป็นเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น เรื่องที่สนองความต้องการของกิเลสทั้งนั้น ไม่มีการควบคุมกิเลส หรือไม่มีการควบคุมวัตถุ ซึ่งเราจึงได้พบแต่ เห็นแต่ภาวะที่ไร้ศีลธรรม ก็เป็นเหมือนกันทั้งโลก แล้วเราจะเอาใครที่ไหนที่มีศีลธรรมมาเป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ กระทั่งเป็นข้าราชการ กระทั่งเป็นราษฎร
เราไม่มีคนที่มีศีลธรรมมาเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม หน่วยหนึ่งของสังคมเพื่อรวมกันเป็นโลก มันก็เป็นโลกที่ไร้ศีลธรรม แม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์ จนพอที่จะพูดได้ว่าส่วนมากมันเป็นอย่างนั้น จึงเรียกว่าเป็นโลกที่ไร้ศีลธรรมยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที คนที่จะมีศีลธรรมอยู่บ้าง มันก็เหลืออยู่น้อยเกินไปจนไม่แสดงบทบาทอะไรได้ ฉะนั้นบทบาทที่มันแสดงอยู่ตามถนนหนทางจึงเป็นภาวะไร้ศีลธรรม อย่างความไม่ปลอดภัยในนครหลวงมากยิ่งกว่าในป่าในดงเสียอีก ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยอันธพาล มีปืน มีลูกระเบิดเป็นเครื่องมือ ตัดสินกันด้วยพละกำลัง ในสนามกีฬาก็มีแต่อันธพาล เห็นแก่ตัว เห็นแต่ความชนะของตัว ไม่มีระเบียบ ไม่มีกติกา ไม่มีความเป็นนักกีฬา ยิ่งเล่นกีฬา ยิ่งไม่มีความเป็นนักกีฬา เพราะมันไร้ศีลธรรมนั่นเอง ไอ้คนเล่นกีฬาเหล่านั้นมันไร้ศีลธรรม มันก็ทำลายกติกาของกีฬาไปหมด แล้วก็ยิ่งเล่นกีฬาอย่างนี้ ก็ยิ่งไม่เป็นนักกีฬา ไม่อดออมยอมแพ้
ภาษาพูดในวงนักกีฬา มีภาษาป่าเถื่อนเลวทรามที่สุดคือคำว่าแก้แค้น นักกีฬาประเภทนั้น ประเทศนั้นแก้แค้นนักกีฬาประ ประเทศนี้ มีอยู่เสมอๆ ได้อ่านได้ฟังอยู่เสมอ ภาษาที่เลวที่สุดของนักกีฬาคือคำว่าแก้แค้น ก็มีอาการแก้แค้น แล้วก็มีการเชียร์พวกของตัว โรงเรียนไหนเล่นกีฬาก็มีไอ้นักเรียนของโรงเรียนนั้นไปคอยเชียร์พวกของตัว ไปนึกสาปแช่งอิจฉาริษยาอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่ากองเชียร์ นี่คือความเลวทรามของกีฬา ถึงเมื่อก่อนมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อตัดสินกีฬาชนะ ด้วยมันมีกำลัง ใช้พละกำลัง ทำ เช่นว่า ฟุตบอล ถ้าทำลูกเข้าประตูได้ก็เรียกว่าชนะ แต่ไม่ดูความเลวทราม อันธพาล ที่มันดุร้ายในการเล่นนั้น ไม่เอามาเป็นเครื่องวัดหรือตัดสิน
ที่จริงการเล่นกีฬานี่ ควรจะตัดสินให้เป็นกีฬา ใครแสดงน้ำใจนักกีฬามากก็ให้ฝ่ายนั้นชนะ ไอ้ลูกบอลจะเข้าประตู ไม่เข้าประตู ไม่สำคัญ เช่น เล่นกีฬาไปจะมีกรรมการคอยตรวจจับไอ้ความเป็นน้ำใจนักกีฬาของแต่ละคนแต่ละฝ่ายไป เสร็จแล้วก็รวมคะแนนให้ฝ่ายที่มีคะแนนมากเป็นผู้ชนะกีฬาเกมนั้นๆ อย่างนี้จึงจะเป็นน้ำใจนักกีฬามากขึ้นทุกที แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้มันเป็นมนุษย์ที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส มันก็เอาความมุทะลุบุบัน ดุดัน ทำให้เกิดการชนะอย่างที่เรียกว่า คนมุทะลุดุดันนั้นมันจะชนะได้ ไม่ต้องมีอากัปกิริยามารยาทของความเป็นนักกีฬา นี่การศึกษาที่มันไม่รู้จักค่าของศีลธรรม มันทำให้เกิดกีฬาประเภทนี้ ก็เป็นกันทั้งโลก
นี้ไปดู จะเล่นกีฬากันที่ไหน ระหว่างชาติหรือในชาติก็ดี มันเอาการแพ้ชนะกันอย่างที่เรียกว่าใช้ความมุทะลุดุดัน ไม่วัดกันด้วยความเป็นนักกีฬาอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว มันยิ่งเล่นกีฬา ก็ยิ่งไม่เป็นนักกีฬา ยิ่งไม่มีศีลธรรม นี่เรียกว่าการศึกษาที่เป็นองค์ประกอบของการเล่นกีฬานี้ก็ไม่ ไม่ช่วยให้มีศีลธรรม การศึกษาแท้จริงก็มีแต่วิชาความรู้ซึ่งไม่เกี่ยวกับศีลธรรม พอเรียนจบก็ไม่มีศีลธรรม แล้วไปได้ไอ้ความทะเยอทะยานในการที่จะชนะในทางกำลังหรือได้วัตถุเป็นใหญ่ จึงมาประกอบอาชีพอย่างเห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่ตัวก็แข่งขันกัน ไม่เท่าไรก็ต้องทำลายล้างกันเป็นพวกๆไปเลย คำว่าพรรคหรือคำว่าพวก มันก็เป็นเรื่องของคนรวมพวกเพื่อประโยชน์ของตัวทั้งนั้น นี่โลกเรากำลังเป็นโลกที่เจริญด้วยวัตถุอย่างเดียว ไม่เจริญด้วยคุณธรรมทางจิตใจยิ่งขึ้นทุกที
อาตมากล่าวอย่างนี้ก็มีคนไม่เห็นด้วย และยิ่งกว่านั้นก็มีคนด่า ว่ามองในแง่ร้ายบ้าง หรือว่าพูดสามหาวบ้าง อะไรบ้าง อาตมาก็ยังคงยืนยันว่า เรากำลังมีโลกที่เจริญไปทางวัตถุ ไม่มีความเจริญทางคุณธรรม ในด้านจิต ด้านวิญญาณให้เพียงพอที่จะควบคู่กันไป ฉะนั้นจึงไม่มีหวัง ที่จะมีโลกของพระศรีอารย์ ทั้งที่มีวัตถุก้าวหน้าเจริญ จะเป็นของทิพย์ของเทวดาไปแล้ว มีเครื่องกิน เครื่องเล่น เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องมือการคมนาคมอะไรต่างๆ กำลังก้าวหน้ายิ่งขึ้นทุกที จะเป็นของทิพย์ของสวรรค์ไปแล้วนี่ จะไปทางวัตถุสูงสุด ทีนี้ทางจิตทางวิญญาณไม่มี เพราะจิตไปเป็นทาสของกิเลสที่ลุ่มหลงในวัตถุนั้นเสียหมด เป็นว่าเรากำลังมีโลกที่ก้าวหน้าแต่ทางวัตถุอย่างเดียว ไม่ก้าวหน้าในทางจิตทางวิญญาณกันเสียเลย แล้วเมื่อมองดูทีเดียวก็ครบ ๓ แบบ โลกสมัยหนึ่งมีโลกที่ประกอบอยู่ด้วยความสมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทาง ทางฝ่ายจิตใจ ทีนี้โลกสมัยหนึ่งสมบูรณ์แต่ทางจิตใจไม่สมบูรณ์ทางวัตถุ โลกสมัยหนึ่งสมบูรณ์ในทางวัตถุไม่สมบูรณ์ทางจิตใจเอาเสียเลย เป็น ๓ แบบด้วยกัน โลกปัจจุบันนี้กำลังก้าวหน้าทางวัตถุอย่างเต็มที่ ถ้าสามารถทำให้ศีลธรรมกลับมาเท่านั้น ไอ้ความสมบูรณ์ทางจิตใจแล้ว โลกนี้ก็จะกลายเป็นโลกพระศรีอารย์ได้ในเวลาไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ชั่วโมงก็ได้
ถ้าครูบาอาจารย์ทั้งหลายสามารถทำให้คนในโลกนี่ มันเป็นมีคน เป็นคนมีศีลธรรมขึ้นมาได้ภายใน ๑ ปีนี้ โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอารย์ขึ้นมาภายใน ๑ ปี คือทางวัตถุมันดีอยู่แล้ว มันเกินอยู่แล้ว มันเฟ้ออยู่แล้ว นี้พอทำทางไอ้จิตใจ ทางคุณธรรมให้ดีขึ้นมา มันก็ดีเต็มทั้ง ๒ ฝ่าย อยู่กันด้วยความสงบสุขที่สุดในโลกที่มีวัตถุอันเจริญ ฉะนั้นเราสร้างโลกพระศรีอารย์ได้ชั่วเวลาที่เราทำให้โลกนี้กลับมีศีลธรรม ฉะนั้นอาตมาจึงพูดย้ำแล้วย้ำเล่าอย่างไม่กลัวว่าคนอื่นเขาจะรำคาญ พูดแต่ว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม การกลับมาแห่งศีลธรรม พูดกันในแง่นั้น พูดกันในแง่โน้น เพื่อการกลับมาแห่งศีลธรรม การที่อาตมา การที่ เรื่องที่กำลังกล่าวอยู่นี้ก็เป็นเรื่องของการ การกลับมาแห่งศีลธรรมอย่างที่ได้บอกแล้วตั้งแต่เริ่มพูด ว่าขอพูดกับครูบาอาจารย์ทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวการกลับมาของศีลธรรม ขอได้โปรดจำคำนี้ติดไปด้วย เอาไปคิดไปนึกว่ามันจำเป็นไหม ที่จะต้องมีการกลับมาแห่งศีลธรรม มันเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ไหม ที่จะช่วยให้มีการกลับมาแห่งศีลธรรม ถ้าไม่เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์แล้วจะเป็นหน้าที่ของใคร
ถูกแล้วล่ะ มันจะต้องเป็นหน้าที่ของทุกคน แต่มันจะเป็นหน้าที่ของคนพวกไหนมากกว่า คือคนจะมองเห็นว่ามันเป็นหน้าที่ของไอ้บุคคลประเภทครูบาอาจารย์ เพราะว่าโลกนี้มันสร้างขึ้นมาโดยบุคคลประเภทครูบาอาจารย์ แล้วแต่ว่าครูบา ครูบาอาจารย์จะสอนหรือจะไม่สอน ครูบาอาจารย์จะสอนอย่างไร เมื่อเขาจัดให้ครูบาอาจารย์สอนอย่างไรไอ้โลกนี้มันก็จะเป็นไปตามสมควรแก่การสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เราจึงมองดูที่ระบบการศึกษาที่จัดขึ้นในโลกนี้มันเป็นอย่างไร มันหนักไปทางไหน มันขาดอะไร หรือมันเกินอะไร
เราจะมองเห็นได้ทันทีว่าปัญหาเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้มันเนื่องอยู่ด้วยสิ่งนี้ คือระบบของการศึกษาที่มันเป็น เป็นไปถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือไม่ กฎของธรรมชาติมันมีอยู่ตายตัวแก้ไขไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนี้ ผลจะต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้น ผลจะต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น และทำอย่างนั้น แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนั้น ตามกฎของธรรมชาติอย่างตายตัว เดี๋ยวนี้เราไปทำในลักษณะที่ทำให้เสื่อมทรามทางศีลธรรม ทำให้เกิดแต่ความระส่ำระสายวุ่นวายไม่มีความสงบ มันก็ไม่มีความสงบ แล้วจะไปโทษใคร ขอให้มองเห็นกันเสียทุกคนจะดีกว่าว่ามันแล้วแต่ว่าการศึกษาจะจัดไปในรูปไหน แล้วโลกมันก็จะมีขึ้นมาในลักษณะที่เป็นผลของการศึกษาตามที่จัดไปนั้นเอง
มันน่าเสียดายที่ว่า เรามันมีอายุกันน้อยเกินไป คนหนึ่งอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี ก็เห็นชั่ว ๑๐๐ ปี แต่ก็ยังดี พอจะเข้าใจอะไรได้มาก เดี๋ยวนี้เราก็มีอายุ สมมุติว่า ๑๐๐ ปี ก็เป็นเด็กไม่รู้อะไรเสียหลายปี ก็เห็นในระยะอันสั้น ไม่มากพอที่จะเปรียบเทียบ หรือยิ่งถ้าเดี๋ยวนี้มีอายุ ๓๐-๔๐ ปี ก็ยิ่งเห็นระยะสั้น ไม่พอที่จะเปรียบเทียบ อาตมามีอายุ ๗๐ ปี ก็มีระยะที่จะเห็นอะไรเพื่อการเปรียบเทียบได้ก็สัก ๔๐-๕๐ ปี ก็รู้สึกว่ามันเปลี่ยนมากเหลือเกิน ที่กรุงเทพ ฯ นั่นแหละ เคยไปมาเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อนโน้น มันไม่ใช่เป็นอย่างกรุงเทพ ฯ เดี๋ยวนี้ มันยังเป็นกรุงเทพ ฯ ที่มีความสงบและปลอดภัยอยู่มาก ไม่หนวกหู ไม่เหม็น ไม่ร้อน ไม่อะไรเหมือนกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ นี่ความเปลี่ยนแปลงมันมีทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายจิตใจ ไม่มีโจรขโมยมากเหมือนเดี๋ยวนี้ หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ยังได้
แต่ถ้าคนอายุลดลงมา ๓๐-๔๐ ปี ยิ่งเห็นความเปรียบเทียบนี้น้อยมาก ขอให้เป็นพยานเถิด ถ้าไม่ได้เห็นได้เอง ก็ขอให้เห็นด้วยการศึกษาแล้วทำการเปรียบเทียบ เพราะบ้านเมืองมันเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะการเปลี่ยนของอะไร ตอบกำปั้นทุบดิน เพราะการเปลี่ยนของการศึกษาอบรม การนิยมที่เรียกกันว่าค่านิยม รสนิยม หรือว่าจุดยืน หรืออะไรต่างๆ ซึ่งเห่อไปใช้คำใหม่ๆ กัน พูดแต่ปาก ไม่ ไม่แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ทำผิดในสิ่งเหล่านี้แหละ มันมีค่านิยมที่ตั้งไว้ผิด มีรสนิยมที่นิยมกันผิด มีจุดยืนที่ไม่ถูกต้อง คือเป็นบ่าว เป็นทาสของกิเลสไปเสียหมด ไม่มีจุดยืนที่มั่นคงอยู่ในศีลในธรรม ก็เพราะอะไร เพราะมันเฮกันไปทั้งโลก ทำไมเฮกันไปได้ทั้งโลก เพราะการศึกษาในโลกมันมีอย่างนั้น มันจึงทำให้คนเป็นอย่างนั้น เลยไม่ต้องมีใครว่ากล่าวใคร มันเหมือนกันไปหมด แต่ว่าทุกคนก็ต้องการความสงบ สันติสุข หรือสันติภาพ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองก็กำลังเป็นผู้ที่ทำผิดกับเขาคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน ที่เฮไปนิยมในสิ่งที่มันเป็นบ่าวของกิเลส เป็นทาสของกิเลส แล้วก็ทำคนเหล่านั้นให้เห็นแก่ตัว เป็นอันธพาลทั้งภายนอกและภายใน
เราไม่ได้รัฐบาลที่ดี ไม่ได้สภาผู้แทนฯ ที่ดี ไม่ได้ข้าราชการที่ดี ไม่ได้พลเมืองที่ดีกันทั้งโลกนี่ ก็เพราะว่าความไม่มีศีลธรรมที่ได้ถูกปล่อยปละละเลยให้เสื่อมลงๆ โดยไม่รู้สึกตัว มันก็เลยไม่โทษใครได้ ก็มันเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว ใครจะแก้ปัญหานี้ เอ้า, สมมุติว่ามีผู้มีปัญญามาเห็นปัญหาอันนี้ และคิดแก้ปัญหาอันนี้ได้ แต่แล้วในที่สุด เขาก็ต้องมามอบหมายให้ครูบาอาจารย์นั่นแหละ มันไม่มีใครที่ไหนที่จะเป็นจุดตั้งต้นของการสร้างจิต สร้างวิญญาณของมนุษย์ในโลกกันเสียใหม่
เพราะฉะนั้น ไอ้งานนี้มันก็ถูกมอบหมายให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปรับ ไปรับ ไปทำกันเสียใหม่ตามแนวการศึกษาแบบนี้ รูปนี้ ซึ่งยึดถือเอาศีลธรรมเป็นหลักยิ่งกว่าที่จะสอนหนังสือหนังหาอย่างหลับหูหลับตา สอนให้ฉลาด สามารถ แต่ไม่ได้สอนให้มีศีลธรรม แล้วความฉลาดสามารถนั้นก็ถูกนำไปใช้ในทางเอาเปรียบผู้อื่น คดโกงผู้อื่น หรือที่ดีที่สุดก็ เขาใช้ความฉลาดสามารถนั้นไปเป็นบ่าวของกิเลส ไปเป็นทาสของกิเลส ไปลุ่มหลงเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ยิ่งฉลาดสามารถมาก มันก็ลุ่มหลงได้มาก ไอ้ความฉลาดสามารถเหล่านั้นมันก็เป็นพิษเป็นภัยมาอย่างที่เราเห็นๆอยู่ มีสติปัญญา มีทรัพย์สมบัติ มีกำลังอะไรก็ตาม ไปใช้เพื่อบำรุงกิเลส หนังสือก็รู้มาก ฉลาดมาก ก็รู้เพื่อจะบำรุงกิเลส มันจึงเกิดอาการที่น่าสลดสังเวชอย่างยิ่งขึ้นมา เป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็นว่า ในสมัยที่มนุษย์ไม่รู้หนังสือกลับมีความสงบสุขยิ่งกว่าในยุคที่มนุษย์รู้หนังสือ อย่างในยุคพุทธกาล คนไม่รู้หนังสือ ไม่ค่อยรู้หนังสือ เพราะไม่มีการใช้หนังสือ จนพูดได้ว่าไม่รู้หนังสือ เพราะไม่มีการใช้หนังสือ แต่คนยังมีความสงบสุข สันติสุข สันติภาพอยู่มากกว่ายุคที่รู้หนังสือ เฉลียวฉลาด ไวเป็นกรดไปเลย
ทีนี้ดูต่อไปอีกทีหนึ่งก่อนพุทธกาล ให้ไปถึงสมัยที่เรียกว่ายังเป็นสมัยคนป่า มันก็ยิ่งพบไอ้ความสงบสุขมาก นั่นไม่ต้องพูดถึงหนังสือหรอก คนป่าสมัยนั้นจะรู้หนังสือ จะเรียนหนังสือได้อย่างไร ก็อยู่อย่างธรรมชาติ ไม่ ไม่เอาส่วนเกิน เพราะมันไม่มียุ้งฉาง ไม่มีธนาคารอะไรจะเก็บ ได้แต่ใส่ท้องไปวันๆหนึ่ง มันก็ทำงาน หากิน เหนื่อยแล้วมันก็นอน มันก็อยู่อย่างกันเป็นผาสุก มีความสันติสุขหรือผาสุกในหมู่คนที่ไม่รู้หนังสือเหล่านั้น ยังเป็นคนป่า แม้ว่ายังไม่นุ่งผ้าด้วยซ้ำไป อย่าเข้าใจว่าคนป่าไม่นุ่งผ้ามันจะทารุณโหดร้ายเหมือนกับสัตว์ป่า มันไม่เป็นอย่างนั้น มันก็มีไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบง่ายๆ ที่เรียกกันว่า taboo บ้าง อะไรบ้าง มันก็ถือกันอย่างเคร่งครัด เขาถืออย่างเคร่งครัด เพราะเขาไม่มีความฉลาด ไม่มีความรู้อะไรที่จะไปทำให้มันยุ่งยากลำบาก ถือก็ถือกันอย่างเคร่งครัด คำว่า taboo นี้มันยิ่งกว่ากฎหมายหรือมันยิ่งกว่าบาปเสียอีกกระมัง เมื่อไอ้คนผู้รู้ ครูบาอาจารย์เขาได้บัญญัติไว้อย่างนี้เป็นบาป เป็น taboo ก็ถือกันอย่างเคร่งครัด มันก็อยู่กันเป็นผาสุก ทั้งที่ไม่รู้หนังสือ นี่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อที่อาตมาพูดนี้ก็ขอให้ได้นำไปพิจารณาด้วยว่าในสมัยที่ไม่รู้หนังสือ ไม่ค่อยรู้หนังสือกลับมีสันติสุข สันติภาพ ยิ่งกว่าสมัยที่เจริญด้วยความรู้ทางหนังสือ
เอากรุงเทพ ฯ เป็นหลักกันก็ได้ เอ้า, สมัยเมื่อแรกสร้างกรุงเทพ ฯ ไม่ค่อยมีการศึกษาอะไรนัก คนไม่ค่อยรู้หนังสือ กับเดี๋ยวนี้คนรู้หนังสือมาก สมัย ๒ สมัยนี้สมัยไหนมันอยู่ด้วยความสงบสุขยิ่งกว่ากัน อาตมาขอยืนยันว่า เมื่อสัก ๕๐ กว่าปีมานี้ เมื่อยังเป็นฆราวาสไปกรุงเทพฯ ยังพบความปลอดภัย ความสงบ ดึกดื่นไปเที่ยวคนเดียวได้ ไม่มีอันตราย ไปธุระคนเดียวได้ อยู่ทางทรงวาด ต้องนั่งรถเจ๊กไปกับเจ๊กคนเดียวไปขึ้นรถไฟที่ เอ้อ, ข้ามคลองที่ท่าพระจันทร์ไปบางกอกน้อย ไม่เจอใครเลย ก็ยังปลอดภัยเหลือประมาณ เป็นเวลาตี ๓ ตี ๔ เพราะรถไฟมันออกก่อนสว่าง แต่เดี๋ยวนี้ก็ทำไม่ได้ เป็นว่า เป็นไปไม่ได้อย่างนั้น เต็มไปด้วยโจรขโมย
ขอฝากไว้ให้นำไปคิดดูว่า ไอ้สมัยที่เขาไม่ค่อยรู้หนังสือกันกลับมีสันติสุข สันติภาพ ยิ่งกว่าในสมัยที่รู้หนังสือ นี่ท้าทายทั้งโลก เพราะมัน มันอยู่ในสภาพอย่างนี้กันทั้งนั้น สมัยที่มันไม่รู้หนังสือ ไม่ค่อยสนใจหนังสือ มัน แต่มันติดอยู่กับศาสนา ติดอยู่กับธรรมะมาก แต่ก่อนมีศาสนา มันก็ติดอยู่กับระบบข้อห้ามต่างๆ ซึ่งเราหาว่างมงาย ซึ่งเราจัดเขาว่าเป็นคนงมงายนั่นแหละ เขาติดอยู่กับสิ่งนั้นได้โดยไม่ทำบาป ไม่ทำชั่ว และมีศีลธรรมดี
ฝรั่งคนหนึ่งเขียนไว้ในหนังสือของเขาที่เขาแต่งขึ้น หลังจากที่ไปสำรวจไอ้คนประเภทที่เรียกกันว่าเงาะป่า ในป่า ในภูเขา ระหว่างจังหวัดพัทลุงกับจังหวัดตรัง เขาเขียนไว้หลายอย่าง น่าสนใจมาก แต่ที่อาตมาสะดุดใจและจะเอามาพูดนี้ก็คือว่า เมื่อเขาได้สอบถามทดสอบอะไรต่างๆ แล้ว มันยังเหลืออยู่แต่เรื่องเพลงกับดนตรี เขาขอร้องคนป่านั้น เงาะ เงาะป่าเหล่านั้น ร้องเพลงและเล่นดนตรี มันไม่ยอมเล่น จะให้เงินเท่าไรๆ มันก็ไม่ยอมเล่น ไม่ยอมร้องเพลง มันบอกว่าญาติหรือพี่ พี่หรือพ่อเพิ่งตาย ฝังหลุมอยู่ตรงนี้ เพิ่งกลบหลุม เป็นระยะที่จะร้องเพลงไม่ได้ จะเล่นดนตรีไม่ได้ จะคะยั้นคะยอกันเท่าไร มันก็ไม่ยอมร้องเพลงและเล่นดนตรี เอากับพวกเงาะป่าสิ ฝรั่งต้องยอมแพ้ ต้องเลิกคะยั้นคะยอ
นั้นก็คือเขาเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี หรือที่จะเรียกได้ว่าศีลธรรมก็ได้ เมื่อพ่อแม่ตายลงนี้มันก็ควรจะมีการเคารพ ให้เกียรติ หรือ หรือว่าบูชาเป็นพิเศษ มันจึงไม่ร้องเพลง จึงไม่เล่นดนตรี แล้วก็ดูคนสมัยนี้สิ พ่อแม่มันตาย มันร้องเพลง กินเหล้า รำวง ใส่หน้าศพพ่อแม่มันในโลง แม้ในกรุงเทพฯ ก็มี ขอให้เปรียบเทียบดูให้ดีเถิดว่ามัน มันต่างกันอย่างไร มันมีจิตใจต่างกันอย่างไร ฉะนั้นอย่าไปดูถูกว่าเมื่อเขาไม่รู้หนังสือ แล้วเขาก็จะไม่มีศีลธรรมนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขาไม่รู้หนังสือ เขาจะยิ่งมีศีลธรรม เพราะเขาไม่มีที่ยึดหน่วงอย่างอื่น เขาก็ต้องกลัวฟ้า กลัวเทวดา กลัวพระเป็นเจ้า กลัวผี กลัวอะไรที่ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหตุให้ยึดถือมั่นในระบบประเพณี หรือกฎศีลธรรม กฎบัญญัติต่างๆ เขาก็เลยมีศีลธรรมดี ฉะนั้นขอให้สนใจว่า นี่ มันเป็นอย่างไร ยิ่งรู้หนังสือ ยิ่งมีศีลธรรม ได้ไหม ยิ่งไม่รู้หนังสือ ยิ่งมีศีลธรรม ได้ไหม หรือมัน มันควรจะอยู่กันอย่างไร อาตมาอันนี้ต้องการว่า หนังสือก็ยิ่งรู้ ศีลธรรมก็ยิ่งมี หนังสือก็ยิ่งรู้ ศีลธรรมก็ยิ่งมี ทีนี้เจริญทั้ง ความเจริญทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจควบคู่กันไป ก็เป็นโลกพระศรีอารย์ขึ้นมาที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรออีกสี่อสงไขย แสนกัป หรือว่าเป็นกัป กัปอย่างที่เขาพูดกัน
ถ้าเราเปลี่ยนได้ มันก็มีการเปลี่ยน ถ้าเราทำการเปลี่ยน มันก็มีการเปลี่ยน เมื่อเรามีศีลธรรมมาก ไอ้ความต้องการมันก็มีน้อย กิเลสมันก็มีน้อย วันคืนมันยาว ที่เขาพูดว่าในสมัยพระศรีอารย์ มนุษย์คนหนึ่งๆ มีอายุยืนตั้ง ๘๐,๐๐๐ ปี คนสมัยนี้ก็หัวเราะเยาะว่าไอ้บ้า ไอ้ตัวเองมันโง่เอง บ้าเองไม่รู้ คนโบราณเขาพูดอะไรไว้เพื่อให้คนสมัยนี้เป็นคนโง่ ช่วยจำไว้ด้วย อาตมาขอยืนยันอีกทีแทนคนโบราณ ว่าคนโบราณที่พูดไว้อย่างนั้น เขาพูด พูดไว้เพื่อให้คนสมัยนี้เป็นคนโง่ คนฉลาดอย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลายในโลกนี้แหละจะกลายเป็นคนโง่ เมื่อฟังคำพูดของคนโบราณชนิดนั้น เช่น ที่เขาพูดว่าคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วเวลานั้นมีพระศรีอารย์มาเกิด แล้วโลกพระศรีอารย์เป็นอย่างนั้นๆ นี่เขาพูดอย่างเทียบ เทียบไอคิว คนมีกิเลสน้อย มีความต้องการน้อย วันคืนมันยาว คนมีกิเลสมาก ตัณหามาก ราคะมาก วันคืนมันสั้น จริงไหม เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักก็แล้วกัน มีความอยากมาก กิเลสมาก ตัณหามาก ราคะมาก มันจะรู้สึกว่าเวลามันสั้น ไม่พอ พอไม่มี ไม่มีกิเลสตัณหา วันคืนมันก็ยาว ยาวจนไม่มี ยาวจนเกินเราเรียกว่า ไม่มี ไม่มีสิ้นสุดก็ได้ ถ้ามันสิ้นตัณหาเรื่องกิเลสอย่างจริงๆ เหมือนพระอรหันต์นั่น ในความรู้สึกของท่านนั้น วันคืนมันไม่มี มันไม่ต้องการอะไร ฉะนั้นถ้าเรามีความอยาก ความต้องการเท่านี้ สมมุติว่ามีอายุยืนร้อยปี ถ้าความอยากมันลดน้อยลงไปกว่านั้นอีก เราก็เท่ากับมีอายุยืนพันปี ลดลงไปอีกก็เท่ากับหลายพันปี หมื่นปี หลายหมื่นปี มันอยู่ที่กิเลสตัณหามากหรือน้อยต่างหาก ฉะนั้นเมื่อคนมันมีกิเลสตัณหาน้อยมากจนทำให้เวลานี้รู้ รู้สึกว่าเหมือนกับมันยาวมาก นั่นแหละคือเวลาที่คนมันมีอายุยืนพันปี หมื่นปี แปดหมื่นปี ก็เลยสบายในทางจิตใจ ไม่เร่าร้อนด้วยความอยากหรือกิเลส
ทีนี้ ทางวัตถุมันก็มี เพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้มันมากเกินกว่าที่จำเป็น ถ้าคนมีธรรมะมากขึ้นจริงแล้ว ไอ้วัตถุอุปกรณ์ทั้งหลายเหล่านี้ที่มีอยู่ในโลกจะถูกงดใช้ลงมากกว่านี้ เช่น เรือบินใหญ่ๆ ดีๆ เต็มไปในโลกเวลานี้ ที่ใช้กันว่อนจนไม่พอใช้นั้น เพราะว่าคนมันมีกิเลส มีตัณหา มีความต้องการมาก จนเรือบินเป็นพันนี้ก็ไม่พอใช้ พอถึงสมัยที่คนมันมีธรรมะมาก มันก็ไม่ต้องการอะไร มันก็ไม่ต้องการไปไหน มันไม่จำเป็นจะต้องไปไหน ฉะนั้นเรือบินเหล่านี้จะจอดอยู่เป็นแถว หรือถูกทิ้งให้ผุพังไปเลย มันไม่ต้องการจะไปไหนให้มันยุ่งยากลำบากบ้าๆ บอๆ ไปถกไปเถียงกันเพื่อเอาประโยชน์ให้แก่ตัวหรือพวกของตัวทั้งนั้นแหละ
ที่ไปประชุมกันระหว่างชาติ เพื่อไปต่อสู้ รักษาประโยชน์ แย่งชิงประโยชน์ให้แก่กันและกันทั้งนั้น จัดการศึกษา ไปประชุมจัดการศึกษา ก็เพื่อให้มันเป็นไปในทางที่จะได้เปรียบคนอื่นเพื่อแย่งชิงประโยชน์ทั้งนั้น ฉะนั้นการศึกษายิ่งจัดก็ยิ่งเจริญทางวัตถุนี้ ก็ทำให้คนมันไม่มีศีลธรรมมากขึ้น ฉะนั้นเมื่อไรไอ้กระทรวงศึกษาในทุกๆประเทศในโลกนี้เปลี่ยนกันเสียใหม่ สอนศีลธรรมควบคู่กันไปกับการศึกษา เมื่อนั้นโลกพระศรีอารย์ก็จะกลับมา แล้วเราก็จะไม่ต้องลำบากยุ่งยากด้วยอันธพาลเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เห็นมีอันธพาลทั่วไปหมด ในคณะรัฐบาลก็มีอันธพาล ในสมาชิกสภาฯ ก็มีอันธพาล ในข้าราชการก็มีอันธพาล ในวัดในวานี้ก็มีอันธพาล ในหมู่ชาวบ้านก็มีอันธพาล ที่ไหนๆก็มีอันธพาลทั่วไปทั้งโลก แล้วจะอยู่เป็นสุขกันได้อย่างไร
ต้องจัดการศึกษาให้มันมีศีลธรรม แล้วมันก็ละอายความชั่วจนเกิดอันธพาลไม่ได้ มีแต่บัณฑิต มีแต่สัตตบุรุษ ทำอะไรไป เคลื่อนไหวไป ก็มีแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นทั้งนั้น นี่ โลกของพระศรีอารย์คืออย่างนี้ สำเร็จมาแต่การศึกษาที่ถูกต้อง คือการศึกษาที่มีทั้งเป็นไปเพื่อความเจริญทางวัตถุด้วย กับความเจริญทางจิตใจด้วย ก็เต็มไปด้วยศีลธรรม นี่คือภาวะที่เรียกว่าศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมา อาตมาขอร้องท่านทั้งหลายให้ช่วยจำคำนี้ไปด้วย และอย่าจำไปเปล่า จำไปเพื่อพยายามกันคนละไม้คนละมือตามความสามารถของตนๆ เพื่อว่าให้ศีลธรรมนี้กลับมา แล้วท่านก็จะนอนตาหลับ อย่างที่ได้เรียกว่านอนไม่ต้องปิดประตูเรือน เหมือนที่กล่าวไว้ในสมัยของพระศรีอารย์
ทีนี้เราพิจารณาคำว่า พระศรีอริยเมตไตรย กันสักหน่อย ชั่วเวลาที่เหลือเล็กน้อยนี้
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเรียกชื่อกันในพระคัมภีร์พระบาลีว่า เมตไตรย เป็นภาษาบาลี หรือเป็น เมตฺเตยฺย เป็นภาษาสันสกฤต แต่เรามาเรียกกันเต็มที่ในภาษาไทย ในประเทศไทยเรานี้ว่า พระศรีอริยเมตไตรย ชื่อของท่านคือคำว่า เมตไตรย ไอ้ศรี เป็นเรื่องประดับเกียรติ อริยะก็เป็นคำคุณศัพท์ก็ชั้นเลิศชั้นประเสริฐ เมตไตรยนั่นแหละคือชื่อของท่าน เมตไตรย คือ เมตไตรยในภาษาบาลีธรรมดา ก็คือความเป็นมิตร มิตรนั้นเป็นรากศัพท์ของคำว่าเมตตา หรือจะถือว่าคำไหนเป็นรากศัพท์ เป็นต้นตอของคำไหนก็ได้ แต่รากศัพท์มันเหมือนกัน เมตตาก็ดี มิตตะก็ดี มันหมายถึงความมีเมตตา มีเมตตาจึงเป็นมิตร เมื่อมีมิตรก็ต้องเมตตา มันก็เลยมีใจความสำคัญอยู่ตรงที่ความเป็นมิตร เมื่อไรมีความเป็นมิตรร้อยเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้ เมื่อนั้นก็เป็นศาสนา เป็น เป็น เป็นเวลาในศาสนาของพระพุทธเจ้าอริยเมตไตรย
เดี๋ยวนี้คุณไปหาความเป็นมิตรที่ไหน ในโลกนี้ ระหว่างประเทศ เอ้า, มันก็ไม่มีความเป็นมิตร ระหว่างสังคมหน่วยๆ หนึ่ง ไอ้สังคมหนึ่ง มันก็ไม่มีความเป็นมิตร กระทั่งในครอบครัว มันก็หาความเป็นมิตรยาก สมัยนี้มีเครื่องทุ่นเกวียนกิเลสมาก เมียก็นอกใจผัว ผัวก็นอกใจเมีย หาความเป็นมิตรยากแม้แต่ในครอบครัว แล้วจะเอาอะไรกัน จะเอาความเป็นมิตรทั่วบ้านทั่วเมืองทั่วโลกได้อย่างไร เมื่ออยู่ใต้อำนาจของกิเลส จนแม้แต่ในครอบครัวก็หาความเป็นมิตรไม่ได้ เมื่อกิเลสครอบงำแล้ว คนก็จะไปรักชู้รักผัวมากกว่ารักลูกรักหลาน เป็นแน่นอน ถ้ากิเลสครอบงำถึงที่สุดแล้ว ขอให้คิดดูให้ดีเถิด ความเป็นมิตรจะมีไม่ได้แม้ในลูกตาดำๆ ถ้ากิเลสครอบงำแล้ว
แต่ทางศาสนาเขาต้องการถึงกับว่า ขอให้ทุกคนมีความรู้สึกอย่างจริงใจว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์เดรัจฉาน กระทั่งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตชนิดไหนระดับไหน จะรวมทั้งไอ้สัตว์เซลล์เดียวก็ได้ถ้าถือว่ามันมีชีวิต ก็ต้องเมตตากรุณาหรือมีความเป็นมิตรกับมัน สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วมันเป็นเพื่อนกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นอะไร เมื่อไรคนในโลกจะมีความรู้สึกอย่างนี้ ขอได้ช่วยนำไปคิดดูด้วย เมื่อไรความเป็นมิตรในระดับนี้จะมีขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเอาเปรียบ มีแต่การแย่งชิงโดยตรง โดยอ้อม อย่างบนดิน อย่างใต้ดิน อย่างลึกลับ อย่างเปิดเผย นั่นน่ะกิเลสเป็นเหตุให้หมดความเป็นมิตร ให้หมดความรักใคร่ กรุณาปราณีแก่กันและกัน คนยิ่งหนาไปด้วยกิเลสเพราะความก้าวหน้าทางวัตถุ ฉะนั้นอย่าบูชาความก้าวหน้าทางวัตถุเลย ควบคุมความรู้สึกทางวัตถุได้เท่าไร ก็จะมีธรรมะหรือความก้าวหน้าทางจิตใจได้ขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นอย่าตามใจกิเลส จงบังคับความรู้สึก ความรู้สึกมันรู้สึกไปตามอำนาจของกิเลสเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นต้องบังคับความรู้สึกไว้ก่อน มันก็จะอยู่ในร่องรอยของธรรมะ แล้วก็จะไม่เห็นแก่ตัว ก็จะเห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็จะรักผู้อื่น จะมีความเป็นมิตรกันทั้งโลกได้ตามความประสงค์ของศาสนา
ศาสนาคริสต์เตียนนี้ไปมากจนถึงกับว่าให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว รับใช้ผู้อื่นนั้นคือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเองคือรับใช้กิเลสหรือรับใช้มาร ถึงพุทธศาสนาก็บอกอย่างนั้น ให้รักผู้อื่นเหมือนกับที่รักตัว หรือมากกว่าตัวได้ก็ยิ่งดี เพราะมันเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัว เมื่อไรศาสนากลับมา เราก็จะมีความเป็นมิตรอันแท้จริงเพิ่มขึ้น แล้วไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีที่ตะโกนเรียกกันอย่าง อย่าง จน จน จนท่า จนตรอก มันจึงจะตะโกนหาความสามัคคี มันก็เป็นเรื่องหลอกๆ ถ้ามีธรรมะจริงๆมา แล้วคนก็จะรักกันจริง มีความเป็นมิตรจริง มีความสามัคคีจริง ช่วยกันต่อสู้กิเลสซึ่งเป็นศัตรูอันร้ายกาจ ไม่ใช่มาทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ช่วยกันทำลายศัตรูคือกิเลส แล้วศัตรูไหนๆ ก็จะไม่มีเหลืออยู่ในโลกนี้ นี่คือข้อที่ว่าศีลธรรมกลับมา พระศรีอารย์กลับมา พระศรีอริยเมตไตรยกลับมา คือความเป็นมิตรชนิดที่เรียกว่ารักผู้อื่นเท่ากับรักตัว ก็หมดปัญหาของมนุษย์
เป็นอันว่าเราพูดถึงปัญหาของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน แล้วก็พูดถึงทางรอดหรือทางแก้ปัญหาของมนุษย์นี้ ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวว่า การกลับมาแห่งศีลธรรม การกลับมาแห่งศีลธรรมคำเดียวจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ขอให้ทำให้มันมี คือมีการกลับมาแห่งศีลธรรม เวลาที่กำหนดไว้ก็หมดแล้ว อาตมาขอแสดงความยินดีที่ท่านทั้งหลายได้มาที่นี่ และขอแสดงความยินดีว่า ครูบาอาจารย์นี่จะเป็นผู้ที่ช่วยโลกให้รอด เพราะว่าเป็นผู้สร้างโลก ครูบาอาจารย์ผู้นำทางวิญญาณ พระพุทธเจ้าเป็นจอมอาจารย์นี้ จอมอาจารย์คือผู้นำทางวิญญาณ พระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลายก็ทำหน้าที่อันนี้ ก็จะเป็นผู้นำทางวิญญาณ นี่ก็เรามีการงานร่วมกัน เป็นฆราวาสก็ได้ เป็นบรรพชิตก็ได้ ถ้าทำงานร่วมกันในทางวิญญาณ
นี้ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาแห่งศาสนาของตนๆ แล้วแต่จะเป็นศาสนาไหนก็ได้ ว่าท่านเกิดมาเพื่อช่วยโลก ฉะนั้นเรานับถือท่านก็ต้องทำตามอย่างท่าน ก็ต้องทำตามอย่างท่าน คือช่วยๆ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่าเห็นแก่ตัวกู แต่ของกู ท่าเดียว ให้เห็นแก่ทุกคน ว่านั่นเป็นตัวกูใหญ่ เป็นตัวกูรวม ช่วยสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายให้รอดได้ตามความมุ่งหมายของศาสนาทุกศาสนา แล้วก็ขอให้เอาอย่างพระพุทธเจ้า อย่าเป็นทาสของกิเลสเลย นึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้าได้ง่ายที่สุด ถ้าท่านนั่งอยู่ที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ท่านกำลังนั่งกลางดิน ที่อาตมาบอกว่า นั่งกลางดินนี่ได้บุญ เพราะนั่งอาสนะของพระพุทธเจ้า ถ้าท่านเคยเรียนพุทธประวัติแล้วก็จะทราบได้เองว่าพระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน ที่สวนลุมพินี ประสูติกลางดิน แล้วท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็นั่งตรัสรู้กลางดิน ที่โคนต้นไม้ ที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง ท่านนั่งกลางดินตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อท่านนิพพานก็กลางดิน ที่อุทยานเที่ยวเล่นของกษัตริย์พวกหนึ่ง ท่าน ท่านตายกลางดิน ท่านสอนพระสาวกทั้งหลายก็สอนกลางดิน เดินทางอยู่ก็สอน ธรรมศาลาของท่านก็พื้นดิน นั่งพูดกันตรงไหนก็สอนกันตรงนั้น ท่านสอนศาสนาประกาศพระธรรม ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ก็นั่งกลางดิน แล้วชีวิตของท่านก็อยู่แบบกลางดิน ไม่จำเป็นก็ไม่เข้าไปในที่มุงที่บัง แล้วกุฏิของท่านก็พื้นดิน ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย พระอรรคคันธกุฎีทุกแห่งของพระพุทธเจ้านั้นพื้นดินทั้งนั้น ท่านเกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน เดี๋ยวนี้เราก็นั่งอยู่กลางดิน ทำไมไม่ระลึกนึกถึงข้อนี้บ้าง ทำไมเราจะต้องระลึกว่าจะต้องนั่งบนเก้าอี้ บนฟูกเบาะเมาะหมอน หรือมากไปกว่านั้นก็จะไปเกิดบนวิมาน ในสวรรค์วิมาน เกลียดดิน เกลียดกลางดิน ขอให้พยายามนั่งกลางดินให้มากที่สุด ทำโอกาสสำหรับการนั่งกลางดินให้มากที่สุด เมื่อนั้นใจคอจะสงบ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ง่าย แล้วเราก็จะเกิดความรู้สึกอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้าได้ง่าย แล้วเราก็จะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้าได้ง่าย แล้วเราก็จะเป็นผู้เจริญงอกงามในพระศาสนาของพระบรมศาสดาได้โดยง่าย ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์ที่ได้เจริญตามทางแห่งพระศาสนาของพระศาสดาของตนๆ
ในที่สุดนี้ อาตมาขออนุโมทนาและอวยพรแด่ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายทุกคน ขอจงได้มีความตั้งจิตใจ มั่นคงแน่วแน่อยู่ในทำนองคลองธรรม ในพระศาสนาของตนๆ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ แล้วก็จะมีความเจริญงอกงามอย่างนั้นได้จริง อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ