แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาได้รับคำขอร้องให้พูดเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ครู ผู้จะทำหน้าที่สอนศีลธรรม เรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ครูผู้สอนศีลธรรมนี้ อาตมา (นาทีที่ 00:59) จะไม่ได้พูดถึงวิชาครูหรือเกี่ยวกับหลักสูตรหรืออะไรทำนองนั้น เพราะเชื่อว่ารู้ดีกันอยู่แล้ว หรือจะรู้ดีกว่าอาตมาด้วยซ้ำไป แต่จะพูดถึงสิ่งที่จะทำให้ครูเกิดความพอใจสนุกสนานในการทำหน้าที่สอนศีลธรรม และมีท่านทั้งหลายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมิใช่ครู ถ้าได้ฟังข้อความเหล่านี้แล้วคงจะเกิดความแจ่มแจ้งในการที่จะให้ความร่วมมือ ให้ลูกเด็กๆ เหล่านั้นเขามีศีลธรรมได้ง่ายขึ้น ครูฝ่ายเดียวทำให้นักเรียนมีศีลธรรมเต็มที่ไม่ได้ มันเนื่องไปถึงผู้ปกครองหรือคนอื่นๆ ขอให้ถือโอกาสฟังไปด้วยกัน
คำแรกที่จะพูด ก็คือคำว่า “ครู” ถ้าครูมันไม่เป็นครู แล้วอะไรมันก็ไม่เป็นการศึกษา สั่งสอนอบรม มันเป็นเพียงลูกจ้าง ทำงานหากินไป วันหนึ่ง (นาทีที่ 02:55) วันหนึ่งๆ มันเป็นครูไม่ได้ มันต้องมีความเป็นครูที่ถูกต้อง มันถึงจะมีการสั่งสอนอบรมที่สำเร็จประโยชน์ นั่น (นาทีที่ 03:07) จึงต้องพูดกันถึงคำว่า “ครู” ก่อน
อาตมาอยากจะพูดว่าผู้ที่ได้มีอาชีพเป็นครูนี่นับว่าเป็นผู้มีบุญ คือได้บุญด้วย ได้อาชีพด้วย อาชีพทั้งหลายโดยมากนั้นมันก็เป็นอาชีพ ทำเข้า (นาทีที่ 03:40) แล้วก็ได้เงินหรือว่าได้สิ่งที่เป็นความมุ่งหมายของการประกอบอาชีพ แต่ถ้ามีอาชีพเป็นครู หรืออาชีพอะไรอีกบางอย่าง สองสามอย่าง มันจะ ไม่ได้ อ้า, มันอ้า, มันจะ (นาทีที่ 03:58) ไม่ใช่ได้รับแต่ผลของอาชีพ แต่มันได้บุญด้วย บางคนก็หาว่านี่พูดประจบครูก็มี พูดหลอกลวงครูก็มี อาตมายังคงยืนยันว่าไม่ได้หลอกลวง ไม่ได้พูดชนิดที่ชวนเชื่ออะไร พูดไปตามตรงๆ ว่า ครูมีอาชีพเป็นครู ทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้อง ก็ได้รับประโยชน์จากอาชีพ เช่นเงินเดือนเป็นต้น ไปเลี้ยงชีวิต และถ้าเป็นครูโดยแท้จริงนั้น มันยังได้บุญตรงที่ช่วยทำให้คนในโลกนี่มันเป็นคนมากขึ้น กระทั่งว่าเป็นมนุษย์ทีเดียว ไอ้คนที่เป็นคนหรือเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี่มันทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุข ฉะนั้นเราจึงถือว่าได้บุญ
หรือจะมองให้ต่ำลงไปว่าครูที่สอนหนังสือล้วนๆ มัน (นาทีที่ 05:16) ก็ยังจะต้องถือว่าได้บุญอยู่นั่นเอง เพราะมันทำให้คนมีความเป็นคนมากขึ้นเหมือนกัน แม้ว่าในระดับธรรมดาสามัญ แต่ถ้าครูสอนวิชาอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ มัน (นาทีที่ 05:32) ก็ได้บุญมากไปกว่านั้น
ทีนี้ก็จะพูดว่า ถ้าได้โอกาสเป็นครูสอนศีลธรรมนี้ก็จะยิ่งได้บุญมากเป็นพิเศษไปกว่าครูธรรมดา ขอให้กำหนดไว้ให้ดีว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้บุญด้วย ผิดกับอาชีพธรรมดาสามัญ และถ้ายิ่งเป็นครูสอนศีลธรรมให้พลเมืองมีศีลธรรมได้ในอนาคต ก็ยิ่งได้บุญมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเหตุอะไร? เพราะเหตุว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำให้โลกนี้มีสันติสุขสันติภาพได้ นอกจากศีลธรรม
และนี่มันเรียนกันมายังไง (นาทีที่ 06:27) สอนกันมายังไง ทำให้เข้าใจผิดว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ทำให้โลกไม่มีสันติภาพนี่ มันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ เป็นปัญหาทางการเมือง เป็นปัญหาทางการปกครอง หรืออะไรเตลิดเปิดเปิงไปทางโน้น ไม่มามองดูกันว่ามันเป็นปัญหาทางศีลธรรม เมื่อคนมันไม่มีศีลธรรมแล้วมันจะเกิดปัญหาทุกอย่าง ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางการปกครอง ได้ (นาทีที่ 07:01) ทุกอย่างจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะคนไม่มีศีลธรรม อย่างปัญหาเศรษฐกิจอย่างนี้มันปั่นป่วนเพราะว่าคนไม่มีศีลธรรม พร้อมที่จะเอาเปรียบกันมากเกินไป ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไม่คิดว่าเราอยู่ร่วมโลกกันแล้วก็ช่วยกันให้มันถูกต้องหรือยุติธรรม อย่างนี้ก็เรียกว่าศีลธรรมมันทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ คือคนใช้ (นาทีที่ 07:38) คือคนที่ใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือกอบโกยประโยชน์จนคนอื่นเดือดร้อน
หรือแม้แต่ว่าไอ้การที่มันไม่ผลิต มันขี้เกียจจะผลิตจนมีปัญหาทางเศรษฐกิจนี้ ไอ้ความขี้เกียจนั้นก็เป็นเรื่องไม่มีศีลธรรม ถ้าเขามีศีลธรรม เขาจะขยันในหน้าที่ของตน มันก็ไม่ขี้เกียจ แล้ว (นาทีที่ 08:04) ยังจะทำเผื่อส่วนอีกส่วนหนึ่ง คือส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศล คนสมัยโบราณ เขาจะปลูกผักปลูกพืชอะไรก็ต้องคิดถึงว่าจะเผื่อสัตว์เดรัจฉานด้วย คนสมัยนี้ไม่คิดอย่างนั้น แล้วคนรุ่นนี้ก็จะไม่เคยได้ยินได้เห็น การที่คนโบราณเขาทำอะไรเผื่อสัตว์เดรัจฉาน เคยพูดให้ฟังหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็จะพูดอีกเผื่อว่าบางคนไม่เคยได้ยินว่าสมัยโบราณนั้นจะปลูกอะไรลงไปในดิน จะเป็นกล้วย เป็นสับปะรด เป็นแตงโม เป็นอะไรก็ตาม เขาต้องทำในใจหรือว่าพูดออกมาดังๆ ว่า ให้นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน มันจะพูดอย่างนี้ เพื่อให้จิตใจมันสงบ มีความสุข ไม่เป็นทุกข์ ไม่ห่วง ไม่วิตกกังวล แล้ว (นาทีที่ 09:13) ถ้ามัน (นาทีที่ 07:01) มีสัตว์มากิน (นาทีที่ 09:15) จริงๆ ขโมยมาเอาจริงๆ ก็ถือเอาว่าเป็นบุญเป็นทานไปเสียเลย
ดังนั้น เขาจะต้องทำให้มันมากเข้าไว้ สิบเปอร์เซ็นต์ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เพื่อสิ่งเหล่านี้ นี่คิดดูเถอะว่าจิตใจมันเป็นอย่างนี้ มันก็มีการกระทำชนิดที่ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ ซึ่งต้องการแต่จะเอาเปรียบ แล้ว (นาทีที่ 09:41) ก็ขี้เกียจด้วย และ (นาทีที่ 09:42) ก็ไปหาทางเอาเปรียบเอาด้วยการขูดรีด ด้วยการขาย เป็นต้น นี่เป็นปัญหาพื้นฐานเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าปัญหาทางเศรษฐกิจมันก็เกิดมาจากการที่คนไม่มีศีลธรรม คนที่รับไปขายหรือคนกลางก็ขูดรีดไม่มีศีลธรรม จนกระทั่งว่าคนที่จะซื้อกินมันก็พร้อมที่จะโกง ต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะเอาเปรียบ นี่เศรษฐกิจที่โตขึ้นไปในระหว่างประเทศ แล้วอ้า,ใน (นาทีที่ 10:15) ในชั้นระดับโลกมันก็เป็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ เศรษฐกิจจึงตกต่ำ ยุ่งยากลำบากเพราะคนไม่มีศีลธรรม เรื่องการเมืองการปกครอง มันก็ (นาทีที่ 10:30) ก็เหมือนกันอีก พลเมืองไม่มีศีลธรรม เจ้าหน้าที่ไม่มีศีลธรรม อะไรๆ ก็ไม่มีศีลธรรม มันก็ทำให้เกิดความสงบสุข ความถูกต้อง ความยุติธรรมไม่ได้ นี่ ศีลธรรมเป็นต้น (นาทีที่ 10:45) เป็นต้นเงื่อนของความสงบสุข ปัญหาต่างๆ เกิดมาจากปัญหาทางศีลธรรม ถ้าเราทำให้มีศีลธรรมปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป มนุษย์ก็จะอยู่กันอย่างมนุษย์ จะมีความสงบสุข จึง (นาทีที่ 11:08) ขอให้ทุกคนมองเห็นความจริงอันนี้ และทุกคนก็ร่วมมือกันที่จะให้โลกนี้มีศีลธรรม และมันก็จะง่ายแก่ครูผู้จะสอนศีลธรรม อย่างน้อยก็จะเกิดกำลังใจ เกิดฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อะไรก็ตามในการที่จะสอนศีลธรรม เพราะมองเห็นประโยชน์อันใหญ่หลวง เป็นหนทางที่จะประกอบบุญ การกุศลลงไปในโลกนี้ ถ้าเราเป็นผู้ที่ทำให้ศีลธรรมมันมีขึ้นมาในโลก ครูก็จะอยากสอนศีลธรรมให้สำเร็จประโยชน์ บิดามารดาก็จะช่วยกันทุกอย่างทุกทางที่จะให้การสอนศีลธรรมมันมีประโยชน์ เป็นการร่วมมือกันทุกฝ่ายให้บ้านเมืองมันมีศีลธรรม และก็อยู่กันเป็นผาสุก
เดี๋ยว, (นาทีที่ 12:12) นี้ความเลวร้าย ความเลวทราม ความทารุณหยาบช้าได้เกิดขึ้นในบ้านในเมืองนี้มากขึ้นทุกที นี้ก็ไม่ต้องบอกเพราะว่าทุกคนก็อ่านหนังสือ ข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังกันอยู่ ก็รู้สึกว่ามันมากขึ้นทุกที ในลักษณะที่มันไม่น่าจะเป็นเลย ไม่ (นาทีที่ 12:36) ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นเลย และมันก็ได้เป็นขึ้นมา การลักขโมยก็รุนแรง การฆ่าฟันกันก็รุนแรง การข่มขืนแล้วฆ่ามัน (นาทีที่ 12:50) ก็รุนแรง การเรียกตัวไปจับ อ้า, (นาทีที่ 12:55) การจับตัวไปเรียกค่าไถ่ก็รุนแรง อะไรๆ ก็ล้วนแต่รุนแรง ความปลอดภัยไม่มี มีแต่ความหวาดกลัวอยู่ในทั่วทุกหัวระแหง แม้แต่นอนอยู่ในบ้านก็รู้สึกว่า, (นาทีที่ 12:07) ไม่ปลอดภัย
ถ้าเป็นสมัยโบราณ เขาจะไปนอนที่ไหนก็ได้ นอนใต้ถุนบ้านก็ได้ วัว ควาย ปล่อยไว้ตามบุญตามกรรมก็ได้ ไม่มีอันตราย เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ เพราะอะไร ? เพราะคนมันไม่มีศีลธรรม อย่าไปโทษเรื่องเศรษฐกิจเป็นข้อแรก เพราะถ้าคนมันมีศีลธรรมมันก็ไม่ทำอย่างนั้น เมื่อไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็ทำทุกอย่างที่ให้มันมีปัญหาทางเศรษฐกิจทางอะไรขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเบียดเบียนกัน แล้วก็อาฆาตจองเวรแก่กันและกัน แล้วก็จะฆ่าล้างโครตแก่กันและกัน จนในที่สุดจะมีการฆ่าภายในโครต เดี๋ยวนี้มีเยอะที่นี่ คนนามสกุลเดียวกัน แบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วก็จะฆ่ากันให้หมด หมด (นาทีที่ 14:10) หมดครอบครัว หมดพวก นี่มันใน ใน(นาทีที่ 14:15) โครตนะ ไม่ใช่ (นาทีที่ 14:16) ไม่ใช่ล้างโครตระหว่างโครตนะ ภายในโครตเดียวกันน่ะ (นาทีที่ 14:20) มันยังคิดจะฆ่ากันให้มันถึงที่สุด ความไม่มีศีลธรรมก็รุนแรงอย่างนี้ เอาละ พอกันทีว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาทางศีลธรรม แก้ไม่ได้ ก็เต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ ถ้าแก้ได้ก็มีสันติสุข
ทีนี้ก็ดูกันต่อไป ถึงข้อที่ว่าสมัยโบราณนั้นมันเป็นอย่างไร สมัยโบราณนั้นอิทธิพลของศาสนา มันอยู่ใน (นาทีที่ 15:00) มันฝังรกรากอยู่ในจิตใจของคน แล้วคนก็มีศีลธรรมได้โดยขนบธรรมเนียมประเพณี เกิดมาก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีแวดล้อมให้มีศีลธรรม สรุปสั้นๆ ว่าเขากลัวบาป เด็กๆ ก็ (นาทีที่ 15:15) ยังรู้จักกลัวบาป แล้วก็รักที่จะได้บุญ ตั้งแต่ยังไม่ทันจะรู้ว่าบาปคืออะไร บุญคืออะไร เด็กๆ สมัยโน้นก็พอใจที่จะเว้นจากบาป และพอใจที่จะได้บุญ นี้ (นาทีที่ 15:36) พวกเราเด็กๆ สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ มันมีการเป็นไปอย่างนี้ รู้สึกกันอยู่อย่างนี้ มันถูกแวดล้อมให้เห็น ให้ประพฤติกระทำทุกอย่างทุกทางให้เด็กๆ เขากลัวบาปและรักบุญ จริงๆ ไม่ต้องพูดกันมาก ปัญหาทางศีลธรรมที่จะมาสอนกันในโรงเรียนนี้มันก็ไม่ต้องมี ประชาชนก็มีศีลธรรมพอที่จะอยู่กันเป็นผาสุกได้ ฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าทำไมสมัยโบราณไม่เห็นมีปัญหาทางศีลธรรมหรือว่าเรื่องสอนศีลธรรมกันเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะมันมีสอนอยู่อย่างลึกซึ้งในขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี ในวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนที่ดี คนมันมีศีลธรรม มัน พูด (นาทีที่ 16:32) กลัวบาปเป็นกันทั้งนั้น มันหวังจะให้บุญช่วยเป็นกันทั้งนั้น
พอมาถึงเดี๋ยวนี้มันมีความเปลี่ยนแปลงมาก ไม่กลัวบาป ไม่ต้องการบุญ พูดว่าบาปนี่คนสมัยนี้เขาหัวเราะเยาะ มาถึงชั้น ใน (นาทีที่ 16:49) ลูกเด็กๆ วัยรุ่นนี้ มันก็จะถลกก้นให้ดูถ้าพูดถึงบาป พูดถึงบุญ เพราะมันได้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในขนมธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมนั่นเอง วัฒนธรรมเก่ามันสูญไป วัฒนธรรมบ้าๆ บอๆ สมัยใหม่ มีความเลวทราม บูชากามารมณ์เป็นสรณะนี้มันเข้ามาแทน นี่คุณก็เห็นอยู่แล้ว ทางหนังสือก็ดีนี่ ทางหนังสือพิมพ์ก็ดี วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์อะไรก็ดีนี่ มันย้อมคนให้บูชากามารมณ์ ก็ทำไปอย่างแนบเนียนทีละนิด ทีละนิด โดยไม่รู้สึกตัว
สุดท้ายก็เป็นฝีมือภูตผีปีศาจอย่างลึกซึ้งที่มันจะหลอกมนุษย์ไม่ให้รู้สึกตัวได้ และมันก็พาไป พาไป พาไป อยู่ใต้อำนาจของกิเลสหรือความเลวทรามอย่างภูติผีปีศาจ ฉะนั้น (นาทีที่ 17:53) คนรุ่นนี้จึงบูชากามารมณ์มากขึ้นทุกที เห็นกามารมณ์เป็นของประเสริฐสูงสุด บุญกุศลไม่รู้ ความดี ความงาม ความยุติธรรมไม่รู้ไม่ต้องการ ต้องการแต่ผลเป็นความสุขสนุกสนานอะไรตลอด ทางเนื้อทางหนังที่เรียกกันว่าทางกามารมณ์
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มมานานแล้ว ไม่น้อยกว่า ๓๐-๔๐ ปีแล้ว ตั้งแต่พวกฝรั่งเขาเริ่มก้าวหน้าทางวัตถุ แล้วเราก็ไปตามก้นเขา ทุกคนมุ่งหน้าศึกษาหาเงินให้มากเพื่อจะไปซื้อหาปัจจัยแห่งกามารมณ์ทั้งนั้น แม้พวกครูนี่แหละ ขอให้ไปดูทีเถอะ ครูหญิงครูชายนี้ตั้งหน้าหาเงินรวบรวมไว้สำหรับไป (นาทีที่ 18:38) ซื้อหาปัจจัยของกามารมณ์อย่างบูชาว่าเป็นสิ่งสูงสุดของชีวิต อย่างนี้ไม่ใช่ครู เป็นลูกจ้างหากินไปวันๆ หนึ่ง เพื่อความเป็นทาสของกามารมณ์ ถ้าเป็นครูจะต้องรู้สึกเรื่องนี้ รู้สึกตัวเรื่องนี้ ไม่ให้ความคิดเลวๆ อย่างนี้มันครอบงำจิตได้ และก็พร้อมที่จะต่อสู้เอาคนไว้ในความถูกต้อง ในความบริสุทธิ์ นี่คือครู ตรงตามความหมายของคำว่าครู เป็นประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์ในโลก เรียกว่าเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ เป็นที่เคารพบูชากราบไหว้ของคนทั่วไป เพราะว่าเขาจะทำโลกนี้ให้รอดพ้น
ขอพูดถึงคำว่าครูให้ลึกลงไปอีกหน่อยทางตัวหนังสือ คำว่าครูนี่ เราก็เคยพูดกันว่า ผู้ที่ควรเคารพทุกคนควรมีความเคารพหนักแน่นในบุคคลที่เรียกว่าครู ครูก็แปลว่าผู้ที่ทุกคนควรเคารพ แต่เมื่อเราไปค้นดูคำๆ นี้ในปทานุกรมเก่าแก่มากขึ้นไปมันก็กลับพบว่า ครูเป็นผู้เปิดประตู ศัพท์ๆ นี้โดยรากศัพท์แปลว่า เปิดประตู โดยถือว่าไอ่ (นาทีที่ 20:15) สัตว์ทั้งหลายเกิดมาในความมืด เหมือนกับขังอยู่ในคอกมืด เล้ามืดไม่เห็นแสงสว่าง เพราะครูคือบุคคลพวกที่เปิดประตูคอกเล้าอันมืดให้สัตว์ต้อง (นาทีที่ 20:31) ออกมาสู่แสงสว่าง นั่นแหละ ครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้คนได้รับแสงสว่างทางวิญญาณ พูดให้ฟังง่ายๆ ก็เลยพูดว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ
เคยเห็นปทานุกรมธรรมดาๆ ในอินเดียนี่ แปลคำว่าครู ว่า Spiritual Guide คือเป็นไกด์ในทางวิญญาณให้สัตว์เขาเดินถูกต้อง ได้มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง นั่นคือความหมายเดิมของคำว่าผู้เปิดประตู เมื่อได้รับแสงสว่างแล้วคนเราก็ทำอะไรได้อย่างถูกต้อง ครูจึงคือผู้ที่เปิดประตูให้สัตว์ที่อยู่ในที่มืดได้ออกมาสู่แสงสว่าง นี่ครูที่เป็นครูโดยแท้จริงไม่มีทางที่จะเป็นลูกจ้าง แต่เป็นปูชนียบุคคลอัน (นาทีที่ 21:36) สูงสุดซึ่งโลกเขาบูชากัน ถ้าเรายังคงมีครูชนิดนี้อยู่ในโลก โลกนี้ไม่เป็นอย่างนี้ โลกนี้ไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ คือจะเป็นโลกที่มีศีลธรรม มีแสงสว่างในทางธรรม รู้แต่ประพฤติให้มันถูกต้อง ได้รับความสงบสุขส่วนบุคคล ได้รับสันติภาพในส่วนรวมของสังคมหรือของโลก
ถ้ามันยังมีครูชนิดนี้อยู่ในโลก โลกนี้ก็จะไม่หลงใหล โง่เขลา บ้าบอ เหมือนที่กำลังโง่เขลา คือไปหลงบูชาวัตถุนิยม ความที่ไปหลงบูชาวัตถุนิยมนั้นมันเป็นความมืด มืดเหมือนอยู่ในเล้าในคอกที่มืดที่เหม็นที่สกปรก เมื่อครูเป็นผู้เปิดประตูให้แสงสว่างอยู่ ไอ้คนในโลกนี้มัน ก็ไปมัน (นาทีที่ 22:50) ก็ไม่หลงไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลส ถ้าว่าไม่เป็นทาสของวัตถุนิยมนี้ก็หมายความว่าเราอาศัยวัตถุเพียงเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ไปหลงในความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ แต่ไปชอบความสุขสงบไป (นาทีที่ 23:12) ทางจิตทางใจ ไอ้ (นาทีที่ 23:14) เรื่องวัตถุก็เป็นเรื่องสำหรับอยู่สะดวกสบายในฝ่ายร่างกาย ไม่ให้มากไปถึงกับบูชากามารมณ์เหมือนอย่างที่กำลังเป็นไปสุดเหวี่ยงในโลกนี้ แม้ในประเทศไทยเรา ไปสังเกตดู แต่ต้องสังเกตให้ ให้ให้ (นาทีที่ 23:14) ลึกสักหน่อย จึงจะมองเห็นว่ากำลังตกลงไปในเหวมืด เล้ามืด คอกมืด ของความหลงใหลในวัตถุจนไม่มีศีลธรรมเหลือ เพราะต้องการแต่ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ไม่คำนึงถึงศีลธรรม เมื่อเป็นทาสกามารมณ์แล้วไม่มีใครจะไปนึกถึงศีลธรรม อยู่ (นาทีที่ 24:01) ได้ ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อกำลังหลงใหลในกามารมณ์แล้ว จะไม่มีหลักศีลธรรมเหลืออยู่ได้ ก็ต้องเผลอไปพักหนึ่ง หน้ามืดไปพักหนึ่ง กระทำอย่างเลวที่สุดไปพักหนึ่งคราวหนึ่ง กว่าจะรู้สึกตัวจะกลับมาหาความถูกต้องอีก มองดูให้ดีแล้วมันก็น่ากลัวอย่างนี้ เราช่วยกันทำให้ดี ป้องกันกันไว้ อย่าให้ตกไปสู่เหวอันนี้ ก็จะมีศีลธรรม
เดี๋ยวนี้มันก็มาพูดกันว่าศีลธรรมไม่มี จะรื้อฟื้นการสั่งสอนอบรมศีลธรรมกันขึ้นมาอีก มันก็เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วก็น่าฟังอยู่เหมือนกัน แต่มันยังไร้เหตุผลอยู่มาก เพราะการจะมีศีลธรรมได้นั้นมันต้องป้องกันแต่ต้นเหตุอันแท้จริงของความเสื่อมเสียทางศีลธรรมนั่น มากกว่าที่จะมาบีบบังคับให้ ให้ (นาทีที่ 25:10) มันมีศีลธรรมกันเดี๋ยวนี้ มันทำยาก ถ้าต้นเหตุของการเสื่อมเสียศีลธรรมมันไม่ถูกกำจัดไป ศีลธรรมก็ไม่กลับมา
ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะที่จะให้คนเรานี่ไม่ตกเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มัน (นาทีที่ 25:38) ก็เป็นเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนา ที่จะสอนกันจริงจัง (นาทีที่ 25:42) จริงๆ จังๆ เพียงแต่สอนศีลธรรมอย่างสอนลูกเด็กๆ ในโรงเรียนนี้มันคงไม่พอ คงไม่มีผลพอ ไม่ (นาทีที่ 25:10) มีอำนาจพอที่จะป้องกันความลุ่มหลงในวัตถุได้
ฉะนั้น (นาทีที่ 25:58) ครูคงจะไม่ใช่ผู้ที่จะบอกจะสอนว่าหลักศีลธรรมเป็นอย่างนี้ หลักศีลธรรมเป็นอย่างนั้น จะละทางนั้นมันไม่พอ มีครูนี้ (นาทีที่ 26:09) ต้องช่วยชี้ให้เด็กๆ เห็นด้วยว่าความลุ่มหลงในความอร่อยของวัตถุนั่นน่ะมันเป็นเรื่องเลวทราม เป็นเรื่องวินาศ เป็นเรื่องฉิบหายของมนุษย์เราอย่าไปเป็นทาสมันเลย นี่เด็กๆ เขาก็จะรู้จัก หรือสามารถทำตนให้เป็นผู้ที่พร้อมที่จะมีศีลธรรมได้ ถ้าจะสอนศีลธรรมกันแล้วก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ด้วย เพียง (นาทีที่ 26:40) นึกถึงไอ้ (นาทีที่ 26:41) ศัตรูของศีลธรรมนั้นด้วย แล้วก็ช่วยกันป้องกันแก้ไขไปตามเรื่อง แล้วก็สอนศีลธรรมว่าอย่างนี้ๆๆๆ มันก็คงจะสำเร็จประโยชน์ ถ้าได้รับความร่วมมือจากทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าบิดา มารดาร่วมมือกันกับครูบาอาจารย์ให้เด็กเขารู้วิธีที่จะบังคับตัวเองไม่ให้ไปหลงเป็นทาสของวัตถุ
ทีนี้บางคนก็จะคิดว่านั้นมันลึกไป สูงไป ยากไป เด็กๆ คงจะฟังไม่เข้าใจ อาตมามองเห็นว่ามันไม่ถึงอย่างนั้น ไอ้ลูกเด็กๆ เล็กๆ เรา (นาทีที่ 27:35) พูดกันอยู่ทุกวันนี้ มันยังรู้จักละอายบาป ยังรู้จักกลัวความชั่ว ยังอยากจะดี จนถึงกับ (นาทีที่ 27:47) ฟังออกว่าไอ้เรื่องสนุกนักนี่ก็ไม่ใช่ดี ในเรื่องอร่อยนักนี่ก็ไม่ใช่ดี ไม่ใช่ดี ไม่ใช่ของดี อย่าเพิ่งไปคิดแต่ว่าไอ้ลูกเด็กๆ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ที่มันไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็เพราะพ่อแม่ของมันโง่ พ่อแม่ของมันหลงใหลในความเอร็ดอร่อยสนุกสนานมากเกินไป ไอ้เด็กๆ มันก็เห็นตัวอย่างอันนั้น มันก็ถูกย้อมให้หลงใหลในเรื่องความเอร็ดอร่อย มันก็เลยเป็นนิสัยขึ้นมา ถ้าว่าบิดามารดามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดี ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นว่าไม่บูชาความเอร็ดอร่อยกันโว้ย เอาแต่ความถูกต้อง เอาแต่ความพอดี เอาแต่ความมีประโยชน์ มีสติสัมปชัญญะ รู้สึกควบคุมตัวเองอยู่เสมอ ครอบครัวไหนทำได้อย่างนี้ ครอบครัวนั้นจะต้องมีศีลธรรม ครอบครัวนั้นจะสร้างเด็กเล็กๆ ที่ดีขึ้นมา สำหรับรับการสั่งสอนอบรมทางศีลธรรมจากครูบาอาจารย์ต่อไป
จะเป็นครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนก็ได้ ครูบาอาจารย์ที่วัดก็ได้ ก็จะสามารถทำให้เด็กๆ มีศีลธรรมได้ เพราะว่าพ่อแม่ได้อบรมพื้นฐานของเด็กๆ เหล่านั้นมาให้เหมาะ ให้(นาทีที่ 29:26) พร้อมแล้วที่จะเป็นผู้มีศีลธรรม อาตมาจึงได้พูดว่าต้องได้รับความร่วมมือจากบิดามารดาด้วย บิดามารดาหรือผู้ปกครองกับครูบาอาจารย์นี้ก็จะต้องร่วมมือกัน ทำความเข้าใจ การคอยดูแล ให้ทุกอย่างมันเป็นมาทำนองนี้ ทีนี้ถ้าบิดามารดาก็โง่ ครูก็มัวแต่งกเงิน งกความสนุกสนาน โลกนี้ก็ฉิบหาย เด็กๆ เกิดมาไม่รู้จักกลัวบาป ไม่รู้จักรักบุญ จะเอาแต่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยเหมือนกับที่พ่อแม่ก็ทำตัวอย่างให้ดู อีก (นาทีที่ 30:13) ให้ดู (นาทีที่ 30:13) ครูบาอาจารย์ก็ทำตัวอย่างให้ดู เด็กๆ มันก็จะคิดสงสัยว่าทำไมครูสูบบุหรี่ มันดีวิเศษยังไง แล้วครูก็พยายาม จะ (นาทีที่ 30:30) สูบบุหรี่ เหมือนกับสอนให้สูบบุหรี่อยู่เสมอ นี้จะไปโทษใคร มันเป็นการทำให้เขาไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวว่าอะไรควรละ
ครูก็จะสอนแค่ว่ามันไม่มีโทษอะไร เรามีสตางค์พอจะซื้อมาสูบ เราก็สูบ ก็ได้รับความเอร็ดอร่อย ไม่ได้บอกว่านี่มันไม่มีประโยชน์เว้ย เธออย่าทำเลย เธออย่าสูบเลย ไปทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ก็คือทำผิด ทำชั่ว เปลืองเปล่าๆ ทำร้าย ทำอันตรายร่างกายทรุดโทรม ไม่สอนกันอย่างนี้ เพราะครูมันแก้ตัวให้ตัวเองที่จะสูบบุหรี่ เพราะครูมันเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยจากบุหรี่ นี้สรุปความว่าไอ้พื้นฐานของเด็กที่จะมามี (นาทีที่ 31:37) เป็นผู้มีศีลธรรมนี่มันมีความสำคัญมาก ช่วยกันสร้างพื้นฐาน ให้บิดามารดาสร้างมาให้ดี และครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนก็ช่วยอบรมให้มีศีลธรรมได้
ถ้าจะถามขึ้นว่าอะไรบ้าง ก็ตอบว่ามากจนเหลือที่จะเอามาพูดให้ครบถ้วนได้โดยจำนวนหรือโดยรายละเอียด มันจะต้องมีการกระทำที่ถูกต้องไปหมด นับตั้งแต่เรื่องกิน เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องดืน (นาทีที่ 32:25) เรื่องเดิน เรื่องยืน เรื่องนั่ง เรื่องนอน ทุกอย่างไปหมดในบ้านเรือน มันจึงจะเรียกว่ามันมีศีลธรรม อย่างกินมูมมามก็เรียกไม่มีศีลธรรม แม้แต่อาบน้ำเลวๆ ลวกๆ ก็ไม่มีศีลธรรม ถ่ายอุจจาระไม่มีประโยชน์เป็นผลดีแก่ร่างกายมันก็ไม่มีศีลธรรม นี่มันเป็นศีลธรรมส่วนบุคคล และย่อยลงไปถึงกับว่าศีลธรรมพื้นฐาน ที่จะต้องทำให้เป็นผู้ที่มีร่างกายดี เมื่อมีร่างกายดีแล้วจะเป็นเครื่องรองรับจิตใจที่ดี ความคิดที่ดี การกระทำที่ดี นี่ถ้าเอากันโดยรายละเอียดแล้ว มัน (นาทีที่ 33:15) ก็จำแนกไม่ไหวหรอก จึงสรุปว่าเป็นความถูกต้องสำหรับความเป็นอยู่ทางร่างกาย มันก็จะได้เป็นเครื่องรองรับจิตใจที่ดี ความคิดนึกที่ดี อบรมอย่างดี สูงขึ้นไปในทางจิตใจ จนกระทั่งว่ามันมีศีลธรรมครบถ้วนทั้งทางกายและทางจิต และเกี่ยวลงไปถึงวัตถุด้วย เราเกี่ยวข้องกับวัตถุในบ้านเรือนก็ต้องเกี่ยวข้องอย่างมีศีลธรรม อย่ามีสิ่งที่มันขัดต่อศีลธรรม อย่าเอาอะไรมาสะสมไว้ในบ้านเรือนในลักษณะที่มันขัดต่อศีลธรรม ที่ไม่ควรมีก็อย่ามี มันเปลือง ให้มันเกะกะ ให้มันรกรุงรังไปหมด
ทีนี้ก็มองดูกันที่ว่าจะอบรมกันอย่างไรในด้านจิตใจซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด อาตมาอยากจะสรุปความให้มันสั้น ให้มันง่ายสำหรับท่านทั้งหลายที่สนใจจะไปสอนศีลธรรมแก่ลูกเด็กๆ คำว่าสอนในที่นี้ไม่ได้หมายถึง บอกให้จดใส่สมุดแล้วก็ปิดเก็บไว้เหมือนที่ทำกันอยู่ คำว่าสอนนี่ต้องหมายถึงว่าทำให้เขามีศีลธรรมได้จริง จะ (นาทีที่ 34:55) เรียกว่าอบรมจะถูกกว่า หัวข้อที่จะไปอบรมเขาสำหรับเป็นศีลธรรมพื้นฐานน่ะ ขอเพียงสามหัวข้อก็พอ
หัว (นาทีที่ 35:11) ข้อที่หนึ่ง ให้เขามีความรู้สึกในลักษณะที่ว่า สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พูดสั้นๆ ก็ว่าสิ่งที่มีชีวิตนี้มันเป็นเพื่อนกัน คือ (นาทีที่ 34:55) ถ้ายิ่งกว่านั้นก็ เรียกว่า (นาทีที่ 35:29) เป็นพี่น้องกัน ถ้าไกลไปตามทางของศาสนาเขาก็จะถือว่ามันมาจากบิดามารดาคู่แรก คนเดียวกันหรือคู่เดียวกัน ถ้าเราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้ว(นาทีที่ 35:44) ก็พูดออกมาจากต้นตอเดียวกันของธรรมชาติ นี้ (นาทีที่ 35:49) ถือว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่ทางศาสนา เขา (นาทีที่ 35:49) จะใช้คำให้มันกว้างไปว่าเราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน คือเป็นเพื่อนทุกข์ด้วยกัน ไอ้เพื่อนทุกข์นี้มันสำคัญกว่าเพื่อนสุข เพื่อนสุขไม่พูดถึงเพราะว่าถ้ามันเป็นเพื่อนทุกข์กันได้แล้วมันก็ช่วยกันได้ มันก็มีความเป็นสุขเกิดขึ้น ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้แล้วมันมีความรู้สึกที่เป็นรากฐานของศีลธรรม คือจะไม่มีมึงมีกู มีแต่ว่ามันเป็นเพื่อนกันไปหมด แม้แต่สัตว์เดรัจฉานด้วย เพราะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าให้มากไปกว่านั้น แม้แต่ต้นไม้ทั้งหลาย พืชพันธุ์ทั้งหลายนี่ก็เป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายในความหมายอันหนึ่งในระดับหนึ่ง
เมื่อเขารู้สึกอย่างนี้ เขาก็จะเป็นคนที่มีหิริโอตตัปปะ มีความอ่อนโยน มีความระมัดระวัง ไม่กระทบกระทั่ง เบียดเบียนประทุษร้ายชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ ของรักอะไรของคนอื่น ก็เป็นคนมีศีลขึ้นมา เพราะมันรู้สึกเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันฆ่าเขาไม่ได้ มันลักของเขาไม่ได้ จะ (นาทีที่ 37:14) ประทุษร้ายของรักของใคร่ของเขาที่เรียกว่าประพฤติผิดในกามก็ไม่ได้ มันก็โกหกไม่ได้ ไม่มีเจตนาร้ายที่จะโกหก และมันก็ไม่ดื่มน้ำเมา ในสติปัญญาระดับนี้ มันไม่ไม่ไม่ (นาทีที่ 37:30) ไม่มีอะไรจะผลักดันไปให้ดื่มน้ำเมา เพราะว่าดื่มน้ำเมานี้มันเป็นเหตุให้เสียสติสัมปชัญญะ ทำให้ไม่มีศีลธรรม จะมีการฆ่าการลักได้
เราจะต้องมีวิธีการของเราเอง ไปคิดเอาเองว่าทำอย่างไร เด็กๆ ถึงจะเกิดความรู้สึกรักเพื่อนนักเรียนด้วยกันเหมือนกับเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ขยายออกไปรักเพื่อนบ้าน รักหมด รักทุกคน รักคนทั้งโลก รักสัตว์เดรัจฉานทั้งโลก นี่ศาสนาทุกศาสนาต้องการอย่างนี้ สอนอย่างนี้เป็นพื้นฐานกันก่อน มันก็ ก็ก็(นาทีที่ 38:22) พร้อมที่จะทำให้เด็กนั้นมันพร้อมที่จะมีศีลธรรมที่สูงขึ้นไป ไม่ใช่เพียงแต่บอกให้เขารู้ แต่ต้องช่วยให้เขาได้ปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ช่วยให้เด็กๆ ที่มันแข็งแรงช่วยเหลือเด็กที่อ่อนแอ ให้เด็กๆ ที่มันมั่งมี พ่อแม่มั่งมี ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ยากจน แม้ไม่ช่วยเหลือด้วยสิ่งของเงินทอง ก็ช่วยเหลือด้วยการช่วยเหลือทุกอย่างแหละ (นาทีที่ 38:59) มันจะมีการช่วยเหลือกันอยู่ในหมู่เด็กๆ นั้น มันก็เป็นการอบรมให้เขาเกิดความรู้สึกที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนกัน แล้วทีนี้มันก็ง่ายแหละ (นาทีที่ 39:15) ที่จะมาสอนให้บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นน่ะมันง่าย อยู่เฉยๆ จะมาสอนว่า ‘บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเป็นลูกเสือที่ดี’ ดูจะบ้า กัน (นาทีที่ 39:26) มากกว่า ไม่รู้ว่าทำไปทำไม
แต่ถ้าเราบอกให้เขารู้ก่อนว่ามันเป็นเพื่อน มันเป็นตัว (นาทีที่ 39:41) เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เด็กๆ เขาจะคิดทำประโยชน์ผู้อื่นขึ้นมาเอง เดี๋ยวนี้ก็ได้แต่ให้เด็กๆ เขาท่องอย่างนกแก้วนกขุนทอง เป็นประโยชน์ ‘แล้ว(นาทีที่ 39:46) บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น’ อย่าง(นาทีที่ 39:48) นี้มันก็ไม่มีการกระทำที่แท้จริง ไปอบรมให้มันมีหลักพื้นฐานอันนี้เสียก่อน แล้วหลายๆ อย่างมันจะมาเอง และมาโดยง่าย และมาโดยอัตโนมัติก็ได้ เพราะเด็กก็เกิดความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนกัน เขาก็ช่วยกัน เขาก็ช่วยผู้อื่นได้ มันก็จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่หลอกลวงผู้อื่น ไม่โกหกผู้อื่น ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ประกอบอาชญากรรมเลวร้าย ข่มขืนแล้วฆ่าเหมือนที่ทำอยู่ใน (นาทีที่ 39:26) ปัจจุบันนี้ ในข้อนี้มันมีคำพูดสั้นๆ ว่า อบรมให้เขามีนิสัย มีความรู้สึก มีหลักเกณฑ์ที่จะยึดถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ข้อแรก
นี้ข้อที่สอง อยากจะใช้คำว่า ให้เขาเป็นคนบังคับความรู้สึก สิ่งที่มีชีวิตย่อมมีความรู้สึก ความรู้สึกนั้นจะต้องถูกควบคุม แม้เป็นความรู้สึกธรรมดาสามัญก็ต้องควบคุม แม้เป็นความรู้สึกที่ว่าถูกต้องก็ยังต้องควบคุม เขาต้องบังคับความรู้สึกให้มันถูกอย่างเดียว ให้มันเหมาะสม เดี๋ยวนี้คนเราสมัยนี้ไม่บังคับความรู้สึก อยากจะทำอะไรก็ทำ การศึกษาเลวๆ ในโลกเกิดขึ้น คือนิยมสอนการไม่บังคับบัญชา ไม่ให้เด็กบังคับความรู้สึก เขาว่าจะเกิดความกดดัน เสียหายทางนั้น เสียหายทางนี้ เราไม่เห็นด้วย
เราต้องการให้เด็กๆ บังคับความรู้สึก แม้แต่จะรักก็ต้องบังคับไว้ก่อน แม้แต่จะโกรธก็ต้องบังคับไว้ก่อน แม้แต่จะรู้สึกกลัวเกลียดอิจฉาริษยาอะไรก็ต้องล้วนแต่ต้องบังคับทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกทางกามารมณ์เป็นอันตรายที่สุด จะต้องบังคับควบคุมไว้ให้ดี แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ไอ้ความอยาก ความต้องการทุกอย่าง ทุกชนิด ต้องบังคับไว้ก่อน ยับยั้งไว้ก่อนเพื่อจะดูความถูกต้องความสมควร หรือว่าจะพูดให้ถูกที่สุดแล้วก็ต้องพูดว่า ต้องบังคับไว้ก่อนเพื่อให้ความอยากอันนั้นน่ะมันอยากไปในทางที่ถูกต้องของสติปัญญา อย่าได้อยากไปตามทางของกิเลสตัณหาเลย ถ้าเด็กบังคับความรู้สึกเขาก็จะเป็นเด็กที่ควบคุมตัวเองได้ ไม่ต้องร้องไห้ก็ได้ หรือไม่ต้องไปหลงใหลอะไรก็ได้ มีความปกติทุกอย่างทุกประการได้เพราะการบังคับความรู้สึก ทีนี้การอบรมสั่งสอนหรือวัฒนธรรมมันเปลี่ยนแปลง ไม่ได้สอนให้คนเราบังคับความรู้สึก ไม่ได้อบรมเด็กๆ ให้บังคับความรู้สึก เด็กมันก็เคยชินต่อการไม่บังคับความรู้สึก มันก็เป็นคนขี้โกรธ ขี้เกลียด ขี้รัก ขี้อะไรก็ตามแต่แล้วแต่ (นาทีที่ 43:16) ที่เรียกว่าขี้ๆๆ ทั้งนั้นน่ะ มากขึ้นๆ จนเป็นคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง จนเป็นที่เรียกว่าดื้อตาใส กระต่ายขาเดียว อะไรก็ตามสอนกันไม่ได้บังคับกันไม่ได้ มันก็มาตายมากกว่าที่จะเชื่อฟังเด็กชนิดนี้ เพราะความรู้สึกมันเหลิงเจิ้งไปแล้ว ตี (นาทีที่ 43.41) ให้ตายมันก็ไม่ยอม มันก็มาตายแทนที่จะเชื่อฟัง
ขอให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิดเอง จดจำเอาไปคิดเองว่าการบังคับความรู้สึกนั้นน่ะสำคัญที่สุด และตัวท่านเองแต่ละคนๆ นั้น เคยไม่บังคับความรู้สึกมาแล้วอย่างไร และมันให้โทษอย่างไร และต่อไปก็จะบังคับความรู้สึก (นาทีที่ 44:08) ความรู้สึกได้ หากบังคับความรู้สึกได้มันก็เป็นไปแต่ในทางถูกต้อง ฉะนั้นอย่าผลุนผลันทำหรือพูดหรือคิดไปตามความรู้สึกที่พลุ่งขึ้นมาแล้วบังคับไว้ก่อน อย่าง (นาทีที่ 44:28) อย่างว่าอยากจะไปดูหนังดูละครที่ตลาด ก็บังคับความรู้สึกไว้ก่อน ไม่ไปเสียได้ก็ดี เพราะลองไม่บังคับไอ้เรามันก็จะติดแต่ในทางที่จะไป มันก็ต้องทำชั่ว มันก็ต้องหนีไป มันก็ต้องไปทำไอ้ที่ไม่ดีอย่างอื่นอีก
อาชญากรรมเลวร้ายอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้มาแต่การไม่บังคับความรู้สึกทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องข่มขืนแล้วฆ่า มีความเลวร้ายถึงกับว่าสามสิบคนข่มขืนเด็กหญิง ฆ่า แล้วมีคนอายุตั้ง ๔๐ ปีด้วยรวมอยู่ในคนพวกนั้น มันเสียชื่อเสียงของประเทศไทย ไม่มีเหลือ ประเทศไทยเมืองชาวพุทธนี่ มีคนแก่ๆ อายุ ๔๐ ปีเป็นผู้ชายร่วมกับเด็กหนุ่มข่มขืนเด็กหญิงรวมกันอย่างนี้ คิดดูเถอะมันไม่บังคับความรู้สึก และมีหนังสือพิมพ์ สองสามวันนี้ก็มีถึง(นาทีที่ 45:36) เรื่องว่า พ่อมันข่มขืนลูกสาวมันเอง เมื่อ (นาทีที่ 39:26) ไม่นานมานี้ก็ได้ยินทีหนึ่งแล้ว แล้วคงจะมีอีกหลายครั้งหลายหน นี่มันไม่มีอะไรนอกจากไม่บังคับความรู้สึกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับอะไรหมดล่ะ มันเกี่ยวกับการไม่มีศีลธรรมในส่วนที่ไม่บังคับความรู้สึก ถ้าหัดบังคับความรู้สึกมาเสียตั้งแต่อ้อนแต่ออก เรื่องอย่างนี้ก็ไม่มี จะอยู่ในระเบียบวินัย ความถูกต้องกันไปหมด
ขอให้เด็กๆ รู้จักบังคับความรู้สึกในส่วนที่จะทำชั่ว นี่ความรู้สึกผิดบางอย่างนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ต้องบังคับ ในเมื่อเราจะทำความดี เช่น(นาทีที่ 46:26) จะต้องบังคับความรู้สึกไว้อย่าให้ประหม่า เมื่อจะสอบไล่ก็ไม่ต้องประหม่า เมื่อเล่าเรียนก็ไม่ต้องขี้เกียจ บังคับความขี้เกียจให้ได้ ให้เกิดความรู้สึกที่เกิด (นาทีที่ 46:40) เป็นความขยันมันก็เรียนดี ทีนี้มันขี้เกียจคิดก็บังคับให้มันคิดให้ละเอียดลออ เด็กสมัยนี้เลวมาก ตอบคำถามแบบปรนัย ดูคร่าวๆ เห็นว่าไม่ไหว แล้วมันก็ส่งกระดาษคืนมันก็ไป มันไม่อดทนที่จะคิดจะนึก ไม่เหมือนกับเด็กสมัยก่อน ถึงจะทนทำไปจนจน(นาทีที่ 47:05) หมดเวลา จนเลยเวลา เพราะเขาบังคับความรู้สึกให้ทำให้ทำไปเรื่อยๆ ดีที่สุด เด็กสมัยนี้เลวมาก มันไม่อยากจะทำด้วย มันไม่อยากจะทำให้ดีด้วย มันไม่บังคับให้ทนทำไปจนกว่าหมดเวลาเพื่อผลที่ดี พอเห็นว่ามันไม่ค่อยจะไหวแล้วก็ส่งกระดาษเลย นี่คนมันเลวลงมากอย่างนี้ นี่ก็มันไม่บังคับความรู้สึกในการที่จะทำความดี เราก็ (นาทีที่ 47:39) ต้องบังคับความรู้สึกในทุกแง่ทุกมุมเพื่อจะไม่ทำความชั่วแล้วก็เพื่อจะทำความดี และก็ทำให้สำเร็จด้วย ถ้าเขาบังคับความรู้สึกได้เป็นนิสัยแล้ว สิ่งต่างๆ อีกหลายร้อยอย่างมันก็จะสำเร็จ จะทำดี ทำบุญ ทำกุศล ได้ทุกอย่าง จะช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ทำได้ดี มิฉะนั้นแล้วมันก็ไปเห็นแก่ตัว ไปทำเพื่อกิเลสเสีย ไม่ทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเลย นี่เป็นตัวอย่าง พูดโดยรายละเอียดก็พูดไม่ไหวหรอกมันมากนัก แต่สรุปแล้วก็คือ ต้องบังคับความรู้สึก เราต้องอบรมเขาไม่ใช่บอกเขาให้จดไว้ในสมุดแล้วก็ปิดไว้ จะต้องคอยตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาที่เขาจะทำอะไรให้มันเป็นไปในลักษณะที่เป็นการบังคับความรู้สึก ก็จะมีเด็กที่ดี มีเด็กที่สุภาพ ไม่ด่าครู ไม่ชกปากครู เหมือนที่กำลังมีมากขึ้น
นี่ข้อที่สามนี่ อยากจะระบุว่าให้เด็กๆ เขาบูชาความดี ให้รู้สึกเป็นสุขที่สุดเมื่อรู้สึกว่าตนได้ทำดี ความรู้สึกจากการกินการเล่น การ (นาทีที่ 49:07) ดูหนังดูละคร กามารมณ์อะไรก็ตาม ไม่ควรจะถือว่าเป็นความสุข เพราะมันเป็นเรื่องหลอกๆ เป็นความรู้สึกหลอกๆ หรือจะเรียกว่าสุขก็ตามใจแต่มันยังไม่ดี ถ้าจะให้ดีนั้นก็ต้องเป็นความรู้สึกว่าได้ทำดีแล้วก็เป็นสุข ให้เขาชอบใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ซึ่งเราเรียกกันให้มันฟังง่ายว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้ ให้ทุกคนพอใจตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ และโลกนี้จะไม่มีอุปัทวะอันตราย เสนียดจัญไรอะไรเลย เดี๋ยวนี้โลกเต็มไปด้วยเสนียด จัญไร อัปรีย์ อุปัทวะทั้งหลาย เพราะคนมันไม่มีทางที่จะเคารพตัวเองมากขึ้นทุกที อบรมให้เขาไหว้ตัวเองได้ คือบูชาความดีความถูกต้องและรู้สึกเป็นสุข อย่างนี้แล้วมันก็หมดปัญหา มันไม่ไปเสพเฮโรอีนมากขึ้นเหมือนนักเรียนสมัยนี้ มันไปติดเฮโรอีนมากขึ้น มันไม่เคารพตัวเอง มันไม่เคารพความดี ไม่คิดว่าความดีเป็นความสุข ไปติดเฮโรอีนแล้วมันก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ชั่ว ไม่รู้ว่าความดีอยู่ที่ไหน ทีนี้เขาช่วยกันรักษาให้มันหายติดเฮโรอีนออกมา ไม่กี่วันมันก็กลับเข้าไปติดอีก เพราะมันไม่รู้ว่าความดีอยู่ที่ไหน ควรจะสอนให้เขารู้จักความดีมีความสุขในการทำดี พอใจ เป็นสุขอยู่ก็ไม่ต้องไปเสพเฮโรอีน หรือว่าเสพเฮโรอีนละได้แล้วก็ไม่ไปเสพอีกเพราะมันมีความดีอันนี้ (นาทีที่ 51:01) เป็นรสอร่อย ตามทางของธรรมะ ของคือ(นาทีที่ 51:09) ของที่มันดีจริงอยู่ มีคนเขียนลงไปในหนังสือที่อ่านกันทั่วโลก หนังสือ Reader’s Digest ว่า “ทำให้คนละเฮโรอีนนี้ไม่ยาก แต่ว่าละเฮโรอีนได้แล้วป้องกันไม่ให้เขากลับไปติดเฮโรอีนอีกนี่ยากเหลือประมาณ มันเป็นปัญหาอยู่และคนๆ นั้นเขายังเป็นนักศาสนาอยู่ด้วย เขาเขียนว่าให้รีบสั่งสอนอบรมให้คนที่เลิกเฮโรอีนมาใหม่ๆ นั้นน่ะมาทำทางจิตใจทำสมาธิ (นาทีที่ 51:56) คือทำสมาธิชนิดที่ทำให้รู้สึกเป็นสุขได้ เป็นที่พอใจแล้วจะป้องกันไม่ให้เขากลับไปสูบเฮโรอีนอีก” อ่านพบอย่างนี้ แต่ดูมันปี หรือ(นาทีที่ 52:10) สองปีมาแล้วมันอยู่ที่ว่าเขาเคารพตัวเองหรือไม่ เคารพตัวเองนั่นคือเคารพความดี ถ้าเคารพความดีก็เรียกว่าเคารพตัวเอง คนชั่วมันเคารพความชั่วของมันก็เรียกว่าเคารพตัวเองได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ความหมายที่เราต้องการ ไหว้ตัวเองได้น่ะหมายถึงว่าไหว้ตัวเองเมื่อมันมีอะไรที่ควรจะไหว้ มันต้องไม่ไปทำเลวทำชั่วทำอะไรทำนองนั้น มันจึงจะถึง(นาทีที่ 52:47) เรียกว่ามีตัวเองที่น่าไหว้ แล้วก็รู้สึกเป็นสุขเพราะรู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่น่าไหว้
นี้ความโง่มันเกิดขึ้นในโลกนี้มากขึ้นทุกที เด็กมันไปบูชาไอ้ความมุทะลุดุดันเก่งกาจอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่เรื่องกีฬาก็เป็นเรื่องบ้าๆ ที่ทำให้เด็กมันไปบูชาความเก่งกล้าเก่งกาจในการกีฬาโดยไม่มีความดี จนมันฉ้อโกงในการเล่นกีฬาแล้วมันได้ชนะแล้วมันก็ดีใจ กีฬาระหว่างชาติก็ยังเป็นอย่างนี้ เป็นกีฬาของภูตผีปีศาจอย่างนี้อยู่เหมือนกัน ก็บูชาแต่ความชนะเท่านั้นน่ะ ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจผิดความโง่ความหลง มันไม่ได้บูชาความดี ก็เล่นกีฬากันเพื่อมัน (นาทีที่ 53.42) เลวลง เพื่อเห็นแก่ตัวมากขึ้น ให้ (นาทีที่ 53.45) โกงในสนามกีฬาได้มากขึ้น ทำอันตรายกันในสนามกีฬาได้มากขึ้น ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ถ้ามีน้ำใจนักกีฬามันก็น่าไหว้ คือไหว้ตัวเองได้ เดี๋ยวนี้นักกีฬาเหล่านั้นไม่มีความเป็นนักกีฬา ไม่มีเจตนารมณ์ของกีฬา ฉะนั้น (นาทีที่ 54.09) จึงยกตัวอย่างให้ดูว่าไอ้ที่เรามีๆ ทำๆ กันอยู่นี่มันผิดไปแล้วโดยไม่รู้สึกตัว ยังไปหลงมันอยู่ ถ้าเล่นกีฬาให้ถูกตามเรื่องของกีฬามันก็ ก็เป็นเรื่องเดียวกันน่ะที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อเรามีน้ำใจนักกีฬา เดี๋ยว (นาทีที่ 54.30) นี้มันไม่เอากันนี่ มันจะโกงได้เท่าไร ชนะได้เท่าไร แล้วมันยังมีกองเชียร์ หัดเด็กๆ ให้เสียนิสัย เห็นแต่ พวก พวก (นาทีที่ 53.42) พวกกู พวกอื่นไม่รู้ มันเชียร์แต่พวกกู เด็กนี่ก็เลวหมดทั้งโขยง ไอ้พวกกองเชียร์นี้
เด็กๆ มันจึงไม่รู้จักบังคับตัวเองเคารพตัวเองนับถือตัวเอง เพราะมันมีการกระทำผิดๆ ให้กระทำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น (นาทีที่ 54.56) ช่วยไปตั้งต้นกันเสียใหม่เถอะว่าขอให้เด็กๆ นี้เขาชอบหรือบูชาความดี แล้ว (นาทีที่ 55.05) ให้รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำความดี ทีนี้การทำความดีมันคง(นาทีที่ 55.10) ถูกใจผู้อื่น ให้เขาถือเป็นหลักขึ้น (นาทีที่ 55.13) เลยว่าเราจะหาความสุขด้วยการทำให้ผู้อื่นพอใจในทางถูกต้อง ทุกคนคอยจ้องคอยหาโอกาสแต่จะทำให้ผู้อื่นได้รับความพอใจและมีความสุข
เดี๋ยวนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว พูดตรงๆ ว่าพวกพระพวกเณรนี้ก็เห็นแก่ตัว ไม่เสียสละเพื่อจะทำความพอใจให้ (นาทีที่ 55.39) แก่ผู้อื่น อยู่ในระดับเดียวกับชาวบ้านนั่นเอง นี่มันเสียไปมากถึงขนาดนี้ คนที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อทำความพอใจให้แก่ผู้อื่นนั้นน่ะ มันน้อยลงไป มันน้อยลงไปในโลก นี่ (นาทีที่ 55.56) สปิริตของพระโพธิสัตว์นั้นมันหายไปจากโลกมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที ไปสร้างกันขึ้นมาใหม่ บูชาความเสียสละเพื่อทำความดี แล้วความดีนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นด้วย แก่ผู้อื่นด้วย ให้มันง่ายเข้าก็มุ่งเพื่อจะทำให้ผู้อื่นได้รับความสุขความพอใจ แล้วมันไม่ไปไหนเสีย มันจะกลับมาหาตัวผู้ทำนั้นเองด้วย ถ้าเราบูชาความดีกันแล้วเราจะต้องวางหลักอย่างนี้ จะเสียสละความเห็นแก่ตัวหรือเรื่องของตัว มันก็ (นาทีที่ 56.38) ทำให้ทุกคนได้รับความสุขความพอใจ แล้ว (นาทีที่ 56.43) เราก็มีความรู้สึกอย่างยิ่ง เมื่อ (นาทีที่ 56.45) รู้สึกว่าตัวได้ทำอย่างนั้น อาตมา (นาทีที่ 56.50) ก็เลยสรุปเป็นหัวข้อสั้นๆ ว่า ให้มีความสุขในเมื่อรู้สึกว่าได้ทำความดี เป็นที่พอใจของครูประจำชั้นนั้นก็ได้ ถ้าเด็กคนไหนมันเป็นอย่างนี้แล้วก็ประเสริฐ มันก็จะออกไปถึงว่าทำให้เป็นที่พอใจของบิดามารดาของคนทั้งหลายในบ้านในเมืองนี้ มันเป็นอันธพาลไม่ได้เพราะเหตุนี้
จากการแสวงหาความสุข จากการทำความดีหรือรู้สึกเป็นสุขเมื่อรู้สึกว่า (นาทีที่ 57.23) ได้ทำดีนี้ จะเป็นรากฐานของศีลธรรมอันใหญ่ยิ่ง จะทำให้มีศีลธรรมใดๆ ตามมาโดยอัตโนมัติ
เอาละพอกันทีสำหรับเวลาที่มีอยู่หรือกำหนดกันไว้ สำหรับอาตมาจะพูดถึงเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ครูผู้จะดำเนินการสอนศีลธรรม เมื่อเราจะต้องรู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของความไม่มีศีลธรรม คือทำลายศีลธรรมให้หมดไป จนต้องนึกถึงข้อนั้นจะได้ป้องกันมันเสียหรือจะต้องเอามาช่วยกันทำลายเสีย มันจึงจะสอนศีลธรรมได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เหมือนจะนก จะเหมือนกับ (นาทีที่ 58.17) นกแก้วนกขุนทอง พูดเพ้อๆ ไป ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ต้องเป็นเรื่องที่กระทำได้ตามที่เราต้องการให้เขามีศีลธรรม ศีละแปลว่าปกติ ศีลธรรมแปลว่าภาวะแห่งความเป็นปรกติก็ได้ แปลว่าเหตุแห่งความปรกติก็ได้ หรือความปกติอยู่ตามลักษณะของธรรมชาติก็ได้ ล้วนแต่ไม่มีความทุกข์ทั้งนั้นแหละ นี่เราช่วยกันทำให้สังคมมนุษย์มีภาวะปกติ คือไม่มีความทุกข์ไม่มีเรื่องยุ่งยาก ระส่ำระสายเดือดร้อน มันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรที่น่าปรารถนากว่า แต่แล้วคนก็ไม่รู้จักแล้วก็ไม่ปรารถนากัน ไปทำในทางที่ตรงกันข้ามจนเดือดร้อนกันไปหมด เพราะไม่มีศีลธรรม แล้วเดี๋ยวนี้จะมาเอะอะๆ จะให้ช่วยกันให้มีศีลธรรมจะสอนศีลธรรม ก็ลองคิดดูว่าจะทำได้อย่างไร จะ (นาทีที่ 59.29) ต้องมีหลักการ มีวิธีการอย่างไร ขอให้ช่วยเอาไปคิดไปนึก อาตมา(นาทีที่ 59.37) ก็ได้พูด(นาทีที่ 58.18) ก็ได้แต่พูดคร่าวๆ ไปในส่วนที่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างสำคัญที่สุด สำหรับเรารู้แล้วจะได้ช่วยกันแก้ไขให้มันดีขึ้นแล้วก็อย่าลืมว่าอาตมาได้พูดแล้วว่าพวกครูนั่นแหละจะช่วยได้ ถ้าครูเป็นครูจริงเป็นครูเต็มตามความหมายของคำว่า “ครู” เป็นผู้เปิดประตูให้สัตว์ได้รับแสงสว่าง แล้วอาชีพครูสอนศีลธรรมนี้จะเป็นอาชีพที่ได้บุญกว่าครูธรรมดา อาชีพครูธรรมดาก็ยัง (นาทีที่ 60.00) เป็นอาชีพที่ได้บุญกว่าอาชีพอื่นๆ ซึ่งมิใช่ครู
สรุปความว่าอาชีพที่ได้แต่เงินมาเลี้ยงชีวิตนี้มันก็มีอยู่ทั่วไป อาชีพที่ทำให้ได้บุญด้วยก็คืออาชีพครูเป็นต้น หรืออาชีพอะไรอีกบางอย่างสองสามอย่าง แต่อย่าต้องพูดถึงเลยเวลามันไม่พอ ถึงจะต้องเป็นครู และขอให้เป็นครูที่จะได้บุญมากไปกว่าครูพวกอื่นก็คือครูสอนศีลธรรม ก็ไม่ใช่สอนอย่างนกแก้วนกขุนทอง ให้จดในสมุดแล้วปิดไว้ แต่แล้วก็ต้องทำให้เขาประพฤติปฏิบัติอยู่ด้วย โดยหลักใหญ่ๆ สามประการว่า ให้เขาถือว่าชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนกันและเขาจะต้องบังคับความรู้สึกไว้ให้ได้ และเขาจะเป็นสุขต่อเมื่อรู้สึกว่าทำความดีเท่านั้น นอกนั้นไม่ใช่ความสุขอะไร เป็นอันว่าอาตมาก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้วที่จะพูดอะไรกับท่านทั้งหลายบ้างทั้งที่สุขภาพไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็เอา ออ, (นาทีที่ 01:01.44) ข้อนี้เป็นเครื่องต่อรองว่าถ้ามองเห็นการเสียสละอันนี้ของอาตมาแล้วก็ ช่วยเอาไปทำให้สุดความสามารถที่จะให้ (นาทีที่ 01:01.54) เกิดเป็นผลขึ้นมาตามที่เราปรารถนา และขอแสดงความหวังว่าครูทั้งหลายทุกคนจะรับเอาความคิดนี้ไปพิจารณา จะ (นาทีที่ 01:02.07)พยายามทำตามที่ได้เห็นว่าดีที่สุด อาตมาก็ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายที่เป็นครูที่ตั้งหน้าตั้งตาจะทำอย่างนี้ จงมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนอยู่ด้วยความสุขทุกทิพา (นาทีที่ 1:02:21) ราตรีกันเทอญ เอาละพอกันที