แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๙ ท่านผู้สนใจในธรรม การบรรยายสนองความต้องการของท่านในวันนี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะกับการแก้ปัญหาของมนุษย์ ได้ยินว่าท่านทุกคน ประกอบกิจกรรมหรือเนื่องอยู่ด้วยกิจกรรม ที่เป็นการสงเคราะห์มนุษย์ ดังนั้นก็เป็นการถูกต้องที่มีเหตุผลในการที่จะพูดกันถึงเรื่องนี้ อีกอย่างหนึ่งขอให้ทราบว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นจำเป็น ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นความจำเป็นทั่วไปสำหรับมนุษย์ทุกคน ท่านจะเป็นอะไร หรือว่าจะมีหน้าที่อะไร ประกอบอาชีพอะไร สิ่งที่เรียกว่าธรรมะก็ยังคงจำเป็นสำหรับท่าน แล้วที่จะต้องนึกหรือสังเกตอีกทีหนึ่งก็คือว่ามนุษย์ทุกคนมันมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ชนิดไหน ระดับไหน วัยไหน มันมีปัญหาทั้งนั้น การที่จะแก้ปัญหาให้ได้นั้น เกี่ยวข้องกันกับธรรมะอย่างยิ่ง คือจะต้องให้ถูกตามวิถีทางของธรรมะ จึงจะแก้ปัญหานั้นได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะแก้ได้น้อยเกินไป หรือไม่ได้เสียเลย นี้ขอให้เราเลิกโง่ เลิกหลง เลิกความเข้าใจผิด เลิกงมงายเสียทีว่า ธรรมะนั้นมันเกี่ยวข้องกับเราแต่บางอย่าง บางส่วน บางเวลา หรือบางคน หรือบางกรณี ถ้าคิดอย่างนี้ ยังโง่มาก หรือจะเรียกว่าโง่ที่สุดก็ได้ โดยที่ไม่รู้ว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคืออะไร อยากจะให้สนใจในคำว่า ธรรมะ เพียงคำเดียว กันให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งเสียก่อน ท่านทั้งหลายเคยได้ยิน ได้ฟัง มาแต่เพียงว่า ธรรมะนั้น คือ พระธรรม สำหรับศึกษาและปฏิบัติหรือคู่กันกับพระพุทธ และพระสงฆ์ ก็เรียกว่าพระธรรม นี้ก็ถูก ถูกอย่างยิ่ง แต่มันยังเป็นส่วนน้อย ถ้าเราจะเป็นนักศึกษาที่กว้างขวางจะต้องรู้มากไปกว่านั้น คือรู้ว่า คำว่า ธรรมนี่มันหมายถึงทุกสิ่ง ไม่ได้ยกเว้นอะไร คนที่อายุมากสักหน่อย คงจะได้ยินคำว่ารูปธรรม นามธรรม เพราะคนแก่ๆ เขาพูดกันโดยมาก แต่คนอายุน้อย คงจะไม่ได้ยิน โดยเฉพาะเด็กๆ สมันนี้ นั้นก็จะไม่ค่อยได้ยิน ตามบ้านเรือนที่พูดกัน ด้วยคำว่ารูปธรรม นามธรรม หรือพระธรรมสร้าง หรืออะไรทำนองนี้คนโบราณเขาพูดกันอยู่เสมอ เขามักจะออกอุทานออกมาว่ารูปธรรม นามธรรมมันเป็นอย่างนั้นนั่นเอง อย่างนี้เป็นต้น
รูปธรรมก็คือธรรม นามธรรมก็คือธรรม ถ้าเข้าใจคำนี้ก็จะรู้ได้ว่าทุกอย่างมันไม่พ้นไปจากรูปธรรมและนามธรรมแล้วก็คือธรรม เนื้อตัวของเรานะมันเป็นรูปธรรม มันเป็นธรรมที่เป็นรูป จิตใจของเราก็เป็นนามธรรม คือธรรมที่เป็นนาม ความรู้สึกคิดนึกของจิตใจของเราก็เป็นนามธรรม มันก็เป็นธรรม การคิดนึกรู้สึกแล้วกลายเป็นการกระทำออกมาทางภายนอก ทางกาย ทางวาจาก็ดี ก็เรียกว่า ธรรม การกระทำกรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจก็ตามนั้นก็เรียกว่า ธรรม หรือประพฤติธรรม ประพฤติถูกธรรม ประพฤติไม่ถูกธรรม ประพฤติแล้วมันก็มีผลออกมาอย่างนั้น อย่างนี้ ไอ้ผลของการประพฤตินั้นก็เรียกว่า ธรรม อีกนั่นเอง นี้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงแวดล้อมตัวเราอยู่ก็เรียกว่า ธรรม เพราะมันเป็นรูปธรรม โลกทั้งโลกนี้มันก็เป็นรูปธรรม นั้นก็เรียกว่าธรรม ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ ให้เพียงพอให้กว้างขวาง ว่าทุกอย่างมันเรียกว่า ธรรม และมันเป็นธรรมในความหมายใดความหมายหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อมันเกิดอะไรขึ้นมามันก็ต้องเรียกว่า เกิดมาตามธรรม คือตามกฎเกณฑ์ของธรรม ถึงมันจะดับไป อาตมาก็ต้องดับตามไปกฎเกณฑ์ของธรรม ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่เรามันก็เป็นธรรมอันหนึ่งซึ่งเป็นปัญหา เป็นธรรมฝ่ายที่มันเป็นปัญหา เกิดในใจก็เป็นฝ่ายนามธรรม เกิดข้างนอกก็เป็นฝ่ายรูปธรรม เมื่อตัวปัญหามันเป็นตัวธรรม การแก้ปัญหา มันก็ต้องแก้ด้วยธรรม มันเอาอื่นมาแก้ไม่ได้
ฉะนั้นเราต้องมีความรู้เรื่องธรรม ใช้ธรรมะให้ถูกต้องในการที่จะแก้ปัญหาใดๆ ของเรา ในฐานะที่เป็นมนุษย์แล้วก็มีปัญหา นับตั้งแต่ปัญหาที่จะต้องหาเลี้ยงชีวิต ทั้งประกอบอาชีพ ต้องศึกษาเล่าเรียนก่อน ต้องฝึกฝนแล้วก็ประกอบอาชีพ ฉะนั้นก็มีครอบครัว มีบุตร ภรรยา สามี มีลูกเด็กๆ เพิ่มขึ้น มันก็เป็นปัญหา มันก็มีปัญหามากขึ้นอย่างนี้ ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาโดยถูกวิธี ก็โดยถูกธรรม มันก็ไม่ค่อยยุ่งยากลำบาก หรือไม่ค่อยจะมีความทุกข์ ถ้าเราแก้ไม่ถูก ไอ้ความทุกข์เราก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ขอให้เข้าใจให้ดีๆ ว่าปัญหามันมีรอบด้าน โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี ตามธรรมชาติก็มี มนุษย์สร้างขึ้นก็มี นั้นการที่เราจะต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องตาย นี่มันก็เป็นตามธรรมชาติ เราต้องรัก ต้องโกรธ ต้องเกลียด ต้องกลัว นี้มันยุ่งไปหมด ก็เป็นปัญหาตามธรรมชาติ ที่นี้เรายังสร้างปัญหาให้แก่กันและกันอีก ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาผู้ก่อการร้ายบ้าง ปัญหาทางการเมืองบ้าง ทางเศรษฐกิจบ้าง ทางอะไรหลายๆ อย่าง ล้วนแต่เป็นปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ทำกันขึ้นมาเอง เพราะว่าปราศจากความรู้ที่ถูกต้องในสิ่งที่เรียกว่าธรรม นี่เราพูดกันอย่างคร่าวๆ อย่างนี้ เพื่อให้รู้กันโดยคร่าวๆทั่วไปหรือทีก่อนว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าธรรมตามภาษาบาลี ทีนี้เราไม่เคยเรียนบาลี เรารู้เท่าที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย แล้วก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมนี่น้อยเกินไป นี้ก็อยากจะให้รู้โดยหลักเกณฑ์ยิ่งขึ้นไปอีก ก็อยากจะอธิบายให้คำว่าธรรมโดยหลักเกณฑ์ที่เราเรียกอยู่มีอยู่ ๔ ความหมาย เป็นความหมายที่ใช้ได้ในทุกกรณีในการที่จะพูดกันเองภายในพวกเรา หรือจะพูดกันกับชาวต่างศาสนา ชาวต่างประเทศอะไรก็ตาม คือเราต้องรู้เสียก่อนว่าคำว่าธรรมในภาษาบาลีนั้น ความหมายมันเล็งไปถึงธรรมชาติ ไอ้ตัวธรรมชาติ หรือตามความเป็นไปตามธรรมชาติ บางทีก็เรียกว่าธรรมดา เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าธรรมชาติกันดีกว่า ธรรมชาติคำเดียวมีความหมายเกี่ยวโยงสลับซับซ้อนกันอยู่หลายอย่างคอยฟังให้ดี
ในธรรมชาติคำแรกนั้นก็คือไอ้ตัวธรรมชาติทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ เมื่อพูดว่าตามธรรมชาติแล้วก็ ชาวบ้านมักจะเข้าใจกันเอาเองว่า คือ มิใช่วิทยาศาสตร์ เพราะถ้าคนทำก็เรียกวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็เรียกว่าธรรมชาติ พูดอย่างนี้กันก็ได้เหมือนกัน คือที่มันเป็นอยู่เองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือวัตถุก็ได้ เป็นนามธรรมคือความรู้สึกคิดนึกในใจคนก็ได้ ที่มันมีอยู่ทั่วไปหมด แม้แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไล่ลงมาถึงโลกนี้ และในโลกนี้มีอะไรกี่อย่าง เป็นไปตามธรรมชาติ มีปรากฎการณ์ให้เรารู้สึกได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เราก็เรียกว่าธรรมชาติ แล้วก็นับไม่ไหว มี ไม่มี ปริมาณนับไม่ไหว อยู่ในรูปมนุษย์ก็ได้ อยู่ในรูปของสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ต้นไม้ก็ได้ สิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งหลายก็ได้ เรียกว่าธรรมชาติหมด แล้วยังมีอย่างลึกซึ้งที่คนธรรมดาไม่เรียนแล้วก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจก็ยังมี นี่เรียกว่าธรรมชาติ นี่ก็เรียกโดยภาษาบาลีว่าธรรม ธรรม ธอ รอ รอ มอ นี่เป็นสันสกฤต หรือ ธอ ไม้ผลัด มอ มอ นี้ ธัมมนี้เป็นบาลี มาเป็นภาษาไทยเราก็เรียกว่าธรรม เขียนตามรูปสันสกฤต ธอ รอ รอ มอ ก็ธรรมตัวนั้นแหละ เข้าใจให้ดีเถิด เดี๋ยวนี้หมายถึงธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น
ทีนี้ธรรมชาติมันยังมีอะไรมากไปกว่าที่มันปรากฏให้เราเห็น นั่นคือ ไอ้สิ่งที่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ แยกกันให้ดีดี ธรรมชาติเป็นอย่างหนึ่ง แล้วกฎของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง ถ้าถามว่ากฎของธรรมชาติอยู่ที่ไหน มันก็มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั่นเอง เช่น แผ่นดินเป็นธรรมชาติ แล้วกฎของธรรมชาติก็มีอยู่ก็มีอยู่ในแผ่นดินนั่นแหละ ที่ทำให้แผ่นดินจะต้องเปลี่ยนแปลงไป หรือเกิดขึ้น หรือหายไป หรือเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็อยู่ในดิน คืออยู่ในตัวธรรมชาติ อยู่ในร่างกายเรานี่ ร่างกายของเราเป็นธรรมชาติ มันก็มีกฎของธรรมชาติที่ทำให้ร่างกายนี้มันเปลี่ยนแปลงไป หรือว่าทุกอย่างในร่างกายมันทำหน้าที่ของมัน นี่มันมีกฎธรรมชาติควบคุมอยู่ในทุกสิ่ง นี้เฉียบขาด เด็ดขาด เหมือนกับพระเจ้า คือยิ่งกว่าพระเจ้าของบางศาสนาเสียอีก เรียกว่ากฎธรรมชาติในความหมายที่สอง แม้กฎธรรมชาตินี้ก็เรียกโดยภาษาบาลีว่าธรรม คำเดียวอีกเหมือนกัน ธรรมในความหมายที่สอง คือ กฎของธรรมชาติ ในเมื่อความหมายที่หนึ่งหมายถึงตัวธรรมชาตินั่นเอง ทีนี้ธรรมชาติมันยังเนื่องมาถึงหน้าที่ หน้าที่ที่เราจะต้องทำตามธรรมชาติ คือ ตามกฎธรรมชาติ ถ้าเราไม่ทำเราจะต้องตาย รู้ไว้บ้างว่าหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องปฏิบัติให้ตรงตามกฎของธรรมชาตินับตั้งแต่ว่าต้องกินอาหาร และต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ การกินอาหารก็เป็นหน้าที่ ไม่กินมันก็ตาย จะเอาอาหารมาแต่ไหนกิน มันก็ต้องหาอาหาร หาอาหารมันก็เป็นหน้าที่ แล้วมันจะเพียงแต่กินอย่างเดียว ยังจะต้องถ่าย ต้องอาบ ต้องล้าง ต้องนุ่ง ต้องห่ม ต้องอะไรไปทุกอย่างในส่วนตัว
ถ้ายังจะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อกันและกันให้ถูกต้องในหมู่มนุษย์หรือในโลกนี้ ไม่งั้นมันก็ต้องตายเหมือนกัน ทีนี้ทางจิตใจยังมีอีก ต้องทำหน้าที่ทางจิตใจถูกต้อง ไม่อย่างงั้นจิตใจมันก็ร้อนเป็นไฟ ก็จึงมีหน้าที่ทางจิตใจ ต้องทำให้ถูกต้องอีกส่วนหนึ่งอีก หน้าที่มันก็มีมากอยู่ ไปนึกเอาเอง เป็นเด็กก็หน้าที่อย่างเด็ก เป็นคนวัยรุ่นก็หน้าที่อย่างวัยรุ่นที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน หรือทำอะไรให้เป็นวัยรุ่นที่ดี เป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนกระทั่งเป็นคนสูงอายุ เป็นคนแก่ คนเฒ่า ล้วนแต่มีหน้าที่เต็มไปด้วยหน้าที่ หน้าที่นี้บังคับว่าถูก เอาว่าต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าผิดจากนี้แล้วก็จะต้องตาย ตายในทางร่างกายก็ได้ คือ ตายจริงๆ ใส่โลงเอาไปเผา ไปฝัง หรือว่าตายทางจิตทางวิญญาณ คือ ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่ในบุคคลนั้น สักแต่ว่าคนเปล่าๆ นี้ก็เรียกว่าหน้าที่ ที่เราได้รับคำสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ในโรงเรียน ที่ว่าพระธรรม คือ คำสอนสำหรับให้ปฏิบัติ มักจะชี้ระบุเฉพาะหน้าที่ ธรรมในความหมายก็เป็นหน้าที่ เราก็พอจะรู้กันบ้างว่าทำอย่างไร ต้องให้ทาน ต้องรักษาศีล ต้องทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง เป็นหน้าที่ นี่ความหมายที่สามของคำว่าธรรม คือ หน้าที่ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งเฉียบขาดยิ่งกว่าพระเจ้าอย่างที่กล่าวมาแล้ว นี้สิ่งสุดท้ายที่จะมาเรียกว่าธรรมก็คือว่าผลที่มันออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ คือทำอะไรลงไปแล้วผลจะต้องออกมาอย่างเที่ยงตรง คือตรงตามไอ้สิ่งที่เรากระทำลงไป ทีนี้มนุษย์ก็มาจำกัด บัญญัติกันว่า อย่างนี้เรียกว่าดี อย่างนี้เรียกว่าชั่ว นี้มันทีหลัง ตามที่มนุษย์เขาบัญญัติ อย่างนี้เราสมมุติกันว่าดีให้มีความสุข อย่างนี้ไม่ดีจะมีความทุกข์ แต่ตัวธรรมชาติแท้ๆ นั้นมันมีเพียงแต่ว่า ถ้าทำลงไปอย่างนี้แล้วผลมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นทำกันอย่างที่สมมุติ บัญญัติว่าดี ผลก็ต้องดี ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว นี่เรียกว่าผลที่เกิดจากการทำหน้าที่ เขาเรียกว่า ธรรม อีกเหมือนกัน คือ ผลที่ได้รับเป็นเงิน เป็นทอง เป็นลาภ เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นเกียรติยศชื่อเสียง กระทั่งเป็นมรรคผลนิพพานไปในที่สุด มันก็เรียกว่า ผล ผลที่เกิดตามธรรมชาติตามกฎของธรรมชาติ ช่วยจำกันให้ดีๆ
สำหรับศึกษาพระพุทธศาสนาได้จนตลอดชีวิต ถ้าเข้าใจธรรมใน ๔ ความหมายนี้แล้วจะสะดวกที่สุด จะศึกษาพุทธศาสนาได้โดยง่ายจนตลอดชีวิต ยังหรือพูดซ้ำอีกทีหนึ่งก็ว่า ธรรมในความหมายที่ ๑ คือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมในความหมายที่ ๒ คือ กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาติ นี้ธรรมในความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ นี้ธรรมในความหมายสุดท้ายที่ ๔ ก็คือผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้น ขอให้สังเกตดูให้ดีว่ามันไม่พ้นไปจากธรรมชาติ มันยังเกี่ยวข้องกันอยู่กับคำว่าธรรมชาติเสมอไป ธรรมชาตินี้แหละที่เป็นตัวธรรมที่สำคัญที่ต้องรู้ ทีนี้เกี่ยวกับมนุษย์ เราก็ดูแต่มนุษย์ก่อน เนื้อหนังร่างกายจิตใจของเราเป็นธรรมชาติ ในตัวเราทั้งหมดนี้มีกฎธรรมชาติควบคุมอยู่ ต้องเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ และเราก็ต้องมีหน้าที่ตามกฏอันนั้น เรื่องกินอาหาร เรื่องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ธรรมชาติบังคับให้ทำเพื่อผลตามที่เราต้องการ ทีนี้เราก็ได้รับผลเป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ ปรากฎแก่ความรู้สึกของเราอยู่ ทั้งที่ความหมายมันเต็มอยู่ในตัวเรา ในตัวเพื่อนของเราก็เหมือนกัน สัตว์โลกทั้งหลายก็เหมือนกัน เป็นไปทั้งโลกถูกควบคุมอยู่ด้วยสิ่งนี้ คือ ธรรมใน ๔ ความหมาย
สรุปความว่า จะต้องประพฤติหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมชาติ มันไม่ผิดไปจากกฎนั้นได้ ทีนี้ก็ดูต่อไป ถึงส่วนที่มันเป็นปัญหาของมนุษย์เรา หลายคนนี้เป็นครู หรือเกี่ยวกับครู เกี่ยวกับหน้าที่ของครู เกี่ยวกับสงเคราะห์คน แต่ท่านต้องร่วมมือในแง่ใดแง่หนึ่ง แม้เป็นภารโรงมันก็ยังเนื่องอยู่กับครู ทำงานอย่างครู นี่ดูให้ดีว่ามันเป็นเรื่องอะไรกัน ทำไมจะต้องมีไอ้คำว่าครู หรือคำว่านักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้ร่วมมืออื่นๆ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ได้ เพราะมันมีปัญหาเกิดขึ้น หรือมีปัญหาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า มันต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องทำ ไปทำให้มันเหนื่อยทำไม เช่นการสังคม ทำการสงเคราะห์สังคมนี้มันเป็นปัญหาที่ต้องทำ ต้องแก้ เพราะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ หรือจะอยู่โดยที่คนอื่นเขามีความทุกข์นั้นมันอยู่ไม่ได้ มันจะเกี่ยวข้องกันถึงกันไปหมด หรือพวกที่มีความทุกข์ มันก็ไม่ยอมให้คนอื่น มันอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ โดยไม่เหลียวแลถึงพวกที่มีความทุกข์ นั้นการแก้ไขปัญหาอันนี้ก็คือ แก้ปัญหาของสังคม หรือเรียกว่าสังคมสงเคราะห์ ตามหลักของธรรมชาติอันลึกซึ้ง มันไม่ต้องการให้ต่างคนต่างเอาแต่ประโยชน์ของคนโดยไม่ผูกพันกันเป็นสังคม ถ้าดูแล้วจะเห็นว่าธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ เป็นสิ่งที่ต้องเนื่องกันอย่างมากมาย ไม่ได้สร้างมาเพียงคนเดียวและต่างคนต่างอยู่ของตนได้ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ได้ตามลำพังตัวเอง ต้องเนื่องถึงสิ่งอื่น
เราจะไม่มีปัญหาทางสังคม เช่น มีครูเป็นผู้นำทางวิชาความรู้ที่สูงขึ้นไปนอกจากจะแนะนำสั่งสอนแล้วยังต้องช่วยให้เขาประพฤติหรือกระทำได้ตามคำแนะนำสั่งสอน ผูกพันกันเป็นสังคม จึงต้องสงเคราะห์สังคม นี้การกระทำเพื่อแก้ปัญหาสังคมโดยเห็นสังคมเป็นใหญ่กว่าบุคคลนี้เราจะเรียกว่าสังคมนิยม นี้เป็นคำพูดที่กำลังเป็นปัญหาที่สุดในโลกในเวลานี้ คือ คำว่าสังคมนิยม เพื่อไม่ให้ประหลาดใจ ก็ต้องรู้เสียก่อนว่าคำว่าสังคมนิยมนี้มีหลายชนิด หลายสิบชนิด หลายความหมาย ความหมายบ้าๆ บอๆ ทำเกิดเป็นปัญหาขึ้นก็มี ความหมายที่ถูกต้องแล้วก็ไม่เกิดปัญหาเลย จะแก้ปัญหาได้ นั้นเรารู้จักไอ้สังคมนิยมในลักษณะที่ถูกต้อง คือว่าทำอะไรต้องนึกถึงคนทั้งหมด เรียกว่า สังคมนิยม สังคมแปลว่าคนทั้งหมด ทำอะไรนึกถึงคนทั้งหมดก็เรียกว่า สังคมนิยมที่ถูกต้อง นี้ถ้าว่าจะพูดว่าประชาธิปไตยเป็นยังไร เดี๋ยวนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้คำพูดว่าประชาธิปไตยนั่นเขาถือ หรือเขาใช้ในลักษณะที่ตรงกันข้ามกันสังคมนิยม เมื่อพูดว่าสังคมนิยมก็มักจะเล็งถึงคอมมูนิสต์ อย่าไปคิดอย่างนั้น สังคมนิยมอย่างอื่นก็มี ประชาธิปไตยปล่อยให้แต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพตามใจตน นี้จะเป็นลัทธิที่เลวร้ายที่สุดถ้าไปใช้กับคนที่ไม่มีธรรม ช่วยจำให้แม่นๆ ด้วยว่า ประชาธิปไตยนั้นใช้ได้แต่เฉพาะเมื่อคนมันมีธรรม มีธรรมะ มีธรรมเท่านั้นแหล่ะ ถ้าไปใช้กับคนที่ไม่มีธรรม ประชาธิปไตยจะเป็นของเลวร้ายที่สุด ให้โทษที่สุด ปราศจากการควบคุม ควบคุมไม่ได้ แล้วจะยิ่งเห็นในความเลวร้ายของประชาธิปไตยในโลกนี้ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น เห็นกฎหมู่ ไม่ถือกฎหมายบ้าง เป็นอะไรต่างๆ นาๆ เอาประชาธิปไตยไปใช้กับไอ้คนที่ไม่มีธรรม มันดีเกินไป เอาไปใช้กันคนที่ไม่มีธรรมไม่ได้ ต้องใช้กับคนที่มีธรรม
นั้นถ้าใครรักประชาธิปไตย แล้วก็รีบมีธรรมเสียเถอะ หรือว่าโลกทั้งโลกนี้มีธรรมะแล้วประชาธิปไตยก็จะใช้ได้ เพราะเมื่อเขามีธรรมะแล้ว เขาก็ไม่ทำอะไรในลักษณะที่ผิดๆ คือ เห็นแก่ตัวแล้วไปเอาเปรียบผู้อื่น ทีนี้เมื่อประชาธิปไตยมันใช้ไม่ได้สำหรับคนที่ไม่มีธรรม มนุษย์จึงหันไปหาไอ้หลักเดิมๆ คือ ให้เห็นแก่ทั้งหมด หรือแก่สังคม นี่คือเจตนาหรือว่าใจความสำคัญของศาสนา ศาสนาทุกศาสนามีเจตนารมย์เป็นสังคมนิยม เพื่อให้รัฐให้ถือว่าทุกคนนี่มันเป็นคนเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกเดียวกัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ศาสนาจะมีหลักเกณฑ์อย่างนั้น ไม่ใช่ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ของตัว โดยไม่ต้องนึกถึงผู้อื่น ถ้าศาสนาที่มีพระเจ้า เขาก็พูดไว้ ให้มันจำง่ายเสียเลยว่า ทุกคนมันเป็นลูกของพระเจ้า ออกมาจากพระเจ้า หรือพระเจ้าสร้างขึ้นมา นี่มันจะได้ง่ายหน่อยในการจำ ในการปฏิบัติให้เรารักกันเหมือนกับว่าลูกพ่อแม่เดียวกันมันก็จะเกิดไอ้อุดมคติอย่างสังคมนิยมขึ้นมา คือ เห็นแก่ทุกคน อุดมคติอย่างนี้เป็นสังคมนิยม แล้วมีขึ้นมาในโลกคงจะหลายพันปี หรือเกือบหมื่นปี ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ยกเว้นศาสนายิวหรือศาสนาในอินเดีย ยุคโบรงโบราณไม่เกิน ๘๐๐๐ ปี แต่ ๘๐๐๐ ปี นี้ไม่ใช่เล่น มันนานมากพอที่จะพูดได้ว่าอุดมคติอย่างสังคมนิยมมันมีในโลกตั้ง ๘๐๐๐ ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย สอนให้รักผู้อื่น รับใช้ผู้อื่น รับใช้คน ทั้ง เออ ผู้อื่นทั้งหมด นั่นคือ รับใช้พระเจ้า เพราะทั้งหมดเป็นของพระเจ้า คนทุกคนเป็นลูกพระเจ้า
ทีนี้บางคนอาจจะสงสัยทำไมพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า นี้อย่าเข้าใจอย่างนั้น เรามีพระเจ้าในชื่ออย่างอื่น เช่น กฏของธรรมชาติเป็นต้น ที่ได้พูดไปแล้วเมื่อตะกี้หยกๆนี้ว่ากฎของธรรมชาติ มันสร้างอะไรขึ้นมา สร้างคนทุกคนขึ้นมา กฏนั้นก็เท่ากับพระเจ้า เราจึงมีอะไรเหมือนๆ กัน เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีเนื้อหนังร่างกายมีชีวิตจิตใจเหมือนๆ กัน คือไม่ชอบความทุกข์ ต้องการความไม่ทุกข์หรือความสุขด้วยกัน แล้วถ้าเราเห็นแก่ตัวทำลายล้างกันมันก็วินาศหมด แล้วอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ ดูเอาเองเถอะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ หรือว่าถ้าอยู่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ที่แท้มันอยู่ไม่ได้ ต้องกินข้าว ต้องกินอาหาร ต้องมีเครื่องนุ่งห่ม ต้องเจ็บไข้ ต้องมีหยูกยา เราลุกไม่ไหวเพื่อนเขามาช่วย ยิ่งเดี๋ยวนี้แล้วจะยิ่งเห็นว่ามันเนื่องกันกับคนหมู่มาก ต้องสร้าง ต้องพัฒนาให้โลกนี้อยู่ในสภาพอย่างนี้ ไอ้เราก็ไม่อยากจะอยู่ในโลกคนเดียว เพราะมันไม่สนุกอะไร อย่าว่าแต่คนเลย สัตว์เดรัจฉานมันก็อยู่ตัวเดียวไม่ได้ ต้นไม้ก็อยู่ต้นเดียวไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ในโลกนี้ เป็นอันว่า มันต้องอยู่กันเป็นสังคม ต้นไม้ก็เป็นสังคมต้นไม้ สัตว์เดรัจฉานก็เป็นสังคมสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ก็เป็นสังคมมนุษย์ ทำอะไรต้องนึกถึงสังคม ถ้าเราแก้ปัญหาของสังคมได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ
เดี๋ยวนี้ถ้าลองพูดว่าประเทศไทยเราแก้ปัญหาทางสังคมไม่ได้ ก็มีวัยรุ่นจำพวกหนึ่ง หรือว่าคนหนุ่มกลุ่มหนึ่ง เขาจะไปเอาไอ้ลัทธิสังคมนิยมของคอมมูนิสต์เข้ามาแก้ปัญหาในประเทศไทยนี้ขอให้คิดดูว่ามันเป็นมูลเหตุอะไร มันมีมูลเหตุมาจากอะไร หรือเพราะมูลเหตุอะไร ก็เพราะว่าเราแก้ปัญหาสังคมไม่ได้ จึงมีคนอุตริหรือว่าคิดถูก หรือคิดผิดนี้ก็ตาม ที่จะแก้ปัญหาไปตามความคิดความนึกของตัว เพื่อจะแก้ปัญหาสังคมให้ได้ จึงไปเที่ยวเอาลัทธินั้นลัทธินี้มา ที่จริงเรามีพุทธศาสนาอยู่แล้วในเลือดในเนื้อ ในพุทธศาสนาก็มีอุดมคติสังคมนิยมอย่างสูงสุดอย่างเพียงพอที่จะแก้ปัญหาได้ แต่เดี๋ยวนี้ไอ้เรานี่มันไม่นับถือพระพุทธศาสนา มันโกหก มันหลอกลวง มันทรยศบิดามารดาที่เคยนับถือพุทธศาสนามาแต่บรรพบุรุษ ดังนั้นในสมัยบรรพบุรุษของเราจึงไม่มีปัญหาทางสังคม เพราะเป็นสังคมนิยมของพุทธศาสนาอยู่ในตัว เดี๋ยวนี้ลูกหลานมันเห่อไปตามก้นฝรั่ง ไปสนุกสนานเอร็ดอร่อยอย่างฝรั่ง มันก็เกิดกิเลสที่เห็นแก่ตัว มันจึงไม่นับถือพุทธศาสนา
พวกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนก็ควรไปสะสางดู ว่าเรานับถือพุทธศาสนาจริงๆ หรือเปล่า นับถือพุทธศาสนาแต่ปากหรือเปล่า นับถือพุทธศาสนาแต่ปากนั้นมันไม่พอที่จะแก้ปัญหาได้ แม้ส่วนตัวก็แก้ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะแก้ปัญหาของสังคมเลย ต้องนับถือพุทธศาสนากันจริงจัง ถูกต้อง และเพียงพอ ก็จะมีเจตนารมณ์ของไอ้ศาสนา คือ สังคมนิยมนั้นอยู่อย่างเต็มที่ เราจะรักเพื่อนบ้านของเราอย่างสุดชีวิตจิตใจ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ทำร้ายหรือทำอันตรายกันไม่ได้ ไม่มีใครคิดร้ายใคร มันก็ไม่เกิดปัญหาทางสังคมอย่างนี้แหละ ศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกัน ถ้าเขายังนับถือศาสนานั้นๆ อยู่อย่างถูกต้อง ก็จะไม่เกิดปัญหา พวกฝรั่งที่เคยนับถือ ศาสนาคริสต์จริงของเขา มันก็ไม่เคยมีปัญหาในเมื่อเขานับถือศาสนาของเขาจริงๆ พอเขาละทิ้งศาสนา ถือกันแต่ปากมันก็เกิดปัญหา ไม่มีศาสนาแล้วก็มีตัวกูของกูเป็นศาสนา มันก็เลยมีปัญหายุ่งขึ้นมาเป็นไปทั้งโลกก็คือศาสนาตัวกูกันเสีย ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ เกิดปัญหาใหญ่เหลืออยู่ในโลกเวลานี้ก็คือ ทำอย่างไรมนุษย์ทั้งโลกจะมีธรรมะ คือมีศาสนา พอมีธรรมะมีศาสนาปัญหาในโลกนี้ก็หมดไป ประเทศไทยของเราก็เหมือนกันมีปัญหาเพราะเลิกนับถือพุทธศาสนาโดยแท้จริง มันก็มีจิตใจที่แตกแยกเป็นมึงเป็นกูกันขึ้นมา ไม่มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เป็นคนไทยด้วยกันเป็นพุทธบริษัทด้วยกัน ถือเป็นมนุษย์ในโลกด้วยกันดีกว่ามันจะได้กว้างขวางดี ถ้าศาสนากลับมามันก็มีความรู้สึก สังคมนิยม ทำแบบของศาสนา รักใคร่สิ่งที่มีชีวิต ทุกชีวิตขึ้นมา ปัญหามันก็หมดไปเอง เดี๋ยวนี้เราแตกแยกถึงจะฆ่ากันให้วินาศในหมู่คนไทยด้วยกัน และจะทำได้อย่างลงคอ อย่างเลือดเย็น ไปคิดดู ที่มีการฆ่ากันระหว่างตำรวจกับผู้ก่อการร้ายก็ไปคิดดูสิว่า มันก็คนไทยด้วยกัน ทำไมมันจึงต้องฆ่ากันได้ ก็มันไร้ความรู้สึกที่เรียกว่าเรานี้ก็เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าถือพระเจ้าเขาว่ามาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ถ้าถือธรรมชาติก็มาจากธรรมชาติอันเดียวกัน ควรจะทำความเข้าใจกันได้ มีความเข้าใจถูกต้องว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็รักใคร่กันไม่ต้องฆ่ากัน
ไอ้การสังคมสงเคราะห์มันก็จะเป็นไปโดยอัตโนมัติและอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นไปอย่างแกนๆ หรือเป็นไปอย่างเสียไม่ได้ เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ไอ้สังคมสงเคราะห์นี่ไม่ได้สักกะผีกหนึ่งของปัญหาที่มีอยู่ ที่ว่าจะต้องสงเคราะห์กันอย่างไร มันมีข้อเท็จจริงที่ต้องสงเคราะห์กันมากมายเหลือเกิน ไอ้ที่ทำกันนี่มันสักกะผีกหนึ่งก็ไม่ได้ เรียกว่าสักหยิบมือหนึ่งก็ไม่ได้ มันมีเท่าภูเขาเลากา ให้พิจารณาดูว่าไอ้โลกนี้กำลังเป็นอย่างไร ประเทศไทยกำลังเป็นอย่างไร มนุษย์กำลังเป็นอย่างไร ต้องการความแก้ไขหรือการช่วยเหลืออย่างไร แล้วเราก็ทำไม่ได้เต็มตามนั้น ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นทุกที เพราะว่าเรามันถูกทำให้หลงใหลในความเห็นผิด ความเข้าใจผิดมากขึ้นทุกที การศึกษานี่มันผิดยิ่งขึ้นทุกที คือศึกษาไปในทางที่เห็นแก่ตัว ให้ฉลาด แต่ให้ฉลาดไปในทางเห็นแก่ตัว อย่างนี้ไอ้ความฉลาดนั้นยิ่งเป็นอันตราย ยิ่งเป็นภัย ความฉลาดที่จะทำอันตรายตัวเอง อย่างข่าวเมื่อวันนี้ วานนี้ก็มีเรื่องการโทรมหญิงในมหาวิทยาลัย ลองคิดดูก่อนนื้มันมีเมื่อไรเล่า สมัยมีการศึกษาอย่างวัด อย่างเด็กวัด ไอ้เรื่องร้ายกาจอย่างนี้มันก็ไม่มี เมื่อก่อนนี้อยู่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีตัวใครตัวมันอย่างเดี๋ยวนี้แล้วก็กลัวบาป กลัวเลว กลัวความชั่ว สมัยก่อนนั้นไม่ต้องพูดหนะที่เด็กๆ จะไปสูบกัญชาหรือว่าไปทำลุ่มหลงในยาเสพติด เดี๋ยวนี้การศึกษาเป็นอย่างไรมีการศึกษาแล้วเรียนจบแล้วก็ไปนิยมยาเสพติดจนเป็นปัญหาใหญ่ในโลกทั้งโลก แล้วคนที่ติดยาเสพติดนั้นก็ผ่านการศึกษามาแล้วทั้งนั้น
ฉะนั้นก็ถือการศึกษาสมัยนี้มันก็บ้าๆ บอๆ หรือมันเลวเหลวไหลที่สุด ที่ให้ไปแล้วคนกลับบูชายาเสพติด สู้การศึกษาแบบโบรงโบราณเด็กๆ เห็นแล้วกลัวยาเสพติด สมัยก่อนไอ้โรงฝิ่นมันก็มีทั่วไป ใครอยากจะสูบฝิ่นก็ได้สะดวกที่สุด ไอ้กัญชานี้ก็มีทั่วไปใครสูบก็ได้ แต่เด็กมันกลับกลัวกัญชากลัวยาฝิ่นไม่ไปเข้าไปแตะต้อง มีคนเสพติดน้อยมากพอเด็กเห็นคนสูบกัญชาแล้วก็ ถ้าถ่มน้ำลายรดได้มันก็จะถ่มน้ำลายรดแล้วก็วิ่งหนีไปเลย แต่เดี๋ยวนี้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกลับชอบสูบกัญชาหรือออกมาเป็นฮิปปี้เป็นอะไรก็สุดแท้ นี่เราให้การศึกษากันอย่างไรเอาไปคิดดูด้วย ทำไมจึงไม่ให้คนฉลาด ในการที่จะแก้ปัญหาทั้งของตัวเองและของส่วนรวม ฉะนั้นต้องถือการศึกษามันผิด มันพิสูจน์อยู่ชัดๆ ยิ่งเรียนยิ่งทำผิด ยิ่งฉลาดยิ่งฉลาดในทางทำผิด
ฉะนั้นยิ่งให้เรียนในรูปนี้ก็ยิ่งจะทำให้มีปัญหากันท่วมโลก ถ้าสร้างมหาวิทยาลัยชนิดนี้ขึ้นมาก็ยิ่งสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นท่วมโลก สำหรับจะเห็นแก่ตัวแล้วก็วิวาทกันระหว่างมหาวิทยาลัยระหว่างหมู่ระหว่างคณะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะด่าใครเป็นการปรับทุกข์สำหรับมนุษย์เรา ว่าปัญหาของมนุษย์มันมีอยู่อย่างนี้ เราได้มีหัวข้อสำหรับพูดเมื่อตะกี้นี้ว่า มนุษย์กับการแก้ปัญหาของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้องสมกับที่เป็นมนุษย์ มิฉะนั้นจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ขอให้เหลือบลงไปดูในโลกสัตว์เดรัจฉานมันไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะถ้ามีปัญหามันก็เพราะมนุษย์ไปสร้างให้ ไปทำให้มันเหมือนกัน ตามธรรมชาติเขาจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรอย่างต้นไม้ต้นไร่ทั้งหลายอยู่กันเป็นปกตินอกจากมนุษย์จะไปทำลายมัน มันถึงจะเกิดปัญหา
มันอยู่อย่างสังคมนิยม มันอยู่อย่างเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ดูต้นไม้มันอยู่กันอย่างเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีใครล่วงเกินใคร ไม่มีใครอาจจะเอาส่วนเกินของผู้อื่นมาได้ ต้นไม้ก็กินอาหารเท่านี้ กินน้ำเท่านี้ กินอากาศเท่านี้ มันก็จำกัดอยู่เท่านี้ มันเอาส่วนเกินไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันมันไม่เอาส่วนเกินกันได้ คนทีแรกก็ไม่เคยเอาส่วนเกินกัน มันก็อยู่กันคล้ายๆ กับสัตว์เหมือนกันไม่ค่อยมีปัญหา พอมนุษย์มันเจริญตามแบบของมนุษย์ที่แหวกแนวออกมาจากธรรมชาติ นี้มันจึงเริ่มเอาส่วนเกินคดโกงเอาส่วนเกินมากักตุน มาเก็บไว้ ตั้งแต่สมัยที่เรากินข้าวสาลีที่งอกอยู่ตามป่า มันเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์เหลือเกินเมื่อมนุษย์ยังไม่มีการทำกสิกรรมทำอะไร ต้องเก็บของมากินจากป่า ก็เกิดคนที่รู้จักเอาเปรียบก็เก็บเอามาไว้มากๆ เอาเปรียบผู้อื่นจนผู้อื่นมันขาดแคลนต้องเกิดปัญหาทำนั่นทำนี่ เกิดปัญหาที่จะต้องมีการปกครองเพราะว่ามันเกิดคนเลวขึ้นในหมู่มนุษย์ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่สังคม และก็เอาส่วนเกินยิ่งขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้ปัญหาของมนุษย์มาสรุปได้ตรงที่ว่า มันมีคนเอาส่วนเกินมากเกินไป คนร่ำรวยโดยไม่เอาส่วนเกินมีน้อย มีเหมือนกัน คนร่ำรวยเอาส่วนเกินปล้นส่วนเกิน ขโมยส่วนเกินมาเป็นของตนนี้มันมีมาก นั้นโลกมันจึงยุ่งไปด้วย คนคนหนึ่งมันเต็มไปด้วยส่วนเกิน คนหนึ่งมันก็ขาดแคลน ส่วนใหญ่มันก็ขาดแคลน ฉะนั้นถ้าเราเห็นแก่สังคม ก็ต้องไม่เอาส่วนเกิน ควรจะเอาเท่าไรตามหน้าที่การงานตามความสามารถตามอะไรก็เอาพอสมควร แล้วมันก็อยู่กันเป็นผาสุก แล้วนั่นมันคือธรรมะของธรรมชาติ ของพระเจ้า เขาเรียกว่าสังคมนิยมตามแบบของศาสนา หรือสังคมนิยมตามแบบของพระธรรม สังคมนิยมตามแบบของพระเจ้า แล้วก็ไม่ต้องใช้อาบยา ไม่ต้องใช้การฆ่าฟันกัน เพราะว่าพูดกันรู้เรื่อง เพราะว่าแต่ละคนมันมีจิตใจประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ไอ้ธรรมะนั้นเองเป็นเหตุให้พูดกันรู้เรื่องเลยไม่ต้องฆ่ากัน ก็เป็นมนุษย์ที่สมกับคำว่ามนุษย์ คำว่ามนุษย์แปลว่าจิตใจมันสูงจึงได้เรียกว่ามนุษย์ ถ้าจิตใจมันสูงมันก็ทำอะไรผิดๆ ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าฆ่ากัน ทำอะไรผิดๆ ไม่เหมาะสมสักหน่อยมันก็ไม่ได้เสียแล้วเพราะมันเป็นมนุษย์มันมีจิตใจสูง มันสูงด้วยธรรมะ คือมันมีธรรมะ คือรู้หน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วก็ประพฤติถูกต้องได้รับผลดีก็ไม่ต้องฆ่ากัน นี่เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ถือธรรมะ ในศาสนาไหนทุกศาสนาก็ว่าได้ ถือศาสนาตัวกู ถือศาสนาเงิน ถือศาสนาได้แล้วก็เป็นดี หนักเข้า หนักเข้ามันก็ต้องทำลายผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่น ข่มเหงผู้อื่น นี้เรียกว่าศาสนาเห็นแก่ตัว ไปนึกดูเถอะว่าถ้ามนุษย์มันถือศาสนาเห็นแก่ตัวกันแล้ว ไอ้โลกนี้มันก็วินาศในวันหนึ่งข้างหน้าและไม่ช้านั้นด้วย ฉะนั้นถอยหลังมาหาความถูกต้อง อย่างถอยหลังเข้าคลองดีกว่า ถ้าออกไปเป็นอันตราย ให้เราถอยหลังเข้าคลองดีกว่า คุณลองนึกถึงคำว่าถอยหลังเข้าคลอง เมื่อเราออกเรือไปปากอ่าว ปากน้ำ จะไปในทะเล ถ้ามันมีอะไรเป็นอันตรายเราจะต้องถอยหลังเข้าคลอง ไม่งั้นเราจะต้องตาย นั้นเรารอดอยู่ได้ด้วยการถอยหลังเข้าคลอง ถ้าออกไปในเมื่อมันถูกต้อง
เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราถือลัทธิผิดๆ ไม่ถือธรรมะกันแล้วก็ออกไปหาความตาย ฉะนั้นถอยหลังเข้าคลองเข้ามาหาธรรมะ คือ ความถูกต้องแล้วเราก็จะรอดต่อไป มันจึงมามีใจความสำคัญอยู่ที่ว่าต้องมีความถูกต้อง คือ ธรรมะ เดี๋ยวนี้เมื่อเห็นแก่เนื้อหนัง เห็นแก่ประโยชน์ เห็นแก่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังมากเข้ามันก็ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นโอกาสได้เป็นความถูกต้อง มันก็เลยผิดกันใหญ่ จนถือหลักกันเสียใหม่ว่าเอาได้ก็แล้วกัน ทำดีก็ไม่ได้ดีเอาให้ได้จึงจะดี ทำชั่วมันก็ไม่ชั่ว เอาให้ได้มาก็แล้วกัน ก็เลยถืออย่างนี้มากขึ้นๆ เพราะฉะนั้นการเบียดเบียนจะต้องมีมากขึ้น ช่วยไม่ได้ เมื่อทิ้งพระเจ้าเสียแล้ว พระเจ้าที่ช่วยไม่ได้ เมื่อทิ้งธรรมะเสียแล้วธรรมะก็ช่วยไม่ได้ แต่พร้อมกันนั้นพระเจ้าและธรรมะนั้นจะลงโทษให้มันสาสมกับที่มันทิ้งพระเจ้าหรือทิ้งธรรมะ ยกตัวอย่าง เช่น หลักของธรรมะเขามีว่าทำดีมันดี ทำชั่วมันชั่ว ถ้าทำดี ดีเสร็จตั้งแต่เมื่อนำ ทำชั่วก็ชั่วเสร็จตั้งแต่เมื่อทำ จะเข้าใจเรื่องนี้ต้องศึกษาเรื่องทางจิตใจ ทางจิตใจ ความรู้สึกในจิตใจ ทำด้วยจิตชั่วมันพอทำเสร็จ พอคิดเสร็จ ก็เป็นการทำชั่วเสร็จ พอการกระทำออกมา ก็เป็นการทำเสร็จ ชั่วเสร็จ คือว่ามีหลักว่า เมื่อจิตมันคิดชั่วแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ชั่วตามที่เราบัญญัติมานานแล้วว่า ชั่ว ที่นี้มันก็ชั่วก็สร้างนิสัยชั่ว ทำชั่วครั้งหนึ่งก็สร้างนิสัยหรืออุปนิสัยชั่ว ใส่ไว้ในจิตนั้นก็เป็นจิตที่ชั่วมากขึ้น ไอ้จิตนี้ก็ชั่วมากขึ้น เพราะการทำชั่ว และในที่สุดต้องวินาศต้องฉิบหายในเวลาอันควร ไม่ต้องสงสัยถ้าทำดีมันก็สร้างนิสัยดี อุปนิสัยดี อนุสัยดี อะไรก็ไว้ในใจเรื่อยๆ มันก็เป็นใจดี จิตดี จิตนี้ก็มีแต่จะถูกต่อไปในอนาคต และก็ต้องจะเจริญอย่างแน่นอน ในเวลาอันสมควรอย่าเข้าใจว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วไม่ได้ชั่ว
ตามกฎของธรรมชาติมันดีเสร็จชั่วเสร็จ ลงไปทันทีในเมื่อทำ คิดชั่วก็ชั่วเสร็จ คิดดี ก็ดีเสร็จแล้วก็สะสมไว้ในสันดาน เขาเรียกว่าไอ้พลังเก็บของจิต เขาเรียกว่าสันดาน ทำชั่วก็สะสมชั่วไว้ในสันดาน ทำดีก็สะสมดีไว้ในสันดาน แล้วจิตมันก็ดีหรือชั่วไปตามการสะสมไว้อย่างไร แล้วก็มีจิตชั่ว เราก็ยังทำชั่วต่อไป มันก็เชือดคอคนนั้นเรื่อยๆ ไปโดยไม่รู้สึก แล้ววันหนึ่งมันก็จะปรากฏชัด ความวินาศ นี้ทำดีมันก็พยุงคนนั้นไว้เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่สุด ความดีถึงที่สุดจะบรรลุมรรคผลนิพพานไปเลย
ถ้ายังถือลัทธิว่าทำดีก็ไม่ได้ดี ทำชั่วดีก็ไม่ได้ชั่ว เหมือนคนโง่พูด ขอร้องให้ไปคิดเสียใหม่ ไปพิจารณาเสียใหม่ ไปทดสอบกันเสียใหม่ อย่าพูดละเมอๆ ไปตามเขา ที่เขาจะพูดกันมากขึ้นทุกทีในโลกนี้ ว่าทำดีไม่ได้ดี เอาแต่เงินก็แล้วกัน ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่ว เอาแต่เงินก็แล้วกัน ถ้าได้เงินแล้วเป็นดี อย่างนี้มันก็ผิดหนักขึ้นไปอีก เงินที่ได้จากการทำชั่วมันก็จะมาช่วยทำให้คนนั้นวินาศเร็วขึ้น เงินที่ได้จากการทำดี มันจะรักษาคุ้มครองคนนั้นไว้ ให้มันดีไปเรื่อยๆ ฉะนั้นอย่าไปเอาเงินชั่วมาช่วยซ้ำเติมให้มันชั่วเร็วเข้า แล้วมันวินาศถึงที่สุด ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว คงไปตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมีหลักตายตัว ทำอย่างนี้ต้องมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ต้องมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างนี้ และแน่นอนที่สุด แต่เราดูมันไม่ออก ขอให้ไปคิดดูใหม่ สังเกตดูใหม่ จนมองเห็นว่าทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว แล้วก็ดีเสร็จตั้งแต่เมื่อทำ นอกนั้นมันเป็นผลพลอยได้เป็นปฏิกิริยาพลอยได้ อะไรที่ต้องกลับไปกลับมาทำให้เข้าใจผิดได้ เช่นไปโกงเขามานี่ก็ทำชั่ว มันก็ชั่วเสร็จมันก็ชั่วอยู่ตลอดเวลา ไอ้เงินที่ได้มานั้น ไม่ใช่มันดี เพราะมันเป็นเงินชั่ว จะมาสุมหัวสุมนิสัยคนนั้นให้มันทำชั่วหนักขึ้น แล้วมันก็ต้องวินาศ ให้มองไปอย่างนั้น
ถ้าทำดีมันดีเสร็จแม้ไม่ได้เงินมา มันก็ดี แล้วมันจะทำให้คนนั้นเป็นคนดี มีนิสัยดี มีสันดานดี มีแต่จะทำดีและถูกต้องยิ่งขึ้นไป สักวันหนึ่งมันก็ดี เต็มที่ถึงที่สุดได้ นั้นอย่าได้คิดว่า ได้แล้วก็เป็นดี มันต้องดีอยู่ที่ดี ชั่วอยู่ที่ชั่ว ไอ้ได้ก็ต้องได้มาอย่างดี อย่าได้มาอย่างชั่ว แล้วมนุษย์นี้จะไม่มีปัญหาเลย ถือพระเจ้า ถึงพระธรรม ถือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อย่างถูกต้อง เรื่องความดี เรื่องความชั่ว นี้เราช่วยกันทำความเข้าใจเพื่อนฝูง เพื่อนมนุษย์ ของเรา หรือใครก็ตาม ให้เข้าใจเรื่องนี้ นั่นแหละจะเป็นการสงเคราะห์กันอย่างสูงสุด สงเคราะห์กันอย่างยิ่ง สงเคราะห์อย่างแท้จริง ยิ่งกว่าสงเคราะห์ด้วยเงินด้วยของหรือช่วยเหลือด้วยเรี่ยวด้วยแรงเสียอีก นี้ไม่ได้พูดน่ะ ไม่ได้ห้ามว่าอย่าสงเคราะห์กันด้วยสิ่งของด้วยเรี่ยวด้วยแรงเป็นต้นก็ทำไปเถิด แต่ก็ต้องสงเคราะห์กันถึงรากเหง้าของไอ้สิ่งทั้งปวง คือความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้เขามีธรรมะ ให้ถือธรรมะ ให้ถือพระเจ้า ให้ถือศาสนาให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของไอ้ธรรมชาติ เขาก็ช่วยตัวเขาได้ในเวลาอันสั้น ถ้าเราไปให้เงินเขา ให้อะไรเขา ช่วยเขา ทำให้เขาโง่ ทำให้เขาขี้เกียจ ทีนี้ช่วยจนตายก็ไม่สำเร็จ เขาก็ไม่เป็นคนดีเอาต้องรอดได้ ฉะนั้นเราจะให้เงินให้ของช่วยเรี่ยวช่วยแรงก็ตาม ต้องทำให้เขามีความเข้าใจถูกต้องพร้อมกันไปด้วย แล้วเขาก็จะใช้เงิน ใช้ของ ใช้อะไร ความช่วยเหลือของเรานั้นให้ถูกต้อง เขาก็เป็นคนดีแล้วช่วยตัวเองได้ ซึ่งการจะช่วยเด็กยากจนอนาถาก็ขอให้ช่วยทางวิญญาณด้วย อย่าช่วยแต่ทางวัตถุ ถ้าช่วยให้ฉลาดแล้วระวังให้ดีเขาจะใช้ความฉลาดในทางผิด เหมือนกับนักศึกษาจบมหาวิทยาลัย
ในโลกนี้กำลังใช้ความฉลาดในทางผิดมากกว่าในทางถูก มันพิสูจน์ได้ง่ายนิดเดียวว่าถ้ามันใช้ในทางถูก โลกนี้ไม่เป็นแบบนี้ โลกนี้จะมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้คนที่เรียนจบมาในโลกนี้ มันใช้ความฉลาดผิด ใช้ทางเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ โลกนี้จึงเป็นอย่างนี้ ไอ้ชาติมหาอำนาจ มันยิ่งเห็นแก่ตัวมากเท่ากับความเป็นมหาอำนาจของมัน มันทำโลกนี้ให้มีสันติไม่ได้ แล้วมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวที่จะเอาประโยชน์มาก แล้วแข่งขันกันเอาประโยชน์ และโลกนี้มันก็ยิ่งวินาศหรือว่าเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ หรือความระส่ำระสาย นี่ก็คือการใช้ความฉลาดผิด การศึกษาให้ความฉลาด แล้วมนุษย์ก็ให้ความฉลาดผิด ก็เลยมีความทุกข์ ก็สมน้ำหน้ามัน ก็ที่มันไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ถือพระเจ้าไม่ถือศาสนา เพื่อจะใช้ความฉลาดอย่างถูกต้อง นี่เราใช้ความฉลาดผิด ยิ่งฉลาดยิ่งใช้ความฉลาดผิด ก็โลกก็ต้องเป็นแบบนี้ คือเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ช่วยกันใช้ความฉลาดให้ถูก เมื่อเราเป็นครูบาอาจารย์ นี่ก็สอนให้ลูกเด็กๆ ให้มันรู้จักฉลาดแล้ว ใช้ความฉลาดให้ถูกต้องด้วย นั่นจะชื่อว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์คือสงเคราะห์มนุษย์ที่แท้จริง คือสงเคราะห์ให้รอดได้ไม่ใช่ช่วยให้ตกจม หนักลงไปอีกสงเคราะห์กันอย่างโง่เง่าด้วยวัตถุ ด้วยเรี่ยวแรง ด้วยเอาหน้าเอาตาอย่างนี้ จะไม่เป็นการสงเคราะห์หรอก เขาว่ามีเกียรติเขา เอาหน้า เอาตา สงเคราะห์อย่างมีเกียรติ ไม่เป็นการสงเคราะห์ที่จะแก้ปัญหาได้ มันทำหลอกตัวเอง หลอกสังคมมากกว่า
ฉะนั้นสงเคราะห์ก็สงเคราะห์ให้จริง ให้เขารู้ความจริง ให้เขาเข้าถึงความจริง ว่าทำไมเขาจึงช่วยตัวเขาไม่ได้ เขาจะต้องรู้อะไร จะต้องทำอะไร จึงจะช่วยตัวเองเขาได้ นี่เรียกว่า สังคมสงเคราะห์ และเห็นแก่สังคมเป็นส่วนใหญ่ ไม่เห็นแก่ตัวเอง เป็นสังคมนิยมของพระเจ้า สังคมนิยมของพระธรรม สังคมนิยมของศาสนา จะแก้ปัญหาสังคมอื่นๆ ได้หมด ถ้าเราเปรียบสังคมนิยมคอมมูนิสต์นี่ สมมุติว่า หรือว่าถ้าว่า ถ้าความเป็นจริงก็ได้ สมมุติเราเกลียดสังคมนิยมคอมมูนิสต์เรากลัว เราก็รับหน้าสังคมนิยมคอมมูนิสต์ด้วยสังคมนิยมของพระพุทธเจ้า ของพระธรรมะของศาสนา ของพระเจ้า อย่างที่ว่ามาแล้ว คือ เรารักผู้อื่นเหมือนกับรักตัวเรา ปัญหามันก็ไม่เกิดขึ้น การสหกรณ์ก็ดี การช่วยทางเศรษฐกิจอะไรก็ดี มันก็สมบูรณ์ไปหมดเพราะว่าเรารักผู้อื่นเหมือนกับเรารักตัวเอง เรามองเห็นลัทธิไหนเป็นภัยแก่เรา เราก็ต้อนรับลัทธินั้นด้วยสังคมนิยมของศาสนา ของพระเจ้าหรือของพระธรรม ซึ่งไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว ไม่มีทางที่จะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา ปู่ย่าตายายของเราเคยพูดว่าจุดไฟบ้านรับไฟป่า ลูกหลานอาจจะโง่แล้วฟังไม่ถูก ไฟบ้านมันจุดสำหรับรับไฟป่า คือไฟป่าที่ไหม้มาอย่างมันไม่เป็นระเบียบ ก็จุดไฟบ้านรอบไร่ รอบเรือนของเราให้ถูกต้องซะแล้ว ไฟป่าก็ทำอะไรไม่ได้
สังคมนิยมแบบไฟป่ามันอาจจะเข้ามารบกวนประเทศไทย เราก็ต้อนรับด้วยสังคมนิยมแบบของพระพุทธเจ้า ของพระศาสนา ของพระธรรม เพราะมันเป็นระเบียบ และไม่ต้องหลั่งเลือด เราเปรียบเหมือนกับดอกบัวสีเหลือง ไม่ต้องหลั่งเลือด เราใช้ดอกบัวสีเหลือง ป้องกันอันตรายที่เกิดจากดอกบัวสีแดงที่กำลังใกล้เข้ามา แต่เดี๋ยวนี้ เราก็ไม่ค่อยได้รู้จริงว่าคอมมูนิสต์เป็นอย่างไร พูดเพ้อๆ ไปหลอกกันให้กลัวเกินเหตุกว่ามันก็ยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก ถ้าเรากลัวคอมมูนิสต์ เราก็ต้องดูให้ดีว่าคอมมูนิสต์ มันมีอะไร คืออะไร แล้วต้องทำให้ดีกว่า ให้เป็นคอมมูนิสต์ที่ดีกว่ามันก็แก้คอมมูนิสต์นั่นได้ เดี๋ยวนี้เราไปเข้าใจคอมมูนิสต์เอาเอง และก็ผิดๆ ด้วย คอมมูนิสต์ชั้นหัวกระทิของเขามันก็มีความคิดที่จะแก้ปัญหาของโลกเหมือนกัน ถ้าเจตนาดีเหมือนกัน มีคอมมูนิสต์ที่จะคิดครองเมืองนี้ไม่สุจริตแล้ว และมาถึงคอมมูนิสต์รับจ้างแท้ๆ เลยนี่ก็ไม่ใช้คอมมูนิสต์ แต่ถูกเรียกว่าคอมมูนิสต์และคนที่ทนการกดขี่ของเจ้าหน้าที่หรือของบ้านเมืองไม่ได้ต้องหนีออกไป อยู่ป่าก็ถูกหาว่าเป็นคอมมูนิสต์นี่ มันคอมมูนิสต์หลายแบบหลายรูปแบบอย่างนี้ แล้วจะมาแก้ปัญหาหลับหูหลับตา แก้อย่างเดียวกัน วิธีเดียวกัน คือฆ่าเสียให้หมด อย่างนี้มันก็ไม่ถูก ถ้าจะแก้ปัญหาคอมมูนิสต์ก็ต้องเป็นคอมมูนิสต์ที่ดีกว่า ขอให้จำไว้เลยเป็นคอมมูนิสต์ที่ดีกว่า ที่ถูกกว่า ที่เป็นสังคมนิยมตามแบบของพระธรรมกว่านั้น ก็จะแก้ปัญหาคอมมูนิสต์ได้ทุกรูปแบบ
คอมมูนิสต์แท้จริง หรือคอมมูนิสต์เพื่อคิดครองเมืองหรือคอมมูนิสต์รับจ้างเลี้ยงท้องไปวันๆ หนึ่ง หรือคอมมูนิสต์ถูกสมมุติ ไม่ว่าคอมมูนิสต์ หรือผู้ก่อการร้าย ชนิดไหน ขอให้แก้กันด้วยธรรมะ สงเคราะห์กันด้วยธรรมะ ทำให้ธรรมะเข้าไปถึงเขา แล้วธรรมะก็จะทำหน้าที่เอง เป็นพระเจ้าช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น ได้เอง นี่คือความเป็นพุทธบริษัท ของพุทธบริษัท หรือของคนไทยที่เป็นพุทธบริษัทในสายเลือดสายเนื้อมาหลายร้อยปีแล้ว อาจจะตั้งพันกว่าปีก็ได้ ไปเรียนประวัติศาสตร์เอาเอง แต่อาตมาเชื่อว่าคนไทยนี่ สัมผัสกับพระพุทธศาสนามาเกินกว่า ๑๕๐๐ ปี แล้ว และก็เคยทำกันมาอย่างถูกต้องในสายเลือดสายเนื้อมีธรรมะ มีพระพุทธศาสนา มีรูปแบบของตนขึ้นมาโดยเฉพาะเป็นพุทธบริษัท อยู่มาด้วยความสงบเรียบร้อย มีนิสัย สันดาน เมตตา ปรานี อ่อนโยน ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่รู้สึกตัว บรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเราจะเรียกคนอื่นให้กินน้ำกินข้าว กินข้าวกินปลา โดยเป็นนิสัยสันดานโดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็ทำประโยชน์สังคมสงเคราะห์เป็นเรื่องสนุกสนานไป แล้วก็มีความสุขในการปฏิบัติการงาน ถือว่าการงานเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะทำการงานเขาทำด้วยเห็นว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะมันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอย่างนี่ว่ามาแล้ว ว่ากฎธรรมชาตินี่มันมีอยู่อย่างไร เราทำให้ถูกต้องตามกฎนั้น ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นการทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเองก็เป็น การปฏิบัติธรรม ฉะนั้นเขาก็ทำอย่างสนุกสนานอย่างพอดิบพอดีไม่มีส่วนเกิน ไม่ละโมบส่วนเกิน ไม่ทำกันอย่างเป็นคนบ้า ชนิดที่ว่าเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัวโดยไม่รู้สึก ฉะนั้นจึงอยู่กันอย่างสงบ ผาสุก อย่างยิ่งมาหลายศตวรรษ เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อเร็วๆนี้ เพราะไปรับวัฒนธรรมตะวันตก มาทำลายวัฒนธรรมเดิมแท้ของตะวันออกเสีย อย่างนี้ดูจะเป็นกันทุกประเทศ คือมันเป็นกันระหว่างซีกของโลกทีเดียว ประเทศจีนประเทศอินเดีย ประเทศไทย นี้ก็มีวัฒนธรรมดี วิเศษของตัวมาแต่กาลก่อน
ทีนี่พอไปแล้วเกี่ยวข้องพวกฝรั่งรับอะไรของพวกฝรั่งมา รับวิธีการของพวกฝรั่งมา มันก็เปลี่ยนจึงยุ่งไปหมด ฝรั่งก็นับถือตะวันออก ว่าตะวันออกมีอะไรดี แล้วกลับโง่ไปตามก้นเขา มันก็เลยมีปัญหายุ่งยากขึ้นมา ฝรั่งเขาออกปากอย่างนี้ก็มาก หน้าขายขี้หน้าสำหรับพวกตะวันออก ที่มีอะไรดีอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่ว่าศาสนาทั้งหลายเกิดขึ้นทางซีกตะวันออก ทางซีกเอเชีย แต่คุณเป็นนักศึกษาคุณไปค้นดู มีศาสนาไหนที่มันเกิดนอกเอเชียหรือไปเกิดทางยุโรปมันไม่มี ไปเกิดทางอเมริกามันก็ไม่มี ทุกศาสนามันเกิดในเอเชีย ถือว่า ตะวันออก ศาสนายิว ศาสนาคริสเตียน นั้นก็เกิดซีกเอเชีย ศาสนาอิสลามก็ซีกเอเชีย ในอินเดียศาสนาโบราณกาลฮินดู หรือพราหมณ์ก่อนโน้นมันก็อยู่ในอินเดีย ศาสนาพุทธในอินเดีย ศาสนาไชนะในอินเดีย ซิกส์ในอินเดีย สุดตะวันออกนี้มีเหล่าจื้อ มีขงจื้อ มีอะไรชินโตอะไรของญี่ปุ่น มันก็ล้วนแต่ตะวันออก เต็มไปด้วยศาสนา นับแต่ที่สำคัญสำคัญได้ ๑๒ ศาสนา ล้วนแต่เกิดในเอเชีย คือฝ่ายตะวันออก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมตะวันออก มันจึงจะไม่ดีเพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าศาสนา แล้วมันค่อยแผ่ไปตะวันตก หรือข้ามไปอเมริกาทีหลัง ทีนี้มันจะเป็นเรื่องอะไร ก็พูดยาก มันจะเป็นโชคชะตา หรือมันจะเป็นอะไรก็สุดแท้ที่มันเปลี่ยนแปลงขนาดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราก็ไม่โทษพระเจ้าไม่โทษโชค โทษชะตา ก็ถือว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามกฎของ อิทัปปัจจยตา เมื่อทำผิดมันก็ผิด มันคล้ายๆกับมันชอบเปลี่ยน มีความสุขทางจิตใจมากกันนักแล้ว แล้วก็ไปหลงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปละโมบความสุขทางวัตถุตามสมัยใหม่ที่เกิดความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุขึ้นมา มันก็เป็นอย่างนี้
พวกฝรั่งเป็นแต่พวกผู้นำ พวกเราเป็นพวกตามก้น ไปหลงใหลไอ้ความสุขทางวัตถุสวยงามทางวัตถุเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มันก็เลยเป็นอย่างเดียวกัน คือเห็นแก่ตัว เห็นแก่กิเลส ช่วยบอกเด็กๆ ให้ดีๆ ว่าเราเป็นครูบาอาจารย์อย่างนี้ ว่าให้ดูให้ดีๆ ว่าไปตามเขาในทางอย่างนั้นมันเท่ากับทำลายตัวเอง ให้หมดวัฒนธรรมตะวันออก ให้หมดศาสนา ให้หมดอะไรหลายๆอย่าง จนต้องพลอยเดือดร้อนไปตามเขา จนเขาเป็นผู้บงการแก่เราเพราะเราไปตามก้นเขา สมัครเป็นทาสเขาในทางวัฒนธรรม แล้วก็ยังมาอวดดีว่าเป็นประชาธิปไตย หรือเสรีภาพ เราสูญเสียเสรีภาพไปตามก้นเขา ไปก้มศีรษะลงไปรับเอาวัฒนธรรมชนิดนั้นเอามา ดูการแต่งเนื้อแต่งตัวของคนสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผมยาวพวกกางเกงยาว มันก็เป็นทาสทางวัฒนธรรม แล้วมันยังมาอวดว่ามีเสรีภาพ มันโกหกสิ้นดีแล้วก็ไม่รู้ว่าหลอกลวงตัวเองหรือโกหกตัวเอง ปราศจากธรรมะแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ขอให้ไปคิดดูใหม่ พูดนี้ไม่ใช่พูดเพื่อติเตียนใคร พูดเพื่อการปรับทุกข์โดยแท้จริง อาตมานี้ใครๆ ก็ได้ยินว่าชื่อพุทธทาส เป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้า ฉะนั้นก็ต้องพูดไปตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าจึงได้พูดอย่างนี้ พูดเพื่อให้คนเข้าใจพระพุทธเจ้าถูกต้อง แล้วกลับมาเชื่อฟังพระพุทธเจ้า แล้วก็มีการแก้ปัญหาด้วยธรรมะ ฉะนั้นมนุษย์เราก็จะหมดปัญหาโลกนี้ก็จะหมดปัญหา นี่คือข้อทีเราพูดกันว่ามนุษย์กับการแก้ปัญหาของมนุษย์
สรุปแล้วว่ามนุษย์ ธรรมชาติกำหนดให้อยู่กันอย่างสังคมอย่าตัวใครตัวมัน ตัวมึงตัวกู ให้มนุษย์อยู่กันอย่างสังคมนิยม แล้วก็ไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ด้วยประโยชน์คือไม่ดูดเอาประโยชน์ผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ของตัวโดยไม่รู้สึก แล้วก็มีสติปัญญาสามารถฉลาดใช้ ความฉลาดรวบรัดเอาส่วนเกินของผู้อื่น หรือกระทั่งสูบเลือดสูบเนื้อของผู้อื่นมาเป็นส่วนเกินของตน นี่คือปัญหาในโลก กลับไปหาพระเจ้ากันเสียใหม่ รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า ยินดีบริจาคโดยคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา หรือคิดว่าทุกคนก็เป็นเราหรือเป็นของเรา เช่นเศรษฐีอย่างครั้งพุทธกาลนี่ เขาคิดว่าทุกคนที่เขาช่วยนั้น เป็นคนของเรา ฉะนั้นเศรษฐีจึงมีโรงทานหาเงินหาอะไรมามาก สะสมไว้เลี้ยงโรงทานช่วยเหลือสังคม โดยคิดว่าสังคมทั้งหมดนั้นเป็นคนของเรา แต่เดี๋ยวนี้งานพวกนายทุนทั้งหลาย คือคนมั่งมีทั้งหลายในเวลานี้ ไม่ใช่เศรษฐีใจบุญอย่างครั้งพุทธกาล เขาเป็นนายทุนเขาเอาส่วนเกินมาไว้มากๆ แล้วเขาไม่ได้คิดว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของเรา คือเขาไม่คิดว่าลูกจ้างกรรมกรทั้งหลาย เป็นลูกเป็นหลานของเราเพราะฉะนั้นเขาจึงเอาเปรียบขนาดสูบเลือดได้ ปัญหามันก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นเศรษฐีใจบุญอย่างครั้งพุทธกาลเขาจะคิดว่าลูกจ้างทุกคนนั้นคือลูกหลานของเรา เขาทำตัวเป็นพ่อเลี้ยงเป็นแม่เลี้ยงอะไรต่อคนเหล่านั้น ปัญหามันก็ไม่เกิดขึ้น
ฉะนั้นความเป็นเศรษฐีชนิดนั้น มันก็ไม่เหมือนความเป็นนายทุนสมัยนี้ นี่ถ้าว่าไอ้ธรรมะกลับมาเสร็จ พวกนายทุนหน้าเลือดทั้งหลาย ก็จะกลายเป็นเศรษฐีใจบุญอย่างพุทธกาล ปัญหาในโลกก็จะหมดลงทันที ไอ้ชาติมหาอำนาจมันก็จะเป็นชาติที่จัดโลกนี้ให้มีสันติสุขได้โดยแท้จริง เดี๋ยวนี้มันมีนายทุนตามแบบของเขา ซ้ายก็นายทุน ขวาก็นายทุนไปดูให้ดีเถิด มันตามแบบของเขา จัดโลกเพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าถูกต้องมันจะไปตามเหตุผลที่มันจะไม่เป็นซ้ายหรือเป็นขวาโดยส่วนเดียว บางอย่างก็ขวาบางอย่างก็ซ้าย เป็นไปอย่างถูกต้อง คือ ประกอบไปด้วยธรรมะถูกต้องตามเหตุตามปัจจัย ก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในโลก นี่ธรรมะเข้ามา ปัญหาก็หมดไป ไม่ต้องมีคนยากจน แสนจะทุเรศเพราะคนไม่มีเมตตา กรุณา ไม่มีนายทุนขูดรีดสูบเลือด แต่มีเศรษฐีใจบุญพร้อมที่จะถือว่าคนทุกคนเป็นลูกหลานของเรา นี่คือการแก้ปัญหาของมนุษย์ มนุษย์กับการแก้ปัญหาของมนุษย์ จะต้องแก้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ธรรม จำแนกเป็น ๔ ความหมาย อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ไปศึกษาดูให้ดี ให้เข้าใจ และยึดถือไว้เป็นหลัก ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรม คือ กฎของธรรมชาติ ธรรม คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรม คือ ผลที่ได้รับอย่างถูกต้องตามหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติ และก็อยู่กันด้วยความถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว เป็นโลกที่ประกอบด้วยธรรมหมดปัญหาโดย ประการทั้งปวง
นี่คือสิ่งที่อาตมาพูดตามความขอร้องของท่านทั้งหลาย ทีนี้ก็อยากจะพูดแถมเข้าไปนิดหน่อย เรื่องสถานที่นี้ที่เรียกว่าสวนโมกข์ ไหนๆ มาสวนโมกข์ทั้งทีแล้วก็ควรจะถึงสวนโมกข์บ้าง คำว่าโมกข์แปลว่าเกลี้ยง หมายถึง จิตใจมันเกลี้ยง เกลี้ยงจากของสกปรก ของสกปรก คือ ความหมายมั่น เป็นตัวกูของกู พอมานั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้นแหละ เชื่อว่าธรรมชาตินี่จะช่วย แวดล้อมให้จิตใจเกลี้ยง จากตัวกูของกูไปสักพักหนึ่ง ถ้าท่านผู้ใดมีจิตใจเกลี้ยงจากความเห็นแก่ตัวไปสักพักหนึ่งก็เรียกว่ามาถึงสวนโมกข์ มานั่งอยู่ที่นี่ แล้วก็มาถึงสวนโมกข์ ที่มีจิตใจเกลี้ยงไปจากความเห็นแก่ตัว เวลานั้นจะมีความสุขที่สุด ถ้ามีความเห็นแก่ตัวจะหนักอึ้ง จะไม่มีความสุข จะมีความทุกข์ รูปใดรูปหนึ่งแบบใดแบบหนึ่ง ถ้าไม่มีความทุกข์ แบบใดแบบหนึ่งก็เรียกว่ามันว่างไปจากเห็นแก่ตัวตามปกติจะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่ เวลานี้ กำลังมีจิตใจเกลี้ยง สบาย และเป็นสุขเพราะมันโมกข์ ไปตามชื่อของสวนโมกข์ ถ้าจะมานั่งขยุกขยิก เป็นทุกข์อะไรอยู่แล้วก็รีบไปหาหมอเถอะ มันเป็นโรคเส้นประสาท หรือมันกำลังจะบ้าแล้ว ถ้ามานั่งในสภาพอย่างนี้ จิตใจยังไม่เกลี้ยง ยังไม่มีความสงบสุขได้แล้ว รีบไปหาหมอเถอะ มันจะบ้าแล้ว มันเป็นโรคเส้นประสาทแล้ว เดี๋ยวนี้เรามานั่งอยู่กลางดิน นึกอย่างไรบ้าง อาตมาต้อนรับด้วยอาสนะของพระพุทธเจ้า เพื่อให้มันเกลี้ยง อย่ามายึดถือตัวตนอะไรอยู่เลย ได้นั่งอาสนะของพระพุทธเจ้าคือดิน
ถ้าได้ศึกษามาอย่างถูกต้องด้วยความสนใจ ก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้านั้น พระสิทธิถัตถะ ต่อมาเป็นพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน ประสูติกลางทาง การเดินทางที่อุทยานแห่งหนึ่งกลางดินเวลาเที่ยงตามตำนานเขาว่าอย่างนั้น และเมื่อท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เวลารุ่งอรุณนั้นก็นั่งกลางดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งอยู่ริมตลิ่ง ท่านเป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน ต่อมาท่านนิพพานกลางดิน ที่ป่าไม้อุทยานแห่งหนึ่งก็กลางดิน เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน เมื่อสอนแสดงธรรมจักรหรือสอนอะไรก็ตามท่านก็สอนกลางดินก็มานั่งกันอยู่กลางดิน แล้วท่านก็เป็นอยู่กลางดิน เพราะว่ากุฏิของท่านพื้นดินไปดูสิ ที่ในประเทศอินเดีย ซากพระคันธกุฎี ทั้งหลายมันพื้นดินทั้งนั้น ท่านจึงเกิดกลางดิน ตายกลางดิน สอนกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน เพราะฉะนั้นเมื่อนั่งบนดินบนทรายอย่างนี้ ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอร้องให้ผู้ที่นั่งกลางดินทุกคนนึกถึงพระพุทธเจ้า หรือแม้พระศาสนาของศาสนาอื่นก็หมือนกัน กล้ายืนยันได้ พระเยซูก็เกิดกลางดินในรางหญ้าอย่างนี้ เราจะไม่พูดถึง พูดได้รวมๆ เลยว่า เป็นพระศาสดานั้นก็เป็นกันกลางดินเป็นกันในป่า เป็นกันในที่เงียบสงัด มานั่งกลางดิน อย่างนี้นึกถึงพระพุทธเจ้า นั่งอาสนะของพระพุทธเจ้า ควรจะสบายใจควรจะอิ่มอกอิ่มใจว่า ได้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าโดยความรู้สึก โดยการสัมผัสแผ่นดิน แล้วดีกว่านั้นก็คือว่าใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่าที่จะนั่งบนเก้าอี้หรือบนตึกเรียนที่แสนจะทำให้คนมันโง่ลงโง่ลง
ถ้าเราเลิกตึกเรียนเสีย เรียนกันกลางดินคนจะฉลาดมากกว่านี้ เพราะว่าใกล้ชิดธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติง่ายกว่า ทำอะไรเป็นไปตามธรรมชาติได้ง่ายกว่า มันก็จะเป็นไปในทางที่ไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้ถูกหลอกให้รักดีรักงามรักสวย ไกลออกไปจากธรรมชาติยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น จนมีความเห็นแก่ตัวจัดยิ่งขึ้นทุกที มันก็ได้กัดกันอย่างสัตว์เดรัจฉานเป็นแน่นอน เพราะความเห็นแก่ตัวจัด ยิ่งขึ้นทุกทีของทุกคนหรือของสังคมนั้น หรือของประเทศนั้นๆ มันมีความเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้ มันดำเนินมาผิด ในระบบของการศึกษา ถูกหลอกให้รักสวยรักงามรักเอร็ดอร่อย เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นทุกที ทีนี้นั่งกลางดิน ถ้าผ้าของคุณจะเปื้อนไปบ้างก็ไม่เป็นไร ประโยชน์ที่ได้รับมันมากกว่านั้นมาก คือได้นั่งอาสนะของพระพุทธเจ้าได้เข้าถึงตัวธรรมชาติซึ่งมีกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด แล้วเราจะประพฤติตามกฎของธรรมชาติได้ง่าย
ฉะนั้นขอแสดงความยินดีที่ท่านได้มาสวนโมกข์ และมีจิตใจคิดถึงสวนโมกข์ และได้พูดกันถึงเรื่องปัญหาของมนุษย์และวิธีแก้ปัญหาของมนุษย์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายของทุกคนที่มีภารกิจอย่างนี้อยู่ และขออวยพรให้ท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน มีความเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ