แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์และนักศึกษาครูทั้งหลาย การบรรยายในวันนี้อาตมาถือว่าเป็นเพียงการขอร้องให้แสดงความคิดเห็นอย่างเอกชนคนหนึ่ง เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา ในการจัดรูปหรือปรับปรุงรูปเพื่อการศึกษา เกี่ยวกับการศึกษานี้ต่างคนต่างมีความคิดเห็นเป็นอิสระ ดังนั้นคงจะมีประโยชน์บ้างไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ไม่มากก็น้อย การขอความคิดเห็นส่วนตัว จะให้อาตมาอย่างนี้ ก็ต้องเป็นที่รู้กันว่ามันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวจริง ๆ ไม่ใช่ความคิดเห็นที่อนุโลมตามความคิดเห็นของผู้อื่น หรือของหลักสูตรอะไรบางอย่าง พูดที่สวนโมกข์ก็พูดอย่างสวนโมกข์ พูดอย่างอื่นไม่เป็น ก็คือหากเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ขอให้ถือเอาส่วนที่จะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ บางส่วนอาจจะเกินไป
ขอให้พิจารณาดูว่าแม้แต่คำว่าการจัดการศึกษานี้ก็ มันก็มีความหมายหลายระดับ ไม่ตรงกันก็ได้ ยิ่งมองกันดูทั่วไปทั้งโลก แล้วก็จะยิ่งมีอยู่หลายระดับหรือไม่ตรงกัน การจัดการศึกษาเพียงเพื่อให้ลูกเด็ก ๆ มีความรู้มีความฉลาดโดยรวดเร็วนั้น มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การศึกษาเพื่อให้เขามีความรู้อาชีพโดยสมบูรณ์นั้นก็อีกอย่างหนึ่ง เสร็จแล้วก็ไม่ได้แน่ว่าเป็นการศึกษาที่จัดให้บ้านเมืองมีสันติภาพ หรือเป็นการศึกษาที่จัดให้โลกนี้มันมีสันติภาพ ถ้าจะไปคิดเสียว่าเมื่อเด็ก ๆ เขามีความรู้เฉลียวฉลาดในอาชีพแล้ว โลกจะมีสันติภาพ อย่างนี้อาตมาไม่อาจจะเห็นด้วยได้ บางทีจะยิ่งทำให้โลกไม่มีสันติภาพ นั้นต่างหากเราจะต้องจัดให้โลกมีสันติภาพโดยเฉพาะ นี่จึงเห็นว่าการศึกษาเพื่อจัดให้เด็กฉลาดก็มี ให้เด็กมีอาชีพก็มี ให้บ้านเมืองหรือโลกมีสันติภาพมันก็มี จึงไม่ทราบว่าส่วนมากของท่านผู้ฟังต้องการจะให้ระบายความคิดในการจัดการศึกษาในระดับไหน ก็เพียงแต่ในระดับที่ว่าให้เด็กมีความรู้ความฉลาด หรือมีอาชีพแล้วละก็ เกือบจะไม่มีอะไรพูดสักกี่คำ ทั้งนี้ก็เพราะว่าได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าการศึกษามานานแล้ว แต่เป็นในระดับที่มีความมุ่งหมายเพื่อสันติสุขส่วนบุคคล และสันติภาพของโลก ไปเสียทั้งนั้น จริง ๆ ต้องขอแสดงความคิดเห็นไปในส่วนใหญ่ ส่วนกว้างหรือทั้งหมด ขอให้เราคิดดูว่า แม้แต่การจัดสวนโมกข์นี่ก็จัดเพื่อการศึกษา ขออย่าได้เข้าใจเป็นอย่างอื่น มีอะไร ๆ ที่จัดขึ้นไว้สำหรับให้มาดู มาฟัง มาเข้าใจ ที่เป็นธรรมชาติล้วน ๆ ก็มี ที่เป็นครึ่งธรรมชาติครึ่งมนุษย์จัดก็มีในวัดนี้ ที่เป็นมนุษย์จัดล้วน ๆ ก็มี เช่นตึกหลังนั้นเป็นต้น มันเป็นการศึกษาเพื่อทางด้านจิตด้านวิญญาณเพื่อสันติสุข 0:05:02.8 ส่วนบุคคลตามที่จะมีได้อย่างไร เป็นไปเพื่อสันติภาพของโลกทั้งหมดเอง แม้ที่สุดแต่การที่จัดให้ท่านทั้งหลายนั่งกลางดินนี้ ก็เป็นการศึกษาอย่างยิ่ง ถ้าไม่เข้าใจก็จะบอกให้ว่า เพราะไม่ค่อยจะได้นั่งกลางดิน และก็นั่งด้วยจิตใจอันหงุดหงิด คิดว่าไม่สมเกียรติบ้างอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้เราให้เป็นการศึกษาเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันให้ความรู้สึกในจิตใจอย่างไร ซึ่งมีได้หลายระดับ ถ้าทำใจไว้ดี ธรรมชาติมันก็จะช่วยให้ว่างจากความรู้สึกด้วยอำนาจของกิเลสไปพักหนึ่ง มันก็สบายดี ถ้าไปนั่งในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วตายั่วใจ มันจะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้เลย จึงมานั่งกับต้นไม้ก้อนหินก้อนดินแล้วก็ว่ามันพูดได้ มันบอกให้หยุดให้เย็นให้ยอม นี่เป็นการศึกษาที่สูงสุดที่เป็นไปเพื่อสันติภาพ เพราะมนุษย์เข้าใจเรื่องของกิเลสดีกว่าที่จะให้เรียนหนังสือ ซึ่งเป็นการศึกษาเพียงให้รู้หนังสือเท่านั้น
เมื่อการนั่งกลางดินนี่ ขอให้ถือเสียว่าเป็นการนั่งในอาสนะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดินที่สวนลุมพินี ท่านตรัสรู้กลางดินที่โคนต้นโพธิ์ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ท่านปรินิพพานกลางดินใต้ต้นสาละที่ในอุทยานแห่งหนึ่ง และส่วนมากท่านก็เทศน์สอนกันอยู่แต่ท่ามกลางดิน แต่โดยเหตุที่กุฎิของท่านเป็นพื้นดิน แล้วจะไม่ให้ท่านอยู่กลางดินได้อย่างไร ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย ฉะนั้นถ้าครูผู้ใดไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่กลางดิน แล้วก็เรียกว่าไม่รู้พุทธประวัติอย่างยิ่งอย่างที่สุดเลย ถ้ารู้ว่าท่านเกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ก็ควรจะพอใจดินนี้บ้าง มันเป็นอาสนะของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นจึงว่าแม้แต่เชิญชวนมานั่งกลางดินนี้มันก็เป็นการศึกษา ให้รู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ตรัสรู้บนปราสาท บนตึกเจ็ดชั้นเก้าชั้นในห้องแอร์ มันเป็นไปไม่ได้ ควรจะรู้กันได้ในข้อนี้ ว่าดินหรือธรรมชาตินี้มีความหมายอย่างไร การนั่งกลางดินมันก็ใช้อิทธิพลของธรรมชาติ ช่วยให้รู้จักธรรมชาติ ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงเป็นแต่กฏของธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นเรายิ่งเข้าใกล้ธรรมชาติเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้จักตัวธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นจึงขอต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยอาสนะของพระพุทธเจ้า คือนั่งกลางดิน ใครจะหงุดหงิด หรือไม่ชอบใจหาว่าไม่สมเกียรติก็ช่วยไม่ได้ นี่ขอร้องว่าจงสนใจการศึกษาซึ่งจะมีไปทุกกระเบียดนิ้ว ที่จัดขึ้นในสวนโมกข์นี้ ไม่มีอะไรที่มิใช่การศึกษา
นี่คือคำปราศรัยแก่ท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นครู มีชื่อเรียกอย่างเดียวกันกับอาตมา ซึ่งก็เป็นครู กล้ายืนยันตลอดเวลาว่าอาตมาก็เป็นครู แต่มันจะในความหมายอื่นหรือว่าผิดแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยก็ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู อาตมาก็อาจไม่มีอะไรพูดเลยก็ได้ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ครู อาตมาเป็นครูวงนอกของกระทรวง ไม่ใช่ครูในกระทรวงหรือในองค์การใดอย่างท่านทั้งหลาย 0:10:07.5 เพราะว่าไม่ค่อยจะทราบอะไรตามแนวนั้น คือแนวของครูที่เป็นวงในของกระทรวงศึกษาธิการ อาตมาก็กลายเป็นครูวงนอก นี้ถ้าเป็น ถ้าเอาความหมายของคำว่าศึกษา ในความหมายของคำว่าศึกษา หรือคำว่าครูตามหลักของพระศาสนาแล้ว อาตมาก็กลายเป็นครูวงใน แล้วพวกท่านทั้งหลายเสียอีกที่จะกลายเป็นครูวงนอก เพราะเรามีหลักการศึกษาต่างกัน
ในวันนี้ก็จะพูดถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน หัวข้อที่จะพูดนั่นคือข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ฉะนั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องการศึกษาซึ่งประกอบขึ้นมาด้วยพวกที่เป็นครู จะเป็นครูวงนอกหรือครูวงใน ในลักษณะอย่างไรก็ขอให้ดูกันต่อไป ซึ่งจะรู้ได้ง่ายโดยการพิจารณากันถึงคำว่า ครู นั่นเอง ในภาษาไทยคำว่าครูที่มีอยู่ในแบบเรียนก็คือผู้สอนหนังสือ ท่านทั้งหลายก็คงจะถือเอาความหมายอันนี้ก็คือผู้สอนหนังสือ ให้เด็กเขามีความเฉลียวฉลาดในวิชาหนังสือ ตลอดไปถึงวิชาอาชีพ อาตมาไม่ได้เป็นครูในความหมายอย่างนั้น เป็นครูในความหมายตามตัวหนังสือของคำว่าครู ซึ่งต้องถอดมาจากความหมายในภาษาเดิมของเขา คือภาษาแห่งประเทศอินเดีย และที่เกี่ยวกับความหมายของพระพุทธเจ้าในฐานะที่ท่านเป็นบรมครู แต่แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนอะไรอย่างที่ท่านทั้งหลายสอน แล้วจะเป็นครูที่ขึ้นกับพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
ดังนั้นต้องดูคำว่าครู คำว่าครู ที่มักจะแปลกันว่าผู้มีคุณธรรมสำหรับคนทั้งหลายที่ต้องมีความเคารพ คือเป็นผู้หนักสำหรับบุคคลทั้งหลายนี้ก็รู้กันโดยมาก แต่คำว่าครูภายในขอบเขตของนักศึกษาทางจิตทางวิญญาณ โดยเฉพาะพวกฤาษีมุนีโยคีอะไรเหล่านี้ กระทั่งแม้ในปทานุกรมในระดับนั้น คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตู มันยากที่จะถอดรากศัพท์ออกมาให้เห็นชัดว่าครูนี่จะแปลว่าผู้เปิดประตูได้อย่างไร แต่เขาก็เขียนไว้ชัดถือเป็นหลักตายตัวว่า ครูแปลว่าผู้เปิดประตู ในภาษาสูงของพวกฤาษีมุนีโยคี ก็เปิดประตูทางจิตหรือทางวิญญาณ ให้สัตว์ที่ถูกขังอยู่ในคอกในเล้าอันมืดมิดและสกปรกนั่น ออกมาได้จากคอกจากเล้าอันนั้น คำว่าครูแปลว่าผู้เปิดประตูปล่อยสัตว์เหล่านั้นออกมา นี่ได้ความเช่นเดียวกับคำว่าผู้ปลดปล่อย สมัยใหม่นี่ผู้ปลดปล่อย ครูเป็นผู้ปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกกักขังอยู่ในความมืด คือความโง่ อาตมาอยากจะขยายความคำนี้ หรือปรับปรุงความหมายของคำ ๆ นี้เสียใหม่ว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ถ้าเป็นภาษาธรรมดา ในปทานุกรมตามธรรมดา เขาจะให้คำแปลว่า spiritual guide เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ก็คือผู้ปลดปล่อยมาจากความมืดนั่นเอง ก็จัดไว้ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล นี่คือครู คือคนที่ทุกคนจะต้องบูชา ไม่ใช่ไว้ด่า ไว้สับ ไว้โขกเล่นอย่างสมัยนี้
ทีนี้เราก็มีความหมายที่ขยายออกไปได้ตามสถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะว่ามันมีครู อย่างลูกจ้างก็มีเดี๋ยวนี้ มีครูอย่างเพื่อนก็มี แล้วก็มีครูอย่างปูชนียบุคคลก็มี กระทั่งสูงสุดถึงพระบรมศาสดา 0:15:31.5 ครูอย่างลูกจ้างก็อย่างเราจ้างฝรั่งมาสอนหนังสือ ถึงแม้ที่เราเป็นคนไทยสอนกันในประเทศไทย มันก็มีลักษณะลูกจ้างก็มี ถ้าจิตใจของเขาไม่ได้มองอะไรมากไปกว่านั้น ก็คือผู้รับจ้างสอนหนังสือ ที่นี้ที่ว่าเป็นเพื่อนนั้นน่ะ ในยุคประชาธิปไตย เขานิยมให้ครูเป็นเพื่อนกับเด็ก ๆ จนกระทั่งเด็ก ๆ ลูบหัวได้ มันก็มี นี้มันเพื่อนที่จะพากันไปในทางที่หลุดพ้นนั้นมันก็มี ในความหมายว่าเพื่อน พวกฝรั่งมันดูจะชอบความหมายเพื่อนนี้ มากกว่าที่จะเป็นปูชนียบุคคล แต่ในฐานะที่เราเป็นคนไทย ขอให้ระลึกนึกถึงคำว่าปูชนียบุคคลให้มากเข้าไว้ เพราะโดยแท้จริงแล้วครูเป็นปูชนียบุคคล ถ้าไม่ตั้งอยู่ในฐานะอย่างนั้น การศึกษาจะเป็นไปไม่สำเร็จ หรือจะสำเร็จเพียงขั้นเด็กอมมือ ไม่สำเร็จประโยชน์ทางจิตทางวิญญาณ ที่จะนำสันติสุขมาให้ได้ เป็นปูชนียบุคคลนั้นมันง่ายถ้าเขาเชื่อฟัง แต่มันก็เป็นยาก การที่จะเป็นให้เขาเชื่อฟัง ยิ่งการศึกษาที่จัดไปผิด ๆ อย่างนี้แล้ว เด็กก็ไม่เชื่อฟังครูมากขึ้น ครูก็ยากที่จะเป็นปูชนียบุคคลในระดับสูงขึ้นไป สำหรับบรมครูคือพระศาสดานั้น ก็เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ยังเหลืออยู่แต่พระคุณ สำหรับจะให้เรานึกถึงระลึกถึงอ้างเอาเป็นครู ซึ่งมันเป็นความหมายที่ลึกที่ต้องพูดกันมากจึงจะเข้าใจ
แล้วทีนี้อยากจะสรุปความหมายนี้ ตามข้อเท็จจริงที่พอจะมองเห็นกันได้ทุกคนว่า ครูเป็นผู้ปั้นดวงวิญญาณของโลก ไม่ใช่ของแต่ละคน ของทั้งโลกทีเดียว นี่หมายความว่าถ้าการศึกษาทั้งโลกมันจัดไปในรูปใด คนทั้งโลกมันก็จะมีลักษณะเป็นไปในรูปนั้น จึงเรียกว่าครูเป็นผู้ปั้นดวงวิญญาณของคนทั้งโลก ถ้าการศึกษาสมัยนี้จะจัดกันแต่ในทางวัตถุเพื่อนิยมวัตถุ คนทั้งโลกมันก็มีวิญญาณแห่งความมัวเมาในทางวัตถุ ในทางสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังกันไปหมดทั้งโลก ทีนี้ปัญหามันก็จะเกิดขึ้นอย่างแสนสาหัส จะแก้ได้ยาก เพราะทุกคนมีกิเลสหนาแน่น ในการเห็นแก่ตัว มันก็จะต้องต่อสู้แข่งขันแย่งชิงคือทำอันตรายแก่กันและกัน นี่เป็นข้อเสนอให้มองให้เห็น ว่าครูโดยที่แท้นั้นคือผู้ปั้นดวงวิญญาณของโลก ถ้าปั้นไปในทางที่ให้มีกิเลสน้อย มันก็มีกิเลสน้อย ก็เป็นโลกที่ร่มเย็น ถ้าปั้นไปในทางที่ให้มีกิเลสมาก จะโดยรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ตาม โลกนี้มันก็เป็นโลกของคนที่หนาไปด้วยกิเลส กิเลสมันก็แสดงบทบาทให้โลกนี้มันเร่าร้อนเป็นไฟ สำหรับจะให้สัตว์เดรัจฉานมันหัวเราะ เพราะว่าโลกของสัตว์เดรัจฉานมันยังไม่ร้อนเป็นไฟ มันยังอยู่ในสภาพเดิมกี่พันปีหมื่นปีแสนปี แต่โลกของมนุษย์นี่มันเร่าร้อนเป็นไฟยิ่งขึ้นทุกที นี่ความหมายของคำว่าครู ท่านลองพิจารณาดูว่า จะมีทางที่จะร่วมมีส่วนแบ่งกันได้อย่างไรบ้าง ถ้าสอนหนังสือดีมันก็ปั้นวิญญาณของเด็กให้รู้หนังสือ นี่คงจะได้อย่างน้อยในขั้นนี้ ให้รู้หนังสือให้รู้วิชาอาชีพไม่โง่เง่า 0.20.20.1 แต่มันรับประกันไม่ได้ว่าเด็กนั้นจะเห็นแก่ตัวหรือไม่ ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัวเพราะเขายิ่งมีความรู้มากก็เป็นอันตราย คนฉลาดก็ทำอันตรายได้มาก คือโกงเก่งกว่าคนโง่ มันโกงลึกกว่าคนโง่
อ้าว, พูดเรื่องครูพอสมควรแล้ว ก็พูดเรื่องคำว่าการศึกษากันเสียที การศึกษานี่มันก็เป็นปัญหามาก ในปทานุกรมมักจะเขียนไว้แต่ว่าการสั่งสอน ไม่ค่อยจะพูดถึงการอบรม แต่ถ้าดูตามความหมายอันแท้จริงแล้ว คำว่าศึกษานี่มันเป็นการฝึก ฝึกฝน ตรงกับคำว่า train มากกว่าที่จะตรงกับคำว่าสอน ว่า teach อะไรทำนองนี้ ตัวหนังสือแท้ ๆ คำว่า สิก สิกขา หรือศิกฺษา (นาทีที่ 21.06) อะไรเป็นสันสกฤตนั่น มาลงกันว่ามาจากสิกขธาตุ สิกขธาตุ นี้ความหมายของมันว่า วิชชังอุปาทาเน ในอรรถว่าเข้าไปถือเอาซึ่งวิชชา ถ้าคำว่าวิชชาในตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็กลายเป็นวิชชาสำหรับทำให้เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นวิชาสำหรับชาวบ้านมันก็จะเป็นเรื่อง ก.ข.ก.กา ขึ้นไปจนถึงคำว่า มีความรู้เรื่องหนังสือหนังหาศิลปวิทยาอะไรต่าง ๆ ได้ ความหมายมันก็เป็นกลางดีอยู่ แต่ว่าทำอย่างไรจะถือเอาได้ ดึงลงมาได้ดีกว่า อุปาทาเน แปลว่า ดึงลงมาได้ เอามาได้ซึ่งวิชชา วิชชาไหนกันก็ต้องมีวิธีการสำหรับการดึงเอาซึ่งวิชชานั้นโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นวิชชาตามความหมายในทางพุทธศาสนาแล้วหมายถึงการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่เรียกว่า สีลสิกขา ศึกษาในศีล สมาธิสิกขา ศึกษาในสมาธิ ปัญญาสิกขา ศึกษาในปัญญา แต่ในที่สุดคำว่าศึกษานี้ไม่ได้เป็นเพียงการเล่าเรียนสั่งสอน อย่างหนังสือหนังหาหรือปริยัติ สีลสิกขาท่านหมายถึงปฏิบัติในศีลลงไปตรง ๆ เลย จึงจะได้ความรู้เกี่ยวกับศีลขึ้นมา สมาธิสิกขาหรือจิตตสิกขาก็ปฏิบัติสมาธิลงไปตรง ๆ เลย และก็ได้ความรู้ที่เป็นเรื่องของสมาธิ เป็นผลของสมาธิขึ้นมา ปัญญาสิกขาก็ต้องทำวิปัสสนาให้แจ่มแจ้งในสิ่งที่ซ่อนเร้นลึกซึ้ง แล้วก็เลยได้ปัญญามา นี่คำว่าสิกขา
ทีนี้การศึกษาอย่างสมัยนี้ ทั้งโลกดีกว่า ขออภัยที่จะบอกกันล่วงหน้าว่า คำบรรยายนี้อาตมาหมายถึงการศึกษาของมนุษย์ในโลกทั้งโลก มากกว่าที่จะพูดถึงเฉพาะของประเทศไทย ก็ขอพูดตรง ๆ ไม่กลัวโกรธ ว่าประเทศไทยก็กำลังตามก้นพวกฝรั่งแทบจะทุกแง่ทุกมุมในการจัดการศึกษา หรือว่าทั้งโลกมันจัดการศึกษากันไปในหลักเกณฑ์เดียว ๆ กันทั้งนั้น จึงต้องพูดในฐานะที่มันเป็นปัญหาของโลก ในการศึกษาของโลก ทีนี้ถ้าว่าเราจัดการศึกษากันได้ดีได้เร็ว ทันตามความต้องการ ตามความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการทั้งโลกกันจริง ๆ แล้ว มันก็ยังไม่ได้ผลถึงครึ่งหนึ่งของความหมายของคำว่าการศึกษาหรือสิกขา เพราะมันยังไม่ได้ทำให้เกิด สันติภาพ สันติสุข ไม่ทำให้จิตใจของคนเย็นลงไป ชนะกิเลสได้ตามความหมายคำว่าสิกขา ที่เราให้ลูกเด็ก ๆ รู้หนังสือมีวิชาชีพหรือทำอะไรได้ จนเลี้ยงตัวได้นี่ มันก็มีประโยชน์เพียงเท่านั้น ทั้งหมดนั้นมันไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของความหมายของคำว่าสิกขาเลย 0.25.00 ก็ต้องคิดกันดูต่อไป อย่าเพิ่งนอนใจเสียแต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าการศึกษาชนิดที่โลกกำลังมีอยู่นี้ อย่างสูงสุดอย่างไรก็เห็นกันอยู่ มันไม่ได้สร้างสุภาพบุรุษขึ้นมา ตามความหมายของคำว่าสุภาพบุรุษโดยแท้จริง อย่าเพิ่งฟังเป็นคำด่า มันไม่ได้สร้างอริยชนหรืออารยชนขึ้นมา ตามความหมายอันแท้จริง นี่เหมือนการศึกษาแห่งยุคปัจจุบันนี้นะ ไม่มีคำว่าสุภาพบุรุษ หรือความเป็นสุภาพบุรุษ สำหรับเป็นวัตถุมุ่งหมายปลายทางของการศึกษา ถ้าอย่างเมื่อสองร้อยปีมาแล้ว มหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นโดยบุคคล ไม่ใช่โดยรัฐบาล เช่นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์นี้ มันมีความมุ่งหมายเพียงแค่ความเป็นสุภาพบุรุษเท่านั้น อุดมคติของการศึกษา แต่คำว่าสุภาพบุรุษ มันมีความหมายมาก มันเป็นคนที่จะไม่มีอันตราย ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น หรือแก่ใครๆ ทั้งสิ้น มีมรรยาทดี มีจิตใจดี มีอะไรดี มีความรู้ที่ไม่เป็นอันตราย นั่นแหละสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนไป แม้มหาวิทยาลัยในเมืองนอกมันก็เปลี่ยนความมุ่งหมาย หรือถ้าแม้แต่ยังใช้คำว่าสุภาพบุรุษอยู่ ไอ้คำนั้นเองมันก็เปลี่ยนความมุ่งหมาย ถ้าเราในพวกพุทธบริษัทจะใช้คำว่าอารยชนหรืออริยชนก็ได้ การศึกษาต้องนำมาซึ่งความเป็นอริยชนหรืออารยชน จึงจะถึงความสมบูรณ์ของคำว่าการศึกษา เดี๋ยวนี้เรายิ่งเห็นว่ามันยิ่งไกลออกไป ไกลออกไป จากความเป็นสุภาพบุรุษก็ดี ความเป็นอริยชนก็ดี จึงเป็นสิ่งที่ต้องเอามาคิดมานึก ผู้ที่จบการศึกษาแห่งยุคปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถที่จะเป็นหน่วยที่สร้างสันติสุขหรือสันติภาพ แล้วยังไม่อาจจะเป็นแม้เพียงรากฐานแห่งความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชน เอาละจะด่าอาตมาก็ยอม หรือว่าจะว่าอาตมาด่าออกไปก็ได้ คงจะคุ้มกัน ว่าการศึกษาที่มันจัดอยู่ในโลกนี้ มันไม่เป็น ไม่อาจจะเป็นรากฐานแห่งความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชน นี่ขอยกเว้นการศึกษาในยุคที่แล้ว ๆ มา ระบุการศึกษาแห่งยุคปัจจุบันนี้ มันไม่เป็นรากฐานที่ดีแห่งความสงบและศีลธรรมอันดีของประชาชน มันเปลี่ยนไป ๆ ๆ ในทางวัตถุมากขึ้น เรื่องอาชีพมากขึ้น ไม่พูดกันถึงว่าศีลธรรมคืออะไร สันติภาพคืออะไร เราก็หัวปั่นไปในทางทำมาหากิน แล้วลุ่มหลงทางเนื้อทางหนังทางวัตถุ ก็ต้องการเงินไม่จำกัด ไม่มีวันเพียงพอ มันก็มุ่งกันแต่ด้านนั้น
นี่อยากจะให้ข้อสังเกตสักหน่อยว่า ถ้าเราลองศึกษาประวัติการศึกษาในเฉพาะแง่เฉพาะมุมดู เราจะพบว่าการศึกษาแต่ก่อนนั้นมันอยู่ในมือของนักการศาสนา อาจจะท้าได้เลยว่าตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มา การศึกษามันอยู่ในมือของนักศาสนา หรือนักการศาสนาทั้งนั้น เช่นมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ออกฟอร์ด นี้มันก็พระจัดนะ เป็นโรงเรียนราษฎร์ของพระ เมื่อเป็นพระจัดเป็นราษฎรจัด มันแฝดอยู่กับการศึกษาทั้งนั้น พอรัฐบาลยื่นมือเข้ามาจัด นี่มันจึงค่อยเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพราะรัฐบาลมันไม่ใช่คนของพระเจ้า แล้วมันก็ขี้ขลาด มันเห็นแต่การเมืองส่วนของโลกการเมือง มันก็จัดการศึกษาให้เหมาะแก่การเมือง ก็เห็นว่าศาสนานี้ไม่จำเป็น เอาไปให้เป็นของส่วนตัวของบุคคล ใครอยากรู้ก็ไปหาเอาเอง ในการศึกษาทั้งดุ้นทั้งก้อนนี้เราจะมาจัดให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลก็จัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ทางการเมืองล้วน ๆ มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น การศึกษาที่ควบคู่กับศาสนามันก็น้อยลงไป หายลงไป ประเทศไทยเราก็ตามก้นพวกฝรั่งอีกตามเคย ในการที่จะจัดการศึกษาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ไม่มีส่วนที่การศาสนาจะเข้าไปแทรกแซง จนกระทั่งไม่รู้จักกันเสียทีเดียวว่า มันจะเนื่องกันได้อย่างไร แล้วเราก็ไม่สนใจที่จะดู เพิ่งจะมาตื่นกันขึ้นบ้างเดี๋ยวนี้ว่า ศีลธรรมกำลังไม่มีในวงการศึกษา เลยคิดจะขยายจะปรับจะปรุงกันบ้าง 0.30.13.8 เดี๋ยวนี้การศึกษารัฐบาลจัดทั้งนั้น หรือแม้แต่พระจัด องค์การศาสนาจัด ก็อยู่ในน้ำมือของรัฐบาลทั้งนั้น ก็คล้อยตามความประสงค์ของรัฐบาล ที่กำลังมุ่งแต่เรื่องการบ้านการเมืองทั้งนั้น นี่เป็นมูลเหตุอันลึกซึ้งที่สุดที่แสดงให้เห็นว่า ทำไมการศึกษามันจึงแยกจากการศาสนา ไม่ว่าจะจัดที่วัดหรือจัดที่นอกวัดอะไรก็ตาม มันเป็นมันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ มันเป็นการศึกษาที่นอกจากจะแยกออกจากศาสนาแล้ว มันยังแยกออกจากวัฒนธรรมอันแท้จริงของเราแต่กาลก่อนด้วย วัฒนธรรมของไทยนั้นมันแน่นอนแล้ว ใคร ๆ ก็มองเห็นว่ามันมาจากศาสนา มันมีพุทธศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรมไทย มันก็คือตัวศาสนานั่นเองที่มากลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ประพฤติกันประจำบ้านประจำเรือนหลายชั่วคนมาแล้ว ในวัฒนธรรมนั้นมันก็มีศาสนาอยู่เป็นแกนกลาง มันก็แยกตัวออกหมด การศึกษานี้แยกตัวออกหมด ออกจากศาสนา ออกจากวัฒนธรรมประจำชาติจนไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่อย่างนี้เป็นต้น คำว่าบาปไม่มีความหมายแล้วเดี๋ยวนี้ คุณได้ทราบกันไว้บ้าง สมัยอาตมายังเป็นเด็ก ๆ คำว่าบาปมีความหมาย ใครได้ยินแล้วสะดุ้ง เดี๋ยวนี้คำว่าบาปไม่มีความหมาย เพราะมันแยกตัวออกมาจากศาสนาและวัฒนธรรมเดิม ๆ เดี๋ยวนี้มันเป็นการศึกษาที่บูชาเทคโนโลยีเป็นพระเจ้า ไม่กี่ปีมานี่เอง บูชาวิชาเทคโนโลยีทุกแขนงเป็นพระเจ้าผู้ครองโลกไปเลย มันหวังมันกลัวกันแต่ไอ้เรื่องนี้ การศึกษานี้มันก็เลยเพียงต้องการให้ฉลาด เพื่อเป็นพวกที่มีความสามารถในการที่จะผลิตจะสร้างประโยชน์ทางวัตถุ มันก็เลยฉลาดแต่ในทางที่จะเห็นแก่ตัว หรือเป็นทาสของเงิน นี่เป็นการศึกษาที่ไม่สามารถจะเป็นรากฐานของความสงบ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เรื่องเงินนั้นอย่าไปเล่นกับมันโดยไม่รู้สึกตัว มันจะกดคนนั้นลงไปเป็นทาสของมัน คือบูชามัน เดี๋ยวนี้เราก็บูชาเทคโนโลยี ที่แท้ก็หมายถึงบูชาผลของเทคโนโลยี ซึ่งมันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องเงินเรื่องทรัพย์สมบัติ อำนาจ วาสนา มันไม่มีเรื่องมรรคผลนิพพานรวมอยู่ในเทคโนโลยี
ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าการศึกษานี้ได้เปลี่ยนมาทีละนิด ๆ ในชั่วสี่ห้าร้อยปีนี้ มันก็เปลี่ยนมาเป็นทาสของวัตถุนิยมไปหมด การศึกษารุ่นโน้นเขาเพื่อชั้น เพื่อจิตใจมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของวัตถุ แล้วก็ไปด้วยกัน เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนเป็นเรื่องวัตถุเสียเกือบทั้งหมด เรื่องจิตใจมีน้อย บางแห่งก็ไม่มีเหลือเลย ขอให้ย้อนไปดูการศึกษาแต่หนหลังในอดีต คำว่าอดีตนี้ อาตมาจะขอร้องให้ดูไปถึงก่อนประวัติศาสตร์ ในการสันนิษฐานตามเหตุผลหรือการคาดคะเนว่าก่อนประวัติศาสตร์ เขามีการศึกษากันอย่างไร แล้วก็มาถึงยุคประวัติศาสตร์ภายในประวิติศาสตร์ นี่เราก็ค้นคว้าตามหลักฐานทุกแขนง ว่าการศึกษามีอยู่อย่างไร แล้วการศึกษาในอดีตอันใกล้ คือเท่าที่เราจะพอมองเห็นบรรพบุรุษของเราทำกันอยู่ในสายตาของเราเอง เรามองเห็นนี่ก็พอจะเห็นได้อีกรูปหนึ่งอีกแบบหนึ่ง ที่นี้อดีตปัจจุบันคือเอาตั้งแต่เมื่อวานนี้ไปเลย อดีตแห่งปัจจุบันก็คือเมื่อวานนี้ถอยหลังไปไม่กี่ปี นี่เรียกว่าอดีตปัจจุบันนี่จัดกันอยู่อย่างไร นี่เห็นได้ด้วยตนเองทั้งหมด ทุกคนจะเห็นได้ตนเองทั้งหมด ผู้มีอายุ ๒๐, ๓๐ปี มาแล้วทั้งนั้น จะพบว่ามันเปลี่ยนมาอย่างน่าพองขน 0.35.02.3 ที่ก่อนก็จะมีการศึกษาเท่าที่จำเป็น ถ้าคนป่าคนเยิงสมัยไม่นุ่งผ้า การศึกษาจะมีแต่เพียงหากินเป็น เก่งในทางหากิน เดี๋ยวนี้ความหมายนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ เทคโนโลยีทั้งหลายก็เพื่อหากินทั้งนั้นน่ะ มันก็ไม่ดีกว่าคนป่าสมัยที่ยังไม่นุ่งผ้า เอ้า, ทีนี้ก็ว่าเขยิบมาหน่อยยังก่อนประวัติศาสตร์ ก็พอจะมองเห็นว่าคนเขาก็เอาความจำเป็นอยู่ที่ความรอด การศึกษามันจึงเกิดความหมายขึ้นมาเพื่ออยู่รอด ก็เพิ่มขึ้นบ้างนั่นนี่ในการทำมาหากินเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอะไรต่าง ๆ การศึกษาเพื่อชีวิตอยู่รอด ส่วนเรื่องทางวิญญาณนั้นเกือบจะยังไม่มี ต่อมาในประวัติศาสตร์ อย่างยุคพุทธกาลเป็นต้นมานี่ก็เห็นว่าการศึกษานี่ก็เปลี่ยนไปมากแล้ว คือไม่ใช่เพียงแต่ว่ามีความรู้ศิลปวิทยาทำมาหากินได้ มันกลายเป็นเรื่องของความสงบทางจิตทางวิญญาณด้วย คือก็เกิดไปรู้ว่าเรามีกินมีใช้สบายในทางวัตถุร่างกายแล้ว มันก็ยังมีความร้อนระอุอยู่ข้างใน ต้องศึกษาเพื่อขจัดความร้อนอันนั้นด้วย สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมันก็เกิดขึ้นและเจริญขึ้น รู้ธรรมะในส่วนจิตส่วนวิญญาณมากขึ้น จึงหันไปบูชาการศึกษาชนิดนี้ จนกระทั่งเกิดมีพระพุทธเจ้า สูงสุดของการศึกษาเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ
ทีนี้อดีตอันใกล้เข้ามาก็เปลี่ยน แล้วแต่ว่ามนุษย์มันจะเปลี่ยนอย่างไร ดูไม่ค่อยจะเหมือน ๆ กันนัก ทุกมุมโลก สมัยที่คมนาคมมันยังไม่เจริญ ต่างคนก็ต่างแยกกันทำ พอมาถึงยุคนี้คมนาคมมันเจริญ คล้าย ๆ กับว่าเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ โลกเดี๋ยวนี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อย่างถ้าเทียบกับสมัยสมัยโน้น สมัยดึกดำบรรพ์โน้น เพราะว่าเราจะไปกรุงเทพสักทีนี่ต้องเป็นแรมเดือนก่อนนี้ เดี๋ยวนี้เราไปถึงอเมริกาก่อนที่คนสมัยโน้นไปถึงกรุงเทพ โลกมันเล็กอย่างนี้ มันก็ตามอย่างกันได้ง่าย เหมือนกันไปได้ทั้งโลก นี้ก็กำลังอยู่ในยุคที่ว่าบูชาวัตถุ บูชาผลทางวัตถุ อย่างหลับหูหลับตายิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที หาเงินสะสมไว้ ปีหนึ่งก็ใช้กันตอนปลายปีให้มันสนุกสนาน เพื่อบำรุงบำเรอเนื้อหนังทั้งนั้น นี้เป็นทาสของเนื้อหนังมากขึ้น ก็ต้องกอบโกยมากขึ้น มีผลเปลี่ยนแปลงที่น่าหวาดเสียวน่าพองขน ก็เช่นว่า คำว่านายทุนนั้นไม่เคยมี ในยุคที่มีการศึกษาแบบเก่าแบบโบราณ ก็มีแต่เศรษฐีใจบุญ มันไม่เป็นอันตรายอะไร ถ้าเศรษฐีใจบุญมันก็รวบรวมเงินไว้ทำบุญช่วยคนอื่น คำว่าเศรษฐีมันต้องมีโรงทาน ไม่มีโรงทานไม่มีใครเรียกเศรษฐี ทีนี้คำว่านายทุนนั้นเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาจะสะสมแต่เงิน เอาเงินต่อเงิน เอาเงินต่อเงิน ให้มันมากเข้าไว้ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาอย่างเดียว หรือพวกของเขา จนไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรก็ยังไม่อยากจะให้คนอื่น ยังจะลงทุนหากำไรอยู่เรื่อยไป มีร้อยล้านพันล้าน มันยังจะลงทุนหาเรื่อยไป จนมันไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร จะเป็นเศรษฐีใจบุญ มันก็สร้างวัดสร้างวา สร้างโรงทานสร้างอะไรต่าง ๆ นี่อย่าพาลพาโลหาว่าเศรษฐีใจบุญนี่คือนายทุนเข้านะ มันคนละเรื่องคนละอัน แล้วก็ดูว่ามันเป็นผลของอะไรถ้าไม่ใช่ผลการศึกษา ที่เราจัดกันมาในรูปนี้ มาในรูปนี้ จนมาในทางวัตถุเนื้อหนังมากขึ้น จึงเกิดบุคคลชนิดนายทุนขึ้นมาในโลก แทนพวกเศรษฐีใจบุญอย่างที่เคยมีมาแต่ครั้งก่อนโน้น ก็เลยมีปัญหาท่วมโลก ปัญหาอย่างภูเขาเลากาขึ้นมา ที่นักการศึกษาหยิบขึ้นมาพิจารณาในการที่จะจัดการศึกษา เหมือนกับว่า เหมือนกับพายเรือในอ่าง อย่างไร ๆ มันก็ไม่ขึ้นไปจากอ่างได้ เพราะว่าการศึกษามันขีดวงไว้เสียแต่เพียงอย่างนี้ เพื่อเทคโนโลยีอันสูงสุด มันก็อยู่ในวงนี้เท่านั้น เทคโนโลยียิ่งเจริญเท่าไร ก็ยิ่งสร้างคนรวยที่เห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น 0.40.03. อีกคนหนึ่งมันก็จะจนลงมากขึ้น ๆ ซึ่งเป็นกฏที่ตายตัว เพราะมันต้องสูบออกไปจากส่วนฝ่ายหนึ่งไปหาฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งมันก็มากขึ้น ฝ่ายนี้มันก็น้อยลง
ในการศึกษาที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ให้คนที่ฉลาดนั้นรู้จักเอาแต่พอดี มันก็เอาส่วนเกินที่ไม่มีจำกัด อีกส่วนหนึ่งก็ต้านทานไม่ได้ คือฝ่ายคนที่ยากจนหรือมันด้อยสมรรถภาพทางส่วนร่างกาย ส่วนจิตใจอะไรก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้คนจนไม่ได้จนเพราะเหตุอย่างนี้อย่างเดียว จนเพราะเขาไม่ถือศีลธรรม เขามีอบายมุขมากเกินไป แล้วก็จนและยิ่งตกเป็นเหยื่อของคนร่ำรวยได้ง่าย ถ้าศีลธรรมกลับมา ช่องโหว่นี้จะอุดเอง ที่จะพยายามบังคับ บีบบังคับอุดช่องโหว่นายทุน คนจนนี้น่าหัว ถ้าศีลธรรมกลับมาแล้วมันจะอุดของมันเอง การแยกออกเป็นนายทุนและคนจนนี่ เพราะขาดศีลธรรมเท่านั้น
ทีนี้ดูปัญหาแห่งการศึกษาของยุคปัจจุบัน ทำความยุ่งยากลำบากให้แก่พวกเรา คนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี้มันก็จริง แต่เราต้อนรับปัญหานี้อย่างถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเรามีศีลธรรม แม้พวกคนโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่เป็นไรนะ เอาละใครจะหาว่าอาตมาพูดผิดก็สุดแท้แต่ ขอฝากไว้ไปคิดดู ถ้าคนในโลกมันมีศีลธรรมกันจริง ๆ แล้ว คนโลกมันเกิดขึ้น คนในโลกมันเกิดขึ้นมากก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลธรรมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมที่จะเอาเปรียบกัน แข่งขันกัน ทรัพยากรในแผ่นดิน ธรรมชาติมันหร่อยหรอไป ใครมีการศึกษาในส่วนนี้ดีมันก็ได้เปรียบ แต่ที่นี้มันก็แก้ไม่ได้ มันก็มีปัญหาคาราคาซังอยู่เรื่อยไป ระหว่างผู้ได้เปรียบกับผู้ไม่ได้เปรียบ และก็ระหว่างที่ธรรมชาติมันหร่อยหรอไป ก็เลยกลัวว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไร เมื่อทรัพยากรของธรรมชาติในโลกมันหมดไปอย่างนี้ ก็คิดไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าน้ำมันหมดจากใต้ดินจะทำอย่างไร ถ่านหินหมดจะต้องทำอย่างไร ทำปรมาณู เชื้อเพลิงปรมาณูหมดจะทำอย่างไรนี่ มันเป็นปัญหาของโลก แต่มันเนื่องมาถึงการศึกษา เพราะว่าเขาจะจัดการศึกษาเพื่อแก้ปัญหานี้ด้วยความเป็นห่วงล่วงหน้า ไม่เคยคิดถึงว่าจะทำคนให้มันมีศีลธรรม และก็อย่าล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ อย่างที่กำลังล้างผลาญอยู่เดี๋ยวนี้ ขุดเอาน้ำมันขึ้น ขับรถเล่นเรื่องกามารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่ เอาไปใช้รบราฆ่าฟันทำสงครามกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้กันจำเป็นจะต้องใช้ ในบ้านเรือนมันก็มีสิ่งเหลือเฟือ ที่ใช้น้ำมันไปในฐานะที่ไม่จำเป็น ความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ในโลก มันทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ จะเป็นเหล็กก็ดี น้ำมันก็ดี อะไรก็ดีที่มีอยู่ในดินมันก็หมดไป ทีนี้การแข่งขันแย่งชิงกัน กำลังเป็นไปอย่างสุดเหวี่ยง เพราะว่าโลกมันแคบอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเป็นสมัยโบราณมันแข่งขันกันไม่ได้ มันไม่รู้จักกันเลย ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย เดี๋ยวนี้มันถึงกันหมด คนหนึ่งจะวิ่งวนเดี๋ยว ๆ ก็รอบโลก มันก็เลยเป็นหตุให้เอาเปรียบกัน แข่งขันกัน ต่อสู้กัน การศึกษาจะจัดขึ้นอย่างไรจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือคนอันธพาลที่เที่ยวกอบโกยหรือเที่ยวทะเลาะวิวาท เที่ยวแย่งชิงกันแข่งขันกัน
เดี๋ยวนี้โลกมันมีปัญหาที่ว่ามันเป็นตัวใครตัวมันยิ่งขึ้น เพราะศาสนามันออกไปเสียจากการศึกษาแล้ว การศึกษาปัจจุบันทำให้เป็นไปในทางตัวใครตัวมันยิ่งขึ้น ในประเทศเรานี้ก็พอมองเห็น ในระยะ ๑๐ปี ๒๐ปี ๓๐ปี ถอยหลังเข้าไป ความเป็นตัวใครตัวมัน เดี๋ยวนี้มันหนักขึ้น ๆ ทีนี้ระหว่างประเทศระหว่างชาติระหว่างประเทศ มันก็ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งเป็นอย่างนั้น แล้วก็รุนแรงมากขึ้น ตัวใครตัวมันทั้งนั้นแหละ ไอ้ปากก็พูดว่าเป็นมิตร เป็นมหามิตร เป็นพันธมิตรก็ทางใจ (นาทีที่ 44.46) แต่ในใจมันตัวใครตัวมันทั้งนั้น เขาพูดราวกับว่าเป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมเป็นร่วมตาย แต่การกระทำของเขามันไม่เป็นอย่างนั้น โลกแห่งตัวใครตัวมันกำลังเป็นปัญหาหนักขึ้น ๆ ๆ จนไม่รู้ว่าเราจะมีใครเป็นเพื่อนแล้ว ระหว่างประเทศก็ดี หรือภายในบ้านเรือนครอบครัวนี้ก็ดี ก็ยังมีปัญหา 0.45.12.9 มีทุกคนทุกชีวิตนี่มันกำลังเป็นทาสของวัตถุไม่มากก็น้อย บูชาหรือรู้จักแต่ความสุขทางวัตถุ การศึกษาก็ดึงไว้ไม่อยู่ ที่จะไม่ให้คนสุรุ่ยสุร่ายไปในทางที่ไม่จำเป็น ในบ้านเรือนจึงเต็มไปด้วยของไม่จำเป็น วัตถุที่สั่งเข้ามาขายในประเทศเรา ก็เต็มไปด้วยของไม่จำเป็นแต่เราก็ยังโง่ซื้อหามัน ในบ้านเรือนก็เต็มไปด้วยของไม่จำเป็น นี่เรียกว่ามันมีแต่คนที่เรียกว่าเป็นทาสของวัตถุ หรือวัตถุนิยมมากขึ้น ถ้าลองเป็นอย่างนี้มากแล้วมันก็พร้อมที่จะเยาะเย้ยศีลธรรม ผู้ที่มีการศึกษาดีมีเงินดีสมัยนี้ พร้อมที่จะเยาะเย้ยศีลธรรมว่าเป็นของครึคระบ้าบอ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอามาใช้ในโลกนี้
เอ้า, ทีนี้เราก็มีปัญหาสำหรับนักศึกษา ที่จะช่วยแก้ไขกัน ก็เลยทุ่มเทกัน จะเป็นอย่างชนิดไหนคุณก็ลองคิดดู ให้ท่านทั้งหลายลองคิดดู เป็นการทุ่มเทชนิดตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่ การศึกษาที่จัดไปนี้มันแก้ไขปัญหาได้อย่างไร หรือมันจะกลายเป็นส่งเสริมต้นเหตุของปัญหานั้นสียอีก อย่างนี้ก็น่าสงสารมนุษย์ที่กำลังจัดการศึกษาอยู่ในโลกนี้ ลงทุนมากกว่าสมัยโบราณมาก อาคารเรียนก็ต้องแพงมาก เครื่องใช้ไม้สอยก็ต้องแพงมาก เงินเดือนก็ต้องแพงมาก ทั้งครูทั้งศิษย์ก็ต้องกินดีอยู่ดี สมัยอาตมาเรียนไม่ได้กินข้าวกลางวันนี่ก็มี มันมาลงทุนมากอย่างนี้ แต่แล้วผลของการศึกษาที่ลงทุนมากอย่างนี้ มันน่าตกใจน่าเศร้าน่าหวาดเสียว หรือถ้าดูอีกทีหนึ่งก็น่าขบขันพร้อมกันไปในตัว คือมันลงทุนมากแล้วมันกลับไม่ได้อะไร ผลของการศึกษาสมัยนี้ทั้งโลก เรียนเสร็จก็ยังมีนักศึกษาที่ติดยาเสพติด ซึ่งก่อนนี้ไม่เคยมี ที่เรียนจบแล้วจะติดยาเสพติดนี่ก่อนนี้ไม่เคยมี เด็กนักเรียนรู้จักเกลียดคนสูบกัญชา อย่างสมัยอาตมาเป็นเด็กนี่ เด็กนักเรียนจะหนีวิ่งหนีและเกลียดประณามคนสูบกัญชา เดียวนี้นักศึกษาสูบเสียเอง มันได้ผลอย่างนี้คิดดูสิ แล้วก็เสพติดประขาธิปไตย แล้วมันเป็นประชาธิปไตยมายา ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ก็เสพติดยาเสพติดมันก็ร้ายพออยู่แล้ว ยังเสพติดประชาธิปไตยมายากันเสียอีก สร้างปัญหาขึ้นกี่มากน้อย เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้วันนี้วานนี้ กำลังมีปัญหาเรื่องเมาประชาธิปไตยมายา เลิกกฎหมายใช้กฎหมู่นี่ ท่านทั้งหลายรู้ดีกว่าอาตมาไม่ต้องพูด มันเมาเสพติด เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ไม่มีความหมายแห่งบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ นี่มันถูกไหมเดี๋ยวนี้ โลกนี้ไม่มีมารดาบิดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ คือไม่ยอมเคารพสถาบันอันนี้อย่างแน่นแฟ้นเหมือนแต่กาลก่อน ความหมายของบิดามารดานี่ลดลงไปมาก ไม่เป็นที่รักใคร่บูชาเสียสละอะไรของลูกหลานสมัยนี้ เหมือนกับลูกหลานสมัยก่อน ครูบาอาจารย์ก็ลดลงไป จนเรียกว่าเป็นเพื่อนเล่นของลูกศิษย์นี่ เพราะลูกศิษย์ต้องการอย่างนั้น จะไล่ครูออกเมื่อไหร่ก็ได้ นี่ลูกศิษย์นะ นี่มันไม่มีสถาบันของความเป็นครูบาอาจารย์ แล้วก็ลามมาถึงพระเจ้าพระสงฆ์ หมดความหมายแห่งสถาบันของพระเจ้าพระสงฆ์ จะโทษฝ่ายโน้นข้างเดียวก็ไม่ได้ ก็ต้องยอมโทษฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์บ้าง แต่ฝ่ายโน้นมันก็เกินไปเหมือนกัน คือว่าไม่ยอมรับสถาบันของพระเจ้าพระสงฆ์ว่ามีอยู่ในโลกนี้ เพราะการศึกษาดึงจิตใจของเขาให้ไปสนใจอยู่ที่จุดอื่น ไม่ต้องการสิ่งที่ศาสนาจะมีให้
ทีนี้ดูอีกข้อหนึ่งว่าการศึกษาปัจจุบันนี้มันสร้างโลกอะไรขึ้นมาอีก 0.50.00.6 มีแต่คนในโลกที่จะทำการสร้างทำการปรับปรุงแก้ไขให้ก้าวหน้า รีบเร่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ข้อนี้ต้องคิดดูสักหน่อยขอร้องให้คิดดูสักหน่อย ว่าเรากำลังใช้สติปัญญาอันสูงสุดนี่ไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ระบุเลยเช่นว่าไปโลกพระจันทร์อย่างนี้ ต้องมีการศึกษามากลงทุนมากอะไรมาก แต่ก็ถือว่ามันยังไม่จำเป็นจะต้องทำ เพราะว่าในโลกนี้ยังทรมานอยู่ด้วยในการ ด้วยปัญหาต่าง ๆ เพราะว่าเขาก็มีปัญญาไปโลกพระจันทร์ได้ เขาก็จะไปโลกอื่นต่อไปอีก แต่เขาไม่ใช้ปัญญาหรือไม่อาจจะใช้ปัญญา ในการที่จะทำให้มนุษย์ในโลกนี้ไม่ต้องเป็นโรคฟันผุ ยาจะแก้โรคฟันผุก็ยังไม่มี เดี๋ยวนี้ที่จะแก้ได้แท้จริง แล้วคนก็เป็นโรคฟันผุกันมากขึ้น ทำไมอย่างนี้จึงทำไม่ได้ล่ะ แต่ไปโลกพระจันทร์ไปได้ แล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะทำอะไรง่าย ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ นี่เรียกว่ามันใช้วิชาความรู้ความสามารถไปในทางที่ไม่จำเป็นจะต้องทำเสียมากกว่า ส่วนที่จำเป็นนั้นมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เราจะมีศีลธรรมดี มีร่างกายดีพอสมควร นี่เราไม่เคยเห็นสุนัขเป็นโรคฟันผุนะ หรือในซากศพของสุนัขหลายพันปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นซากศพสุนัขมีโรคฟันผุ แต่ว่าสัตว์อื่นก็เหมือนกันนะ วัว ควาย แต่มนุษย์นี่เป็นโรคฟันผุมาหลายพันปีแล้ว ซากศพของคนที่ว่าอายุตั้งพันปี บางทีมันก็มีโรคฟันผุ ทำไมสติปัญญาที่ไปโลกพระจันทร์ได้ ทำไมไม่ช่วยแก้ปัญหาข้อนี้สักที เราจะต้องเป็นโรคฟันผุทรมานกันเลย มันก็จะไม่เสียหน้าแก่สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันไม่ได้เป็น ทำไมไม่ค้นคว้าในข้อนี้กันให้มันถึงที่สุดบ้าง นี่ต้องถือว่ามนุษย์มันไปทำแต่สิ่งที่มันไม่ต้องทำ สิ่งที่ควรจะทำมันไม่ทำ
นี่การศึกษาเดี๋ยวนี้มันสร้างมิตรภาพปิงปอง คุณจะฟังเข้าใจหรือไม่ เดี๋ยวนี้เรามีกันแต่มิตรภาพปิงปอง ไม่ใช่มิตรภาพจากหัวใจแท้จริง แล้วโลกมันจะสันติภาพได้อย่างไร มันคือสันติภาพปลิ้นปล้อนหลอกลวง ใช้คำว่าลิงเดี๋ยวก็จะโกรธเอาอีก ใช้คำว่าปิงปองค่อยยังชั่ว เรามีกันแต่มิตรภาพปิงปอง มันเป็นผลของอะไร ถ้ามิใช่จากการศึกษาที่เราทำกันมาผิด ห่างไกลศีลธรรม ห่างไกลศีลธรรม ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมันมากขึ้นทุกทีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เรามีมนุษย์ที่บูชาเนื้อหนังของตัวเองแทนพระเจ้า ก่อนนี้ก็บูชาพระเจ้า พระธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่าง ๆ อย่างที่กลัวบาป กลัวกรรมทำแต่ความดี เดี๋ยวนี้บูชาเนื้อหนัง มันก็ยอมทำบาปเพื่อเนื้อหนัง ต้องใช้คำว่าบูชาเนื้อหนังแทนพระเจ้า นี่การศึกษาของเรามันน่าหัว
ดูต่อไปอีก มันมีการขโมยศีลธรรมโบราณ มาเป็นของพบใหม่ของเราสมัยนี้อย่างมีเกียรติ ระบบปรับปรุงศีลธรรมหรือว่าวัฒนธรรมอะไรก็ตาม บางคนบางพวกมันคุยโอ่ว่าพบใหม่ตั้งใหม่ จริง ๆ มันขโมยเขามาจากระบบศีลธรรมวัฒนธรรมโบราณ นี่อย่าหาว่าอาตมาเกเรมากนักนะ อยากจะพูดว่า ระบบที่ขโมยมานี่ อย่างระบบลูกเสือนี่ ไม่มีอะไรต่างไปจากระบบศีลธรรมโบราณ แม้แต่สักกระเบียดนิ้วเดียว แต่ว่าชื่อว่าเป็นของพบใหม่ ต้องเอามาจากเมืองฝรั่งมันจึงจะมานิยมกัน เพราะว่ากิจกรรมลูกเสือนี่ดัดแปลงมาจากของฝรั่ง จึงได้นิยมกัน พอไปดูกิจกรรมแล้วมันไม่มีอะไรผิดไปจากระบบศีลธรรมวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา กล้าพูดอย่างนี้ 0.55.01.4 ทำไมจะต้องใช้คำชนิดที่ว่าเป็นของใหม่สร้างขึ้นใหม่ มันก็จะใช้คำว่าเอาของเก่ามาใช้ให้มันเพียงพอ หรือให้มันถูกแก่กาละเทศะ ให้ถูกแก่เวลา อย่างนี้จะยุติธรรมกว่า อาตมาไปบรรยายกับพวกลูกเสือทีไร ก็พยายามชี้อย่างนี้ บอกว่านี่คือศีลธรรมข้อนั้น ๆ ๆ ๆ ในพระพุทธศาสนา ขออนุโมทนาถ้าลูกเสือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้ได้แล้วมันดีกว่าบวชเณร แต่ว่าเราก็ไม่มีลูกเสือที่ดีกว่าเณร มีแต่ชอบเต้นรอบกองไฟ ชอบทำอะไรแบบนั้นทั้งนั้น อุดมคติต่างๆมันไม่รู้ไปไหนหมด มันเหลือแต่เต้นรอบกองไฟและอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกันอย่างนั้น นี่ไปขโมยของเก่าเขามาติดฉลากใหม่ แล้วยังทำไม่ได้ดีเสียอีก นั้นเพียงแต่หันไปหาศีลธรรมโบราณ มันก็จะรอดตัวได้และจริงจังกว่า
ทีนี้การศึกษาอีกทางหนึ่งมันก็สร้างแต่ความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญา ถ้าเรามีปากพูดถึงอุดมคติและปรัชญาต่าง ๆ เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่าปรัชญากันมากขึ้น แล้วก็ค้างเติ่งอยู่เพียงแค่ปรัชญา ไม่มีการปฏิบัติ พูดถึงอุดมคติกันก็มาก แต่แล้วก็ไม่มีการปฏิบัติตามอุดมคตินั้น เพราะเราสามารถพูดด้วยปากให้หวานจ๋อยเป็นคุ้งเป็นแควไปไม่สิ้นสุดทั้งวันทั้งคืนก็ได้ นี้ก็เป็นผลของการศึกษานะ ที่ทำให้เราหลงปรัชญามากถึงอย่างนี้ โลกนี้กำลังเต็มไปด้วยคำว่าปรัชญา อะไร ๆ ก็ปรัชญา ที่จริงปรัชญานั้นมันเรื่องที่สำหรับพูดและก็สำหรับเถียงกันให้สนุก หรือว่าสำหรับค้นออกไป ค้นออกไป โดยไม่ต้องมีการปฏิบัติ นั่นคำว่า philosophy ที่เขามาเรียกกันว่าปรัชญา ถ้าเป็นศีลธรรมไม่ต้องพูดกันมากขนาดนั้น ลงมือปฏิบัติได้เลย ปฏิบัติอย่างนี้ ๆ นี่เรายิ่งเจริญด้วยการพูดแต่ปาก ในทางอุดมคติ คือทางปรัชญา เพราะว่าการศึกษาของเรามันอำนวยให้ หรือนิยมกันแต่เพียงเท่านั้น แม้จะไปเอามาจาก เอาปริญญามาจากเมืองนอกเมืองนามากมาย มันก็มีแต่เพียงเท่านั้น
สรุปความแล้วก็เป็นอันว่าทั้งหมดนี้มันเป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว แล้วก็เพื่อความไม่รู้อะไรอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง มันจึงหลงผิดชนิดที่กำลังบากบั่นไปหาความวินาศ อย่างที่เรียกกันว่า มิคสัญญี คำว่ามิคสัญญีคงจะได้เคยได้ยินกันมาแล้ว แต่คงจะไม่ทราบความหมายอะไรนัก เพราะพูดได้สั้น ๆ เลยว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นไปถึงขีดสุดสูงสุดจนฆ่าผู้อื่นได้ เหมือนกับตบยุงหรือฆ่าเนื้อฆ่านก อะไรอย่างนั้น นั่นเขาเรียกว่ามิคสัญญี เดี๋ยวนี้เองกำลังมา ไปดูเถอะกำลังมา คือคนจะฆ่าเพื่อนได้เหมือนกับตบยุงสักตัวหนึ่งจะมีมากขึ้น ถ้าคนฆ่าพ่อแม่ก็จะมีมากขึ้น คนทำอันตรายปูชนียบุคคลก็จะมีมากขึ้น คือหมายความว่าจิตใจมันก็เป็นไปมากแล้ว เพราะฉะนั้นการฆ่าเพื่อนฝูงด้วยกันมันก็ง่าย เพราะมันขัดใจกันมันก็ฆ่ากันได้ง่าย ยิ่งเดี๋ยวนี้เขามีอาวุธวิเศษที่ว่าจะฆ่าคนทีเดียวได้ตั้งแสน ๆ อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธอะไรก็ตาม มันก็สะดวกเหลือเกินที่จะทำมิคสัญญี ฆ่ากันอย่างนั้น เพราะความหน้ามืดขึ้นมาอย่างวูบวาบ สรุปความว่าการศึกษาในโลกทั้งโลก ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ พาโลกเข้าไปหามิคสัญญี หรือยุคมิคสัญญียิ่งขึ้น ๆ ถ้าไม่รู้สึกทัน กลับตัวไม่ทัน โลกนี้จะต้องถึงจุดนั้นแน่ คือจุดที่เรียกว่ามิคสัญญีอย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์โบรมโบราณ ฆ่ากันตายเกือบหมดโลก เหลืออยู่ไม่กี่คน คนเหล่านั้นออกมาสลดสังเวชตั้งต้นกันใหม่ นี่เขาเรียกว่ายุคมิคสัญญี เราก็รู้ไว้ก็ดีเหมือนกัน มันอาจจะถึงเข้าก็ได้ ถ้าหากว่าการศึกษามันไม่เปลี่ยนทันแก่ท่วงที แล้วมนุษย์ก็จะเป็นผู้ที่เหมาะที่จะทำมิคสัญญี ในเวลาไม่นาน เว้นไว้แต่ตื่นตัวตกใจกันทั้งโลก เปลี่ยนกันเสียใหม่ โลกนี้จึงจะรอดได้ รอดได้โดยการศึกษาอีกนั่นเอง
ทีนี้ก็จะคิดถึงการปรับปรุงการศึกษากันต่อไป จะปรับปรุงการศึกษากันอย่างไร ต้องมีความมุ่งหมายที่แน่นอนเสียก่อน ก็ว่าเพื่อป้องกันแก้ไขวิกฤตการณ์อันร้ายกาจที่เรามองเห็นอยู่นั่นแหละ ได้พูดมากี่หัวข้อกี่ประเด็นเป็นวิกฤตการณ์ทางเลวร้ายนี้ การศึกษาต้องมุ่งหมายเพื่อป้องกันและแก้ไขวิกฤตการณ์ชนิดนั้น ก็เพื่อว่าสันติสุขส่วนบุคคลหรือสันติภาพของโลกเป็นส่วนรวมมันจะกลับมา และมนุษย์ก็จะได้มีโลกของมนุษย์สมชื่อ มนุษย์ต้องเป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูง คือ รู้ รู้ดี รู้ชั่ว รู้อะไรที่ควรไม่ควร ทีนี้โลกของมนุษย์ก็ต้องมีมนุษย์ที่มีจิตใจสูงอย่างนี้ มันก็หมดปัญหา ฉะนั้นศึกษาคำว่ามนุษย์กันเสียบ้าง ว่ามันเป็นผู้ที่มีจิตใจสูง บางทีก็ว่าเหล่ากอของพระมนู พระมนูก็มีใจสูง เหล่ากอของผู้มีใจสูง ให้ถือว่าบรรพบุรุษคนแรกมันมีใจสูง เราก็เลยสูง สูงไปตามอยู่เรื่อยไป จึงจะเป็นมนุษย์ ทีนี้การศึกษาต้องจัดเพื่อให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ดีกว่าที่จะจัดการศึกษาเพียงเพื่อมีชีวิตรอด หรือว่าจะจำกัดความเข้ามาอีกทีก็ว่า ต้องเป็นการศึกษาที่มุ่งกำจัดความเห็นแก่ตัวของคนในปัจจุบัน ได้พูดมาแล้วว่าความเห็นแก่ตัวของคนเราในปัจจุบันนี้แรงขึ้น ๆ ๆ เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จัดต่อไปนี้ต้องมุ่งกำจัดความเห็นแก่ตัวของบุคคลเหล่านั้นให้ลงไป ๆ ให้น้อยลงไป สร้างแต่พลเมืองที่ดีหรือว่าสุภาพบุรุษอันแท้จริงตามความหมายอย่างในสมัยก่อน สมัยก่อนเพียงแค่ที่สมัยที่เค้าจัดมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ต เคมบริดจ์ ก็สักสามร้อยปีมานี่ แค่นั้นก็พอ ให้มีความเป็นพลเมืองดีอย่างนั้น มีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างนั้น ทำไมจะต้องอ้างฝรั่ง เพราะว่าเขาทำมาก่อนแล้วเราไปตามก้นเขานี่ ไม่ใช่อาตมานิยมฝรั่ง ต้องพูดอ้างถึงฝรั่งก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้เรากำลังตามก้นฝรั่ง มันก็จำเป็นจะต้องอ้างถึงฝรั่งอยู่ดี คำว่าสุภาพบุรุษในสมัยโน้นของพวกฝรั่งเขามีความหมายอย่างไร นั่นแหละใช้ได้ หรือว่าพลเมืองดีที่แท้จริงในสมัยก่อนเขามีความหมายอย่างไร นั่นแหละใช้ได้ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษหรือพลเมืองดีอย่างสมัยนี้นี่มันสงสัยเสียแล้ว มันเป็นที่น่าหวาดเสียวเสียแล้ว 1:03:17.7 เพราะฉะนั้นต้องจัดการศึกษาชนิดที่ควบคู่กันไปกับศาสนา หรือวัฒนธรรมที่เนื่องด้วยศาสนา เพราะว่าเราคนหนึ่ง ๆ นั้นมันมีสองส่วน คือ ส่วนร่างกาย กับส่วนจิตใจ เทคโนโลยีนั้นมันให้ได้แต่เพียงร่างกาย สบายหรือสะดวก แล้วมันคอยแต่ที่จะให้ลุ่มหลงร่างกาย นั้นอันตรายเทคโนโลยี ต้องเอาส่วนจิตใจ คือส่วนศาสนานั้นเข้ามาช่วยกำกับเอาไว้ เพื่อจำง่ายก็จะใช้คำว่า ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยวัว ๒ ตัว ด้วยม้า ๒ ตัว แล้วแต่จะเรียก ตัวเดียวไม่ได้ คือตัวหนึ่งให้ถูกต้องในทางฝ่ายร่ายกาย ตัวหนึ่งให้มันถูกต้องในฝ่ายจิตใจ ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยวัว ๒ ตัวอย่างนี้ เดี๋ยวนี้กำลังมีแต่วัวบ้า ตัวเดียวทะมึนทึน ลากไป ๆ นี่ต้องจัดการศึกษาเสียใหม่ อย่าให้มันเป็นแต่ทางเนี้อหนังด้านเดียว ให้มันมีทางด้านจิตด้านวิญญาณเพียงพอควบคู่กันไป อย่าให้การศึกษาของเราเป็นไปในทางที่น่าหวาดเสียว เช่นว่ายิ่งจัดให้ยิ่งฉลาด ก็ยิ่งทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำมากขึ้นอย่างที่กล่าวแล้ว ยิ่งจัดยิ่งทำให้ลูกเด็ก ๆ เสียนิสัย ที่ต้องประคบประหงมมากขึ้น อาตมาขอสารภาพหรือบอกเรื่องตามตรง ๆ ว่าไม่เห็นด้วย ที่ประคบประหงมให้ลูกเด็ก ๆ มากขึ้น จึงใช้คำว่า ต้องให้อบอุ่น คำว่าอบอุ่นนี่จะขึ้นสมองแล้ว จะจัดการศึกษาให้ลูกเด็ก ๆ ได้รับความอบอุ่นอยู่กับบิดามารดา แต่มันเป็นเรื่องอบอุ่นที่ผิด เดี๋ยวนี้ประคบประหงมจะให้เรียนอะไรหรือให้ทำอะไร ต้องแต่งเพลงให้เขาร้องใช่ไหม แทนที่จะเอาไม้เรียวหวดลงไปให้มันทำ ต้องแต่งเพลงให้เขาร้อง ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาร้องเพลงไป ให้เขาทำอย่างที่เราต้องการให้ทำ หรือว่าละอะไรเปลี่ยนอะไร เดี๋ยวนี้เราก็สร้างพลเมืองชนิดที่เสียนิสัย จะชวนอะไรก็ต้องแต่งเพลงให้ร้องต้องเล่นละครให้ดูเพื่อชักจูงทางศีลธรรม ต้องเล่นละครให้ดู แล้วมันได้ผลหรือไม่ไปดูเถิด ได้ยินเขาว่าจะชักชวนคนให้มาลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนนี่ แต่งเพลงให้ร้อง ๒ เพลงก็พอ แต่งเพลงให้ร้อง ๒ เพลง คนก็จะมาลงคะแนนเสียงกันหมด แล้วมันเป็นได้เมื่อไหร่ แต่เห็นได้ชัดว่ามันมีหลักการที่เปลี่ยนแปลงแล้ว จะทำอะไรหรือจะชักจูงให้เขาทำอะไร ต้องแต่งเพลงให้ร้อง สร้างภาพยนตร์ให้ดู สร้างละครให้ดู ก็เป็นเรื่องตามก้นฝรั่ง เกินฝรั่งไปซะอีก ในประเทศไทยเรานี่กำลังมีลักษณะอย่างนี้ ทั้งหมดนี้มันทำให้ลืม ทำให้ลบหลู่ หรือเหยียบย่ำวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ ซึ่งเขามีอะไรที่เอาเรื่องศีลธรรมนี่มาใช้ มาไว้ที่เนื้อที่ตัว ที่ฝังลงไปในเลือดในเนื้อของคน ดังนั้นเราไม่ต้องให้ ให้ความหมายไปในทางที่ให้เขาเสียนิสัย ให้เขาอ่อนแอ ให้เขาต้องประคบประหงมมากเกินไป พวกนักจิตวิทยา ที่เป็นหมอเป็นนักปราชญ์ทางจิตวิทยาก็อธิบายกันแต่อย่างนี้ ว่าปัญหาเกิดมาจากการที่เด็กไม่ได้รับความอบอุ่นในครอบครัว จึงไปเป็นอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง อาตมาไม่เห็นด้วย นั่นมันมีส่วนน้อย เป็นความถูกต้องส่วนน้อย แล้วก็อบอุ่นกันไม่ถูกทาง อบอุ่นในทางให้เสียมากกว่า ต้องให้อุ่นด้วยไม้เรียวบ้าง ลองหวดกันดูมันอุ่นเหมือนกันแหละ ไม่เชื่อลองหวดดู มันก็อุ่นเหมือนกัน
นี่เรื่องที่จะให้พูดกันเกี่ยวกับการศึกษาในเบื้องต้นมันก็มีอย่างนี้ ขอแสดงความคิดเห็นที่ควรจะจัดการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้อย่างไร อาตมาก็มีความคิดอย่างนี้ ก็พูดไปอย่างอิสระ ไม่กลัวโกรธ จะเข้าใจได้หรือไม่ จะรับเอาเท่าไหร่ก็ไปพิจารณาดู
ทีนี้หัวข้อที่สอง 1:08:21.7 แห่งเรื่องนี้นะ ก็จะพูดว่าหลักธรรมที่มีประโยชน์แก่การจัดการศึกษา อาจารย์จะเป็นหัวหน้าท่าน ให้แนวเรื่องที่จะให้ช่วยพูดในวันนี้ว่าอย่างนี้ หลักธรรมที่เป็นประโยชน์แก่การจัดการศึกษานี่ก็จำเป็น เราจะจัดการศึกษานั้นจะต้องมีหลักธรรมอะไรเข้ามาเป็นหลัก ถ้าหากว่าต้องการการศึกษาที่ตรงตามความหมายของคำว่าสิกขากันจริง มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ เดี๋ยวนี้มันกำลังมีชนิดที่มันไม่ตรงกับความหมายของคำว่าสิกขา
ในหลักสำคัญข้อที่ ๑ ข้อแรกก็คือ การทำลายความเห็นแก่ตัว คือการศึกษาต้องมีเจตนารมณ์ หรือ spirit แล้วแต่จะเรียก ที่มุ่งทำลายความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในจิตใจของพลเมือง หรือของลูกเด็ก ๆ ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีสองความหมาย แต่ถ้าพูดเพียงว่า อย่าเห็นแก่ตัวนี่ ทุกคนฟังถูกแล้ว ทุกคนเกลียดความเห็นแก่ตัวอยู่เองแล้ว นั้นย่อมแสดงว่าตัวที่น่าเกลียด คือตัวของกิเลส ถ้าไปเห็นแก่ตัวของกิเลส มันก็เอาเปรียบผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นต้องทำลายความเห็นแก่ตัวชนิดนั้น แต่ถ้ามันเป็นตัวของพระธรรม เป็นตัวของความถูกต้อง มิใช่ของกิเลสแล้วจะเห็นแก่ตัวก็ยังได้ แล้วจะจัดการศึกษาให้เด็กเห็นแก่ตัวของพระธรรม อย่าไปเห็นแก่ตัวของกิเลส ต้องสอนให้รักตัว ให้สงวนตัว ให้บริหารตัวอย่างถูกต้องตามหลักของศีลธรรม ให้มีคุณธรรมตามหลักของพระศาสนา ให้ยอมรับความเมตตากรุณาว่าเป็นสิ่งสูงสุด อันจะทำลายความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นสรุปความว่าให้ทำลาย จัดการศึกษาชนิดที่เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว นี่หลักธรรมะอันสำคัญในพระพุทธศาสนา ทำลายความเห็นแก่ตัวนี้จะเป็นหลักสำคัญในทุกศาสนาในทุกโลกด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธศาสนาก็มีอย่างนี้ มีความโลภก็คือเห็นแก่ตัว มีความโกรธก็เห็นแก่ตัว มีความหลงก็เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้โลภ ในเมื่อมันอยากจะได้ ทำให้โกรธเมื่อมันไม่ได้อย่างที่มันจะต้องการ ทำให้โง่ให้หลงไปตามประสาของกิเลส ของความโง่ มันก็เรียกความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ดังนั้นเราอย่ามีตัวชนิดนั้น มีแต่ตัวที่ถูกต้อง แล้วก็ถือหลักว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ หรือความเมตตากรุณานั้นแหละจะช่วยโลกได้ สรุปอยู่ในหลักของธรรมะที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นประโยคที่จะได้ยินแซดแซ่ไปหมดในสมัยโบราณ แล้วก็หายไป ๆ จนเดี๋ยวนี้หาฟังยาก คือประโยคที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อันนี้มันหายไป ๆ จิตใจมันก็เปลี่ยนไป ๆ มันก็เกิดตัวใครตัวมันมากขึ้น นี่จัดการศึกษาด้วยหลักที่ว่ามันมีเจตนารมณ์ที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว
ข้อที่ ๒ จัดการศึกษาให้มีจุดรวมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพนับถือ เมื่อมีความเคารพนับถือมันจะมีความรักใคร่และมีการเสียสละ ทีนี้การจัดการศึกษาของเราจะไม่ประสีประสาข้อนี้เสียเลย ไม่รู้มันปล่อยไปได้อย่างไร หรือมันเผลอไปได้อย่างไร คือการศึกษาจัดขึ้นไม่มีจุดรวมแห่งความเคารพนับถือ ซึ่งเป็นที่ตั้งความรักใคร่และความเสียสละโดยแท้จริง สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพนับถือ จะไล่ลำดับมาตั้งแต่ระดับสูงสุด คือมีสิ่งสูงสุด มีพระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ มีพระเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์หรือพระเจ้าอันสูงสุด ซึ่งทุกคนเชื่อว่าเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง จุดรวมของความเคารพนับถือที่กว้างขวางและสูงสุด คือสิ่งที่จะเรียกว่าพระเจ้าก็แล้วกัน อย่างที่เป็นพระเจ้าในศาสนาคริสเตียน คุณไปอ่านประวัติศาสตร์ประเทศไทยเรา ทางวรรณคดีอักษรศาสตร์ เรามีคำว่าพระเจ้าใช้มาตั้งแต่ก่อนพวกคริสเตียนเข้ามาสู่ประเทศไทย เขายืมคำของเราไปใช้ต่างหากเล่า คำว่าพระเจ้านี้เป็นคำเดิมของเรา ก่อนนี้เราก็มีพระเจ้า ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรกันนักแต่ยอมรับนับถืออย่างยิ่ง เชื่อฟังพระเจ้าอย่างยิ่ง ถ้าพูดอย่างธรรมาธิษฐาน ก็คือ กฎของธรรมะ ของพระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพูดอย่างนี้มันไม่เข้าใจ ก็ต้องพูดอย่างมีบุคคล ให้มันมีบุคคลเป็นเทพเจ้าเป็นอะไรก็ตาม เป็นคน ๆ นี่ แล้วมันก็สูงสุดกว่าคนอื่น นี่เป็นจุดรวมของความเคารพ ถ้าว่าจะรองลงมามันก็มีประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างที่ลูกเด็ก ๆ มันก็ท่องได้ เพราะเป็นจุดรวมแห่งความเคารพนับถือ มันก็จะรักใคร่แล้วก็จะเสียสละให้ ความเป็นประเทศอยู่ได้ ความมีชาติอยู่ได้ ความมีศาสนาประจำใจ กระทั่งพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์นี่ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นการชักจูงไปสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อะไรอย่างนั้น มันก็ดี มันก็ถูก ถ้ามันมีพระมหากษัตริย์ผู้ประกอบไปด้วยธรรม แล้วก็สมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่จะพาประเทศชาติรอดได้กว่าระบบไหนหมด ฉะนั้นพระมหากษัตริย์มันต้องหมายถึงผู้ที่ประกอบด้วยธรรม ที่อบรมกันมาดี รักษากันมาดี หลายชั่วอายุคน เป็นราชวงศ์หรือเป็นอะไรก็แล้วจะเรียก ที่สืบกันมาอย่างดีหลายชั่วอายุคน 1:15:21.3 มันก็ง่ายที่จะประกอบไปด้วยธรรม หรือมันก็ยากที่จะเป็นไปในทางผิดธรรม โดยเหตุที่ว่าสัตว์นี่มันมีสัญชาตญาณแห่งการตามเสมอ เพราะฉะนั้นถ้ามีผู้นำฝูงที่ดี มันก็ดีทั้งนั้น
ที่รองลงมาก็คือ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ พระรัตนตรัย นี่จุดรวมแห่งความเคารพนับถือ คือบิดามารดา ซึ่งว่าไม่ (นาทีที่ 1.15.50) ได้หายไปอย่างที่ได้พูดมาแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ได้หายไปจากความเป็นจุดรวมของความเคารพนับถือ พระเจ้าพระสงฆ์ก็หายไป กระทั่งพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ค่อยเลือนไป ไม่มีจุดรวมแห่งความเคารพนับถือ อันจะนำมาซึ่งความรักใคร่ อันจะนำมาซึ่งความเสียสละ ในที่สุดก็จะมาถึงจุดที่จำเป็นและสำคัญที่สุดก็คือ ผู้บังคับบัญชาขึ้นไปตามลำดับชั้น ผู้บังคับบัญชาซึ่งสูงขึ้นไปตามลำดับชั้น จะต้องเป็นจุดรวมของความเคารพนับถือของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาขึ้นไป ๆ ตามลำดับชั้น เป็นหมู่เป็นพวกขึ้นไป อาตมาพูดอย่างนี้ สมัยนี้ คนเกือบทั้งประเทศก็จะว่าอาตมานี้เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี มันก็จริง ก็ยอมเป็น เพราะแต่ก่อนมันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็ยอมเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี เป็นของที่เคยดีเคยถูกแล้วยังใช้ได้จนกระทั่งบัดนี้ ต้องเคารพผู้บังคับบัญชาขึ้นไปตามลำดับชั้น อย่าทอดทิ้งหลักธรรมะอันนี้เลย เดี๋ยวนี้มันกำลังจะวินาศเพราะไม่มีการเคารพผู้บังคับบัญชาขึ้นไปตามลำดับชั้น ฉะนั้นมาสมัครเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีกันเสียดีกว่า มันยังปลอดภัยที่จะเป็นสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ที่มันจะกระโจนลงไปกองไฟ เหมือนกับแมลงเม่าที่จะชอบกระโจนเข้ากองไฟ จะเลือกอันไหนล่ะ เป็นไดโนเสาร์ดีกว่ากระมัง พระพุทธเจ้าหรือว่าพระศาสดาองค์ไหน ๆ ก็ได้พูดว่า ได้ตรัสไว้เป็นหลักว่า ทุกโข สะมานะสังวาโส ถ้าแปลเป็นไทยก็ว่า การอยู่เสมอกันนั้นเป็นความทุกข์ การอยู่อย่างเสมอกันไม่มีสูงไม่มีต่ำนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ จริงหรือไม่จริงไปคิดดู ในครอบครัวของคุณลองเสมอกันดูสิ คุณกับภรรยาของคุณ กับลูกของคุณลองเสมอกันดูสิ ลองเสมอกันนิด (นาทีที่ 1.18.05) ดูสิจะเป็นอย่างไร แล้วก็ในหมู่บ้าน ในตำบล ในประเทศชาติ หรือในโลก มันล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ เพราะฉะนั้นจะต้องมีความเคารพผู้บังคับบัญชาสูงขึ้นไปตามลำดับชั้น นับตั้งแต่บิดามารดา พี่ป้าน้าอา นี่เป็นฝ่ายภายใน แล้วก็ฝ่ายภายนอกก็คือ ผู้รับผิดชอบบังคับบัญชาสูงขึ้นไปตามลำดับชั้น ขอให้เป็นจุดรวมของความเคารพขึ้นไปตามลำดับชั้น เดี๋ยวนี้เขาก็เอานายกรัฐมนตรีมาเขียนเป็นการ์ตูนล้อเล่นอย่างที่ไม่มีความหมาย คุณเห็นไหม (นาทีที่ 1.18.45) เพราะสมัยก่อนมันทำได้ไง เดี๋ยวนี้มันก็จะลุกลามกันไปจนถึงสถาบันอันสูงยิ่งกว่านายกรัฐมนตรี ไอ้หนังสือพิมพ์ใช้คำที่ไม่มีเครื่องหมายแห่งความเคารพก็คือตามก้นพวกฝรั่ง เพราะหนังสือพิมพ์ฝรั่งมันใช้คำอย่างนั้น เมื่อเอ่ยถึงนายกรัฐมนตรี ประธานสภาอะไรก็ตาม ที่เราถือกันว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดนะ มันก็ตามก้นกันไปอย่างนี้ ทีนี้ไอ้ลูกเด็กๆ ที่เกิดมาทีหลังนี่ มันน่าสงสาร เพราะมันมาถึงก็อ่านหนังสือพิมพ์ เห็นเขาเรียกนายกรัฐมนตรีเฉย ๆ ไม่ต้องมีอะไรนำ เขาเขียนการ์ตูนล้อเล่นอย่างไรก็ได้ แล้วต่อไปนี้ ลูกเด็ก ๆ อย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นอย่างไร มันจะเคารพผู้ที่ควรเคารพไหม แล้วมันจะเคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ไหม ระวังให้ดี ฉะนั้นการศึกษาที่จัดใหม่ต้องประกอบอยู่ในหลักธรรมที่เรียกว่า คารวตา มีความเคารพในสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ แต่ไม่ได้หมายความว่าเคารพอย่างงมงาย เคารพอย่างงมงายนั้นเป็นสีลัพพตปรามาส ต้องเคารพด้วยเหตุผล เคารพอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่มันมีอยู่จริง ที่มันพิสูจน์ไว้แล้ว
นอกจากนี้ข้อที่ ๓ เรื่องจัดการศึกษาให้ประกอบไปด้วยหลักธรรม คือหลักอริยธรรมทั้งหลายที่มันเนื่องกันเป็นหมู่ ๆ สำหรับความสำเร็จในกรณีนั้น ๆ อาตมาต้องใช้คำว่า อริยธรรมสักหน่อย คือ ธรรมที่ประเสริฐ หรือว่าธรรมของพระอริยเจ้า รวมความแล้วก็ไม่ใช่ธรรมะของอันธพาล ไม่ใช่ธรรมะอย่างชั้นปุถุชนธรรมดา แต่เป็นธรรมะชั้นที่พระอริยเจ้า คือบุคคลที่อยู่ในระดับที่ประเสริฐ ที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ เขาเรียกว่าพระอริยเจ้า แล้วมีอริยธรรม หรือธรรมะที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น หรือของบุคคลเช่นนั้น ซึ่งมีอริยธรรมเป็นหมู่ที่เนื่องกัน ในกรณีที่แยกกันไม่ได้ก็ต้องมาด้วยกันทั้งหมู่ จึงจะสำเร็จประโยชน์ และโดยมากก็เป็นอย่างนั้น เพราะหลักธรรมะข้อเดียวไม่เคยสำเร็จประโยชน์ มันง่ายแต่เรามันไม่มอง คนเราที่รอดอยู่ได้นี่ ไม่ใช่รอดอยู่ได้โดยหลักธรรมะเพียงข้อเดียว มันมีหลายข้อ จะยกตัวอย่างให้ฟัง เช่นว่า เมื่อกล่าวโดยพื้นฐานทั่วไปเราจะต้องมีหลักอริยธรรมที่เป็นหมู่ เช่น ซื่อสัตย์ กตัญญู หิริโอตตัปปะ สติสัมปชัญญะ ต้องมีซื่อสัตย์มาเป็นเบื้องหน้า จริงหรือตรงต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น ต่อเวลา ต่ออุดมคติ หน้าที่การงานให้มันซื่อสัตย์ แล้วมันจะกตัญญู ถ้าคนมันจริง มันตรง แล้วมันจะกตัญญูรู้คุณผู้มีคุณ แล้วก็หรือสิ่งที่มีคุณก็ได้ ไม่เฉพาะบุคคลนะ จะเป็นอะไรก็ได้ แม้แต่สุนัขหรือแมวนี่ถ้ามันมีคุณแก่เรา เราก็ช่วยตอบแทนให้มันพอสม ๆ กันอย่างนี้ นิสัยกตัญญูอย่างนี้ต้องมี กตเวที ทำให้ปรากฎออกมา หิรินั้นคือ ละอายความชั่ว โอตตัปปะนั้นคือ กลัวความชั่ว นี้ต้องมีแน่ เดี๋ยวนี้คนในโลกมันขาดข้อนี้ ขาดหิริโอตตัปปะ ไม่ละอายไม่กลัวสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งคือความชั่ว เขาเห็นแก่ปาก แก่ท้อง แก่เนื้อหนัง ก็ไปบูชาสิ่งนั้น ก็ไม่ต้องละอายกลัวความชั่วที่เขาบัญญัติไว้แต่เดิม กระทั่งว่าความทุกข์ก็จะไม่กลัวในที่สุด แม้ความทุกข์ธรรมดาสามัญจะจับไปขังคุกขังตะรางอะไรมันก็ไม่กลัว นี่มันด้านเต็มทีแล้ว มันกระด้างเต็มทีแล้ว แต่ถ้ามีหิริโอตตัปปะแล้วมันกลัว แม้แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไม่มีใครจับไปลงโทษมันก็กลัว กลัวความชั่ว แล้วมีสติสัมปชัญญะ หมายความว่ารู้จักควบคุมตัว บังคับตัวด้วยสติที่สมบูรณ์ มันไม่เผลอ มันไม่ลืม มันไม่สะเพร่า นี่เราเรียกว่าอริยธรรมหมู่ที่เป็นพื้นฐาน ที่ต้องมีแก่ทุกคนในทุกกรณี
ธรรมะเป็นหมู่ที่เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีมันก็ยังมี เช่นว่าถ้าจะมีกำลังสำหรับทำอะไรให้สำเร็จ มันก็มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าบอกแต่ชื่ออย่างนี้ คนก็เห็นว่าเป็นเรื่องของศาสนา สำหรับไปบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่เข้าใจผิดเสียอย่างนี้ ศรัทธา คือ ความเชื่อต่อตัวเอง เชื่อต่อหลักการที่ตนจะประพฤติจะกระทำ กระทั่งเชื่อในผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม เป็นผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชา นี่ในโลกนี้ ในบ้านนี้ ในโรงเรียนนี้ เราต้องมีศรัทธา แล้วมีวิริยะ คือความเพียรและความกล้าหาญ เป็นคนจริง แล้วต้องมีสติที่ควบคุมตัวไว้ได้ดี ไม่อย่างนั้นก็เผลอหรือเมาไปเลย สมาธิกำลังใจที่เพียงพอ มั่นคง หนักแน่น และปัญญาคือความรอบรู้ในเรื่องที่ตนจะต้องทำ นี่ไม่ใช่เรื่องไปมรรคผลนิพพานอย่างเดียว บางทีทำที่บ้านที่จะทำไร่ทำนา ที่จะปลูกพริกปลูกมะเขือกินสักกอหนึ่ง มันก็ยังจะต้องประกอบไปด้วยคุณธรรมเหล่านี้มันจึงจะดี นี่นับประสาอะไรกับที่จะเป็นครูให้ดี ก็ต้องมีคุณธรรมอย่างนี้ หรือแม้แต่จะเป็นนักเรียนให้ดี มันก็ต้องมีพละธรรม ธรรมที่เป็นกำลังของความเป็นนักเรียนนี่ เหล่านี้ได้ชื่อเหล่านี้ขยายออกไปได้ทุกหมู่ทุกชั้นทุกพวก แต่อย่าไปจดไว้ในสมุดแล้วก็ปิดอย่างที่สอนศีลธรรมกันในโรงเรียนเดี๋ยวนี้ มันไปอยู่ในสมุดที่ปิดไว้ตลอดเวลา มันต้องมีอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กายที่วาจาที่ใจของไอ้ลูกเด็ก ๆ นั่น แล้วก็มีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของครูด้วย ทุกชั้นเป็นลำดับขึ้นไปแหละ
ธรรมะเป็นหมู่สำหรับให้เกิดความสำเร็จมีอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์อีกหมู่หนึ่ง จะยกมาเป็นตัวอย่าง คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ช่วยจำเดี๋ยวนี้โต ๆ แล้วทั้งนั้น สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ อาตมาพูดสามหนก็คงจำได้แล้ว สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ สัจจะ คือ จริง จริง ๆ มันจริงต่อการเกิดมาเป็นมนุษย์ หรือจริงต่อหน้าที่การงานว่าเป็นครู ก็เป็นครูจริง เป็นนักเรียนก็เป็นนักเรียนจริง เป็นลูกบ้านก็เป็นลูกบ้านจริง เป็นผู้ปกครองก็เป็นผู้ปกครองจริง นี่มีสัจจะกันอย่างนี้ มีทมะ คือบังคับตัวเองให้จริงอย่างนั้นได้ คือทมะ ท. ทหาร ม. ม้า อ่านว่าทะมะ บังคับตัวเองได้ ซึ่งเป็นธรรมะก้องไปทั้งโลกเขาเรียกชื่ออย่างอื่น ถ้าไม่พูดเป็นฝรั่งคนก็ไม่ค่อยสนใจ เค้าพูดก้องไปทั้งโลกว่า ไอ้การบังคับตัวเองนั่นน่ะ จะแต่งเป็นภาษาอะไรก็ได้ เรียกว่าทมะ ในภาษาบาลี เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ฉะนั้นอย่าต้องไปตามก้นฝรั่งไปยืมคำฝรั่งมาใช้ อายเต็มทีแล้ว จะบังคับตัวให้ได้ก็เรียกว่าทมะ สัจจะ แล้วก็ทมะ เมื่อบังคับตัวเองแล้วมันต้องทนนะ ถ้าไม่ทนมันบังคับอยู่ไม่ได้ จึงต้องมีขันตี อดทน ความเจ็บไข้บีบคั้นอดทน ความหิวกระหายบีบคั้นอดทน ดินฟ้าอากาศบีบคั้นก็อดทน และต้องอดทนที่สุดคือกิเลสมันบีบบังคับมันก็ต้องอดทน ถ้ากิเลสบีบบังคับไม่อดทนเดี๋ยวมันก็ไปทางที่ไม่น่าดูเท่านั้นเอง ที่ถ้าให้ทนได้โดยไม่ยากนักก็ต้องมีข้อสุดท้าย จาคะ เป็นรูรั่ว เป็นรูระเหยออกไปเรื่อย ๆ ความชั่วจะได้ระเหยออกไปเรื่อย ๆ มันไม่ต้องทนมาก อย่างนี้เขาเรียกว่าจาคะ คือ สละ อะไรที่ไม่ควรจะมีก็ละ ละไป ๆ อยู่เรื่อย ๆ มันจะพอทนไหว ทีนี้ถ้าไม่รู้จักสละละอะไรเสียเลย มันก็ทนไม่ไหว นี่เราถือว่าเป็นธรรมะที่สำคัญที่สุดที่จะประสบความสำเร็จ สำหรับคนทั่วไปก็ได้ สำหรับพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยคนทั้งโลกก็ยังได้ ที่รูปปั้นอวโลกิเตศวรที่สนามหญ้านั่นน่ะ ช่วยถ่ายรูปไปดูด้วย ถ่ายรูปหมู่ถ่ายตรงนั้นน่ะดี เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของสัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เป็นคำพูดสี่คำที่เขียนไว้รอบรูปปั้นนั้น สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ นี่ตัวอย่าง ยกมาเป็นตัวอย่าง พูดหมดก็ไม่มีเวลา ว่าอริยธรรมเป็นหมู่ ๆ ต้องเอามาใช้ให้เพียงพอทุกหมู่ ให้อยู่ในระบบมาตรฐานของการศึกษาที่จัดขึ้น อบรมสั่งสอนให้มีศีลธรรม ที่แล้วมาเรามีกันอยู่แต่ในสมุด เด็ก ๆ มีในสมุด ครูมีแต่ในสมุด แล้วบางคนก็ไม่มีด้วยซ้ำแม้แต่ในสมุดก็ไม่มี แล้วจะมีติดเนื้อติดตัวได้อย่างไรกัน จึงขอย้ำว่าไอ้ที่จะจัดการศึกษากันเสียใหม่ให้มันประกอบไปด้วยไอ้หลักเกณฑ์อย่างนี้ มีเจตนารมณ์ที่ทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นเบื้องหน้า จนรักกันเป็นคนทั้งโลก เป็นคน ๆ เดียวกัน และมีจุดที่เป็นจุดรวมของความเคารพนับถือ นับตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาคนแรกขึ้นไป แล้วก็มีธรรมะตามหลักพระพุทธศาสนาที่จัดไว้แล้วเป็นหมู่ ๆ
เวลามันเหลือน้อยแล้วต้องรีบพูดนะ ทีนี้ข้อถัดไปที่จะเป็นหัวข้อพูดก็คือว่า หลักธรรมะสำหรับความเป็นครู หลักธรรมะสำหรับความเป็นครูนี่เคยพูดมามากแล้ว อาจจะไปหาอ่านได้ไม่ยาก แต่ที่นี้ก็จะสรุปใจความอีกทีหนึ่ง การที่จะเป็นครูนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะมีสิ่งเหล่านี้นะ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ให้ถูกต้องเสียก่อน จะเป็นครูเป็นอะไรก็ตาม ส่วนพื้นฐานมันคือเป็นมนุษย์ แล้วต้องเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วความเป็นครูหรืออะไรมันจะมาเกาะอยู่ได้ก็ที่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์นั่น มันไม่ใช่เล็กน้อย มีใจสูงชนิดที่ไม่มีปัญหาของกิเลสและความทุกข์ ขอระบุเอาศีล สมาธิ ปัญญา ในหลักพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่สำหรับไปบรรลุมรรคผลนิพพาน เดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกนี้ สอนนักเรียนนี่แหละ ต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ใช้ได้สากลทั่วโลก ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่เคยเก่าแก่
ศีล คือไม่มีโทษทางมรรยาท ทางความประพฤติ ทางกาย ทางวาจา อย่าให้มีโทษอะไรเหลืออยู่ที่มารยาททางกายทางวาจา สมาธิ คือมีกำลังใจเข้มแข็งเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ คือเป็นจิตใจที่ ใจที่ฝึกไว้ดี ใช้ทำอะไรได้ทุกอย่าง เหมือนกับสารพัดนึก จิตใจที่ฝึกดีถึงขนาดนี้ ก็เรียกว่าจิตที่มันเป็นสมาธิ มันแสดงฤทธิ์ก็ได้อย่าว่าธรรมดา แต่นี่เพียงงานธรรมดานี่ ต้องทำด้วยสมาธิ แล้วมีปัญญา คือสิ่งใดที่ควรจะรู้และต้องรู้ให้เพียงพอ เรียกว่าปัญญา โดยมุ่งหมายว่าจะขจัดความทุกข์หรือปัญหาได้ นี่เรียกว่าปัญญา ขอให้ครูทุกคนมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์โดยมี ศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักของพระพุทธศาสนาที่ใช้ได้สากลทั่วโลก ไม่ว่าชนชาติเหล่าไหน เพราะนี่มันเป็นหลักของธรรมชาติ มันเป็นกฎของธรรมชาติที่เก็บขึ้นมาจากธรรมชาติ ก็ต้องมีศีล คือ ปรกติทางกาย ทางวาจา แล้วมีสมาธิ คือ ปรกติทางจิตใจ แล้วก็มีปัญญา คือ ปรกติทางความคิด ความเห็น ความเชื่ออะไรก็ตาม ไม่ผิดปรกติ ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้ ก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้อง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา ปัญหาชั้นเลว ความทุกข์ชั้นเลวก็อย่าได้มีให้ใครดูถูกเลย
แล้วมีหลักทั่วไปที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา 1:32:24.3 นี่ก็หัวใจของพุทธศาสนา อยู่ในระดับที่พอดีหรือสมดุล ไม่มีซ้ายไม่มีขวา ไม่มีมั่งมีหรือยากจน มันอยู่แต่ความถูกต้องที่พอดี คำอธิบายมากพูดไม่ไหว แต่ขอให้จำคำนี้ไว้ให้แม่นว่า มัชฌิมาปฏิปทา ไม่เอียงไปทางตามใจกิเลสเนื้อหนังอะไร แต่ก็ไม่ต้องเข้มถึงกับไปทำร้ายร่างกาย ทรมานร่างกาย อีกชื่อหนึ่งเขาเรียกว่า อย่าให้มันเปียกไป อย่าให้มันไหม้ไป อาคาฬหปฏิปทา มันทำผิด มันพลัดไปฝ่ายที่อ่อน อ่อนแอ หรือมันเปียกไป หรือทางหนึ่ง มันบ้า เครียด มันเป็นเกินไป เขาเรียกว่านิชฌามปฏิปทา นี่ก็ไหม้เกรียมไป ดังนั้นเปียกแฉะก็ไม่ได้ ไหม้เกรียมก็ไม่ได้ มันอยู่ตรงความพอดี การครองชีวิตในบ้านเรือนนั้น จำคำเหล่านี้ไว้ให้ได้ก็จะใช้ได้ อย่าให้มันเปียกแฉะไป อย่าให้มันไหม้เกรียมไป ให้มันอยู่ในความพอดี อยู่ในฐานะที่เป็นมนุษย์มี ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีทุกข์ ไม่มีปัญหา ตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา เรียกว่า มีความเป็นมนุษย์อย่างพื้นฐาน นี่ครูจะต้องมีความเป็นมนุษย์พื้นฐานที่ถูกต้อง และถัดไปก็ต้องอยู่ในฐานะความเป็นตัวอย่างที่ดี ตัวอย่างที่ดีนี้ก็เคยสอนกันอยู่แล้วว่า ให้กล่าวได้ว่าจงทำอย่างที่ฉันทำ โดยความสนิทใจ ไม่ต้องมีข้อแม้ว่า ต้องยกเว้นว่า ทำอย่างที่ฉันพูด แต่อย่าทำอย่างที่ฉันทำ นี่คือตัวอย่างที่ไม่ดี ฉะนั้นสอนอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ครูสูบบุหรี่ควันฟุ้งเลย สอนเด็กว่าอย่าสูบบุหรี่ อย่างนี้มันจะมีความหมายอะไร อื่น ๆ ก็เหมือนกันน่ะไปเทียบเคียงกันดู นี่ตัวอย่างที่ดี สรุปว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า คือพระศาสดาแห่งศาสนาของตน ๆ อันนี้ขอให้ย้ำให้มากเถอะ แล้วตัวเองก็ประพฤติด้วย แม้ว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่อย่างนี้แล้วมันก็ยังมีบิดามารดาอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราจงเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เช่นเดียวกับที่เราสอนลูกเด็ก ๆ ให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาก็คือเรานะ ไอ้เราที่แก่แล้วก็เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่ยังแก่มากขึ้นไปอีก หรือจะล่วงลับไปแล้วก็ตามใจ เราอยู่นี่ต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเสมอ แล้วเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ นี่ก็เกือบไม่ต้องอธิบาย เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ก็เพื่อนจริง เพื่อนที่ถูกต้อง และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ก็ให้มันเป็นพลเมืองดีจริง เดี๋ยวนี้มันหาทำยายากแล้วกระมังไอ้พลเมืองดีที่แท้จริง ความนิยมมันก็เสื่อมไปแล้ว แล้วกระทั่งว่าเป็นพุทธมามกะ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาแห่งศาสนาของตน ๆ ถ้าทำตัวอย่างเหล่านี้ได้นะก็วิเศษที่สุด เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีก็อย่าตกอบายเสียเอง ไม่ใช่อบายต่อตายแล้วนะ นั่นไม่พูดถึงหรอก มันมีอบายที่ร้ายกาจกว่าอบายต่อตายแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้นั่นไม่ใช่อบายต่อตายแล้ว อบายมุข ๖ ช่องที่จะหล่นลงอบาย ก็คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายบอกให้เด็กจดไว้ในสมุด มันก็อยู่ในสมุดตามเคย เสร็จแล้วครูบาอาจารย์เองก็ยังมี ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เป็นหลักจริยธรรมต้น ๆ มีอยู่ในหนังสือแบบเรียนทั่ว ๆ ไป เรียกว่า อบายมุข ๖ อาจารย์ต้องปิดอบายมุข ๖ เป็นตัวอย่างให้ลูกศิษย์เสมอ นี่คือว่าในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดี คืออย่างนี้ นี่พูดกันย่อๆ
ที่ว่าต่อไปก็ในฐานะที่เป็นผู้สอนที่ดี คือเป็นครูที่ดี อาตมาเคยพูดมากแล้วในการบรรยายเรื่องนี้ หลายครั้งหลายหนก็มีพิมพ์อยู่ ไปอ่านดูก็ได้ สรุปความแล้วก็ว่าในบุคคลที่เป็นผู้สอนหรือครูนี่ ให้เต็มอัดอยู่ด้วยปัญญาและเมตตา เคยพูดเป็นภาพพจน์ว่าในหัวใจของครู ถ้าผ่าออกดูได้จะเห็นเมตตากับปัญญานอนเคียงคู่กันอยู่ เป็นภาพพจน์ที่กันลืม เมตตารักลูกศิษย์สุดที่มันจะรักได้ ปัญญาความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะอบรมเขา ทีนี้สร้างไอ้ความรู้สึกแห่งปูชนียบุคคลขึ้นมาให้ได้ในหัวใจของศิษย์ คือศิษย์ก็มีความรู้สึกว่าเรานี่เป็นผู้ที่เขาจะต้องรักใคร่เชื่อฟังเคารพนับถือ คือไว้ใจได้ แล้วก็ให้เป็นผู้สอนที่ตรงตามความหมายเดิมโบรมโบราณหลายพันปีมาแล้ว ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ผู้นำในทางวิญญาณ หรือจะเรียกว่าผู้ปลดปล่อยอย่างสมัยใหม่นี่ก็ได้ แต่ไม่ใช่ปลดปล่อยแบบนั้น นี่มันเป็นปลดปล่อยแบบแท้จริงทางวิญญาณ แล้วครูก็จะต้อง อีกข้อนึงครูก็จะต้องบูชาอุดมคติจริง ๆ เพื่อบังคับตัวเองไว้ให้ได้ ให้เป็นครูที่ทุกคนไว้ใจเคารพรักใคร่ หวังที่จะเอาเป็นที่พึ่ง ครูที่บูชาอุดมคติจะต้องทำได้อย่างนี้ อันนี้อาตมาว่าเองว่า ขอให้ครูทั้งหลายนี่ขึ้นสังกัดอยู่กับพระบรมครู คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงมหาดไทยเลย นี่ว่าโดยจิตใจนะ เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู เราก็ขึ้นสังกัดอยู่ในพระบรมครู คือพระบรมศาสดา แต่ถ้าภายนอกทางร่างกาย ทางอะไรนี่ก็ได้ จะขึ้นอยู่กับกระทรวงไหนก็ได้ แต่ในจิตในใจวิญญาณเนื้อแท้มุ่งไปยังพระบรมศาสดา
ทีนี้หัวข้อที่สี่ ขอพูดอีกนิดหน่อยมันอาจจะมากไปบ้างก็ได้ แต่เพราะว่าเรามีโอกาสพูดกันครั้งเดียวใช่ไหม พรุ่งนี้ก็จะไปแต่เช้าแล้ว อาตมาก็จะขอพูดพอให้หมดกระแสความ หัวข้อที่สี่นี่ว่าครูจะทำงานด้วยจิตว่างได้อย่างไร คนเป็นอันมากเขาเกลียดคำว่าจิตว่าง เพราะเขาไม่รู้ว่าคำว่าจิตว่างนั้นคืออะไร จิตว่างนั้นมันมีหลายความหมาย ว่างอย่างไม่มีอะไรก็ได้ ว่างอย่างไม่คิดนึกอะไรก็ได้ เดี๋ยวนี้เราว่างอย่างที่ว่าไม่มีความเห็นแก่ตัวกู ไม่มีความรู้สึกหมายมั่นเป็นตัวกูของกูนั่นแหละ เวลานั้นคือจิตว่าง พอว่างจากตัวกูของกูก็เต็มอยู่ด้วยสติปัญญาที่สมบูรณ์ จิตว่างอันธพาลที่เขาเอาไปล้ออาตมาอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ มันจิตว่างของคนเขียน มันจิตว่างอันธพาล มันจิตว่างแสร้งว่า หรือจิตว่างอะไรก็สุดแท้ หรือแม้แต่จิตว่างงมงายตามหลักของลัทธิมิจฉาทิฏฐิ บางลัทธิในครั้งพุทธกาลมันก็มี ก็ใช้เหมือนกัน อันคำว่าจิตว่างนี้ต้องถือเอาความหมายให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องตามความหมายในพุทธศาสนา ที่ว่าว่างจากความยึดมั่นถือมั่น มั่นหมายเป็นตัวกูของกู แล้วก็โลภบ้าง หรือว่าโกรธบ้าง แล้วก็หลงบ้างอะไร นั้นมันไม่ว่าง กิเลสมันยึดครองอยู่ มันไม่ว่าง กิเลสว่างไปเรียกว่าจิตว่าง ทีนี้อะไรอยู่ก็คือปัญญา ทำงานด้วยจิตว่างนั้นมันจะง่ายดาย ที่ว่าจะทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่องานนี่ไม่ค่อยมีใครชอบหรอก แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะชอบ ทำงานเพื่องาน ทำงานด้วยจิตที่รักงาน ไม่ใช่รักเงิน ไม่ต้องไปรักมันหรอกเงินน่ะ ไม่ต้องรักหรอก แต่ขอให้รักงาน เดี๋ยวเงินมันมากรูไปหมดน่ะ ขอให้รักงาน และทำงานเพื่องานมันจะได้ไม่เป็นทุกข์เมื่อทำ นี่มีสติสัมปชัญญะดีเมื่อทำ แล้วก็บริสุทธิ์กว่า คือมันจะคอรัปชั่นไม่ได้ ถ้าทำงานเพื่องาน หรือจะคิดเสียว่าทำงานเพื่อหน้าที่ตามธรรมชาติ พอสัตว์มีชีวิตแล้วมันต้องเคลื่อนไหวมันอยู่นิ่งไม่ได้ เมื่อเราเอาความจำเป็นที่ว่ามีชีวิตต้องเคลื่อนไหว คือทำงาน ทำงานเพื่อการเคลื่อนไหว เพื่องาน หรือเพื่ออนามัยก็ได้ ถ้าไม่เคลื่อนไหวมันก็ไม่มีอนามัย นี่แหละทำงานเพื่องานข้อหนึ่งแล้ว อีกข้อหนึ่งก็ว่า ทำงานที่เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้วในตัวโดยอัตโนมัติ เพราะการทำงานนี้ต้องทำด้วยสติปัญญา ด้วยสัมปชัญญะ ด้วยความอดกลั้นอดทน วิริยะ มันเป็นการประพฤติธรรมอยู่แล้วในตัว ถ้าทำจริงธรรมะเหล่านั้นจะมีในตัว เช่น พละ ๕ อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ ถ้าทำงานจริงนะอันนั้นมันจะมีอยู่ในตัว นั้นก็เป็นการประพฤติธรรมอยู่ในตัว จะสูงขึ้นไป ๆ แล้วมันก็จะง่ายต่อการบรรลุนิพพานในภายหลัง ถ้าว่าเราต้องการ ไม่ต้องไปแสวงบุญที่ไหนหรอก แสวงบุญในการที่ทำหน้าที่ของตัวให้ดี ถ้าเป็นครู ก็เป็นครูให้บริสุทธิ์ นั่นแหละคือการประพฤติธรรม จริงไม่จริงไปพิสูจน์ดู ทำหน้าที่ของครูให้บริสุทธิ์ ให้สุดความสามารถนั้นแหละคือการประพฤติธรรม จะมีธรรมะหลายอย่างรวมอยู่ในนั้น ให้ทำงานที่เป็นการปฏิบัติธรรมโดยอัตโนมัติอยู่ในตัว แล้วให้เป็นการทำงานชนิดที่มันไปในทางสูงยิ่งขึ้นไป ๆ จะไปจบที่พระนิพพานก็ไม่ต้องรังเกียจ มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ เราทำให้มันดีให้มันสูงขึ้นไป มันไปหานิพพานเองโดยไม่ต้องตั้งความปรารถนาหรอก มันไปของมันเองได้ ส่วนเงินเดือนหรือประโยชน์ที่จะพึงได้รับนั้น ให้ถือว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย มีเพียงช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ได้ เมื่อเรามีชีวิตอยู่ได้ เราจะทำงานที่มีประโยชน์หรือมีคุณค่าหรือมีเกียรติสูงกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ดังนั้นเงินเดือนนี่เป็นเพียงเพื่อช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ พอมีชีวิตอยู่ได้แล้วต้องทำอะไรที่มันดีกว่านั้นมากมายหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่า นี่ควรจะถือหลักอย่างนี้ มันก็จะไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนไม่กระวนกระวาย หรืออีกทีถือว่าเงินเดือนเป็นต้น นั้นมันเป็นเครื่องสักการะบูชา เพราะเรามีอะไรดีมีค่ามากกว่าเงินเดือน มันก็เป็นของสักการะบูชาไป อย่าให้มันกลายเป็นค่าจ้างหรืออย่าให้มันกลายเป็นบำเหน็จอะไรขึ้นมา อย่าไปหลงค่าจ้าง อย่าไปหลงบำเหน็จ จัดไว้ให้มันเป็นเครื่องสักการะบูชาอยู่เรื่อยไป นี่จึงจะเป็นครูตามอุดมคติ ให้รู้สึกว่าเราเป็นเจ้าหนี้ตลอดกาลนะ ไม่ใช่เราเป็นลูกหนี้นะ 1.45.00.1 ถ้าเป็นครูโดยสมบูรณ์แท้จริงแล้วจะเป็นเจ้าหนี้ตลอดกาล เพราะว่าสิ่งที่เราทำให้นั้นเป็นประโยชน์แก่ลูกศิษย์หรือแก่บ้านเมืองมากมหาศาล ที่เรารับเงินเดือนนิดเดียว เพราะฉะนั้นเราเป็นเจ้าหนี้อยู่ตลอดกาล นี่ข้อนี้ก็มีเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ทำงานด้วยจิตว่างนี่ก็คือว่าไม่มั่นหมายว่าเป็นตัวกูของกู ทำงานเพื่องาน เป็นการประพฤติธรรมอยู่ในตัวเดินไปในทางสูงเอง เงินเดือนเป็นเพียงเครื่องสักการะบูชา ไม่ไปลุ่มหลง ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะเอามาเล่นมากิน เช่นเดียวกับพระนี่ เรามีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่เขาให้มาในฐานะเป็นเครื่องสักการะบูชา ฉะนั้นครูก็เป็นพระชนิดหนึ่ง อาตมาพูดอย่างนี้ มีคนเอาไปล้อทางวิทยุการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการนั่นเอง เมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ก็ครูนี่ก็เป็นพระชนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังยืนยันอยู่อย่างนั้น ว่าครูนี่ต้องเป็นพระชนิดหนึ่ง อยู่เสียสละเพื่ออยู่รอดของสัตว์โลก
ข้อสุดท้ายที่ต้องพูดถึงคือการกลับมาแห่งศีลธรรม นี่คือความมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ มีข้อเดียวเท่านี้ โลกในปัจจุบันนี้ทั้งโลกเลย มีปัญหาอยู่ข้อเดียว มีทางรอดอยู่อย่างเดียวคือการกลับมาแห่งศีลธรรม ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะรอดอยู่ได้ จะต้องไปสู่มิคสัญญี แล้วใครล่ะที่จะช่วยให้มีการกลับมาแห่งศีลธรรม ก็คือพวกครูทั้งหลาย ไม่มีพวกอื่น พวกอื่นทำไม่ได้ เพราะว่าครูเป็นผู้ปั้นวิญญาณปั้นจิตใจอย่างที่กล่าวมาแล้ว ให้ครูตั้งหน้าตั้งตาปั้นวิญญาณของคนให้ถูกต้องนั่นแหละ การศึกษาถูกต้องนั่นละ การกลับมาแห่งศีลธรรมก็มาอย่างแน่นอน นี่โลกกำลังไร้ศีลธรรม ปัญหานานาประการเกิดขึ้น เพราะเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนกิเลสซึ่งทำให้ไร้ศีลธรรม เดี๋ยวนี้มนุษย์นั่นแหละช่วยกันทำให้ไร้ศีลธรรม ที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่งก็คือเขากำลังแก้ไขกฎเกณฑ์ของศีลธรรม ให้เรื่องศีลธรรมกลายเป็นมิใช่ศีลธรรม ที่มิใช่ศีลธรรมเอามาให้เป็นเรื่องของศีลธรรม เดี๋ยวนี้คนกิเลสหนาถึงอย่างนี้ เดี๋ยวก็ว่าจะด่าฝรั่งอีก พวกฝรั่งรั่วไม่ใช่ไทยก็แล้วกันน่ะพวกหนึ่ง ก็จะแก้ไขกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมโดยเฉพาะศีลข้อกาเมนี่ เขาจะแก้ไขความหมายมันเสียแล้ว นี่โลกกำลังไร้ศีลธรรมหนักขึ้น ๆ ด้วยเหตุนี้ ข้อพิสูจน์อันนี้มันเห็นได้เดี๋ยวนี้ในประเทศเราเองนี้ มันก็มีวิกฤตการณ์อันร้ายแรงอยู่ทุกวัน ๆ นี้มันเป็นพิสูจน์อยู่ในตัวเองแล้วว่าการศึกษามันไม่ถูกต้อง บ้านเมืองทุกหัวระแหงตามถนนหนทางมันเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ในครอบครัวก็มียุ่งยากลำบาก ในหมู่บ้านในจังหวัดนี่ก็ยุ่งยากลำบาก ในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยของพวกคุณนี้ก็ยังมีวิกฤตการณ์นะ ที่ตีกันไม่หยุดไม่หย่อนนั่นที่ไหนล่ะ มันก็คือวิกฤตการณ์ในมหาวิทยาลัย มันมาจากการศึกษาที่ไม่เพียงพอ เดี๋ยวนี้อาตมาก็บอกว่าแม้ในวัดวาอารามก็เป็นเหมือนกันละ เดี๋ยวจะว่าเอาเปรียบ ในวัดวาอารามมันก็มีวิกฤตการณ์ แล้วยังพูดได้ถึงว่าแม้บนสวรรค์ก็มีวิกฤตการณ์ นี่พูดตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะถ้าในมนุษย์โลกนั้นไร้ศีลธรรม ความกำเริบนั้นจะขึ้นไปถึงพวกเทวดาบนสวรรค์ นี่มีกล่าวไว้ในพระบาลีอย่างนี้ สวรรค์ก็จะปั่นป่วน ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาลอะไรต่าง ๆ มีเป็นอันตรายทางธรรมชาติขึ้นมา วิกฤตการณ์ที่มาจากความไร้ศีลธรรมนี้ขึ้นไปถึงสวรรค์ นี่พูดตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ นี้ทุกประเทศทั่วโลกมันก็มีวิกฤตการณ์ ที่พิสูจน์ให้เห็นอยู่ว่ามันมาจากความไร้ศีลธรรม เพราะฉะนั้นเรายอมรับเสียดี ๆ ดีกว่าว่าโลกกำลังไร้ศีลธรรม การศึกษาไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงนี้มันพิสูจน์ได้ด้วยข้อนี้ ดูสภาพไร้ศีลธรรม เมื่อมันมีปัญหานี่ข้อเดียวมันเกิดขึ้นเพราะโลกกำลังไร้ศีลธรรม ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมามากมายไม่น่าเชื่อ ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ประเทศเราได้รับอยู่ ถ้ามีศีลธรรมมาได้ข้อเดียว มันจะไม่มี ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มันเป็นไปไม่ได้ มันคอยแต่จะคดโกง มันคอยแต่จะไม่สำเร็จมันไร้ศีลธรรม 1.49.59.8 การปกครองก็เหมือนกัน มันเป็นไปดีไม่ได้ เพราะมันไร้ศีลธรรม การเมืองหรือลัทธิการเมืองที่มันไม่อำนวยประโยชน์และความสุข ก็เพราะว่ามันเป็นการเมืองหรือลัทธิการเมืองที่มันไร้ศีลธรรม เพราะการศึกษามันจัดมาไม่ดี ผู้สำเร็จการศึกษามาเป็นนักการเมือง หรือมาเล่นการเมืองมันก็ผิดหมด อาชีพก็ดีการพัฒนาก็ดีเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันไร้ศีลธรรม ขบวนการยุติธรรมในประเทศหรือในโลกกำลังกวัดแกว่งกำลังรวนเรกำลังโยกคลอน นี่ก็เพราะว่ามันไร้ศีลธรรม ขบวนการยุติธรรมทุกแขนงทุกสาขา กิจการทหารอะไรก็ตาม ถ้ามันมีศีลธรรมแล้วมันก็จะคุ้มครองให้อยู่ในภาวะที่น่าปรารถนาไปทั้งหมด ก็ไม่มีใครเห็นความสำคัญของศีลธรรม พิสูจน์ได้ว่าไม่มีใครจัดกระทรวงศีลธรรมขึ้นมา สำหรับควบคุมกระทรวงทั้งหลาย เราพูดอยู่คนเดียวเขาก็ว่าบ้า แต่เป็นความจริงที่สุด ไม่บ้า ถ้ามีกระทรวงศีลธรรมเพียงกระทรวงเดียว ควบคุมกระทรวงทั้งหลายไว้ได้ ไม่มีปัญหาเลย มนุษย์เราในโลกนี้ ก็เคยพูดให้เขาฟังหลายคนแล้ว เขาคงเอาไปพิจารณากันบ้าง ว่าโลกนี้มันกำลังขาดกระทรวงศีลธรรมอันแท้จริง ถ้าพูดถึงศีลธรรมมันเป็นศีลธรรมหลอก ๆ การศึกษาต้องจัดกันเสียใหม่ ให้ควบคู่กันไปกับศาสนาหรือวัฒนธรรมทางศาสนา นี้การแก้ไขเรื่องสุดท้าย ก็พูดกำปั้นทุบดิน จะเป็นการแก้ไขระยะยาว หรือระยะสั้น หรือต้นเหตุหรือปลายเหตุก็สุดแท้ ขอให้จัดการศึกษาให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าสิกขาในพระพุทธศาสนาเท่านั้น สิกขาในพระพุทธศาสนาหมายความว่า ถูกต้องทางกายวาจา ถูกต้องทางจิตใจ ถูกต้องทางสติปัญญาทางความคิดความเห็นนี่ เราจัดการศึกษาให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าสิกขา ปัญหาหมด ไม่มีเหลือ
สรุปว่าต้องยึดหลักศีลธรรม สัตว์ทั้งหลายมันเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตามด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มีการบังคับตัวเองที่ถูกต้อง ทำลายความเห็นแก่ตัว ให้เรามีจุดรวมของความเคารพและเชื่อฟังตามลำดับชั้นในทุกกรณี และให้มีอริยศีลธรรมทางศาสนาเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องสมบูรณ์อย่างแท้จริง นี่การกลับมาแห่งศีลธรรม มาได้เพราะว่าการศึกษา กลับมาสู่ความถูกต้องและสมบูรณ์
เป็นอันว่าเราก็ได้พูดกันมากมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าเป็นการพูดโดยหัวข้อ นับตั้งแต่ว่ามาสู่สวนโมกข์นี้ คืนหนึ่งก็พูดกันตั้งเกือบ ๆ ๒ ชั่วโมง เพื่อเรื่องการศึกษาที่จะช่วยโลกให้รอด คือการศึกษาอันนำมาซึ่งศีลธรรมที่กำลังเสื่อมไปนั้นกลับมาอีก มีเท่านี้เอง แม้จะเรียกว่าถอยหลังเข้าคลองก็เรียกได้ แต่เป็นการถอยหลังเข้าคลองที่ปลอดภัย เพราะว่าขืนดันทุรังต่อไป มันก็ตกเหวตกหน้าผา หรือว่าถ้าเป็นเรือมันก็ขึ้นบนบกวิ่งไปไม่ได้ ถอยหลังมาหาศีลธรรม การศึกษาที่จะช่วยโลกให้รอดได้ ก็ต้องถอยหลังกลับมาหาศีลธรรม โดยร่วมรวมการศึกษาเข้ากับสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั่นเอง
อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์ หรือว่ากำลังเป็นนักศึกษาอย่างครูบาอาจารย์นี้ เข้าใจอาตมาอย่างถูกต้องว่า ตลอดเวลาทั้งชีวิตนี้ก็อุทิศเพื่อความมุ่งหมายอันนี้ มีเจตนารมณ์อย่างเดียวกับผู้ที่เรียกตัวเองว่าครู เพราะเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นบรมครู ถือว่าเราได้เกิดมาดีมีโชคลาภ ที่ได้มีอาชีพเป็นครู คือเป็นปูชนียบุคคลของโลกมีหน้าที่ช่วยโลก ไม่สักว่าทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนวิชาอาชีพอื่น จะได้มามีอาชีพชนิดที่เป็นปูชนียบุคคล มีหน้าที่เปิดประตูให้แก่โลกให้แก่สัตว์โลกให้เดินถูกทาง ควรจะพอใจที่ว่าสังกัดนี้มันเป็นสังกัดขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า แล้วก็จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แล้วเป็นปูชนียบุคคลได้โดยง่าย โดยส่วนตัวก็ขอให้อธิษฐานจิตตั้งความปรารถนากันอย่างนี้ และก็อาตมาก็ขอถือโอกาสอวยพรแก่ท่านทั้งหลาย ได้อ้างคุณของสิ่งสูงสุดคือพระธรรม ที่อยู่ในรูปของพระรัตนตรัยก็ดี ของพระเจ้าก็ดีอะไรก็ตาม จงช่วยกันประคับประคองแวดล้อมท่านทั้งหลายอย่าให้เดินผิดทางได้ ให้เดินอยู่แต่ในหนทางที่ถูกต้อง และก็ทำการงานชนิดที่มันเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว และประสบความสำเร็จเป็นความสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ