แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดีก่อนในการที่ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้มาที่นี่ ผู้ที่เป็นครูก็มีความหมายเหมือนๆ กับพระ คือว่าโดยแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องนำในทางจิตใจ แต่เดี๋ยวนี้เขายิ่งมองกันไปคนละทาง ว่าครูเป็นผู้สอนให้มีความรู้เท่านั้น เพราะความรู้ก็มีปัญหาว่าความรู้อะไรกัน มีความรู้มากแต่ว่าจิตใจไม่ดีก็มี อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ คนที่มีความรู้มากก็ทำทุจริตหรืออะไรทำนองนั้นก็มีมาก ก็มีแต่ความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วก็ยังไม่สามารถจะทำจิตใจของตนเองให้มีความสุขเยือกเย็นได้ ฉะนั้นคำว่าเป็นครูนี้จะต้องทำให้ลูกศิษย์นั้นมีทั้งความรู้และก็มีทั้งจิตใจที่ดี ส่วนความประพฤตินั่นก็ย่อมจะดีไปตามจิตใจเองเพราะมันออกมาจากจิตใจ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงมองเห็นมาตลอดเวลาว่าความเป็นพระและความเป็นครูนั่นมันเป็นเรื่องเดียวกัน บางทีในยุคโบรมโบราณโน่นหลายพันปีมาแล้วมันเกือบจะไม่แยกกัน ก็พระมันอยู่ที่ ความเป็นครูอยู่ที่นักบวชส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้เราก็เกิดแยกกันขึ้น มีครูฆราวาส มีครูที่เป็นพระ ครูที่เป็นพระก็เลยแยกตัวไปเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องทางธรรมทางศาสนา มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน คือว่าจะได้ให้มันสะดวกเข้า แต่ในที่สุดก็ไม่ค่อยจะได้ผลตามนั้น คือว่าส่วนที่เป็นครูอย่างฆราวาสนี่ก็สอนวิชาความรู้ ประพฤติ ส่วนที่เป็นพระหรือว่าเจ้าหน้าที่ทางศาสนาก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะสอนธรรมะหรือศาสนาให้แก่เด็กนักเรียน ก็เลยไขว้กันอยู่ กว่าเด็กนักเรียนจะเรียนที่โรงเรียนเสร็จจบมาบวชเป็นพระเป็นเณรนี้ก็ บางทีก็เหลือที่จะรับได้ มีความเปลี่ยนแปลงมาก แล้วก็ส่วนน้อยที่สุดที่จะว่าจะมาบวชเป็นพระเป็นเณรแล้วศึกษากันจริงๆ มักจะบวชตามพิธีตามประเพณีเสียมากกว่า การบวชตามประเพณีก่อนนี้ยังมีตั้ง ๓ เดือน เดี๋ยวนี้จะเหลือสัก ๑๕ วัน ๑๐ วัน บวชตามประเพณี ฉะนั้นเรื่องทางจิตใจนี่มันจึงถูกละเลยมาก คือไม่มีจิตใจที่จะเรียกได้ว่าดีหรือเหมาะสมแม้มีความรู้ ขอให้ผู้ที่เป็นครูทั้งหลายสังเกตเอาเองว่าไอ้เด็กนักเรียนยุคหลังๆ นี่มันเป็นอย่างไร มันไม่เคารพครูบาอาจารย์ยิ่งขึ้น มันมีความเป็นประชาธิปไตยเอากับครูบาอาจารย์ ก็สอนลำบาก เพราะว่านักเรียนไม่เคารพครู ไม่ถือว่าเป็นครู ถือว่าเป็นหน้าที่จำเป็นต่างคนต่างต้องทำ เด็กๆ ต้องเรียน จำเป็นต้องเรียน ครูก็ต้องสอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอาชีพ พอเด็กคิดอย่างนี้ ความเคารพว่าเป็นครูนี่ไม่มี ถ้าภาษาวัดภาษาศาสนาก็เรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีครู แม้จะเรียนหนังสืออยู่กับครูทุกวันๆ แต่ก็ไม่เรียกคนนั้นว่ามีครู เพราะมันไม่เคารพคนที่สอนในฐานะที่เป็นครูอย่างแท้จริงเหมือนแต่กาลก่อน นี่เด็กนักเรียนเป็นอย่างนี้กันมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะว่าประเทศไทยเรา ในต่างประเทศก็เหมือนกัน ก็เห็นเป็นหน้าที่ ต่างคนต่างต้องทำเพราะความจำเป็น ไม่มีบุญคุณแก่กัน คือความสำคัญอย่างนี้ เมื่อไม่รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่รักไม่เคารพ ไม่ถือว่ามีบุญคุณที่จะต้องเคารพ จะต้องนับถือ จะต้องตอบแทน เป็นต้น ก็เลยมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งโลก นี่ก็คือสิ่งที่อาตมาเห็นว่ามันเป็นปัญหาหรือเป็นข้อสำคัญข้อเดียวข้อหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการเป็นครูหรือว่าการให้การศึกษา
อาตมาก็พอจะพูดได้ว่าได้สังเกตมาตั้งแต่จำความได้จนบัดนี้ ว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวงการครูกับศิษย์นี้เป็นอย่างไรบ้าง ก็มองเห็นชัดมาก สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ นี่ มีความเป็นศิษย์มีความเป็นครูแก่กันและกันมากเหลือเกิน เด็กๆ ยังรู้จักเอามาพูดกันในระหว่างเด็กๆ ว่าครูมีบุญคุณ ยิ่งครูคนไหนดีเป็นพิเศษก็ยิ่งเอามาพูดกันมาก ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่ทำอย่างนั้น เพราะว่าไม่เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญอะไรเสียมากกว่า ไม่มีเวลาพอที่จะคิดนึกอย่างนั้น พูดกันแต่เรื่องอย่างอื่น และปัญหามันมีอะไรเข้ามาแทรกแซงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้เรื่องการเดินตามฝรั่งนั้น คำว่าฝรั่งนี่อาตมาหมายถึง พวกที่วัตถุนิยมจัด ฝรั่งที่มันไม่เป็นอย่างนั้นก็มีเหมือนกัน แต่นี่เราใช้คำว่าฝรั่งก็หมายความถึง พวกที่มันก้าวหน้าทางวัตถุนิยมจัด บูชาวัตถุ คือบูชาไอ้รส เขาเรียกว่า อัสสาทะ รสอร่อยหรือเสน่ห์ที่จะได้จากวัตถุมาก อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้มีกิเลสมาก เห็นแก่ตัวมาก ก็เลยตัวใครตัวมันมากขึ้นระหว่างศิษย์กับครู เปรียบเทียบกันแล้วมันก็รู้สึกว่าใจหาย ความเป็นครูบาอาจารย์กันในระหว่างศิษย์กับครูยุคสักห้าหกสิบปีมาแล้วกับยุคเดี๋ยวนี้ คล้ายๆ กับว่ามันเปลี่ยนจนจำกันไม่ได้ แต่ความเป็นอย่างนี้ไม่ได้เป็นแต่ในหมู่ฆราวาส ศิษย์หรือครูฆราวาส ศิษย์หรือครูที่เป็นภิกษุสามเณรนี้ก็เป็นเหมือนกัน เป็นเป็นทำนองเดียวกัน นี่คือปัญหาของมนุษย์ ที่มนุษย์จะมีแต่ความรู้สำหรับจะเห็นแก่ตัว มันจะมีความรู้มากแต่สำหรับจะเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์ตัว อย่างที่เรียกว่าเพื่อตัวกูของกู เมื่อมันเต็มขีดเข้ามันก็เป็น ใช้คำว่าตัวกูของกูมากกว่าเห็นแก่ตัวเฉยๆ
เรื่องอื่นๆคงจะได้ยินได้ฟังได้ศึกษากันมากแล้วอาตมาไม่จำเป็นจะต้องพูด พูดเฉพาะความรู้สึกส่วนตัวที่เข้าใจว่าคนอื่นอาจจะไม่ค่อยสนใจคิดนึกกันนักก็ได้ ว่าเดี๋ยวนี้คงจะลำบากในข้อที่ว่าเด็กๆ เขาถูกทำให้เป็นวัตถุนิยมมาเสียตั้งแต่เล็ก ก็เห็นแก่ตัวจัดมาตั้งแต่เล็ก วัฒนธรรมมันเปลี่ยน วัฒนธรรมประจำบ้านเรือนนั่นแหล่ะมันเปลี่ยน เด็กๆ จะทำให้ถูกให้เห็นแก่ตัวมาตั้งแต่เล็กมากกว่าสมัยโบราณ เรื่องเฆี่ยนเรื่องตีเรื่องอะไรก็ไม่ค่อยจะมี โดยถือว่ามันป่าเถื่อน นี่ก็เป็นเรื่องตามก้นฝรั่งเหมือนกัน ถ้าครูจะตีเด็กหรือว่าพ่อแม่จะตีลูกมันก็เป็นเรื่องป่าเถื่อนซะแล้ว เด็กเขาก็เลยมีความคิดนึกหรือความรู้สึกที่เป็นหลักเกณฑ์ของเค้าเปลี่ยนไปมาก ถึงกับว่าเด็กสมัยก่อนนั้นทุกอย่างแล้วแต่พ่อแม่ หรือว่าชีวิตของเรานี้มันเป็นของที่ได้มาจากพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเราต้องแล้วแต่พ่อแม่ เรารักพ่อแม่ ความรู้สึกอย่างนี้เกิดมาในตัวเองโดยธรรมชาติตั้งแต่ที่เขาดูดนมแม่กิน ตั้งแต่ไม่รู้ประสีประสาจนโต จนสักปีสองปีนี้ แต่เด็กเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้กินนมแม่ เขาไม่รู้ว่านมแม่เป็นอย่างไรก็ได้ แล้วก็ไม่ค่อยได้อยู่ในสภาพอย่างนั้นเป็นปีๆ แม่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็เรียกว่าแม่ๆ กันนั้น บางทีก็ไปจ้างคนเลี้ยงมันก็ไปอยู่ที่ ไม่มีโอกาสที่จะพบกันตลอดเวลาเหมือนๆ สมัยโน้น ซึ่งว่าแม่นี้อยู่กับลูกตลอดเวลา พ่อไปทำงาน เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้าม แม่ก็ไปพ่อก็ไป ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณของความเป็นแม่นี่มันก็น้อย ไอ้ความเป็นพ่อก็น้อยไปตาม ความรักชนิดนั้นไม่ค่อยจะมีหรือจางออกๆ ก็เป็นเหตุให้ไม่รัก ไม่กตัญญู ไม่เคารพมากเท่าเหมือนเมื่อก่อน และยิ่งตีก็ไม่ได้ ก็เกิดความคิดว่าพ่อแม่มีหน้าที่ที่จะต้องหาอะไรมาให้ลูกตามที่ลูกจะต้องการนั่นแหละ จึงจะเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้องนี่ เด็กสมัยนี้คิดอย่างนั้น ถ้าสมัยก่อนมันตรงกันข้าม มันต้องแล้วแต่พ่อแม่จะให้หรือจะไม่ให้ มันเกิดความคิดที่กลับกันจนถึงกับว่าคนรุ่นหลังนี้จะเห็นว่าพ่อแม่จะต้องเคารพลูกจะต้องง้อลูก ไม่ใช่ลูกจะต้องเคารพหรือง้อพ่อแม่ ครั้งสุดท้ายที่ไปไกลกว่านั้นที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริง คือเขาจะถือกันว่าลูกมีบุญคุณแก่พ่อแม่ คือกลับกันเลย กลับกันอย่างที่เรียกว่าตรงกันข้าม ก่อนนี้พ่อแม่มีบุญคุณแก่ลูก เดี๋ยวนี้ลูกจะมีบุญคุณแก่พ่อแม่ โดยอ้างว่าลูกได้เรียนดี เป็นลูกชาวนาแท้ๆ แต่ไปเป็นใหญ่เป็นโต ไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนามา ทำชื่อเสียงให้พ่อแม่ ทำเงินให้พ่อแม่ จนกลายเป็นลูกนี่มีบุญคุณแก่พ่อแม่ เป็นเรื่องจริงที่เค้าเล่าให้ฟัง ไม่ต้องออกชื่อว่าที่ไหนหรือใคร แต่รู้ได้เองว่าทางกรุงเทพนั่นแหละ คือว่าไอ้พวกที่ไปเรียนเมืองนอกมา เป็นลูกผู้หญิงด้วย แล้วก็มาข่มเหงพ่อแม่ในลักษณะอย่างที่ว่านี้ แม่เค้าบ่นลับหลังว่าลูกนี่มันช่างไม่รู้บุญคุณของแม่เสียเลย ลูกเขาก็ตวาดเอาว่าแม่สิไม่รู้จักบุญคุณของฉันเสียเลย นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยมี และมันก็ได้มีขึ้นมาแล้วในวัฒนธรรมไทย ในหมู่คนไทย นั้นมันจะเป็นมากขึ้น นี่ขอให้พวกเราที่เป็นครูบาอาจารย์ลองคำนวณดูว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เดี๋ยวนี้คนเขานิยมกันแต่ว่ามีเงิน นั่นแหละดีที่สุด ส่วนความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนั้นไม่ค่อยนึกถึง ถึงพวกฝรั่งก็เหมือนกัน เมื่อก่อนมันพูดถึงความเป็นสุภาพบุรุษ สมัยเด็กๆ มันได้ยินมากเหลือเกินคำว่าสุภาพบุรุษหรือ gentleman คล้ายๆ ว่าอะไรมันสำเร็จอยู่ที่นั่น การศึกษาก็เพื่อความเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดถึงแล้ว คือก้าวหน้าทางวัตถุ นั่นมันคือจุดมุ่งหมาย สุภาพบุรุษหรือไม่สุภาพบุรุษก็ตามใจ ถ้ามันมีเงินมากมีชื่อเสียงมากมีอำนาจมากก็แล้วกัน นี่ความเป็นวัตถุนิยมมันพุ่งไปเร็วนี้ เรื่องทางจิตใจมันก็ถอยไป เป็นกันทั้งโลกพร้อมๆ กัน สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนานี่ค่อยๆ เลือนไป เพราะเมื่อไม่มาสนใจมันก็เลือนไป คนสนใจแต่เรื่องเงินเรื่องอำนาจวาสนาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ไอ้เรื่องที่ทางธรรม ทางศาสนามันก็ถูกเลือนไป ทำให้เลือนไป จนรู้สึกเหมือนกับว่าเหยียบย่ำ หรือว่าละทิ้งเสีย เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งเขาไม่ถือศาสนา ก่อนนี้เราว่าพวกคอมมิวนิสต์ไม่ถือศาสนา ไม่มีศาสนา เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์นั่นแหละก็ไม่มีศาสนา ไม่ถือศาสนา ถือแต่ปาก ทำพอพิธีเล็กๆ น้อยๆ ตบตาคนอื่นซะมากกว่า พากันคิดว่าพระเจ้าตายแล้ว ไม่มี คือไม่มีศาสนา ถ้าพระเจ้าตายแล้วศาสนามันก็ไม่มีความหมาย พวกฝรั่งที่มาที่นี่คุณลองถามดูเถอะ ลองถามเรื่องศาสนาก็จะรู้สึกเอือม รู้สึกเบื่อหน้าเราขึ้นมาทันที คือเขาไม่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือศาสนา จะเป็นยิวก็ตาม เป็นคริสเตียนก็ตาม เค้าไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติ การที่บอกว่าไม่มีไม่ได้ถือศาสนานั่นแหละมันรู้สึกเป็นเกียรติ นี่มันก็ลำบากเหมือนกัน แล้วเขาไม่ศึกษา เมื่อเขาไม่ศึกษา เขาก็ยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่รู้ก็ยิ่งเกลียด ถึงไทยเราก็ดูให้ดีเถอะ มันจะไม่เกลียด จะไม่เกลียดอย่างไรเมื่อมันไม่รู้ว่าศาสนาดียังไง ไอ้ส่วนเงิน ส่วนความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เกียรติยศชื่อเสียงเหล่านั้นมันเห็นอยู่ชัด มันตรงกับกิเลส ส่วนเรื่องศาสนานี้มันกลายเป็นขัดคอกิเลส แล้วคนก็เลยรักกิเลสมากกว่าที่จะมารักศาสนา
นี่ถ้าเราเป็นครูก็ประสบความลำบากที่เด็กๆ เค้าจะไม่ยินดีที่จะปฏิบัติโดยความเคารพเชื่อฟัง หรือหวังที่จะได้ความประพฤติที่ดีทางกาย วาจา ใจจากการศึกษา มันก็เป็นเรื่องหนักอกหนักใจแก่ครูบาอาจารย์ เขาต้องการแต่เพียงว่าให้มันสอบได้ๆๆๆ แล้วก็เลื่อนขึ้นไปจนได้สูงสุดในทางวิทยฐานะและก็ได้เงินเดือนมาก ก็ต้องการกันแต่เท่านั้น ไม่ต้องคิดว่ามีอื่นที่ดีกว่าหรือว่าเรายังจะต้องมีอะไรอื่นอีก นี่เรียกว่าเป็นสมัยนี้ เป็นเรื่องวัตถุนิยม เป็นเรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง เป็นของสูงสุด เป็นพระเจ้าขึ้นมา ส่วนการบังคับกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น ไม่มีใครสนใจแล้ว นี่ก็ลองคิดดูว่า เราที่เป็นครูอยู่เดี๋ยวนี้ไม่เคยเป็นอย่างลูกศิษย์สมัยนี้เสียเลยหรือว่าอย่างไร หรือว่าค่อยๆ เลือนมาแล้ว ค่อยๆ ก้ำกึ่งกันมาแล้ว นี่อาตมาไม่ใช่จะว่าติฉินหรือว่านินทาดูถูกประชดซึ่งหน้าอะไรไม่ใช่ แต่อยากจะพูดอย่างยิ่งเพราะว่า กลัวว่ามนุษย์เรานี้มันจะหมดความเป็นมนุษย์เสียเร็วเกินไป คือไม่มีจิตใจอย่างมนุษย์ตามความหมายของคำว่ามนุษย์นี่เสียเร็วเกินไป มนุษย์แปลว่าจิตใจสูง มีคุณธรรมสูง มีสติปัญญาในส่วนลึกหรือส่วนสูง ถ้าเพียงแต่รู้หนังสืออย่างในหลักสูตรของกระทรวงนี้ยังสูงไปไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวนี้เขายิ่งเอาไอ้เรื่องศาสนาเรื่องศีลธรรมออกไปเสีย ก็เหลือแต่วิชาความรู้ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะดำรงชีพหรือประกอบอาชีพ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็จะมุ่งไปเทคโนโลยีหมด แล้วแต่ว่ามันจะแขนงไหน มุ่งไปยังเทคโนโลยีแขนงนั้น นี่เรียกว่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง แต่ว่าเราจะไปว่าเขาอย่างนั้นก็ไม่ได้ มันยังเป็นกันทั้งโลกด้วย ความที่คนเราจะเห็นแก่ตัวจะมีมากขึ้น จะรุนแรงขึ้น และก็ไปในทางที่ว่าไม่รู้ตัว เห็นแก่ตัว โดยที่ตัวไม่รู้ตัวว่า ตัวเป็นคนเห็นแก่ตัวนี้จะมากขึ้น และการเบียดเบียนก็จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวอีกเหมือนกัน คือเบียดเบียนคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว เบียดเบียนตัวเองนี้ไม่รู้ตัวอยู่แล้ว คือทำตัวให้มีความทุกข์ให้โง่ให้หลงอันนี้ก็ไม่รู้ตัวอยู่แล้วว่านี่เป็นการเบียดเบียนตัว มันก็เลยไปกระทบคนอื่นเข้าก็ไม่รู้อันนั้นการเบียดเบียน หรือจะไม่ถือว่าเป็นการเบียดเบียน ถือว่าเป็นความถูกต้องยุติธรรม เป็นหน้าที่อะไรไป ต่างฝ่ายต่างถืออย่างนี้ แล้วก็เลยได้เบียดเบียนกัน
เรื่องนี้ก็ขอให้คิดดูจากไอ้ที่เราได้เห็นไอ้ข่าวในรายงานอะไรต่างๆ ที่คนเขาเบียดเบียนกัน ทำอันตรายกันนี้หนาขึ้นๆ รุนแรงขึ้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ที่พูดว่าการศึกษาเจริญขึ้น การศึกษาเจริญขึ้น ถ้าพูดถึงประชาชนธรรมดาก็เห็นว่ามันมีการฆ่าฟันกันมากขึ้น แล้วก็อยู่ด้วยความกลัวมากขึ้น ก่อนนี้คนนอนได้ไม่ว่าที่ไหน ชาวไร่ชาวนาชาวนี่ไม่ต้องนอนบนเรือนก็ได้ นอนใต้ถุนเล่นบนแคร่ยันสว่างไปเลยสบายก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ มีคนมาฆ่าตาย นี่ก็จะเอาวัวควายไปเสียด้วย แม้แต่พระ พระ พระเณรหรือก็จะนอนไม่ได้ ก็อีกเหมือนกัน นี่ความคิดที่เบียดเบียนกันโดยความเห็นแก่ตัวนี่มันมากถึงขนาดนี้ แล้วเด็กนักเรียนที่เป็นอันธพาลก็มีหนาขึ้น มากขึ้น เท่าที่อาตมาจำได้ไม่เคยมีที่เด็กนักเรียนจะพกปืนไปขู่ครูว่าให้ลงคะแนนให้ได้ ให้ลงคะแนนให้ตัวเขานั่นสอบไล่ได้ เพราะเขามันตก เดี๋ยวนี้ในกรุงเทพน่ะบางโรงเรียนมีตั้งหลายๆ ราย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกัน ไอ้เด็กนักเรียนนี่แทนที่จะเป็นสุภาพบุรุษนั่น เป็นอันธพาลถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ทราบก็โปรดทราบว่าอาตมาได้ยินมาอย่างที่เรียกว่าเชื่อได้ ไม่ใช่ว่าโคมลอย แล้วท่านก็เคย คงจะเคย ท่านทั้งหลายก็เคยจะทราบ จะเคยทราบ ถ้าไม่ทราบก็ต้องทราบต่อไปข้างหน้า ต่อไปนี้ครูอาจจะถูกนักเรียนในชั้นของตัวยิงตาย เพราะว่าไปสอนเขาหรือว่าไปดุเขาหรือว่าไม่ให้เขาสอบไล่ได้ อย่างนี้เป็นต้น นั่นแหละไว้พูดไปคำนวณดูเองว่าการศึกษาเจริญหรือว่าอะไรเจริญ ถูกแล้วความรู้นั่นจะเจริญอย่างว่า เขาเก่งเค้าสอบไล่ได้ เขารู้นั่นรู้นี่ แต่จิตใจมันป่าเถื่อน จิตทรามเป็นจิตป่าเถื่อน ไม่เคารพครูนั้นมันยังไม่เท่าไหร่ ต่อไปถึงขนาดยิงครูซะเองเลย นี่ก็เพราะการศึกษามันเป็นอย่างไร กล้าพูดว่าเจริญ
เดี๋ยวนี้ไอ้เรื่องกามารมณ์ก็แทรกเข้ามามาก ก็ไปตามก้นฝรั่ง ครูบางคนนุ่งผ้านิดเดียว ครูผู้หญิงนั่น แล้วก็สอนนักเรียนชายโตๆ นี่ มันก็ต้องไม่มีจิตใจที่จะสงบเรียบร้อยได้ในการศึกษาเล่าเรียน เป็นเหตุให้มีเรื่องกันอยู่เรื่อยไป นี่ไปตามก้นฝรั่งในการแต่งตัวก็ดี ในการมีระเบียบระหว่างครูกับศิษย์ก็ดี ทีนี้ก็ดูพวกฝรั่งสิ ฝรั่งเขาเก่งกว่าเรา เพราะเขาก้าวหน้ากว่าเรา เราไปตามก้นเขาเรื่องการศึกษาแล้วก็ดูเมืองฝรั่งสิมันเป็นอย่างไร ถ้าฝรั่งมีการศึกษา ฝรั่งก็ไม่มีปัญหามากเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ การฆ่าฟันการฉกชิงการประพฤติอนาจารทางเพศ ว่าทุกๆ ๗ วินาทีกระมัง ในประเทศพี่เบิ้มที่เจริญในการศึกษา มีการอาชญากรรมเกี่ยวกับเพศทุกๆ ๗ วินาที เฉลี่ยทั่วประเทศ เรื่องเล็กเรื่องน้อย เรื่องใหญ่ก็ตามมันเฉลี่ยกัน ทว่าที่น่าหัวที่สุดก็ว่าทำไมมันจะต้องมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าการศึกษานั้นมันดี คนมันดี แล้วทำไมคนมันจะบ้าไปบูชายาเสพติด จนเกิดเป็นปัญหาใหญ่ที่หนึ่งขึ้นมาสำหรับประเทศชาติ หรือว่าจะไปเป็นไอ้ฮิปปี้ อย่างนี้เป็นต้น พอเรียนจบแล้วทำไมจะต้องไปทำอย่างนั้น นี่จะเรียกว่าการศึกษาถูกหรือผิด
เมื่อต้นปีนี้ มีเรื่องลงในหนังสือพิมพ์ไทม์ ที่ไม่น่าเชื่อว่า ที่ประเทศอังกฤษนี้ นักเรียนหญิงชั้นเตรียมชั้นอุดมนี้ เขาเกิดสนุกขึ้นมาถึงขนาดว่ารังแกผู้หญิงแก่ๆ เล่น เรียกว่าโรเวอร์เบิร์ด (นาทีที่ 30.43)เขาเรียกตัวเองเขาว่าอย่างนั้น เห็นคนแก่ผู้หญิงคนแก่เดินมา พอเปลี่ยวพอจะทำได้ เค้าก็เข้าไปกระตุกกระชากแย่งกระจาดหรือว่าทำให้มันสนุก มีสตางค์กี่สตางค์เอาหมดอย่างนี้ แล้วก็เกรียวกราว สนุกกันใหญ่ พอตำรวจมาก็เปลี่ยนตัวเป็นนักเรียน เพราะมันเป็นนักเรียน มันก็เป็นอันธพาลได้ในพริบตาเดียวมันก็กลับมาเป็นนักเรียนได้ในพริบตาเดียว พวกนักสืบไอ้สก๊อตแลนยาร์ดนี่เขาสั่นหัว เขาว่าปราบยากกว่าเด็กชาย เพราะว่าไม่โขมงโฉงเฉงเหมือนเด็กชาย มันชั่วพริบตาเดียวนะมันก็เปลี่ยนเป็นนักเรียน แล้วมีเป็นสิบๆ แก๊งค์นี่ นี่ประเทศอังกฤษเป็นอย่างนี้ ก็ลองคิดดูว่าทำไมการศึกษาแท้ๆ และกำลังเรียนอยู่แท้ๆ แต่ทำไมจึงไปทำอย่างนั้นได้ กระทั่งมีงานทำแล้ว เรียนจบแล้วก็ยังมาผสมโรงกับเด็กๆ ที่กำลังทำอย่างนี้อยู่อีก เราคำนวณดูทีว่าไอ้การศึกษานั้นมันคืออะไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าเรื่องเบ็ดเตล็ดด้วยซ้ำ ไอ้เรื่องใหญ่ๆ ก็มีว่าพอเค้าศึกษาเป็นผู้ใหญ่เป็นอะไรกันแล้วก็เห็นแก่ตัว อย่างเป็นนายทุนก็เห็นแก่ตัว หรือว่าเห็นแก่ตัวจนถึงกับอยากจะเบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนประเทศอื่น นี่กำลังมีมากขึ้น ก่อนนี้ไม่มีมากอย่างนี้ การศึกษาเป็นไปเพื่อเห็นแก่ตัว ส่วนที่ว่าจะเป็นไปเพื่อสันติภาพ มันยิ่งมองไม่เห็น ไอ้ความสงบสุขหรือสันติภาพมันมองไม่เห็น เรียนจบแล้วไปทำอะไร ไปเป็นกรรมกรมันก็เป็นกรรมกรที่เลว ไปเป็นตำรวจก็ตำรวจที่เลว เป็นทหารก็ทหารที่เลว นี่หมายความว่าคอยแต่จะเอาประโยชน์ส่วนตัวทั้งนั้น จะเป็นข้าราชการก็เป็นข้าราชการที่เลว ที่ดีจะเหลือน้อยเข้าๆ ที่เลวมันจะมากขึ้นๆ แล้วโลกนี้จะเป็นโลกของอะไร พวกฝรั่งที่เป็นผู้เดินก่อนก็เป็นอย่างนี้ แล้วเราไปตามก้นเขา ให้เด็กๆ เรียน เรียนอะไร เรียนๆจนหัวเขาเรียนไม่ไหวนั่น ในนั้นไม่มีเรื่องศีลธรรม ไม่มีเรื่องที่จะทำให้จิตใจดี เค้ารู้เรื่องอะไรต่างๆ มาก ดูจากไอ้หลักสูตรที่ให้เรียน หรือแม้แต่หนังสือประกอบการเรียน เช่นหนังสือรายสัปดาห์ รายเดือนอะไรต่างๆ ที่ให้นักเรียนเรียนนั้นมันไปลิบไปหมดแล้ว แต่เรื่องศีลธรรมไอ้รักพ่อแม่นี่ไม่มี ให้รู้จักบุญคุณของพ่อแม่นี่ก็ไม่มี ถ้ามีเด็กมันก็ไม่อ่าน ที่จะแบบมาเขียนมาเรียนให้อ่านมันก็ไม่อ่าน ให้จดมันก็จดอย่างที่ว่าจดไอ้ของถูกบังคับให้จด ไม่มีการกล่อมเกลา ความเห็นแก่หมู่คณะก็ไม่มี ถ้ามีต้องเป็นเรื่องที่ยั่วกิเลส เช่นไปเชียร์เมื่อมีการแข่งขันอย่างนั้น ส่วนการทำงานเหน็ดเหนื่อยแก่โรงเรียนแค่นี้น้อยไปๆจนบางแห่งก็ไม่มี ถ้าเทียบกับอย่างสมัยอาตมาเป็นเด็กนักเรียนแล้วก็ผิดกันลิบเลย เราต้องช่วยเหลือโรงเรียนมากที่สุด ในสัปดาห์หนึ่งตั้งหลายๆ ครั้ง เรื่องเหน็ดเรื่องเหนื่อย แต่ก็ไม่เห็นจะเหน็ดเหนื่อย มันสนุกไปเสีย ไอ้เด็กๆ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยสนุกในเรื่องอย่างนี้ ถ้าหากไปใช้ให้ทำก็บังคับให้ทำงานหนัก ไปตามก้นฝรั่ง พระฝรั่ง ฝรั่งที่บวชเป็นพระมาที่นี่ เห็นพระถือไม้กวาดกวาดลานนี่ แหมนี่ทำไมให้ทำงานหนักอย่างนี้หล่ะ ให้ทำงานหนักอย่างป่าเถื่อนอย่างนี้ นี่ไปคิดอย่างนี้ นี่ฝรั่ง หรือว่าจะทำอะไรที่ว่าจะต้องทำเองบ้างนี่ก็เห็นเป็นให้พระนี่ทำงานหนักเหมือนกับนักโทษไปเลย นั่นล่ะฝรั่งเป็นอย่างงั้น มีมาตรฐานอย่างนั้น นี่เราไปตามก้นฝรั่ง ถ้าตามไป เราก็กวาดขยะไม่ได้ พระจะกวาดลานนี่ไม่ได้มันเป็นงานหนัก เป็นงานของคนใช้ของนักโทษของกรรมกร
ขอร้องให้คิดดูดีๆ ว่าการเป็นครูของโลกสมัยปัจจุบันนี้กลายเป็นอาชีพจำเป็นไม่ใช่เป็นปูชนียบุคคล เด็กๆ มันก็ไม่นับถืออย่างปูชนียบุคคล สมัยโน้นเด็กจะนับถือครูอย่างปูชนียบุคคล และครูก็ทำตัวเป็นปูชนียบุคคลพอๆ กัน สมัยนี้ก็ต่างคนต่างว่าตัวใครตัวมัน หน้าที่ของฉันฉันก็ทำเพื่อประโยชน์ที่มุ่งหมายไว้นี้ เด็กๆ มันก็คิดอย่างนั้น และครูบางคนก็จะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าเด็กๆ มันไปนอนคิด คิดว่าครูเป็นผู้จำเป็นที่จะต้องสอนเรา เพราะเอาเงินเดือน เพื่อเอาเงินเดือนนี่มันไปคิด ครูนี้ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณเสียแล้ว อย่างจะให้เขาสวดคำนมัสการครูบ้าง มันก็เป็นเรื่องน่าหัวแล้ว เป็นเรื่องนกแก้วนกขุนทอง หรือเรื่องไม่มีความหมาย เพราะทำแต่ปากไม่มีความหมาย ต้องทำเป็นประจำจนจิตใจมันเป็นไปจริงๆ แม้ปากไม่พูดแต่ในจิตใจมันเป็นก็ใช้ได้ ความเคารพครูเป็นปูชนียบุคคล
พออาตมาว่าครูเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ครูตัวโตๆ ใหญ่ๆ ละก็หัวเราะเอาไปล้อเล่นก็มี ว่าครูมีอาชีพก็ต้องเป็นอาชีพปูชนียบุคคลอย่างเดียวกับพระ หรือครูก็คือพระ พระก็คือครู ก็เอาไปหัวเราะเยาะเล่นกัน เพราะครูคนนั้นหรืออาจารย์คนนั้นมันเป็นไปซะมากแล้ว ไม่รู้ว่าความเป็นครูหรือความเป็นอาจารย์ของตัวเองนั้นมันคืออะไร ถ้าแยกให้ครูเป็นผู้สอนหนังสือสอนวิชาชีพเสียตะพืด การศึกษามันเป็นเพื่ออาชีพ หรือว่าอย่างที่พูดให้มันโก้กว่านั้นก็พูดให้มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยนี่ ถ้าเป็นประชาธิปไตยของคนเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไอ้โลกนี้ก็เป็นนรกล่ะ เมื่อทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอะไรตามสิทธิของตน เมื่อใจของเขาแต่ละคนมันเห็นแก่ตัว แล้วใช้ความเป็นประชาธิปไตยเพื่อเห็นแก่ตัว โลกนี้ก็เป็นนรก ก็พอจะมองเห็นได้มั่งเดี๋ยวนี้ ไอ้โลกนี้สังคมมันเป็นนรกมากขึ้นเพราะประชาธิปไตยแห่งแต่ละคนที่เห็นแก่ตัวนั่น
การศึกษานั้นจะต้องให้เป็นมนุษย์นะ ให้คนเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูง ประกอบด้วยธรรมะ ยิ่งมีธรรมะก็ยิ่งเห็นแก่ตัวน้อย คือยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ยิ่งไม่มีธรรมะ ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันพิสูจน์ได้ง่ายๆ คล้ายๆกับวัตถุ เพราะธรรมะนั้นมันคือความไม่ใช่ตัว มันเห็น เห็นๆ ธรรมะ เห็นความจริง เห็นความยุติธรรม นั่นก็เรียกว่าธรรมะ ถ้าไปเห็นอย่างนั้นอยู่มันก็ไม่เกิดกิเลสที่เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ธรรมะ มันจะตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นพูดว่าธรรมะๆ นี่ถือใจความได้เลยว่าความไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดความโลภ ความโกรธความหลง เป็นหัวเหง้าของกิเลสทั้งหลาย ๓ อย่างและก็แยกออกไปเป็นฝอยได้อีกมาก ไปคิดดูเถอะ ความโลภก็มาจากความเห็นแก่ตัว ความรัก ความกำหนัดอะไรก็ตามก็มาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการจะเห็นแก่ตัวมันก็เกิดความโกรธขึ้น ก็เห็นแก่ตัวอีกเหมือนกัน ส่วนความหลงนั้นมันหลงไปไหนไม่ถูก นอกจากจะหลงไปตามแบบวนเวียนอยู่ในความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ ความเห็นแก่ตัว
อาการของความโลภคือดึงเข้ามา เอาเข้ามาๆ อาการของความโกรธ ก็คือผลักออกไป ตีมันเสียให้ตายที่มันไม่ถูกใจเรา ส่วนความหลงหรือโมหะนั้นก็วนๆอยู่ไอ้รอบสิ่งที่ตัวมันสงสัยหรือกังวลหรืออาลัยอย่างนี้ เค้าจึงได้จัดเป็น ๓ อย่าง ต่างกันเลย ราคะหรือโลภะนี่ คือ กิริยาอาการของความเห็นแก่ตัวที่ดึงๆๆๆอะไรเข้ามาหาตัว เอามาเป็นของตัว ไอ้โทสะหรือโกรธะนั้น ผลักออกไปหรือทำลายให้ตาย ฆ่ามันเสียให้ตาย ส่วนโมหะนี้วนเวียนอยู่รอบๆ ด้วยความสงสัยด้วยความฉงนด้วยความโง่อะไรก็ตาม แม้มันจะต่างกันถึงอย่างนี้ ทั้ง ๓ ตัวนี้ก็คือความเห็นแก่ตัว รวมทีก็ว่า รวมๆ หมดก็ต้องเรียกว่า อวิชชาคือ ปราศจากความรู้ที่แท้จริงหรือถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร เด็กๆ ของเราไม่ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจึงไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว มันก็เลยเห็นแก่ตัว ตั้งแต่อ้อนแต่ออกมาก็ถูกปล่อยให้มีความเห็นแก่ตัวเจริญขึ้นๆ ถ้าเป็นวัฒนธรรมสมัยโบราณ วัฒนธรรมไทยเรานี่มีอะไรหลายอย่างไปสังเกตดู ที่จะทำให้เด็กรู้จักเห็นแก่ผู้อื่น รู้จักเคารพ รู้จักเสียสละ รู้จักบุญคุณพ่อแม่ จะต้องให้กราบเท้าพ่อแม่ทุกวันๆ หรือแม้แต่พี่น้องกัน ถ้าว่าล่วงละเมิดกันต้องขอโทษแล้วขอโทษอีก อย่างนี้เป็นต้น ให้ไหว้คนเฒ่าคนแก่ นี่เพื่อจะกดไว้หนักๆ ทำใจ คนเฒ่าคนแก่จะเป็นใครบ้าบอหรือคนดีก็ตามใจ ถ้าเป็นคนแก่ก็ต้องไหว้นี่ จะดูถูกคนแก่ไม่ได้ มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำลาย ค่อยๆ ป้องกันทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นลักษณะป้องกันก็มี ทำลายก็มี ความเห็นแก่ตัวมันจึงมีน้อย เพราะฉะนั้นเด็กสมัยก่อนมันจึงกลัวบาป และอยากที่จะได้บุญยิ่งกว่าเด็กสมัยนี้ แม้ว่ามันจะกลัวบาปอย่างโง่ อย่างงมงายก็ยังดีกว่าไม่กลัว ถ้าคนฉลาดแล้วเกิดไม่กลัวบาป อันนี้เป็นอันตรายที่สุด ฉะนั้นคนโง่ที่กลัวบาปปลอดภัยที่สุด
ส่วนบุญนั้น คนที่เรียนมากก็ยิ่งไม่เห็นว่าอะไรจะเป็นบุญได้นอกจากเงิน หรือว่านอกจากของที่ สิ่งที่มันจะให้วัตถุได้ คนก่อนๆ เขาไม่รู้จักบุญ ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่ยังเชื่อว่ามันดีกว่าเงิน หรือว่ามันสำคัญกว่าเงิน วิเศษกว่าเงิน เราก็ต้องการจะได้บุญ เพราะนั้นเค้าพูดไว้อย่างไร เด็กๆ สมัยนั้นไม่กล้าทำ ไม่ได้เข้าใจชัดเจน อยู่ลักษณะที่โง่หรืองมงายอยู่ แต่กลับปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร พอสมัยนี้ต่างคนต่างแข่งกันที่จะตะครุบเอาวัตถุที่จะเป็นปัจจัยของความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางตา ทางหู ตาจมูก ทางลิ้น ทางกายนี่ แล้วเมื่อมันสำเร็จอยู่ที่เงิน ก็ต้องการเงิน เงินนี่ต้องได้มาจากการที่เราเรียนได้มากกว่าใคร แล้วก็มีโอกาสก่อนคนอื่นนี่ ก็มุ่งหมายเรียนกันแต่เพียงเท่านี้ ไม่ไปด้วยความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง หรือศีลธรรม หรือศาสนาอะไรเลย เรียกว่ายังเหลือแต่ด้านเดียว คือด้านวัตถุ ด้านร่างกายที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส ด้านจิตใจที่จะอยู่เหนือกิเลสนั้นไม่มี
ทีนี้อาตมาก็อยากจะพูดถึงคำว่าครูสักที พูดบ่อยๆ จนคนอื่นรำคาญ คำว่าครู ถ้าเอาตามภาษาอินเดีย เพราะคำว่าครูนี่เป็นภาษาอินเดีย ภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤตนี่ก็แปลว่าผู้นำทางวิญญาณ ใช้คำว่าผู้นำทางวิญญาณ คือเป็นไกด์ที่ในทาง spiritual ผู้นำทางวิญญาณ เขาไม่ได้แปลว่าผู้สอนหนังสืออย่างครูเดี๋ยวนี้ ไอ้ครูสอนหนังสือเดี๋ยวนี้ไม่มีคำอย่างอื่นเรียก ในเมืองไทยมันฟลุ๊กยังไงกลายเป็นกลับๆ กันอยู่ เอาครูมาเป็นผู้สอนหนังสือ วิชาความรู้โดยไม่ต้องเกี่ยวกับเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ คำว่าครูนี้ถ้าเอาตามความหมายเดิมต้องเป็นผู้นำทางวิญญาณ และก็เป็นคนโต นำคนโตมากกว่าที่จะสอนเด็กๆ แต่ต่อมาโดยเฉพาะในประเทศไทยเรานี้คำว่าครูนี้กลายเป็นสอนหนังสือตั้งแต่ ก.ข.ก.กาไปเลย อาตมานั้นอยากจะให้ผู้ที่เป็นครูหรือจะเรียกตัวเองว่าครูนี้นึกถึงข้อนั้น ถ้าเราสอนเด็ก ก็ให้มันเด็กมันมีวิญญาณสูง มีจิตใจสูง ให้สอนเด็กชั้นอนุบาล สอนหนังสือนั้นก็สอน แต่ต้องมีส่วนหนึ่งซึ่งทำให้เด็กมีจิตใจดี นี่เหมือนกับที่พูดทีแรกว่ามีแต่ความรู้นั้นมันเชือดคอตัวเองก็ได้ ต้องมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่ความรู้นั้นคือความที่มีจิตใจดี จิตใจสูง ซึ่งอาจจะมีได้โดยไม่ต้องมีความรู้ที่สอบไล่เป็นชั้นๆได้ แต่มันมีความรู้สึกผิดชอบสูง มีจิตใจสูง นั่นแหละ คือวิญญาณที่มันสูง ครูต้องนำวิญญาณให้สูงอย่างนั้น แต่บางคนอาจจะแย้งว่าการที่ให้เขารู้หนังสือนี่ก็คือทำให้เขาสูงขึ้นเหมือนกัน คือหายโง่ขึ้นมา นี้ก็ถูก การรู้หนังสือก็ต้องถือว่าวิญญาณสูงขึ้นมาได้นิดหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ความหมายที่มุ่งหมาย ก็หมายถึงจิตใจดี หนังสือก็ให้เรียน แม้เรียนหนังสือรู้ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจิตใจมันดีหรือมันสูง ต้องทำให้เขาสูง
นับตั้งแต่อันแรกที่สุดนี่ ดูเหมือนจะเป็นรู้จักละอาย ที่เรียกว่าหิริหรือโอตัปปะนั้น ถ้าเด็กคนไหนเขามีความละอายในเมื่อทำผิดถูกจับได้ เขาก็ละอายหรือกระทั่งจนถึงว่าไม่มีใครจับได้เขาก็ละอาย ก็เรียกว่ามีจิตใจสูง นั่นมันเป็นต้นเหตุ เป็นรกรากอันสำคัญที่คนเราจะดีได้ ก็คือความละอายกับความกลัว อย่างความซื่อสัตย์ กตัญญูนี้มันมาทีหลังอีก ไอ้คนมันจะต้องรู้จักอาย ละอายว่าผิด หรือจะกลัวความผิด หรือกลัวความทุกข์ แล้วมันจะค่อยมีธรรมะอย่างอื่นเข้ามาจนครบ ถ้าเราทำให้เด็กเขาเกิดหิริโอตัปปะไม่ได้ละก็ มันยากที่จะทำอะไรต่อไปข้างหน้า อย่างมันดื้อด้านอย่างนี้ หรือไม่รู้จักว่าผิดหรือถูก ตีมันก็ไม่กลัว เด็กอย่างนี้ และมันก็มุ่งแต่จะต่อต้านครู ไม่เชื่อฟัง หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอม ใช้คำว่าไม่ยอม คือมันไม่ละอายแต่ว่าไม่กลัว โบราณเขาจึงใช้หลักว่ามันต้องทำให้มันกลัวก่อน ให้มันอายก่อน เมื่อมันได้อย่างนั้นแล้วมันก็รักครู เขาจึงมีการลงอาชญา ในเมื่อมันควรจะลงอาชญา แล้วเรื่องเด็กๆ นี่จะทำเหมือนกันไม่ได้ ถ้าออกระเบียบเหมือนออกระเบียบมาอย่างเดียวใช้แก่ทุกคนแล้วอาตมาจะถือว่าโง่ที่สุด จะเป็นของโรงเรียนหรือจะเป็นของคณะไหนก็ตาม เช่นเดียวกับกฎหมายของพวกฝรั่ง เมื่อมันออกมาอย่างไรแล้วมันจะใช้กับคนทุกชนิดนี่มันโง่ที่สุด แล้วเราก็ไปตามก้นมัน มันก็ควรจะมีสำหรับคนที่มันเลวมันโง่มันอันธพาลมากไว้ชุดหนึ่ง และคนที่เป็นสุภาพบุรุษแล้วมันก็ต้องควรมีอีกชุดหนึ่ง ความผ่อนผัน หรือความอะลุ้มอล่วยหรือว่าความยกให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยนี้มันโง่มากที่จะใช้เสมอกันไปหมด เรามีอะไรที่ผิดพลาดอย่างนี้มากในโลกนี้ โลกนี้มันจึงไม่ดีขึ้นมาได้ ดังนั้นครูก็เหมือนกันจะทำกับเด็กทุกคนเหมือนกันไปหมดนี้มันคงบ้าบอที่สุด เพราะครูก็ทราบอยู่แล้วนี่ว่ามันเป็นอย่างไร ไอ้เด็กคนนี้มันมีนิสัยสันดานอย่างนี้ ไอ้เด็กคนนี้มันยังมาทางนี้ครึ่งหนึ่ง อีกคนหนึ่งมันดีมาก จะทำกับเขาเหมือนกันอย่างนี้มันก็ไม่ได้ ระเบียบ ถ้าว่าตีสิบทีอย่างนี้ มันจะได้กับบางคน ซึ่งบางคนมันไม่ควรจะตีสิบทีอย่างนี้ ควรตีเพียงสามที เป็นต้น มันเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ถูกฝาถูกตัว แต่ถ้าใช้เรียกว่ากระต่ายขาเดียวไปหมดนี่มันก็น่าหัว เขาจะว่าเดี๋ยวนี้มันก็จะไม่ต้องพูดกันซะแล้วที่จะลงโทษเด็กๆ นี้ เค้าจะไปตามก้นฝรั่งกัน จะไม่ลงโทษเด็กได้เลยแม้แต่ตีมือสักทีหนึ่ง แล้วมันให้ผลเป็นอย่างไร ก็ดูสิ แล้วไม่เท่าไหร่มันต้องกลับมาเห็นว่าควรจะตีกันอีกแหละนี่ เหมือนกับความโง่ของพวกฝรั่งที่ว่ายกเลิกโทษประหารชีวิตไปเสียทีเถอะมันป่าเถื่อนนัก ไม่เท่าไหร่มันก็กลับมามีการลงโทษแบบประหารชีวิตกันอีก มันฉลาดหรือมันดีจนโง่ไป ระวังข้อนี้
53.21 มันจะต้องมีความเมตตาแท้จริงเป็นหลัก ถ้าทำไปโดยเมตตาที่แท้จริงน่ะมันก็ได้ แม้จะตีเขาก็ตีด้วยความเมตตา ไม่ใช่ว่าเมตตาแล้วจะตีไม่ได้ ให้เมตตาที่มันมีเหตุผล มันก็จะทำถูกเองว่าจะตีใครมากตีใครน้อย เพราะฉะนั้นให้ครูเผด็จการดีกว่า ถ้าครูเป็นครูที่แท้จริง เว้นไว้แต่ครูมันไม่เป็นครู ครูมันเป็นผู้ที่เข้าใจผิดมาตั้งแต่ทีแรก ที่เป็นเครื่องจักรสอนหนังสือ เป็นลูกจ้างสอนหนังสืออย่างนี้คงจะมีปัญหา แต่เดี๋ยวนี้ก็ดูว่าเราก็มีการอบรมครู สอบครู วิชาครูอะไร ให้มันเตรียมคนสำหรับจะเป็นครูมันเพียงพอแล้ว มันควรจะถือได้ว่าครูนี้พอที่จะรู้ว่าควรจะเผด็จการกับเด็กนั้นอย่างไร มันก็มาขัดกันอีก ก็เดี๋ยวนี้เขาเอาประชาธิปไตย เขาไม่เอาเผด็จการ ก็สมน้ำหน้ามนุษย์ที่มันไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่ มันก็มีความก้าวก่ายวนเวียนซัดเซไปมาอยู่อย่างนี้ ไม่ดีขึ้นมาได้ นักเรียนฝรั่งลูกศิษย์ของครูฝรั่งเป็นลิงเป็นค่างไปแล้ว นักเรียนไทยลูกศิษย์ไทยก็จะกำลังจะเป็นลิงเป็นค่างตามไอ้นักเรียนฝรั่งไปนี่ นี่ขอย้ำไว้เสมอว่า ที่ดีมันก็มีนะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นอย่างนั้นทั้งหมด แต่มันกำลังจะเป็นอย่างนั้นมากขึ้น ความกระด้างกระเดื่องต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์นี้กำลังมีมากขึ้นๆ ในโลกนี้ ก็เพราะมันโง่พร้อมๆ กันในการที่จะไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ไปบูชาไอ้เรื่องวัตถุอะไรเสียหมด ทั้งครูทั้งศิษย์
แล้วนี่อาตมาก็พูดมาไม่น้อยแล้ว จะขอบอกว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่สอนและไม่ได้พูดให้เชื่อ ไม่ใช่พูดให้รับเอาไปปฏิบัติได้ในทันที เพียงแต่พูดเพื่อว่าจะเป็นการให้ความคิดเห็น ให้ความสังเกต ให้วิชาความรู้ก็ได้ ส่วนที่จะเอาไปประกอบกับความรู้ของตัวที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตัว เพราะว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตามลำพัง เกี่ยวกับกฎกระทรวง เกี่ยวกับกฎหมายอะไรมันมีอยู่ แต่ก็อยากจะขอร้องว่าดูเถอะไอ้โลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ สถาบันของครูนี้มีความเป็นครูน้อยลงๆ ทั้งโลกน่ะ ทั้งโลก สถาบันของศิษย์ก็เป็นอันธพาลมากขึ้นๆ ทั้งโลก เพราะด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์มันเผลอไปตามอำนาจของวัตถุนิยม โลกนี้เป็นยุควัตถุนิยม คอมมิวนิสต์ก็วัตถุนิยม นายทุนก็วัตถุนิยม แม้ที่ไม่เรียกตัวเองว่าอย่างนั้นก็ยังวัตถุนิยม ทำงานหาเงินไว้หาความสุข สนุกสนานเกี่ยวกับเรื่องร่างกายทั้งนั้น ไม่เพื่อพระเจ้า ไม่เพื่อศาสนา ไม่เพื่อผู้อื่น ต่อไปนี้กระทั่งบิดา มารดา ปู่ ตาของตัวก็จะเป็นผู้อื่นไป วัฒนธรรมของไทยเรายังดี พ่อแม่ยังเป็นของเรา ปู่ตายังเป็นของเรา แต่พวกของฝรั่งมันก็ชักจะเลือนๆไปแล้ว เขาไม่ถือว่าไอ้ลูกหลานนั้นมีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นบิดา มารดา ปู่ย่าตายาย มันไปกันรูปนี้ ความเห็นแก่ผู้อื่นจะน้อยลง ความเห็นแก่ตัวจะมากขึ้น เพราะอะไร ก็เพราะเห็นแก่เนื้อหนัง มันจะทำให้ลืมหรือว่ามืด กิเลสนั้นมันมีอาการมืด ไม่เห็นอะไรตามที่เป็นจริง ทีนี้พอไปหลงในไอ้ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยของเนื้อหนังนี้ นั้นแหละคือตัวกิเลสก็จะมากขึ้นๆ นี้คนทั้งโลกก็พากันนิยมไปอย่างนั้น และก็ศีลธรรมมันก็เปลี่ยนไปเอง เพราะสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนั้นมันอยู่ที่คนทั้งหลายชอบแล้วก็ประพฤติพร้อมๆ กันนี่ไม่มีใครบังคับได้ เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งว่าไอ้ที่เราเคยเห็นว่ามันผิดศีลธรรมนั่นแหละมาเป็นศีลธรรมซะแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดี๋ยวนี้เกี่ยวกับกามารมณ์ ที่ไปตามก้นพวกฝรั่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าน้อย ซึ่งเป็นการแสดงว่ามีจิตใจทราม อาตมาพูดตรงๆ เลยว่าไอ้คนที่แต่งตัวยั่วยวนนั้น ยั่วยวนจนเกิน ยั่วยวนจนสุดเหวี่ยงที่ยั่วยวนได้นั้นน่ะมันเป็นโสเภณีทางวิญญาณ ไอ้เนื้อหนังร่างกายของมันไม่ทราบไม่พูด แต่ว่าจิตใจของมันน่ะเป็นโสเภณีทางวิญญาณ คือมีความมุ่งหมายจะใช้สิ่งยั่วของตัวนี้กอบโกยประโยชน์จากผู้อื่นหรือข้างนอกมาเป็นของตัวนั้นซึ่งเป็นความหมายของคำว่าโสเภณี เดี๋ยวนี้เราเอาที่แน่นอนก่อนว่าทางจิตใจเขาเป็นอย่างนั้นแล้ว เห็นว่าเขาจะไปนุ่งให้มันน้อยทำไม ไม่ใช่มันสบาย หรือไม่ใช่มันสะดวกหรือมันสบายอะไร โดยหวังว่าจะยั่วโดยวิถีทางใดทางหนึ่งให้ประโยชน์เกิดขึ้นแก่ตัวเพราะความยั่วของตัว เพราะฉะนั้นคนใดนุ่งห่มแต่งตัวอย่างนี้ก็เรียกได้เลยว่าเป็นโสเภณีทางวิญญาณ จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ตามใจ มันก็มีทางที่จะทำให้โลกนี้ฉิบหายเร็วเข้า ก็ต่างฝ่ายเพศหญิงยั่วอย่างนี้ ไอ้ฝ่ายเพศชายไอ้คนหนุ่มทั้งหลายมันก็มีจิตใจผิดปรกติ มันก็เตรียมพร้อมที่ว่าจะตะครุบเหยื่ออันนี้ ไม่โอกาสใดก็โอกาสหนึ่งนี้ ความเบียดเบียนมันจึงเกิดขึ้น ความไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีมันก็เกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น ดังนั้นการกระทำอย่างนี้คือการทำลายไอ้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเพศตรงกันข้าม หรือเพศชาย หรือเพศหนุ่ม มันก็เลยมีเรื่องทุกๆ วัน มากขึ้นทุกวัน การฆ่ากันที่มีมูลเหตุมาจากการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ยั่วเกินไปนี่จะมีมากขึ้นทุกวัน ในเมื่อทุกคนว่าถูกซะแล้ว ดีเสียแล้ว คนนั้นผู้มีเกียรติเขาก็ทำนี้มันก็เลยไม่ถือว่าอนาจารนี่
ทีนี้ก็ลามปามเข้ามาถึงในวัดหรือการกุศล หนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่วันนี่มีคนที่ว่าขาสวยนะ เขามายืนยกขาขึ้นไว้บนเก้าอี้ขาหนึ่งเหยียบข้างล่างขาหนึ่ง ถือไมโครโฟนโฆษณาขายไอ้ลูกบอลการกุศลกาชาดอย่างนี้ เขาก็มาลงกันได้ในหน้าหนังสือพิมพ์โดยไม่รู้สึกว่านี่ผิดแปลกอะไร หรือว่าน่าคิด หรือว่าน่ารังเกียจอะไร แล้วพวกไอ้ มีพวกหนุ่มๆ มองตาเขม็งอยู่ข้างล่างตรงหน้านี่ ถ้าอย่างนี้สมัยปู่ย่าตายายแล้วก็แช่งกันวินาศเลย ทั้งสองฝ่ายจะถูกแช่งไม่มีชิ้นดี เดี๋ยวนี้มันทำได้ นอกจากว่าไอ้ปกปิดกายก็ไม่เรียบร้อยแล้วยังท่าทางก็ไม่เรียบร้อย ก็เป็นของที่ไม่ผิดเสียแล้ว แล้วก็ลามเข้ามาถึงว่าอ้างการกุศลแล้ว นี่มันพลอยป้ายให้การกุศลมันเสียไปด้วย ทีนี้มันก็หมดเท่านั้นแหละ เพราะเพื่อการกุศลหรือในวัดในวาก็ทำได้แล้วมันก็หมด ไม่มีอะไรที่จะเหลือไว้สำหรับสำรวมระวังมัธยัสถ์ จิตใจคนก็ไปถึงสุดเหวี่ยงในทางอย่างนั้น อีกไม่กี่ปีผลก็จะเกิดขึ้นร้ายกว่าที่กำลังเป็นอยู่ปีนี้ นี่มันมีแต่ยิ่ง ยิ่งจะทำให้จิตใจนี้หมดความเป็นมนุษย์มากขึ้นๆ และการศึกษาของพวกท่านทั้งหลาย พวกครูนี่จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้อย่างไร ที่จะไม่ให้โลกมันเป็นอันธพาลหรือลุกเป็นไฟนี่ ก็ต้องยอมแพ้ ก็ตามเรื่องมันอย่างนี้ นี่ปัญหาก็คิดดู
ถ้าอย่างไรก็ขอสักทีว่าอย่าเป็นผู้สนับสนุนในเรื่องเหล่านี้เลย พยายามเป็นผู้ต้านทาน เหนี่ยวรั้งมาไว้ อย่าสนับสนุนกิจการประเภทโสเภณีทางวิญญาณหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ออกไปขวางให้เขาด่าแล้ว ถ้าเราจะต่อต้านหรือว่าเหนี่ยวรั้งไว้เท่าไรเราก็ทำไปเพื่อเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่ความดี ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม นี่เป็นหน้าที่ของครู แล้วก็เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้ไอ้โลกนี้มันเดินถูกทางในทางวิญญาณก็แล้วกัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นว่าครูนี่ไปสมัครเข้าฝ่ายพญามาร ฝ่ายมาร ฝ่ายซาตาน ฝ่ายภูตผีปีศาจทำลายโลก แต่ถ้าเราต่อต้านไว้ เราก็อยู่เป็นฝ่ายเป็นครูของพระเจ้า ของพระธรรม ของพระศาสนา ที่ถูกแล้วครูผู้นำทางวิญญาณควรจะเป็นอย่างนี้ จะได้ชื่อว่าเป็นครูตามความหมายเดิม ผู้นำทางวิญญาณอยู่เสมอ ให้วิญญาณมันสูง สูงในที่นี้คือสะอาด คือสว่าง คือสงบ ตัวสูง ส.สูงนี่ให้ออกเป็นส.สะอาด ส.สว่าง ส.สงบ จำง่ายดี ขอให้ครูเพ่งเล็งนึกถึงไอ้สะอาดสว่างสงบนี้ไว้เรื่อยๆ ตามที่จะทำได้ ตามมากตามน้อย
อันนี้เวลาที่พูดนี่ก็สมควรแก่เวลา ก็รวมความว่าอาตมาพูดนี้อย่างต้อนรับท่านทั้งหลายในฐานะเป็นผู้ที่ต้องต้อนรับแล้วก็ต้อนรับนี่จะไม่มีปัญญา ไม่มีทุนรอนจะต้อนรับด้วยวัตถุสิ่งของ ก็ต้องต้อนรับด้วยธรรมะซึ่งถือว่าเป็นการต้อนรับอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ธรรมะในที่นี้ก็หมายถึงไอ้ความรู้ความเข้าใจอะไรที่มันจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ก็เรียกว่าธรรมะ เดี๋ยวนี้เห็นว่าเนี่ยคือสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์เราเป็นมนุษย์อยู่ได้ หรือว่าให้โลกนี้มันรอดอยู่ได้ไม่ลุกเป็นไฟก็คืออย่างนี้ นี่คือธรรมะ จึงขอต้อนรับด้วยธรรมะ เรียกว่าธรรมะปฏิสันถาร คือปฏิสันถารด้วยธรรมะ ส่วนอามิสสปฏิสันถารให้ข้าวให้น้ำนั่นไม่มีจะให้ คือให้บ้างก็ได้เท่าที่จะมี แต่โดยเนื้อแท้เราไม่มีจะให้ ครูทั้งหลายต้องไปหาอาหารรับประทานเอง ส่วนอาหารทางจิตใจหรือธรรมะนี่ อาตมาพอจะมีบ้าง เพราะว่าขวนขวายอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เรียกว่าให้ธรรมะคืออาหารทางจิตใจในฝ่ายหลักวิชาความรู้ แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ลองชิมธรรมะ คือความสงบสงัดของธรรมชาติที่จัดไว้อย่างนี้ ธรรมชาติที่จัดไว้อย่างนี้มันจะดึงไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ร้อนออกไปเสีย ความเห็นแก่ตัวออกไปเสีย ลืมไอ้ความเห็นแก่ตัวเสีย เดี๋ยวนี้เรากำลังสบาย นั่งอยู่ตรงนี้เรากำลังรู้สึกสบาย เพราะธรรมชาติช่วยขจัดไอ้ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูนั้นไม่ให้เกิด เราจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกจิตใจเยือกเย็น สบายดี ลืมความทุกข์ จะคิดถึงความทุกข์มันก็ไม่ทุกข์
ทีนี้ขอแถมเป็นพิเศษว่าให้ท่านนั่งกลางทราย บางคนไม่ชอบก็เอาไปด่าว่าไม่ต้อนรับ ไม่ให้เสื่อนั่ง นี่เรามีความประสงค์ว่าถ้าเป็นครูแล้วควรจะนั่งกลางทราย ไม่อย่างนั้นจะโง่ ไม่รู้ว่านั่งกลางทรายนั้นคืออะไร หรือมีรสชาติอย่างไร แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นน่ะขอให้นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านนิพพานกลางดิน ท่านเกิดกลางดิน ท่านตายกลางดิน ท่านเป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน ชีวิตส่วนมากของท่านก็อยู่กลางดินเพราะว่ากุฏิของท่านมันก็พื้นดิน ถ้าเวลานี้นั่งที่ทรายอย่างนี้ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าว่านี่เราบูชาพระพุทธเจ้าในฐานะที่ท่านเกิดกลางดิน ตายกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน ไม่ใช่ว่าจะต้องนั่งบนทรายนี้ตลอดไป แต่วันนี้ก็ได้นั่งบนทรายแล้ว ให้ความเสียสละนี้บูชาคุณของพระพุทธเจ้า มันจะเป็นการกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดไอ้ความเห็นแก่วัตถุหรือแก่เนื้อหนัง แก่ความสบายทางเนื้อหนัง อันนี้สำคัญมาก นี้ก็เป็นการต้อนรับของอาตมาด้วยเหมือนกันในการที่ให้ท่านทั้งหลายนั่งกลางดิน ให้ได้ชิมรสของธรรมชาติอย่างนี้ กระทั่งถึงให้ยินได้ฟังคำพูดชนิดนี้ ถูกหรือผิดนี่ มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์นั้นไปพิจารณาเอาเอง นี่ถ้ามีเวลาเหลือจะทำอะไรต่อไปอีกก็ขอให้เป็นไปในทางที่ให้วิญญาณมันสูงขึ้นนะ เที่ยวให้ทั่ววัดพรุ่งนี้ก็ได้ หรือว่าในตึกนี้จะไปดูภาพดูอะไรก็ได้ มีเวลาดูหนังก็ได้ ซึ่งมุ่งหมายที่จะส่งเสริมไอ้ความสูงทางวิญญาณทั้งนั้น จึงได้เรียกว่าโมกขพลาราม อาราม แปลว่า ป่าที่จัดขึ้นให้รื่นรมย์ พละแปลว่ากำลัง โมกขะ แปลว่าหลุดพ้นจากความทุกข์ ทุกอย่างถ้ามุ่งหมายจะให้มันช่วยเหลือความหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็ขอให้เลือกเก็บเอาไปดีๆเถอะ คงจะมีมาก ได้ประโยชน์มาก ก็ขอให้สำเร็จความมุ่งหมายในการมาที่นี่ คือว่าให้ได้อะไรบ้าง อย่าให้ไม่ได้อะไรเลย ให้ได้อะไรบ้างมากหรือน้อยก็ตามเพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ คือ ความเป็นครูชนิดที่เป็นปูชนียบุคคล มีความหมายอย่างเดียวกันกับพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำทางวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
ขอให้ความหวังนี้จงมีความสำเร็จด้วยความเสียสละของเราเพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงยิ่งขึ้นไปทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติไว้เพียงเท่านี้.