แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไอ้ความประสงค์ที่ให้มารับการอบรมอะไรที่นี่บ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่อาตมาเห็นด้วย มันจึงมีความยินดีจะช่วยเหลือร่วมมือ ผลที่จะได้แปลกจากที่อื่นมันก็คือความแปลกของสถานที่นี้ เราจะต้องรู้อะไรหลายๆแง่หลายๆมุม จากความเป็นเด็กเป็น มาเป็นนักเรียน จากความเป็นนักเรียนมาเป็นนักศึกษา เป็นนักศึกษาแล้วก็จะเป็นครูบาอาจารย์ ความสำคัญมันอยู่ตรงที่จะต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี เพราะฉะนั้นก็พยายามให้ดีที่สุดที่จะเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี คือต้องรอบรู้และต้องสังเกตไอ้สิ่งที่คนเขามักจะมองข้าม หรือว่าเขาไปหลงแต่ในด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้มองกันให้ทั่วไป ไม่มีอะไรที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน ทุกอย่างมันต้องเกี่ยวข้องกัน แม้ว่าเราจะเป็นครูมันก็เกี่ยวข้องกับไอ้เรื่องอื่นอีกทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า เป็นทหาร มันก็มีอะไรที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆอีกทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าเรื่องในหน้าที่ของเรานั้นมันมากเป็นพิเศษ แต่ว่าเราก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นทุกเรื่อง ทีนี้การที่จะเป็นครูนี้มันก็ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ซึ่งต่างๆๆกันแทบจะทุกอย่างทุกแบบ ต้องเกี่ยวข้องกับนักเรียนนี่มันก็อย่างหนึ่งแล้ว นักเรียนมันก็หลายแบบ ผู้ปกครองนักเรียนมันก็หลายแบบ ฉะนั้นรู้อะไรไว้ให้กว้างๆนั่นแหละดี มันจะเอาชนะได้ไม่เกิดเรื่อง สำหรับการมาที่นี่ก็จะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลของธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้สนใจสิ่งนี้ที่เรียกว่าอิทธิพลของธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่จะไม่อยู่ใต้อิทธิพลของธรรมชาติ ไอ้โลกทั้งโลกอยู่ใต้อิทธิพลของธรรมชาติ คนก็กำลังเป็นไปตามอิทธิพลของธรรมชาติ แต่แล้วมันเป็นไปผิดแล้วมันต่อสู้ต่อต้านกันผิดๆมันก็เกิดเรื่องที่เดือดร้อน ฉะนั้นต้องรู้เรื่องไอ้ที่มันสำคัญที่สุดคือตัวธรรมชาติตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำตามกฎของธรรมชาติ แล้วมัน ผลที่จะเกิดขึ้นจากหน้าที่ที่ปฏิบัติแล้วตามกฎของธรรมชาตินั่นดูให้ดีๆ จึงจะเป็นไอ้คนที่เอาตัวรอดไปได้ ไม่ใช่ว่ารู้หนังสือแล้วสอนหนังสือ แล้วก็มีอาชีพเพราะการสอนหนังสือ แล้วก็จะเอาตัวรอดไปได้ อย่างนี้เป็นความคิดที่ตื้นที่สั้นอย่างเด็กๆ ไอ้เรื่องอาชีพนั้นมันเรื่องหนึ่งเท่านั้น มันมีอีกหลายเรื่องถ้าทำผิดแล้วก็จะเดือดร้อน นี้เรารู้หนังสือเราสอนหนังสือได้ก็ประกอบอาชีพได้นี้เท่านั้นเอง แต่เรื่องการสังคมเรื่องอะไรต่างๆที่จะให้มันเราทำหน้าที่ของเราได้ดีมันยังมีอีกมาก เราจะไม่มีโอกาสทำหน้าที่หรือว่าทำหน้าที่ได้ไม่ดี หรือว่ามันเต็มไปด้วยอุปสรรคทั้งหลายเพราะเราไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ฉะนั้นจงพยายามศึกษากันในทุกแง่ทุกมุม จากที่อื่นเขาศึกษาแง่อื่นมุมอื่น สำหรับที่นี่ก็อยากจะขอร้องให้ศึกษามากเป็นพิเศษในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ฉะนั้นจะมีการบรรยายเรื่องพุทธศาสนานั่นแหละมันยิ่งเป็นตัวธรรมชาติ บรรยายเรื่องไอ้ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ แต่ว่าการบรรยายด้วยปากนี้ก็ยังไม่ดี เท่ากับที่ว่าเรามันรู้ จับรู้สึกหรือสัมผัสสิ่งนั้นๆเองด้วยตัวเรา นี่ฟังให้ดีว่ามาที่นี่ก็มุ่งหมายจะมาฟังคำบรรยาย นั่นมันส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ ไอ้ส่วนที่ดีกว่านั้นมันมีอยู่ ส่วนที่สัมผัสธรรมชาติที่แปลกออกไปที่จะได้รู้จักความลึกซึ้งของธรรมชาติที่มันมีอำนาจเหนือมนุษย์ ข้อนี้แหละเราต้องสนใจ ถ้าไม่สนใจไม่มีทางรู้ แม้จะอยู่กับธรรมชาติ เอาหัวชนกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติมันก็ไม่มีทางจะรู้ มันต้องสนใจต้องมีวิธีการที่จะรู้จักธรรมชาติ รู้จักอิทธิพลของมัน ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้เอง ก็นั่งอยู่กับดินตามธรรมชาติ มันก็ผิดจากที่นั่งในห้องเรียนที่วิทยาลัย นี่ลองคิดดูสิ ลองเปรียบเทียบกันดู นั่งเรียนในห้องเรียนแบบที่เขามีกันทั่วไปกับนั่งเรียนกับทรายพื้นดินตามธรรมชาติ มันมีความต่างกันมาก ฉะนั้นถ้าเราไม่สนใจเราจะไม่เห็นความต่างอันนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยังโง่อยู่ในส่วนนี้ ไปคิดดูให้ดีมันไม่ใช่น้อย มันมีเรื่องที่จะต้องคิดมากไปถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของพุทธศาสนา แล้วซึ่งเธอก็ตั้งใจจะเรียนพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า แล้วทำไมไม่สนใจกับองค์พระพุทธเจ้าบ้าง ทีนี้สนใจก็ต้องสนใจให้ดีให้ถูกต้องให้ละเอียดละออ ไม่ใช่สนใจหยาบๆจนไม่รู้ข้อเท็จจริงไอ้ที่สำคัญๆเช่นว่าพระพุทธเจ้าท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านตายกลางดิน ส่วนมากท่านก็อยู่กลางดิน สอนภิกษุทั้งหลายก็กลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน นี่พวกเราไม่เคยสนใจเราอยากจะมีหน้ามีตาอยู่ตึกหลายๆที่สวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ จะอยู่แต่บนตึกบนรถยนต์ ทีนี้มันก็โง่ตายในการที่จะมาเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าผู้ที่เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน อยู่กลางดินตลอดเวลา ไอ้หลักทั่วไปในวงของนักศึกษาที่เป็นนักศึกษาแท้จริง ท่านครูบาอาจารย์มาแต่โบราณน่ะเขาพูดกันว่า ต้องเป็นอยู่ให้เหมือนผู้นั้นให้มากแล้วเราก็จะเข้าใจ ความคิดนึกรู้สึกของผู้นั้นได้มาก ถ้าเราอยู่กันคนละแบบแล้วก็ยากที่จะเข้าใจคำพูดของผู้นั้น หรือความรู้สึกลึกซึ้งที่มีอยู่ในคำพูดของผู้นั้น เช่นคนหนึ่งเป็นเทวดาจะมารู้สึกในความรู้สึกของสัตว์นรกนี่มันยาก ฉะนั้นคนเดี๋ยวนี้เขาอยากจะสนุกสนานสวยงามอะไรก็ตามตามเรื่องบนตึกบนวิมาน มันก็ไม่มีทางจะเข้าใจความรู้สึกอย่างแท้จริงของคนที่เกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อะไรอยู่กลางดิน ขอให้ฟังให้ดีว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้บอกหรือไม่ได้ขอร้องให้เกิดกลางดิน ตายกลางดิน แต่ว่าให้รู้ว่าไอ้กลางดินน่ะมันเป็นอย่างไรแล้วก็ลองเปรียบเทียบดู นั่งเรียนหนังสือกลางดินอย่างนี้กับนั่งเรียนในห้องเรียนมันจะต้องต่างกัน ฉะนั้นแม้แต่จะไม่ฉลาดพอที่จะสังเกตหรือเป็นคนที่สะเพร่าหรือว่าหยาบในการพิจารณาคิดนึก มันก็ไม่เห็น นี้มันเรียกว่าธรรมชาติมันอยู่กับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ อยู่กับกลางดินนี้เป็นเกลอกับธรรมชาติมากกว่าที่จะอยู่บนตึกบนวิมาน ฉะนั้นจิตใจมันก็ต่างกันแล้ว ถ้าเราเป็นเกลอกับธรรมชาติเราก็มีจิตใจเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เป็นเกลอกับธรรมชาติยิ่งกว่าเราได้ง่ายขึ้น แล้วก็ได้มากกว่า มากกว่าที่จะอยู่ในตึก หรืออยู่ในวิมาน ฉะนั้นสิ่งใดที่มันจะทำให้คล้ายพระพุทธเจ้าได้หรือว่าอนุโลมได้ก็ให้พยายามทำ คือให้กินอยู่ง่าย แล้วก็ให้หวังแต่ในทางที่ควรหวัง อย่าหวังแบบวิมานในอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนคนสมัยนี้ มันก็จะไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร วางตัวไม่ถูกนี้ก็ดูสิ ครูก็ถูกฆ่าตาย ถูกข่มเหงตาย อะไรตายมากขึ้นโดยเฉพาะครูผู้หญิงนี่ มันก็มีมากขึ้นไปกว่านี้เพราะว่าตัวไปทำผิดตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันจึงได้เกิดอย่างนั้นขึ้นตามสมควรแก่การกระทำ ถ้าเราฉลาดเรารู้จักทำมันก็ไม่ต้องประสบกับสิ่งที่เราไม่ปรารถนา นี่ความรู้จักไอ้ธรรมชาติมันดีอย่างนี้ มันไม่มีอะไรที่จะอยู่นอกไปจากอิทธิพลของธรรมชาติ เนื้อตัวของเราก็เป็นธรรมชาติ จิตใจของเราก็เป็นธรรมชาติ กิเลสตัณหาก็เป็นธรรมชาติ ความโง่ความฉลาดนั้นก็คือธรรมชาติชนิดหนึ่ง แล้วมันก็เป็นธรรมชาติที่อบรมเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ มันก็ไม่พ้นไปจากกฎของธรรมชาติ พุทธศาสนาไม่มีอะไรนอกจากการกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ และก็เฉพาะส่วนที่ไม่เป็นความทุกข์ ไอ้ไปโลกพระจันทร์ได้ไปอะไรได้นั้นมันก็ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเหมือนกันแหละ แต่มันอีกทางหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งส่วนหนึ่ง มันไม่เกี่ยวกับดับทุกข์ มันเกี่ยวกับความต้องการอย่างไม่รู้จักจบหรืออะไรไปทางนู้น หรือว่าเพื่อจะคิดเบียดเบียนกันก็ ก็ยังได้ ฉะนั้นถ้าเราจะต้องการความดับทุกข์ มีชีวิตที่เป็นสุขแล้วก็ทำการงานในหน้าที่ของเราได้ดี ถ้าอย่างนี้เราต้องสนใจธรรมะในแง่นี้ คือรู้เรื่องของธรรมชาติในแง่นี้ ไอ้เรามันเสียไปเหลวไหลไปเพราะว่าเราบังคับตัวไม่ได้ เพราะเราบังคับตัวไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักธรรมชาติกันเพียงพอ ไม่รู้จักธรรมชาติของร่างกายเนื้อหนัง ไม่รู้จักธรรมชาติของจิตใจ ไม่รู้จักธรรมชาติของกิเลสเราก็บังคับมันไม่ได้ แล้วทำอะไรไปจนเป็นอันตรายแก่ตัวเองอย่างน่าทุเรศ อย่างน่าสมเพช ขออย่าให้สิ่งเหล่านี้มันมีแก่พวกเราที่ว่าจะเป็นครู เพราะจะเป็นครูไม่ใช่เป็นลูกศิษย์คือเป็นคนผู้สอนไม่ใช่ผู้ที่ยังไม่รู้อะไร หรือว่าเป็นอย่างที่ว่า อย่าคิดแต่เพียงว่าจะรับจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต คิดเท่านั้นมันเป็นเรื่องของเด็กๆ ต้องคิดทำโลกให้ดีทำโลกให้งดงาม แล้วเราก็พลอยมีความสุขกันอยู่ในโลกนี้ควรจะมีอุดมคติของการศึกษาอย่างนี้ บางทีเขาพูดว่าอุดมคติของการศึกษาคือการอยู่รอดคือมีชีวิตรอดอยู่ได้นี้มันไม่น่าอัศจรรย์ ไอ้หมาแมวสุนัขสัตว์เดรัจฉานมันก็รอดอยู่ได้ ถ้าไม่รอดอยู่ได้มันก็ไม่มีในโลกสิ แต่นี่มันมีในโลกแล้วก็มากขึ้น แล้วมนุษย์สิไปทำลายมัน ฉะนั้นการศึกษาไม่ใช่เพียงแต่ว่าอยู่รอด ชีวิตรอด ฉะนั้นเราต้อง ถ้าจะเอาความหมายคำว่ารอด มันต้องรอดสูงขึ้นไปคือรอดในทางวิญญาณ จิตใจรอดจากการเบียดเบียนของกิเลสของความทุกข์ ถ้ารอดอย่างนี้แล้วก็ใช้ได้ ถ้าเพียงแต่ชีวิตรอดแล้วมันก็น่าหัว ฉะนั้นการศึกษาต้องทำให้มนุษย์เรารอดไปจากไอ้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่รอดตายไม่ใช่เพียงแต่รอดตาย เพราะว่าไม่ตายมีชีวิตรอดอยู่แต่ถ้ามันไม่มีอะไรถูกต้องมันก็ไม่ไหว ยิ่งเป็นทุกข์มากกว่าคนตายซะอีก ฉะนั้นจึงต้องรอดชีวิตอยู่แล้วก็มีอะไรที่เรียกว่าสมกับความเป็นมนุษย์ คือสัตว์ที่มีจิตใจสูง ก็ได้สิ่งที่สูงคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทีนี้เด็กๆก็มองไปแต่เรื่องกินเรื่องเล่นเรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ดอร่อย เรื่องเพศ เรื่องอะไรทำนองนี้ อันนี้ก็เรียกว่ามันยังเป็นผู้ที่ไม่รู้จักไอ้ตัวเราหรือชีวิต ถ้าเพียงแต่เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องเพศ สัตว์เดรัจฉานมันก็รู้ หรือบางทีจะเก่งกว่าคนเสียอีก คือมันไม่ค่อยมีความทุกข์มากเหมือนคน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่เคยฆ่าตัวตายเพราะแฟนทรยศ ไอ้คนนี้มันบ้ามากถึงขนาดนั้น ฉะนั้นก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานในแง่นี้ ถ้าจะเรียกว่าดี ก็ดีสำหรับตาย ดีสำหรับเป็นทุกข์ ฉะนั้นอย่าเพียงแต่ว่ามันรอดอยู่ได้มีอาหารกิน มีอะไรให้ตามกิเลสตัณหา มันต้องดีกว่านั้น นี่เหตุที่ต้องมาศึกษาไอ้วิชาของพระพุทธเจ้าอีกแผนกหนึ่งต่างหาก ที่จะไปรวมกันเข้ากับไอ้วิชาแขนงอื่นๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตัวให้มันถูกต้อง ทีนี้ก็อย่างที่พูดทีแรกถ้าจะเอาความรู้ให้มากที่สุดจากสวนโมกข์นี่ก็ พยายามเข้าใจธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจความหมายของคำว่าสวนโมกข์นั่นเอง ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่าสวนโมกข์ จะเข้าใจไอ้ความหมายของธรรมชาติ หรือไอ้ที่มันเกี่ยวกันอยู่กับธรรมชาติ จะยกตัวอย่างเช่นว่าที่นี่ เราให้ธรรมชาติสอน เพราะว่าไอ้ที่คนสอนด้วยปากด้วยหนังสือมันมี ความหมายก็น้อยน้ำหนักก็น้อยอะไรก็น้อย แล้วก็ได้รับความรู้น้อยแล้วก็รู้ไม่ค่อยจะจริง ให้ธรรมชาติสอนมันรู้จริงกว่ามากกว่า แต่มัน มันก็ละเอียดหรือลึกซึ้ง แต่อาจจะรู้สึกว่ายากก็ได้แต่ที่จริงไม่ยากหรอก ที่มันยากเพราะเราไม่เคย อะไรๆถ้าเราไม่เคยแล้วมันก็ยากทั้งนั้นแหละ ก็คิดดูว่าไอ้คนที่มันแรกหัดขี่รถจักรยานน่ะมันยากจะตาย แต่มันพอเป็นแล้วมันง่ายเหลือที่จะง่ายในการที่จะขี่รถจักรยาน ไอ้เรื่องจิตใจเรื่องศาสนานี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นแล้วคือถูกต้องกันแล้ว รู้เข้าใจดีแล้ว แล้วมันก็ง่าย นี่มีประโยชน์มากที่สุด ที่ว่าให้ธรรมชาติสอน แล้วก็พอมานั่งตรงนี้ธรรมชาติก็สอน แต่คนหูหนวกฟังไม่ได้ยินนี่เรากำลังเป็นคนหูหนวกหรือว่าหูใช้ได้ พอนั่งตรงนี้ธรรมชาติสอน สอนว่าอะไร สอนว่าทุกอย่างเลย แต่ต้องเรียนจากข้างใน อย่าคอยฟังคำพูดแล้วเรียนจากคำพูด เรียนจากข้างในน่ะมันสบายรู้สึกสบายใจ พอเข้ามาในธรรมชาติอย่างนี้ นี่คือธรรมชาติให้บทเรียนอันแรก สบายใจ แล้วทำไมไม่เรียนต่อไปล่ะมันสบายใจเพราะเหตุอะไร อ้าวถ้าไม่โง่เกินไปนี่มันก็เพราะ อ้าวมันสบายใจเพราะเดี๋ยวนี้กิเลสกำลังไม่รบกวนโว้ย จากนั้นมันก็รู้จักไอ้ผลของการที่กิเลสไม่รบกวน เราสบายใจอย่างนี้ รู้สึกอยู่ในใจอย่างนี้ อย่างนี้ครูสอนได้เมื่อไหร่ล่ะ หนังสือน่ะสอนได้เมื่อไหร่ล่ะ มันสอนไม่ได้ คำพูดสอนไม่ได้ตัวหนังสือสอนไม่ได้ มันต้องจากธรรมชาติโดยตรง มันอยู่ตรงนี้สบายใจเพราะเหตุว่ากิเลสกำลังไม่รบกวน ฉะนั้นถ้ากิเลสไม่รบกวนอย่างนี้ตลอดไปมันก็วิเศษเท่านั้นแหละ หรือว่าจะเป็นนิพพานแล้ว เราก็เข้าใจนิพพานได้ตั้งครึ่งตั้งค่อนทั้งที่ยังไม่ถึงนิพพาน ยังไม่ถึงนิพพานจริง แต่ถึงนิพพานตัวอย่าง นิพพานตัวอย่าง เมื่อกิเลสไม่รบกวนเราสบายอย่างไร ลองไปรักเข้าสิมันก็ร้อนเป็นไฟ ลองไปโกรธเข้าสิมันก็ร้อนเป็นไฟ ลองไปกลัวไปสงสัยไปวิตกกังวลเข้าสิมันก็ร้อนเป็นไฟ มันก็เรียกว่ากิเลสมันกำลังกวน พอกิเลสไม่กวน มันก็มีสภาพนิพพานปรากฏ คือว่าง หรือเย็น หรือว่าสงบ หรือว่าสะอาด หรือว่า มันแล้วแต่จะเรียก มันมีมากเหมือนกัน นี่เรียนจากหนังสือไม่ได้หรอก มันได้แต่รู้ๆ จำๆ ท่องๆ แล้วก็ลืม แล้วก็รู้ผิวๆนะ ไม่รู้ถึงไอ้ตัวจริงมันได้ ต้องมาให้จิตใจมันเป็นอย่างนี้เสียก่อน แล้วก็เรามีความรู้สึกเต็มที่ต่อไอ้สิ่งนั้น ไม่ต้อง ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น เชื่อตัวเอง แล้วก็มองไปสิเดี๋ยวนี้กำลังมันไม่มี ตัวกู ของกู มารบกวน ไม่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง มารบกวน มันมี นั้นสบายบอกไม่ถูกโว้ย ไอ้ได้เงินได้ของได้อะไรที่รักที่พอใจ มันก็ไม่สบายอย่างนี้ ไอ้สบายเพราะได้อะไรนั่นน่ะมัน มันกระวนกระวาย มันกระหืดกระหอบ มันขึ้นๆลงๆอะไรก็ไม่รู้ มันไม่เย็นสนิทเหมือนอย่างนี้ ฉะนั้นจึงถือว่าไอ้ความสุขในทางธรรมะนี่มันผิดจากไอ้ความสุขชนิดนั้น แล้วมันดีกว่า ก็เลยเชื่อพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้านี้ดีจริง รู้จริง พระพุทธเจ้าต้องดีจริงเพราะสอนเรื่องนี้ ตรงตามไอ้ที่เรารู้สึกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นมันจะรู้จักพระพุทธเจ้าจริง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจดในหนังสือแล้วไปท่องอย่างสมุดเรียนศีลธรรม นั่นมันพระพุทธเจ้าชั้นนอก ชั้นผิวๆข้างนอก รู้จักพระพุทธเจ้าจริงรู้จักใจจริงของพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่มีความทุกข์เลย ไอ้เรานี่ไม่มีความทุกข์ชั่วนิดเดียวพอจะหยั่งได้ ว่าถ้าไม่มีความทุกข์เลยเด็ดขาดไปเลยเหมือนพระพุทธเจ้า หรือเหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายมันก็น่านับถือ ฉะนั้นการที่เรานับถือพระพุทธเจ้านี้มันก็ถูกแล้ว แล้วเราก็จะชอบพระพุทธเจ้ามากขึ้น นี่เขาเรียกว่ารู้ธรรมะอย่างนี้ รู้โดยเรียนจากของจริง แล้วก็เรียนจากข้างใน ไม่ต้องเรียนจากข้างนอก ด้วยคำพูดด้วยตัวหนังสือ ทีนี้จิตใจที่มันเกลี้ยงเกลาจากไอ้กิเลสจากสิ่งรบกวนใจนี่เขาเรียกว่ามันโมกข์ ถ้ายังไม่รู้ก็รู้ไว้ซะว่าคำว่าโมกข์หรือโมกขะนั้นแปลว่ามันเกลี้ยง มันไม่มีอะไรมาแตะต้องหรือแปดเปื้อน ภาษาไทยหมายความว่าอย่างนั้น ภาษาบาลีก็อย่างนั้น มันอันเดียวกัน เมื่อพระจันทร์มืดไปเพราะไอ้เงาโลกหรือราหูก็ตาม มันก็มืด ทีนี้พอไอ้เงานั้นผ่านไปหมด พระจันทร์ออกมาอย่างแจ่มใสอีกเขาเรียกว่ามันโมกข์ โมกขะบริสุทธิ์เมื่อเวลาเท่านั้นเท่านี้ ไอ้โมกข์อย่างนั้นน่ะมันแปลว่าเกลี้ยง ทีนี้โมกข์ในพุทธศาสนาในภาษาธรรมะก็แปลว่าเกลี้ยง มันเกลี้ยงจากไอ้สิ่งที่มาแปดเปื้อน รัด รบกวนหุ้มห่อ เผารนเสียดแทง จิตมันเกลี้ยงไปจากสิ่งเหล่านั้นก็เรียกว่าโมกข์ ที่เรามาจัดสวนโมกข์เพื่อให้ได้ผลอย่างนั้น ก็อย่างที่ว่ามานี้ให้ได้ศึกษาได้ของจริงได้ธรรมชาติได้รู้ได้เข้าใจ เหมือนกับที่มันโมกข์ให้ดูเป็นตัวอย่าง พอมานั่งตรงนี้มันจะมีลักษณะที่เรียกว่าโมกข์ให้ดูเป็นตัวอย่างนิดหนึ่งก่อน คือจิตใจมันเกลี้ยงอย่างที่ว่ามาแล้ว ทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่จิตใจกำลังเกลี้ยงจากความทุกข์ จากไอ้ ความโลภ โกรธ หลง ก็รู้สึกสบายเพราะมันเกลี้ยง ทีนี้ถ้าใครมานั่งในที่อย่างนี้จิตใจยังไม่เกลี้ยงยังเป็นทุกข์เศร้าหมองอยู่แล้วก็ไปหาหมอเถอะ มันมากพอแล้วที่จะไปหาหมอ มันจะต้องเป็นโรคประสาทหรือโรคอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งไปหาหมอได้แล้ว ทดสอบกันเดี๋ยวนี้เลยว่าที่นั่งอยู่ในนี้ใครจิตใจไม่สบายไปตามธรรมชาติแล้วก็รีบไปหาหมอให้ทันเวลามันจะมีเรื่องมาก ทีนี้ถ้าคนปรกติมันก็ใจเกลี้ยง นั่นเราก็เรียนรู้เรื่องความเกลี้ยงคือโมกขะ พ้นจากไอ้ความเบียดเบียนของกิเลสของความทุกข์ นี่ของคนทุกคนเป็นอย่างนี้ แต่นี่เราจะเป็นครูสอนเขา เพราะเป็นครูนี้มันต้องเป็นครูของคนทุกคน เป็นครูของโลก อย่าใช้คำว่าครูของคนนั้นคนนี้ สถาบันครูต้องเป็นไอ้สถาบันที่จะสอนโลกให้มีความแสง มีแสงสว่างต้องรู้อะไรมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องรู้ก็คือเรื่องจิตใจจะเป็นทุกข์อย่างไร อย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้พวกครูไม่รู้ หลักสูตรของกระทรวงศึกษาก็หลับหูหลับตา สอนศีลธรรมก็จะให้จดในสมุดแล้วก็ไม่มีเรื่องจริง มันเรียนในห้องเรียนไม่ได้ ต้องมาเรียนจากไอ้ธรรมชาติอย่างนี้ แล้วก็รู้ธรรมะจริงอย่างนี้แล้วก็ไปสอนเขา ให้ลูกเด็กๆเล็กๆก็รู้ๆๆเรื่องนี้ ว่าถ้าจิตใจของเราเกลี้ยงเกลาแล้วเรามีความสุข พยายามทำจิตใจของเราให้เกลี้ยงเกลาไว้เสมอ เมื่อเรียนก็ดีเมื่อทำอะไรก็ดี อย่าไปโกรธอย่าไปหลงใหลอะไร ถ้าเรียนก็เรียนด้วยใจคอปกติ อย่าทำใจคอให้มันเป็นอย่างที่เรียกว่ามีกิเลส เดี๋ยวมันจะร้องไห้เพราะเรียนไม่ได้หรือเพราะสอบตก หรือว่ามันก็ดีใจเป็นบ้าไปเลยเมื่อมันเรียนได้หรือมันสอบได้ อย่างนี้มันไม่ถูกหรอก มันจะเป็นไปเองอย่างนั้นตามธรรมชาติ ไอ้ส่วนที่ไม่รู้ ยังไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วมันก็จะค่อยๆรู้มาว่าเราปกติดีกว่า เราอยู่อย่างปกติดีกว่า เพราะถ้าเราไปยินดีหลงใหลในอะไรที่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีเราก็จะเป็นทาสของความยินดี แล้วต่อจากนั้นก็จะเป็นทาสของวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ที่เขาเรียกว่ากามคุณบ้างอะไรบ้าง พอเป็นทาสของสิ่งนี้แล้วจะฉิบหาย จะฉิบหายในทางจิตใจก่อน แล้วจะฉิบหายออกมาถึงทางร่างกาย มันก็เลยไม่ได้ไอ้สิ่งที่ควรจะได้ ที่มนุษย์ควรจะได้ ฉะนั้นเรา เราไม่ต้องเป็นทาสของความรัก ไม่ต้องเป็นทาสของความโกรธ ถ้าครูสอนเด็กได้อย่างนี้ไอ้โลกนี้จะมีความสุข เดี๋ยวนี้สอนแต่หนังสือครูเองก็เป็นทาสของความรัก เป็นทาสของความโกรธ เป็นทาสของอะไรอีกหลายๆอย่างก็สอนไม่ได้ พอมาเรียนแต่อย่างนี้ จากธรรมชาติ จิตใจอย่างไรเรียกว่าโมกข์ คือเกลี้ยงจากสิ่งที่ทำให้จิตใจมันเศร้าหมอง หรือว่าเป็นทาสของอะไร ถ้าทำได้อย่างนี้จะเรียกว่ามีผลมากที่สุดกว่าที่จะมาฟังคำบรรยายเป็นร้อยครั้ง ก็ขอบอกให้รู้ล่วงหน้าด้วยว่าแม้จะมีการบรรยายด้วยปากก็ไม่พ้นไปจากเรื่องเหล่านี้ แต่ว่ารู้เรื่องเหล่านี้จากตัวธรรมชาติเองน่ะดีกว่าการฟังบรรยายอย่างเดียว ฉะนั้นไอ้บรรยายก็ฟังละ แต่ว่าไอ้ที่เข้าถึงตัวธรรมชาตินี่สำคัญต้องเข้าถึงด้วย ทุกวันจะสังเกตว่าจิตใจมันเป็นอย่างไร มันเศร้าหมอง มันเร่าร้อน มันมืดมัว ก็เพราะอะไร มันก็มีทางที่จะทำให้หายไปได้ อย่าๆๆไปสงสัยอย่าไปกลัวว่าจะทำให้ไม่ได้หรือว่ามัน มันเหลือวิสัยที่จะทำได้ อันนี้ครูบาอาจารย์ก็สอนผิดๆเพราะทำไม่ได้ ไอ้นักปราชญ์ ปากโป้งโฉงเฉงของประเทศนี้ ก็กำลังสอนว่าทำไม่ได้ เราอย่าไปเชื่อมัน เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้าว่ามันต้องทำได้ นี่มันถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วเราอาจจะปรับปรุงจิตใจของเราให้ไม่เป็นทุกข์ได้ เราจะไม่ใช้คำว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน เราจะใช้แต่คำว่าทำจิตใจให้เกลี้ยง ให้เกลี้ยงมากเท่าที่เราจะทำได้ นี่ความมุ่งหมายของคำว่าโมกข์ กลายเป็นความมุ่งหมายของคำว่าสวนโมกข์ ในนี้จะมาหาอะไรหรือว่ารับอะไรจากสวนโมกข์ก็ต้องทำอย่างนี้ ฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้มันเข้ารูปกันกับการที่จะได้อะไรจากสวนโมกข์ ซึ่งมันต้องผิดกันกับการที่จะได้อะไรจากที่อื่นแล้ว เดี๋ยวนี้เราตกลงกันแล้วว่าจะได้ทุกอย่าง เราจะพยายามเข้าใจทุกแง่ทุกมุม แล้วได้ทุกแง่ทุกมุม ไอ้แง่มุมที่เกี่ยวกับสวนโมกข์นี้มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้รู้จักสวนโมกข์อย่างนี้ พื้นที่เราสี่ เราสามร้อยไร่เป็นสี่เหลี่ยม รูปร่างลักษณะสี่เหลี่ยม ภูเขาอยู่ตรงกลางวัด ภูเขานี้เขาเรียกว่าเขาพุดทองมาแต่เดิม มันคงมีความหมายอะไร จากเรื่องอะไรอันใดอันหนึ่ง พุดทองขุดทองอะไรไม่ทราบ แล้วซากอิฐบนภูเขานี้ บนยอดภูเขานี้มันก็เก่าถึงสมัยศรีวิชัย อิฐแผ่นใหญ่ๆหนาๆปิดสนิท ติดกันโดยไม่ต้องใช้ปูน นี่คืออิฐสมัยศรีวิชัย ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ไม่น้อยกว่าพันสองร้อยปีแล้ว เมื่อรู้จักไอ้ภูเขาพุดทองว่ามันเป็นอย่างนี้เป็นศูนย์กลางของสวนโมกข์ ชาวบ้านเขาเลยเรียกเอาเองว่าวัดเขาพุดทอง พอพระมาอยู่ที่นี่ชาวบ้านก็เรียกว่าวัดเขาพุดทอง มันเป็นธรรมชาติถึงขนาดนี้ ไม่ต้องตั้งน่ะ เราไม่ได้ตั้งชื่ออะไรเลย ชาวบ้านเขาเรียกเสร็จแล้วว่าวัดเขาพุดทอง เราตั้ง ตั้งว่าสวนโมกข์ชาวบ้านแถวนี้ไม่ยอมเรียก จะยอมเรียกว่าสวนโมกข์เฉพาะไอ้ผู้ที่อ่านหนังสือที่เขียนไอ้โฆษณาออกไป ที่ตรงนั้นมันมีธารน้ำไหลเล็กๆ ไอ้วัดนี้ก็เลยมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดธารน้ำไหล ชื่อตามทางการคณะสงฆ์เรียกวัดธารน้ำไหล ชื่อตามทางการของชาวบ้านชาวนาแถวนี้วัด วัดเขาทองวัดเขาพุดทอง ชื่อสำหรับคนทั้งประเทศเรียกว่าสวนโมกขพลาราม มีแต่ต้นไม้ทั้งนั้นแหละ เขาพุดทองนี่มันฟังออกก็เพราะมีพระพุทธรูปที่เป็นทอง ก็เป็นความหมายที่ดี ขอให้มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ธารน้ำไหลมันมีความหมายที่ดี ถ้าน้ำล่ะมันก็ต้องดีเพราะน้ำมันกำจัดไอ้ความสกปรกแล้วมันก็เย็นด้วย นี่เราต้องการให้ความหมายสูงไปกว่านั้นว่าโมกขพลาราม โมกขะแปลว่าเกลี้ยงหรือพ้นจากความทุกข์ พละแปลว่ากำลัง อารามแปลว่าป่าไม้ที่คนจัดมันขึ้นเขาเรียกว่าอาราม โมกขพลารามแปลว่าป่าไม้ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นกำลังแก่โมกขะคือความดับทุกข์พ้นทุกข์ ทีนี้มันบังเอิญอย่างไร ที่ในเขตวัดนี่มันมีต้นไม้ชื่อต้นโมกก็มี อยู่ตรงโน้นมีต้นโมก และมีต้นไม้ชื่อต้นพลาด้วยเช่นต้นนี้เรียกว่าต้นพลา โมกขพลา โมกขพลาไปเลย ชื่อต้นไม้ก็บอกโมกขพลา อารามมัน นี่รู้จักสวนโมกทั้งโดยตัวหนังสือทั้งโดยตัวความหมาย ทั้งโดยความมุ่งหมายวัตถุประสงค์อะไร ให้มันถูกต้องอย่างนี้ ถ้าความปรารถนายิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็คือจะพ้นจากความทุกข์ แล้วก็จัดไอ้ทุกอย่างให้มันส่งเสริม ที่ดีที่สุดคือสิ่งที่มันเป็นเองอยู่อย่างนี้ไม่ต้องจัดอะไรมากนี่ นี่สวนโมกข์ที่ดี สิ่งที่ต้องทำขึ้นและต้องเสียเงินด้วยเช่นตึกหลังนั้น ยังไม่ดีเท่าไอ้ ไอ้ตามธรรมชาติเกลี้ยงๆอย่างนี้ บางอย่างเราต้องทำขึ้น เช่นครึ่งมนุษย์ทำขึ้นครึ่งธรรมชาติก็มี เป็นมนุษย์ทำโดยเต็มที่ก็มี ที่ตรงนั้นมันมีสระนาฬิเกร์ สระใหญ่มีต้นมะพร้าวอยู่กลางนั้นน่ะ นั้นคือรูปภาพรูปหนึ่งแต่ไม่ได้เขียนด้วยสี มันลงทุนสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือให้เกิดเป็นสระน้ำใหญ่มีต้นมะพร้าวอยู่ตรงกลางต้นหนึ่ง ความหมายเป็นเรื่องนิพพานในวัฏสงสาร อธิบายกันยืดยาวเป็นชั่วโมงล่ะ แต่สรุปความแล้วว่าดับทุกข์มันอยู่ที่ความทุกข์ ความทุกข์อยู่ที่ตรงไหนดับทุกข์มันต้องอยู่ที่ตรงนั้น อย่าไปแยกไว้คนละอย่าง ฉะนั้นต้องการจะดับทุกข์ก็จงเล่นงานไอ้ตัวความทุกข์นั่นแหละให้มันแหลกรานไปนั้นก็เป็นดับทุกข์ อย่าไปเที่ยวรดน้ำมนต์ไปเที่ยวทำอะไรให้มันบ้าไปเปล่าๆ ความทุกข์อยู่ที่ตรงไหนมันดับลงไปที่ตรงนั้น และก็ต้องดับด้วยตนเองเพราะ ความทุกข์มันเกิดแต่ตัวเองเกิดโดยตนเอง ไอ้ดับก็ต้องดับเอง พระพุทธเจ้าเพียงแต่แนะวิธีแล้วเราก็ต้องดับเองท่านว่าอย่างนั้น นิพพานอยู่กลางวัฏสงสารคือความทุกข์มันอยู่กับความดับทุกข์ ความดับทุกข์มันก็อยู่ที่ตัวความทุกข์ ความเย็นมันก็อยู่ที่ความร้อน พอความร้อนลดลงมันก็เป็นความเย็น อย่าไปแยกกันเป็นคนละเรื่อง อย่างนี้เราต้องการจะสร้างภาพชนิดนั้นขึ้นมาสอน ทั้งยังเป็นความหมายที่ดีด้วย แล้วมันเป็นการแสดงว่าปู่ย่าตายายของเราฉลาด ที่ภาคใต้ทั้งหมดนี่จะมีบทกล่อมลูกให้นอน มะพร้าวนาฬิเกร์ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอยนี่ ความหมายลึก ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ด้วย ฉะนั้นคนแก่ๆปู่ยาตายายที่ตายไปแล้วฉลาดกว่าพวกเราเว้ย พวกเราที่เรียนวิทยาลัย เรียนมหาวิทยาลัยยังสู้เขาไม่ได้ เราหาว่าเขาโง่ตายไปแล้ว พูดอะไรไม่เป็นภาษา มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก มะพร้าวนาฬิเกร์น่ะหมายถึงนิพพาน ทะเลขี้ผึ้งน่ะวัฏสงสาร เขาเรียนวิทยาศาสตร์ก่อนพวกเธอ จึงรู้ว่าทะเลขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งนั้นไม่ใช่ของเหลวไม่ใช่ของแข็ง เรามันโง่คิดว่าขี้ผึ้งเป็นของแข็ง เพราะเรามันเห็นว่ามันอุณหภูมิเป็นอย่างนี้ ถ้าอุณหภูมิอย่างอื่นขี้ผึ้งมันก็เป็นของเหลว ฉะนั้นขี้ผึ้งเป็นได้ทั้งของเหลวและเป็นได้ทั้งของแข็งแล้วแต่อุณหภูมิ มันก็เป็นวัฏสงสารเดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่วเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวบุญเดี๋ยวบาปน่ะมันอยู่แต่อย่างนั้น เหมือนกับขี้ผึ้งเหลวขี้ผึ้งแข็ง ถ้าเก่งจริงต้องขึ้นไปเหนือนั้นคือเป็นนิพพาน ที่ฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง ไม่มีทุกข์เลยคือมันไม่เหลวไม่แข็งอีกต่อไป เขาเรียนวิทยาศาสตร์เก่งกว่าพวกเราแล้วเขารู้ธรรมะมากกว่าพวกเรา ปู่ย่าตายายไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว มันร้องกันมาหลายชั่วคนหลายสิบชั่วคนแล้ว เข้าใจว่าไอ้บทเพลงชนิดนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่แหลมมลายูนี่มันเจริญด้วยพุทธศาสนา ในสมัยศรีวิชัยพันกว่าปีมาแล้วมันจึงพูดอย่างนี้เป็น แล้วมันยังมีบทอย่างอื่นอีกที่ฉลาดแบบนี้ เฉพาะข้อนี้ก็ให้ถือกันสักหน่อยยึดถือกันสักหน่อยว่าไอ้เรามันเกิดในดินแดนที่มันศักดิ์สิทธ์ คือแหลมมลายู อย่างน้อยก็ลืมหูลืมตามาตั้งพันกว่าปีแล้ว อย่าทำเสียชื่อบรรพบุรุษที่เขาทำไว้ดีแล้ว ต้องเป็นคนฉลาดอย่าเป็นคนโง่ รู้อะไรรอบๆตัวอย่าให้จิตมีความทุกข์ได้ ไอ้เรื่องรู้หนังสือสอนหนังสือมันเป็นแต่อาชีพให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ได้เมื่อมันมีชีวิตอยู่ได้ต้องทำอะไรที่ดีกว่านั้นต่อไปอีก คืออย่ามีความทุกข์กันได้คือเราสอนผู้อื่นอย่าให้มีความทุกข์กันได้ นี่เรื่องของสวนโมกข์ นี่สระนาฬิเกร์ เพียงสระเดียวก็ไปยืนคิดยืนดูเถอะเป็นชั่วโมง ๆ ก็เรื่องไม่ค่อยจบ ในนี้มีภาพเขียนที่แสดงความหมายธรรมะอย่างลึกซึ้ง นี่มันมากภาพ ถ้าดูลวก ๆ แวบ ๆ จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เว้นไว้จะดูสักภาพหนึ่งก็ดูให้มันถึงความหมายอันลึกซึ้งนั่นแหละจะได้ประโยชน์ จะไปดูโรงปั้นที่ทำภาพเหล่านั้น ดูธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่ในสวนโมกข์ ดูการเป็นอยู่ที่มันง่ายเรียกว่ากินข้าวจานแมวอาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างตายแล้วหรือเป็นอยู่อย่างทาสก็ได้ ไม่ปริปากไม่ดิ้นรน ไม่มีความไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นพยายามที่จะเป็นไอ้แบบชีวิตง่ายๆอย่างนี้บ้าง ถ้ากินอยู่ต่ำแล้วจิตใจสูง ถ้ากินอยู่สูงแล้วจิตใจจะต่ำ ระวังให้ดีต่อไปข้างหน้าจะเผชิญอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ถ้าไปทะเยอทะยานที่จะกินอยู่สูงแล้วใจมันจะเลวจะต่ำ ถ้าพยายามจะกินอยู่ต่ำแล้วใจมันจะสูงเอง จะไม่มีความทุกข์ความร้อน ที่มันทะเยอทะยานให้สูงเรื่องสวยเรื่องงามเรื่องกินเรื่องอะไรนั้น มันก็เดือดร้อน แล้วมันนำไปไกลถึงกับว่าจะต้องถูกฆ่าตาย คนมันบ้าหนักเข้า แล้วจะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งที่ทำให้ถูกฆ่าตาย นี้ประโยชน์ของการมีสวนโมกข์ หรือความมุ่งหมายของสวนโมกข์มันมีอยู่อย่างนี้ เราให้ไอ้ก้อนหินมันสอน ต้นไม้มันสอน นกหกมันสอน ถ้าเราได้ยินเราฟังถูก จะได้ยินเหมือนกันหมด ไอ้ก้อนหินมันพูดว่าอย่าบ้าไปนะ ใช่ไหมนะ ดูก้อนหินก้อนนี้สิ มันอยู่นิ่งๆ มันคล้ายกับบอกเราว่าคุณน่ะอย่าบ้าไปนะ อย่าวุ่นวาย อย่าระส่ำระสาย กระสับกระส่ายนัก อยู่นิ่งๆเหมือนฉันบ้างสิ นี่มันสอนอย่างนี้แหละ มันเป็นอุดมคติที่จะผุดขึ้นมาในจิตใจ เมื่อเราเห็นสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นเราจึงเรียกว่าสิ่งเหล่านั้นสอน นี่พูดโดยสมมุติว่าสิ่งเหล่านั้นสอน ที่จริงมันช่วยแวดล้อมให้เราเกิดความรู้สึกรู้แจ้งอันนี้ขึ้นมา ขึ้นมาในใจเรา เราเลยยกให้มันว่ามันสอน ต้นไม้ก็สอน ก้อนหินก็สอน กรวดทรายก็สอน มดแมลงก็สอน นกหกก็สอน สอนตัวอย่างที่ไม่มีความทุกข์ ไอ้เรามันกำลังมีความทุกข์ หรือกำลังจะมีความทุกข์เป็นแน่นอน ก็เลยรับไอ้คำสอนเหล่านี้เข้าไว้ ก็จะโมกข์ ก็คือเกลี้ยงจากความทุกข์ จากต้นเหตุของความทุกข์คือกิเลส ถ้าเรียนอย่างนี้ได้ถ้าเป็นอย่างนี้ได้มันจะเป็นเครื่องรางคุ้มครองจนตลอดชีวิต ไม่ให้มีความทุกข์ ให้มีความทุกข์น้อย นี่เรียกว่าพระพุทธเจ้าคุ้มครองพระธรรมคุ้มครองพระสงฆ์คุ้มครองมันคืออย่างนี้ เพียงแต่แขวนพระเครื่องอย่างเดียวไม่พอ มันเป็นเครื่องเตือนให้นึก ระลึกอย่าลืมเรื่องนี้ พอไม่ลืมเรื่องนี้ เรื่องนี้มันคุ้มครอง ความรู้สึกคิดนึกความเข้าใจที่ถูกต้องนี้มันจะคุ้มครอง ไม่มีความทุกข์ ไม่ต้องให้เสียน้ำตา ไม่ต้องให้จิตใจหม่นหมองเลย นี่ขอแสดงความยินดี ก็ตั้งใจมากันจนถึงที่นี่ แม้จะลำบากในทางร่างกายบ้าง ก็จะต้องได้รับประโยชน์ในทางจิตใจที่สมควรกันเกินค่า แล้วแต่ว่าเราจะทำได้อย่างไร ฉะนั้นขอให้อดทน ขอให้พยายาม ให้เหมาะสมที่จะรับเอาไอ้วิชาความรู้หรือประโยชน์จากสวนโมกข์ซึ่งล้วนแล้วแต่ธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติเป็นครู สอนให้รู้กฏของธรรมชาติ แล้วปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็จะเป็นผู้ชนะความทุกข์ทั้งหลาย เป็นเกลอกับธรรมชาติ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นเกลอกับธรรมชาติ เพราะว่าท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านตายกลางดิน ท่านอยู่กลางดินตลอดเวลา แม้แต่สอนธรรมะก็สอนกลางดิน เหมือนที่เรากำลังนั่งพูดกันอยู่นี้ ขอแสดงความยินดีต้อนรับ และก็ขอให้พรว่าความปรารถนาที่มาในคราวนี้ จงสมหวังทุกๆประการเทอญ เอ้า, ไปตามโปรแกรม