แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายที่เป็นครู อาตมาคิดว่าตั้งใจจะพูดเรื่องของครู ยินดีที่ว่าได้พบครูเพราะตัวเองก็ตั้งตัวเป็นครูแบบหนึ่งด้วยเหมือนกัน ในฐานะที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู พระสงฆ์ทั้งหลายที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ของตนก็เป็นครูชนิดหนึ่ง ถ้าว่ากันโดยที่แท้แล้ว โลกมันอยู่ได้เพราะบุคคลประเภทครู ถ้าไม่อยู่อย่างถูกต้องตามความมุ่งหมายอันนี้แล้ว มันก็ไม่แคล้วก็จะเป็นโลกของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเดี๋ยวนี้โลกก็มีความเป็นอย่างนี้มากขึ้นทุกที ไม่ใช่ว่าจะดีขึ้น เพราะมีความเห็นแก่ตัวชนิดที่ไม่เห็นแก่ผู้อื่นมันมากขึ้น ศีลธรรมมันเลวลง พูดกันง่ายๆ ว่าเดี๋ยวนี้ เวลานี้นักเรียน นักศึกษาของเรามีศีลธรรมเลวลงมาก เลวลงกว่าเมื่อโรงเรียนยังอยู่ที่ศาลาวัด ให้ดูนักเรียน นักศึกษา นักอะไรต่างๆ ที่ก่อการจลาจลวุ่นวายไร้เหตุผลมันไม่มีในสมัยที่โรงเรียนยังอยู่ที่ศาลาวัด จะด้วยเหตุอะไรก็สุดแท้ แต่ที่นี้เอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่นี้เป็นหลัก เมื่อสักสี่สิบกว่าปีมานี้โรงเรียนอยู่ศาลาวัดแทบทั้งนั้น ไม่มีศีลธรรมเป็นอย่างไร เด็กวัยรุ่นของเราเป็นอย่างไร ศีลธรรมทั่วไปเป็นอย่างไร คนแถวนี้ก็นอนใต้ถุนบ้านบนแคร่ได้จนสว่าง วัวควายก็ไม่ต้องผูกล่ามอะไรนักมันอยู่ได้ เดี๋ยวนี้วัวควายมันหายหมดกระทั่งไม่กล้านอนใต้ถุนบ้านบนแคร่ได้สว่างเหมือนแต่ก่อน นี่เรียกว่าศีลธรรมส่วนประชาชนมันก็เลวลงยิ่งกว่าเมื่อโรงเรียนอยู่ที่ศาลาวัด ข้อที่ศีลธรรมเลวลงนี้ มีมูลเหตุหลายอย่างก็ยากที่จะโยนไปให้เป็นความรับผิดชอบของใคร แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับครู อาตมาอยากจะพูดว่า เพราะว่าโลกนี้มันมีครูน้อยลง มีบุคคลที่เป็นครูโดยเจตนารมย์ของคำๆ นี้น้อยลง แม้ว่าการศึกษาของโลกจะจัดให้มีโรงเรียนมาก มีนักเรียนมาก มีบุคคลที่เรียกว่าเป็นครูนั้นมาก แต่ครูเหล่านั้นมิได้เป็นครูตามเจตนารมย์อันแท้จริงของคำว่าครู จึงอยากจะให้พิจารณากันในข้อนี้แหละเป็นส่วนใหญ่
เรานึกถึงความหมายของคำว่าครูกันก่อน คำว่าครูนี้ไม่ใช่ภาษาไทย ยืมมาจากภาษาอินเดีย ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต หรือก่อนภาษาสันสกฤต ก็ใช้คำคำนี้มาแล้ว ในประเทศอินเดียเดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ คำว่าครูในความหมายแผ่กว้างทั่วไปแล้วก็แปลว่า ผู้เปิดประตู แต่ปทานุกรมธรรมดาเขาให้ความหมายอย่างนั้นยาก ยิ่งแปลเป็นภาษาต่างประเทศ เช่นภาษาอังกฤษด้วยแล้วก็มันทำไม่ได้ ที่จริงแปลกันว่า ผู้นำในทางวิญญาณ เรียกว่า spiritual guide เป็นมัคคุเทศน์ในทางวิญญาณมีความหมายของคำว่าครู แต่ตัวหนังสือแท้จริงซึ่งเรายังศึกษาน้อยแล้วรู้ไม่ได้ รากศัพท์นี้เขายืนยันว่ามาจากรากศัพท์ที่แปลว่า เปิดประตู นั่นน่ะคือครู มันก็เป็นเรื่องเปิดประตูทางวิญญาณอีกนั่นเอง เปิดออกจากความมืดไปสู่ความสว่าง ไม่ใช่เปิดประตูอย่างแขกยาม ใครเข้ามาเปิดให้เข้ามา ใครจะออกไปเปิดออกไป นั่นมันเปิดประตูอย่างแขกยาม เดี๋ยวนี้กลัวว่าไอ้ครูเราเดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างนั้นเสียมากกว่าเปิดประตูอย่างแขกยามไม่ได้เปิดประตูอย่างที่เรียกว่า จากความมืดออกสู่ที่แสงสว่าง ขอให้นึกถึงเล้าเป็ดที่มืดที่เหม็นที่สกปรกที่น่ารำคาญ ถ้าเปิดประตูคอกเป็ด เป็ดก็ออกไปสู่สนามหญ้าไปอยู่ในสระบัว มันเป็นอย่างไรบ้าง คำว่าเปิดประตูนี่มันหมายถึงเปิดประตูแก่จิตใจ จากความสะอาดวุ่นวายสกปรกเร่าร้อนนี่ไปสู่ความ จากความสกปรกมืดมัวเร่าร้อนไปสู่ความสะอาด สว่าง สงบ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังใช้กันอยู่ คำว่าครูในฐานะผู้เปิดประตู แต่ใช้ในทางศาสนา พวกสวามี หรือพวกนักปรัชญานี่ใช้คำว่าครู ในความหมายของคำว่า ผู้เปิดประตูอยู่อย่างนี้ แล้วไปดูปทานุกรมธรรมดาสามัญที่กับภาษาต่างประเทศเขาแปลว่า spiritual guide ผู้นำทางวิญญาณ
ทีนี้ในประเทศไทยเราไปให้ความหมายของคำว่าครู ก็แปลว่าผู้ที่มีบุญคุณหนัก หรือผู้ที่ควรเคารพ อาตมาก็เคยใช้ความหมายนี้ว่าให้ทุกคนถือว่าครูนั้นคือผู้ที่มีบุญคุณหนักอยู่บนศีรษะของศิษย์ทุกคน .......(นาทีที่ 8.58) จะต้องระลึกนึกถึงแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ให้สมแก่ความเป็นครู แต่ความหมายที่ไกลออกไปอีกนั้น ผลที่ปรากฏขึ้นแล้วควรจะแปลคำว่าครูนี้คือ ปูชนียบุคคลชนิดหนึ่ง ครูต้องเป็นปูชนียบุคคลชนิดหนึ่ง ทีนี้ครูก็มีหลายชนิด บางชนิดก็ถูกจัดว่าเป็นเรือจ้าง อาศัยอาชีพครูเพียงได้เปลี่ยนอาชีพไปสู่อาชีพที่สูงขึ้นไปนี้ก็เห็นได้ในระยะหนึ่ง เขาเป็นครูกันแต่เพียงจะให้ได้สอบกฏหมาย สอบธรรมศาสตร์ หรือเปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นไป ใช้อาชีพครูเป็นเพียงสะพานชั่วคราว ก็เลยเป็นเรื่องที่เปลี่ยนความหมาย ทีนี้ในระยะหลังมานี้ครูก็เป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเรา ทั้งโลกครูเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ ทีนี้เมื่อความเห็นแก่ตัวมากเข้าครูก็เป็นชนกรรมาชีพชนิดหนึ่งที่จะเรียกร้องสิทธิอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างชนกรรมาชีพทั้งหลาย ไม่ไว้ตัวว่าเป็นปูชนียบุคคลที่ทำหน้าที่สูงสุดแก่มนุษย์ ให้มนุษย์เขารู้จักผิดชอบชั่วดี นี่คือปัญหาที่มีอยู่ในโลกนี้เวลานี้ที่ทำให้โลกนี้ไร้ศีลธรรมก็เพราะเหตุที่บุคคลประเภทครูนั้นได้หายไปจากโลก ....(นาทีที่ 10.51) ตามความหมายของคำๆ นี้คือเป็นเจ้าของคำๆ นี้หรือประเทศอินเดียแต่โบราณเป็นเจ้าของคำๆ นี้ มันมีแต่คนรับจ้างสอนหนังสือแล้วเห็นแก่ตัวจัดจนไม่มองถึงบุญกุศล ไม่มองถึงความเป็นปูชนียบุคคล มันก็ทวง ทวงสิทธิเหมือนชนกรรมาชีพทั้งหลายในลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิโซเชียลลิสต์อะไรก็ตาม โลกก็ไม่มีครูเพราะโลกมันจัดการศึกษาผิดในทำทองที่ไม่เห็นว่าศาสนาหรือธรรมะนี้จำเป็นสำหรับคนเรา เป็นแต่เรื่องปาก เรื่องท้อง หรือเรื่องเศรษฐกิจนั่นล่ะจำเป็นสำหรับคนเรา ก็ระดมกำลังกันไปในทางนั้น มันก็ได้จริงเหมือนกัน มันก็เจริญในวัฒนาการทางวัตถุ เรื่องกิน เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องเอร็ดอร่อยสนุกสนาน ยิ่งก้าวหน้าทางนี้ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งก้าวหน้าทางนี้ก็ยิ่งไร้ศีลธรรม เราจึงเห็นบุคคลชั้นสูงสุดในระดับโลกในระดับสูงสุดของชาติของประเทศนี้กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลธรรม อย่างน้อยก็เป็นเรื่องถูกกล่าวหาว่าไม่มีศีลธรรม จนไม่รู้จะว่าใครเป็นคนมีศีลธรรมพอเป็นตัวอย่างได้สำหรับบุคคลสูงสุดในโลก ในมนุษย์นี้ ไปนึกถึงครูบาอาจารย์ทั่วโลกก็จะเห็นว่ามีหน้าที่ช่วยตัวเองทำงานอาชีพ ก็ได้เงินมาได้เกียรติมาก็เท่านั้นเอง ไม่รับผิดชอบว่าศิษย์ทั้งหลายจะเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ ถ้าเป็นสมัยก่อนสมัยที่โรงเรียนยังอยู่ตามศาลาวัดสี่ห้าสิบปีมาแล้ว ถ้าใครมีอายุมากกว่านั้นก็จะได้ยินได้ฟังว่า มหาวิทยาลัยสูงสุดสมัยนั้นอย่าง Oxford Cambridge นี้เขามุ่งหมายว่าผู้จบการศึกษานั้นจะเป็นสุภาพบุรุษ จะเป็นสุภาพบุรุษเป็น Gentleman นี้ก็หมายความว่า หมด หมดความเลว หมดพิษสงอันร้ายกาจ เขาต้องการเพียงเท่านั้น เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่พูดกันแล้วเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษว่าเป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาในชั้นอุดมศึกษา พูดกันแต่อาชีพ ทั้งโลกมันก็เลวลง เพราะต้องการแต่อาชีพ ได้มาเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว
แล้วระเบียบที่เป็นข้าศึกต่อศีลธรรมได้เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง คือการแยกการศึกษาทางศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาทั่วไปที่เรียกกันว่า Secularization Secularism เกิดขึ้นแล้วก็ถือกันเข้มข้นขึ้น แยกการศึกษาทางธรรมออกจากการศึกษาของคนทั่วไป ก่อนนี้มันรวมกันอยู่อย่างมหาวิทยาลัย Oxford Cambridge นี่พระจัดทั้งนั้น ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ ไม่มีอย่างนั้นจะเหลือร่องรอยอะไรบ้าง ทีนี้ประเทศไทยเรานี้โรงเรียนเมื่อก่อนนี้อยู่ศาลาวัด แล้วพระเป็นครูเป็นส่วนมาก เมื่อปีที่อาตมาแรกบวชนั้นน่ะ ศึกษาธิการอำเภอเขายังมาบอกว่าอาตมาเป็นครูจะให้เดือนละแปดบาท เป็นพระนะ เห็นว่าพระเกี่ยวข้องกับเด็กกับโรงเรียนจัดอยู่ในวัด แล้วก็ยังมีธรรมเนียมว่ามันจะต้องสอนเรื่องวัด เรื่องศาสนานี้กันพอสมควร ต่อมาก็พวกฝรั่งทางตะวันตกเขาก็เริ่มเห็นว่า ไอ้เรื่องการศึกษาก็ศึกษาสำหรับคนทั่วไป แต่เรื่องธรรมะหรือศาสนานั้นขอให้เป็นเรื่องส่วนบุคคลใครต้องการก็ไปหาเอา แล้วก็ ก็มีคนต้องการก็ไปหาเอา มันก็หมายความว่าไปหาเอาต่อเมื่ออกจากโรงเรียนแล้วสิ เพราะยังอยู่ในโรงเรียนจะหาได้อย่างไร เป็นเด็กต้องเรียนตามหลักสูตรของโรงเรียน ก็แปลว่าคนค่อยไปหาเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนาเอาต่อออกจากโรงเรียนแล้ว ออกจากโรงเรียนแล้วมันก็ไปยุ่งเรื่องอาชีพก็ไม่มีเวลาหา ไปเป็นพ่อบ้านแม่เรือนยุ่งไปด้วยเรื่องครอบครัวมันก็ไม่มีเวลาหา เรื่องธรรมะเรื่องศาสนามันก็เลยเลิกกัน เป็นอย่างนี้มากขึ้นๆ จนเดี๋ยวนี้เราคนไทยก็ไปตามก้นเขา ก็เป็นเรื่องแยกธรรมะหรือศาสนาออกจากการศึกษาในโรงเรียน มีเหลือแต่เพียงว่าจดใส่สมุดให้เด็กท่องเล็กๆ น้อยๆ พอสอบได้เอาคะแนน ไม่มีการประพฤติปฏิบัติชนิดที่ให้กลัวบาป รักบุญ ผู้ที่มีอายุเกินสามสิบ สี่สิบจะสังเกตเห็นได้ว่า คำว่ากลัวบาป หรือบาปนี้สมัยก่อนพูดกันมาก เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว ไม่มีบาปไม่มีใครกลัวบาป คำว่าบุญก็เหมือนกันก็หายไปจากความต้องการ แล้วศีลธรรมเป็นอย่างไร คอยลองคิดดู ไม่มีใครรับผิดชอบ ถูกแล้ว มัน มันไม่ ไม่มีใครอาจจะรับผิดชอบ แต่เมื่อกล่าวโดยแท้จริงแล้วก็ ไม่ได้เป็นมาอย่างถูกต้องแล้วก็อยู่ในกำมือของบุคคลประเภทที่เรียกว่าครู หรือผู้นำในทางวิญญาณ อย่างครั้งกระโน้นไม่มีการใช้หนังสือ เพียงครั้งก่อนพุทธกาลไปไม่เท่าไหร่นี้ก็ไม่มีการใช้หนังสือ ครั้งพุทธกาลก็ไม่มีการใช้หนังสือเป็นล่ำเป็นสันอะไร เพราะว่าเขาท่องเอาด้วยปากทั้งนั้นแหละ การเรียนหนังสือก็ไม่ใช่การเรียนอย่างเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันมีเรียนหนังสือ ครูจึงเป็นคนสอนหนังสือ ครั้งโน้นมันไม่มีการเรียนหนังสืออย่างที่เรียนเดี๋ยวนี้ มันก็สอนเรื่องประพฤติอย่างถูกต้อง ประพฤติอย่างชนิดที่จะรอดในทางวิญญาณนั้นน่ะเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก็มีเรียนหนังสือมากขึ้น จนกระทั่งมีการเรียนหนังสือสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นครูที่เคยเป็นผู้นำทางวิญญาณก็ค่อยๆ กลายมาเป็นผู้สอนหนังสือ แล้วก็โดยคิดว่าคนที่รู้หนังสือแล้วก็จะไปหาเรื่องธรรมะสำหรับศึกษาเอาเอง มันก็เหลวทั้งนั้นแหละ เช่นเดียวกับเดี๋ยวนี้ที่ว่าเรียนบาลี จบเป็นเปรียญเก้าประโยค แล้วคิดว่าเขาก็จะไปศึกษาพระไตรปิฎกเอาเอง มันก็เหลวทั้งนั้นแหละ เพราะไปมีสนใจเรื่องอื่นซึ่งสนุกกว่า มีลาภสักการะ มีอะไรมากกว่า เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าทุกคนจะค่อยไปแสวงหาความรู้ทางธรรม ทางศาสนาเอาเองนี้มันกลายเป็นเรื่องเหลว
พอเรื่องการเมืองมันก้าวหน้ามากขึ้นทุกอย่างก็เป็นบริวารของการเมืองไปหมด ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าการศึกษานี้ก็ตกเป็นทาสของการเมือง แล้วแต่ว่าการเมืองเขาต้องการอย่างไร การเมืองต้องการประชาธิปไตยเพ้อๆ โดยประชาชนเพื่อประชาชนของประชาชน แต่เมื่อเป็นประชาชนที่ไร้ศีลธรรมแล้วมันก็ลงนรกกันหมด ไม่มีใครเหลือแน่ ประชาธิปไตยชนิดนี้ก็พาคนลงนรกหมด มันต้องประชาธิปไตยของคนที่มีศีลธรรมไม่ใช่เพียงแต่ว่ารู้หนังสือมีความรู้สติปัญญาแตกฉาน มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมันรับประกันไม่ได้ว่าจะเดินตามศีลธรรม บางทีมันจะยั่วให้ไปทางผิดศีลธรรมด้วยซ้ำไป มันฉลาดมองเห็นรายได้ ฉะนั้นต้องนึกถึงศีลธรรมซึ่งกำลังขาดลงไปทุกที ร่อยหรอลงไปทุกที จนเดี๋ยวนี้จะไม่พูดถึงศีลธรรมกันแล้ว ไม่เฉพาะในประเทศไทยประเทศอื่นก็เป็นมาก่อนประเทศใหญ่ๆ ก็เป็นมาก่อน ประเทศไทยก็ไปตามก้นในการที่จะละเลยในสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ทีนี้เด็กๆ ของเราไม่มีบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ อาตมาคิดว่าครูทั้งหลายคงจะสังเกตเห็น ถ้าไม่สังเกตเห็นก็คือผู้ที่ไม่สังเกตหน้าที่การงานของตัวเสียเลย คือเด็กไม่เคารพบิดามารดาอย่างแต่ก่อน ไม่เคารพครูบาอาจารย์อย่างแต่ก่อน เห็นครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ แล้วเงินก็เก็บไปจากเราพ่อของเรา และประชาชน ก็ลดฐานะของครูมาเป็นลูกจ้าง บิดามารดาก็เป็นผู้ที่ต้องเลี้ยงเรา มีหน้าที่ต้องเลี้ยงเรา ต้องตามใจเรา แล้วเราก็จะทำเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล เพราฉะนั้นบิดามารดานั้นต้องง้อเรา เพราะบิดามารดาไม่ได้เรียนมากเท่าเรา ไม่สามารถเท่าเรา ไม่ทำอะไรดีเด่นเท่าเรา แล้วก็มีเรื่องจริงไม่ใช่เรื่อง make up ที่นักเรียนนอกเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำไป เขากลับมาถึงบ้าน เขาเกิดเรื่องกับมารดาที่รบเร้าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ใช้บิดามารดาเหมือนกับไม่ใช่บิดามารดา เขากลับตวาดบิดามารดาว่า แม่นะไม่รู้จักของฉันว่าฉันทำให้มีเกียรติแก่วงศ์ตระกูลแก่แม่ หาเงินมาเลี้ยงแม่ มันเป็นอย่างนี้ เมื่อมีจิตใจชนิดที่ไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์แล้วก็เป็นอย่างไรก็ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ลักษณะอย่างนี้ครั้งพุทธกาลเขาเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือไม่มีบิดามารดา ไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วมันก็เลยไปกระทั่งไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ไม่มีอะไรทุกอย่างที่ควรจะมี ไม่มีบุญไม่มีบาปนั่นแหละเป็นสำคัญ ทีนี้เด็กๆ ของเรากำลังเป็นอย่างนั้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้ก็แสดงออกมามากแล้วที่เห็นว่าเด็กเขาไม่มีหลักเกณฑ์อะไรในทางธรรมทางศาสนาและต่อไปก็จะยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกคอยดูไปก็แล้วกัน ใครจะรับผิดชอบ มันก็ไม่มีใครยอมรับผิดชอบ แต่โดยธรรมชาติแล้วหรือว่าโดยที่เรียกว่าการตกลงกันตามธรรมชาติ ตามสัญญาประชาชน ประชาคม มันก็ตกเป็นภาระของครู .....(นาทีที่ 22.39) รับผิดชอบครูก็ไม่ได้ เพราะว่ามีผู้บังคับบัญชาครูเหนือๆ ยิ่งขึ้นไปอีก ครูก็ทำอะไรไม่ได้ตามที่ตนอยากจะทำ ทีนี้ผู้บังคับบัญชาเหนือๆ เหล่านั้นเขาก็อ้างเหตุผลทางการเมืองระหว่างชาติ ระหว่างประเทศว่าต้องจัดอย่างนี้ ประเทศชาติจึงจะอยู่รอดถึงจะเป็นไปได้ ก็เลยไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรมกันเพราะเหตุนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้กันทั้งทุกๆ ประเทศ ทั้งโลกมันก็เป็นโลกที่ไร้ศีลธรรม ไม่มีคำว่าบาป ไม่มีคำว่ากลัวบาป ไม่มีคำว่าพระเจ้า ไม่มีคำว่าศาสนา เดี๋ยวนี้คำว่าศาสนาเปลี่ยนมาอยู่ที่คำว่าประโยชน์ ถ้าได้ประโยชน์ก็ถือว่าอันนั้นเป็นศาสนา อย่างนี้ถือศาสนาเงินคือประโยชน์ ศาสนาแท้จริงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ไม่มี เงินนั้นน่ะเป็นตัวศาสนา ถ้าครูทั้งหลายเกิดถือศาสนาประโยชน์อย่างนี้แล้วก็เป็นอันว่าที่พึ่งสุดท้ายของศีลธรรมนั้นได้หมดไป เหมือนที่เขามักพูดกันว่าถ้าผู้พิพากษาอยุติธรรม ลำเอียงแล้วละก็ ที่พึ่งสุดท้ายของความยุติธรรมมันก็หมดไป ถ้าว่าครูถือศาสนาประโยชน์ ไม่ได้ถือบุญถือบาปเสียแล้ว ที่พึ่งทางศาสนามันก็หมดไป เพราะครูเป็นผู้ปั้นเด็กเล็กๆ ขึ้นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
ขอให้นึกถึงอุดมคติที่มักจะมองกันว่ากินไม่ได้ ถูกแล้วอุดมคติกินไม่ได้ แต่ทำให้โลกนี้รอดอยู่ได้ เราจะเป็นครูชนิดไหนก็มีสิทธิที่จะเลือก ทีนี้อาตมาอยากจะพูดเรื่องนี้ก็ตรงนี้เอง ก็อยากจะพูดว่า เราจะเป็นครูที่ถูกต้องตามอุดมคติก็ได้ แล้วก็ไม่เสียหายอะไร มันจะได้สิ่งที่ควรจะได้ตามประสาโลกๆ แล้วยังจะได้ไอ้สิ่งที่ประเสริฐสุด เป็นอุดมคติของคำว่าครู คือผู้เปิดประตูโดยแท้จริง อย่ากลัวว่าถ้าจะไปถืออุดมคติ ปฏิบัติตามอุดมคติแล้วมันก็จะหมดโอกาส หรือหมดหน้าที่ที่จะก้าวหน้าในทางวัตถุ ถ้าทำเป็นมันก็ไปได้ด้วยกันทั้งสองอย่าง แต่ว่าส่วนที่มันน่าชื่นใจนั้นมันอยู่ที่เป็นบุญกุศลอันแท้จริง เรื่องเงินเรื่องประโยชน์ทางวัตถุนี่ไปคิดูเถอะ ไม่เท่าไหร่มันก็จะออกมาเป็นอุจจาระ กินเข้าไปก็ถ่ายออกมา แต่ว่าความดีหรือบุญกุศลอันแท้จริงนั้นมันจะอยู่ตลอดกาล อยู่อย่างเป็นเรื่องนามธรรม มันเป็นเรื่องของจิตของวิญญาณ ถ้าเราจะตั้งใจปฏิบัติตามอุดมคติของครูก็เข้าใจว่ายังทำได้ อย่ากลัวว่าจะเป็นทางขัดขวางความเจริญก้าวหน้า เดี๋ยวนึ้คนที่ในกรุงเทพ นักปราชญ์ นักศึกษาที่โง่ที่สุดก็พูดมากขึ้น ถ้าเจริญทางธรรมแล้วก็เจริญทางโลกไม่ได้ อาตมายังยืนยันว่ามันเจริญไปได้โดยทั้งเจริญทางโลกและเจริญทางธรรมก็ยังสุขสบายไม่เป็นโรคเส้นประสาทนั้นเป็นที่รับประกันได้แน่นอน คนที่เห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ประโยชน์ทางวัตถุมากไม่ต้องมีใครแช่ง ไม่เท่าไหร่จะต้องเป็นโรคเส้นประสาท ไม่พ่อบ้านเป็นก็แม่บ้านเป็นเดี๋ยวมันก็มีเรื่องยุ่งใน ใน ในครอบครัว เพราะมันงกประโยชน์นั่นน่ะมากเกินไป ยังไม่เชื่อก็ได้แต่ขอให้ไปสังเกตต่อไปข้างหน้า มันยังมีเวลาเหลืออยู่ ถ้าว่าเรื่องทางธรรมมันเข้ามาแทรกแซงมันจะอิ่มอกอิ่มใจ แม้จะว่าไม่ร่ำรวยแต่ความ มันก็ไม่ร่ำรวยด้วยประโยชน์ ก็ร่ำรวยด้วยบุญกุศล มันอิ่มอกอิ่มใจมันป้องกันโรคเส้นประสาท สมัยก่อนเขาว่า เขาจะมีคำความหมายที่แทนกันได้ ศิษย์นี้เท่ากับลูก ครูจะรู้สึกในศิษย์ทั้งหลายราวกับว่าเป็นลูก มันก็เลยทำอย่างกับลูกอีกแบบหนึ่ง ลูกโดยธรรม ด้วยเจตนาแท้จริง เสียสละส่วนตัวมากเพื่อให้ไอ้ลูกๆ เหล่านี้มันดีขึ้น มันเหมือนกับระบบที่อาจารย์แต่โบราณ เป็นพระเป็นสมภารเลี้ยงพระเลี้ยงเณรอย่างกับลูก แล้วครูสมัยโบราณก็เลี้ยงนักเรียนสอนนักเรียนด้วยความรู้สึกเหมือนกับลูก หรือครึ่งทั้งครึ่งทั้งค่อน เดี๋ยวนี้มันก็ค่อยๆ เลือนไปจะโทษใครก็ไม่ได้ ไม่ใช่อาตมาจะโทษท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ มันค่อยๆ เลือนมาตามลำดับๆ เพราะว่าเราไปตามก้นอารยธรรมแผนใหม่ หรือสมัยใหม่นั่นเอง ตาลายเห็นแก่ประโยชน์ บูชาประโยชน์ยิ่งขึ้น มันทางนี้มันก็ค่อยๆ เหินห่างไปเอง โดยไม่ต้องเจตนา นี่ความรู้สึกอย่างลูกในจิตในนี้มันก็ค่อยๆ หมดไป นี่ทำอย่างไรจะกลับมาอีก หรือไม่อยากให้กลับมาไม่กล้าให้กลับมากลัวว่าจะเสียเวลา ก็สุดแท้ อาตมาต้องพูดไปตรงๆ ตามความหมายของคำว่าครู ของปูชนียบุคคลเพราะว่าโลกมันเคยรอดมาในลักษณะอย่างนี้ มันเป็นจุดตั้งต้นที่จะฝังรกฝังรากลงไปในจิตใจของเด็กให้เกิดความรัก ในฐานะที่ว่าทุกคนน่ะมันเป็นที่เนื่องๆ กัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เดี๋ยวนี้จะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ ในโรงเรียนก็ไม่สอนอย่างนี้ ทางวัดก็ไม่ค่อยมีโอกาสจะสอนอย่างนี้เพราะว่าโรงเรียนก็ออกไปจากวัดแล้วอย่างนี้เป็นต้น ก็น่าเห็นใจว่าครูทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของกระทรวง กระทรวงก็ ก็ต้องเห่อตามไอ้โลกสมัยใหม่ซึ่งสนใจแต่เรื่องที่เขานิยมกัน ใช้คำว่าอย่างนี้ดีกว่า ความเจริญส่วนนี้มันก็ก้าวหน้าจนกระทั่งว่าไปโลกพระจันทร์ได้ แต่สันติภาพในโลกก็ยิ่งเลวลง คิดดู เด็กๆ เขาเรียนในสิ่งที่ไม่ต้องเรียนมันมากเกินไป อย่างเด็กเล็กๆ ก็รู้ว่าประเทศอเมริกามีประธานาธิบดีกี่คน ชื่ออะไร สำคัญที่สุด แต่เขาไม่รู้เรื่องศีลธรรมเอาเสียเลย กระทั่งไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ไหนด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่ได้บรรจุอยู่ในหลักสูตร แต่ว่าเรารู้แต่เรื่องพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็ยังไม่พอ มันต้องรู้เรื่องศีลธรรมโดยตรงว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร เพราะเหตุไร สำคัญกว่า เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เด็กๆ ของเราก็จะไม่มีศีลธรรมยิ่งขึ้น เมื่อยังเล็กๆ ตัวเล็กๆ สี่ขวบ ห้าขวบนี่ขโมยไม่เป็นโกหกไม่เป็น แต่พอโตขึ้นมาก็เริ่มเป็น แล้วก็หายหมด หมดถึงชั้นมัธยมปลาย หรือชั้นระดับมหาวิทยาลัย เป็นอันธพาลได้ ถึงที่สุดตามระบอบการศึกษาที่เขาจัดกันอยู่ในเวลานี้ พอเรียนเสร็จก็เป็น อะไรก็ ก็รู้กันอยู่แล้ว ที่เป็นฮิปปี้นานาแบบ พอเรียนเสร็จก็เสพยาเสพติด ยาเสพติดราคาเป็นล้านๆ น่ะมันไปขายที่ไหน มันไปขายที่ประเทศที่เจริญแล้ว แล้วก็ในหมู่นักศึกษาที่ผ่านการศึกษามาแล้ว ผ่านมหาวิทยาลัยมาแล้ว คิดดู มันสอนกันให้โง่ แสนจะโง่ จนว่าเรียนจบแล้วต้องเสพเฮโรอีน อย่างนี้ก็คิดดูสิ เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจะเกิดความรู้สึกว่าจะต้องเสพยาเสพติด หรือจะทำอะไรให้มันแปลกเอาไว้เสมอ ให้มันแปลกเอาไว้เสมอ จนกระทั่งว่าเดี๋ยวนี้ผ้ามันก็จะไม่นุ่งกันแล้วในชั้นที่จบการศึกษานี้ นี่การศึกษานี้มันมันคืออะไร มันคืออะไร มัน มันเป็นไปอย่างไร ที่ว่าจบแล้วมันจะไม่นุ่งผ้า หรือว่าจะบูชายาเสพติด หรือจะทำอะไรชนิดที่เอาแต่ใจตัว ซึ่งเมื่อก่อนนี้มันทำไม่ได้ นี่แหละเป็นอันว่าโลกนี้มันไม่มีธรรมะ ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์เพราะการศึกษาชนิดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปโทษใคร โทษไอ้อำนาจเป็นใหญ่ในโลก สิ่งใดมีอำนาจสิ่งนั้นก็ลากไป ทีนี้ต่อไปนี้มันก็จะมาถึงตัวครูเองและครอบครัวของครูเอง ความเป็นอันธพาลความที่ไม่มีศีลธรรมความเดือดร้อนแสนสาหัสนี่ก็จะเข้ามาอยู่ในครอบครัวของครูนั้นเอง เพราะว่าเราไม่ได้ทำให้ศีลธรรมของเด็กๆ ดีขึ้น เพราะว่าเราถูกผูกมัดให้ต้องทำไปตามที่เขานิยมกันอย่างนี้ อาตมาจึงขอพูดอย่างกันเองว่าอาตมาก็เป็นครูท่านทั้งหลายก็เป็นครูมันไม่ต้องปกปิดอะไรในการจะพูดว่าเดี๋ยวนี้โลกกำลังไม่มีครู ถึงแม้ว่าอยากเป็นครูให้สมบูรณ์แบบมันก็ทำไม่ได้ ด้วยความนิยมส่วนใหญ่มันก็เปลี่ยนไปเพียงต้องการให้รู้ตามที่เขาต้องการตามที่เขาจ้างเราแค่นั้น เราไม่มีอิสระที่จะทำอะไรได้มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ดีมันก็ยังมีทางมีช่องมีโอกาสที่จะปลีกออกไปได้ ทำพร้อมๆ กันไปได้เท่าที่เราจะทำได้จะรักนักเรียนเหมือนกับลูกกับหลาน จะแนะให้มันรู้จักว่าอะไรเป็นทางรอดของมนุษย์
การเล่นกีฬานี้เขาเล่นเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว อย่าไปเล่นกีฬาชนิดที่เพิ่มความเห็นแก่ตัวเหมือนที่เขาเล่นๆ กันอยู่เลย เดี๋ยวนี้กีฬาระหว่างชาติอันมีเกียรติที่ต่างประเทศจะต้องไป มันเลวที่สุดจนถึงกับเพิ่มความเห็นแก่ตัว คุณไปอ่านรายงานทั้งหลายดู ในกีฬาชนิดนั้นมันก็มีการเพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่กีฬาบ้านเราที่ว่ามีกองเชียร์เพิ่มความเห็นแก่ตัว ทะเลาะวิวาทกันแม้ในโรงเรียนเดียวกัน ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน การแข่งขันระหว่างคณะมันก็ตีกัน จนวานนี้หนังสือพิมพ์มันก็ยังลงอยู่เป็นต้น นี่การกีฬาที่มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เขาเล่นกีฬาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ขอให้เอาไปคิดกันด้วย อาตมาไม่มีอะไรจะให้จะพูด นอกจากว่าปัญหาที่กำลังมีอยู่จริงในโลกนี้ เมื่อเราจะเพียงแต่ให้เด็กรู้หนังสือและเก่งทางหนังสือนั้นมันไม่ ไม่พอแล้ว มันเป็นโอกาสที่เห็นแก่ตัวได้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ยิ่งฉลาดมากยิ่งเห็นแก่ตัวได้มาก ต้องสอนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้มันควบคู่กันไป ให้มันขนานกันไปอย่างสมัยก่อน เรียนหนังสือก็เรียนหนังสือ ศีลธรรมนั้นก็อบรมใส่ลงไปพร้อมกันไปในตัวโดยไม่รู้สึก ฉะนั้นขอให้ได้รับการศึกษาพร้อมกันไปทั้งการรู้หนังสือที่ทำให้ฉลาด และการธัมมะธัมโมการศาสนาที่ทำให้เป็นคนสุจริต ซื่อตรง ตั้งอยู่ในธรรม ฉะนั้นในขณะที่เรียนอยู่ก็ดี เรียนแล้วก็ดี มันจึงมีศีลธรรมพอที่จะไว้ใจได้ ผู้ที่ผ่านการศึกษาไว้ใจได้ เดี๋ยวนี้เรากลัว เราขยะแขยงต่อผู้ที่ผ่านการศึกษาแล้วเพราะมันเป็นอันธพาลอย่างยิ่ง มากขึ้นทุกทีๆ ไม่อยู่ในเหตุผลมากขึ้นทุกที ตัวอย่างง่ายๆ ทำไมจะต้องผมยาวซึ่งมันลำบากมันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุผลอันไหนที่จะต้องมีผมยาว ก็เรียกว่าเขาไม่มีเหตุผลไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลยิ่งขึ้นทุกที นอกจากจะมุทะลุดุดันในการที่จะทำตามใจชอบมากขึ้นทุกที นี่คือความไม่มีเหตุผล ขอให้นึกถึงอุดมคติของคำๆ นี้ ซึ่งกำลังร่อยหรอไปในทางความหมายแล้วเราก็จะเอาอย่างไรดี เราจะผสมโรงกับเขาให้เต็มที่ก็ได้ แล้วจะเลือกเอาแต่ที่ถูกที่ควรก็ได้ ถ้าเราจะคิดว่าเราเกิดมาทีหนึ่งควรจะได้สิ่งที่ดีจริงๆ กันบ้างโดยไม่ต้องตามกันไปทั้งหมดซึ่งมันพิสูจน์แต่ความวินาศของโลกเท่านั้น สรุปอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ทุกคนยิ่งเห็นแก่ตัวเมื่อไรโลกก็ยิ่งวินาศเร็วขึ้นไปเมื่อนั้น ปัญหาต่างๆ แก้ไม่ได้เพราะความเห็นแก่ตัว คนไม่มีศีลธรรมการปกครองบ้านเมืองก็ทำให้มีประโยชน์ไม่ได้ ประชาธิปไตยชนิดไหนก็ไม่ได้เมื่อมันไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมแล้วเผด็จการก็ได้ยิ่งดีเสียอีกมันจะยิ่งเร็ว
ทีนี้ถ้าคุณจะเลยไปเที่ยวถึงพุมเรียงกันแล้วขอให้แวะไปดูวัด วัดหนึ่งเขาเรียกว่าวัดสมุหนิมิต สร้างสี่เดือนเสร็จวัดสมบูรณ์แบบเหมือนกับวัดที่กรุงเทพ สมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกประการ สร้างสี่เดือนเสร็จราวกับว่าเนรมิตเขาจึงชื่อว่าวัดสมุหนิมิต นั้นน่ะมันแสดงถึงผลของความมีศีลธรรม แล้วก็ใช้ระบบเผด็จการได้ สมัยรัชกาลที่ ๓ มันยังมีลักษณะเผด็จการ แต่ว่ามนุษย์มันมีศีลธรรม คิดดูสิ ถ้าประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้ให้สักสิบหนมันก็สร้างไม่ได้ในสี่เดือนนี้ ประชาธิปไตยเห็นแก่ตัวอย่างนี้มันจะสร้างอะไรได้ สี่เดือนสร้างวัดก็ยังได้แต่นั้นมันมีลักษณะของระบบศีลธรรม เห็นแก่ศาสนาเห็นแก่ส่วนรวมและวิธีดำเนินงานนี้มันก็เป็นเผด็จการได้ เพราะฉะนั้นมันจึงสำเร็จทันตามความหมาย นี่ประชาธิปไตยไร้ศีลธรรมมัวแต่คลานต้วมเตี้ยอยู่นี่มันก็สู้คอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นแน่นอน แต่เราไม่ต้องถึงกับว่าจะไปเป็นคอมมิวนิสต์ เราตามระบบเดิมๆ ของเราที่มีอยู่ตามหลักพุทธศาสนาที่มีอยู่ พุทธศาสนาก็เป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เฟ้อ ไม่เฟือน ไม่สลัวอย่างเดี๋ยวนี้ ประชาธิปไตยชนิดที่มีขอบเขตจำกัดว่าต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ว่าใจความสำคัญหรือวิญญาณของมันก็คือต้องเห็นแก่สังคม อย่าเห็นแก่ตัว ธรรมะในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นให้เห็นแก่หมู่คณะไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ประชาธิปไตยเฟ้อ เสรีประชาธิปไตย ใครจะเห็นแก่ตัวสักเท่าไรก็ได้ เห็นแก่ตัวสักเท่าไรก็ได้ ไป ไปสังเกตดูเวลามันไม่พอจะพูดโดยรายละเอียด แต่ประชาธิปไตยเฟ้อคือใครจะเห็นแก่ตัวเองสักเท่าไรก็ได้ โอกาสเปิดเสมอ เป็นประชาธิปไตยบ้า ประชาธิปไตยที่จำกัดชัดลงไปว่าต้องเห็นแก่หมู่คณะ แก่สังคมมีระเบียบมีหลักเกณฑ์อย่างถูกต้องอย่างที่เรียกว่าสังคมนิยมนี่ถูกแล้ว แต่ไม่ใช่สังคมนิยมแก้แค้น สังคมนิยมบ้าเลือดบ้าๆ บอๆ ก็ประชาธิปไตยอย่างนั้นอีกก็ไม่ใช่ มันต้องสังคมนิยมอย่างถูกต้องอย่างประกอบไปด้วยธรรม มีลักษณะไม่เอาส่วนเกิน อย่างภิกษุจะมีจีวรมากกว่า ๓ ผืนไม่ได้ ถ้าได้มาเป็นผืนที่ ๔ ต้องสละเป็นของกลางของสงฆ์ไม่เอาส่วนเกิน บาตรก็มีได้ใบเดียว สร้างกุฏิอยู่ก็เพียง ๗ ฟุต ๑๒ ฟุตเกินกว่านั้นไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น แล้วส่วนเกินนั้นก็ไปเป็นของสังคม สาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นเศรษฐีนั้นน่ะ คุณคงจะไม่ทราบว่าเป็นกันอย่างไร เพราะเศรษฐีที่เป็นพุทธบริษัทนั้นก็หมายถึงมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานไม่มีใครเรียกว่าเศรษฐี ถ้าเป็นมหาเศรษฐีก็คือมีโรงทานหลายโรง แล้วคุณก็เรียนมาแล้วคุณก็ลองไปเทียบกันดูว่ามันเหมือนกับนายทุนสมัยนี้ไหม นายทุนสมัยนี้มีโรงทานไหม เพราะมันไม่ใช่อันเดียวกันไอ้เศรษฐีครั้งพุทธกาลกับนายทุนสมัยนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ถ้าอย่างพุทธกาลเป็นเศรษฐีสะสมทรัพย์ก็ได้ มีข้าทาสบริวารสะสมทรัพย์ แต่ว่าทรัพย์นั้นฝังไว้เป็นนิธิ เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานต่อไปข้างหน้า เขาจะมอบหมายโรงทานไปถึงลูกถึงหลานถึงอะไรเรื่อยไป ถ้าว่าเศรษฐีครั้งพุทธกาลมีเครื่องผลิตเครื่องทุนแรงอย่างเดี๋ยวนี้ก็ผลิตได้ เพราะมันเอาผลผลิตไปหล่อเลี้ยงโรงทาน เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องทุนแรงเพื่อผลิตเพื่อประโยชน์ส่วนตัว มันก็ดูดเอาส่วนของผู้อื่นมาเป็นของตัวมากจนคนอื่นเดือดร้อน มัน มันไม่ตรงกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่ใครผลิตได้ผลิตเอา ใครทำประโยชน์ตัวได้เท่าไรก็ทำเอา นี่มันไม่ใช่อย่างเดียวกันกับว่าประชาธิปไตยอย่างพุทธศาสนาซึ่งมีลักษณะเป็นสังคมนิยม จะเอามากกว่าที่จำเป็นไม่ได้ต้องปล่อยไว้ให้เป็นของหมู่คณะ พระพุทธเจ้าท่านมีลักษณะเป็นสังคมนิยมอย่างนี้ ไปดูในระเบียบบัญญัติทั้งหลาย ทีนี้สาวกของพระพุทธเจ้าอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชนี่ก็มีลักษณะอย่างนี้เห็นแก่สังคม แต่อย่างไรก็ตามวิธีปฏิบัติงานนั้นเป็นเผด็จการพระพุทธเจ้าก็เป็นเผด็จการในส่วนวิธีดำเนินงาน ทั้งที่อุดมคติเป็นสังคมนิยม พระเจ้าอโศกก็เป็นอย่างนั้น ดูศิลาจารึก ภูเขาที่จารึกทุกแห่งมันจะมีลักษณะสังคมนิยม แต่วิธีดำเนินงานนั้นเป็นเผด็จการไม่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงทำได้เร็วมีความสงบสุขกันโดยเร็ว เหมือนกับว่าวัดที่พุมเรียงลองไปดูนี่สร้างสี่เดือนเสร็จ อาตมาซักไซ้อย่างยิ่งคนที่ทันเห็นเขาก็เล่าให้ฟังว่ามันมีคนถูกเฆี่ยนไปสามสี่คน ต้องระดมคนมาตั้งหมื่นตลอดหัวเมืองปักษ์ใต้นี่ แล้วจะถูกเฆี่ยนสักสามสี่คนนี่มันจะเป็นอะไรนักหนาเล่า ไม่มีการฆ่าใคร จึงทำได้ในลักษณะสังคมนิยม อุดมคติสังคมนิยมแต่วิธีดำเนินงานนั้นเป็นเผด็จการ คือทำด้วยหวายแล้วอย่างนั้นน่ะ ก็มีคนถือหวายอยู่ตลอดเวลา จะมีคนถูกเฆี่ยนไม่กี่คนมันก็ต้องมีบ้างคนเหลวไหลโดยแท้จริงมันติดเข้ามาบ้าง มันก็ถูกเฆี่ยนบ้าง แล้วเขาชี้ให้ดูคนหนึ่งก็มีรอยเล็กๆ ที่หลังสองสามรอยเท่านั้นน่ะ ไม่เห็นจะต้องเป็นพิกลพิการหรือตายอะไร ฉะนั้นขอให้คิดดูดีดีว่าโลกนี้มันกำลังเป็นไปในทางโง่ มืดบอดมากขึ้นไม่มีระเบียบแบบแผนที่ควบคุมกิเลส ปล่อยให้กิเลสควบคุมจิตใจของคน ยิ่งไปมัวเมาประชาธิปไตยแบบนี้ก็ด้วยแล้วไม่เท่าไหร่ ลุกเป็นไฟทั้งโลก พวกครูจะมีส่วนช่วยกันได้อย่างไรก็ลองไปคิดดูเถอะ คิดจะกุมเอาจิตใจของไอ้ลูกเด็กๆ ตาดำๆ ไว้อยู่ในร่องในรอยของธรรมะได้หรือไม่ไปดูก็แล้วกัน
เดี๋ยวนี้เราดำเนินงานปกครองก็ไม่ได้ เพราะคนมันไร้ศีลธรรม ปราบคอมมิวนิสต์ก็ไม่สำเร็จ เพราะคนมันไร้ศีลธรรม แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ไม่สำเร็จ เพราะคนมันไร้ศีลธรรม จนกระทั่งว่าคนในวงการศึกษามีการไร้ศีลธรรม ขืนพูดไปเดี๋ยวก็จะมีคนโกรธ ไปดูเอาเองก็แล้วกันว่า ไอ้ความไร้ศีลธรรมนี่มันจะคืบคลานเข้ามาในวงการศึกษาในวงครูบาอาจารย์อย่างไรบ้าง แล้วต่อไปมันจะเป็นอย่างไร
อาตมาก็พูดอย่างอื่นไม่เป็น เลยต้องพูดอย่างนี้ ก็พูดโดยทวงสิทธิว่าอาตมาก็เป็นครูชนิดหนึ่งเหมือนกัน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู พระพุทธเจ้าเป็นครูแท้ ท่านเปิดประตูให้แก่ดวงวิญญาณหลายออกไปจากความมืดความหลงความทุกข์ได้ แล้วสาวกทั้งหลายก็พยายามจะทำอย่างนั้น อย่างน้อยท่านทั้งหลายเกิดมาก็เป็นคนไทยถือพุทธศาสนา การเป็นครูก็ต้องมุ่งหมายเปิดประตู ถ้าสมมติว่ามีครูที่เป็นคริสเตียน เป็นมุสลิม เป็นอะไรบ้างก็อย่างเดียวกันอีก ไปศึกษาดูพระศาสดาของตัว พระเยซู พระโมฮัมหมัด อะไรก็ตามมุ่งหมายจะปล่อยคนอย่างเดียวกันอีก คือเกลียดชังความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ทำลายความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง แม้แต่พระโมฮัมหมัดที่เขาเข้าใจกันว่าดุร้ายไปดูเถอะว่าท่านมุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์อย่างไร ดูระเบียบบัญญัติต่างๆ ที่ออกมา รวมความว่าทุกศาสนาจะมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัว เพราะว่าโลกมันจะรอดอยู่ได้โดยความไม่เห็นแก่ตัว มีความรัก เมตตา กรุณา เหมือนกับว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างนี้ นี่จึงจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ นี่ประชาธิปไตยเห็นแก่ตัวกู โอกาสเปิดให้แก่ตัวกู กอบโกยเท่าไรก็ได้ไม่ผิดหลักประชาธิปไตย ขอให้คิดดูว่าจะไปกันทางไหน ประชาธิปไตยของกิเลส หรือว่าประชาธิปไตยของธรรมะของศาสนา ถ้าอย่างไรก็ให้นึกว่าให้ส่วนที่เป็นอาชีพมันก็ทำไปได้ ส่วนที่ทำให้ได้ดีได้บุญได้กุศลทั้งพิเศษไปมันก็ทำได้ ถ้าเรามันซื่อตรงต่ออุดมคตินั้น ทีนี้ถ้าเราอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ฉะนั้นจึงพูดไว้เผื่อจะได้เข้าใจ ก็ขอให้ถือตัวเองว่าเป็นปูชนียบุคคล อาตมาขอประท้วงขอคัดค้านตรงๆ จังๆ ว่า การพูดว่าข้าราชการเป็นผู้รับใช้ประชาชนนั้นมันหลับตาพูดอย่างโง่เขลา มันต้องเว้นข้าราชการอย่างครูต้องเป็นปูชนียบุคคลของประชาชน อย่างผู้พิพากษาสถาบันยุติธรรมก็ต้องเป็นปูชนียบุคคลของประชาชน คือสถาบันการปกครองก็ต้องตั้งตัวอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลชของประชาชน คือทำแต่ที่ดีที่ถูกให้เขารักให้เขานับถือ นี่มันหลับตาไปยืมคำใครมาต้องเป็นลูกจ้าง หรือทาส หรือผู้รับใช้ประชาชน มันจะบ้าตามฝรั่งกระมัง ถ้าถือตามหลักธรรมในพุทธศาสนาแล้วมันเป็นไปไม่ได้จะต้องทำตัวให้ดีอย่างฐานะเป็นปูชนียบุคคลของคนแต่ละชั้นๆ ไปจนกระทั่งว่าจะไม่มีใครเป็นครูแล้ว เป็นทาส หรือเป็นผู้รับใช้ หรือเป็นผู้ควรจะถูกเหยียบย่ำ แม้แต่ชาวนาก็ต้องยกไว้เป็นสถาบันกระดูกสันหลังของประเทศชาติอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ต่ำต้อยอะไร ควรจะอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ขอให้มองดูกันในแง่ว่าความเป็นมนุษย์นี้มันต้องมีความสูงสุดอยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ เคารพกันให้ดีดีโดยถือหลักใหญ่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างนี้ นี่อาตมาจะพูดได้เพียงเท่านี้เพราะท่านจำกัดเวลาพูด
ทีนี้ยังเหลือตอนท้ายนี้ก็อยากจะพูดว่า จะพูดนิดหนึ่งสำหรับเรื่องที่มาที่นี่ นี่สวนโมกข์โดยชื่อ โมกขพลาราม ป่าไม้เป็นกำลังแก่โมกขะ โมกขะนี้แปลว่าเกลี้ยง เกลี้ยงคือไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหาไม่มีอะไรต่างๆ เหมือนอย่างว่านั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้ก็ต้องมีจิตใจเกลี้ยงโดยปริยายใดปริยายหนึ่ง ขอให้ทุกคนกำหนดจิตใจของตัวดูเวลานี้นั่งอยู่ที่นี่ต้องมีความเกลี้ยงอย่างใดอย่างหนึ่งในระดับใดระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็โล่งใจไปลืมความทุกข์ยากลืมตัวกูลืมชีวิตด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกเป็นสุข อาตมานั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้เวลานี้ไม่รู้สึกเป็นสุขอะไรบ้างเสียเลยก็ต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติแก่บุคคลนั้นแล้ว ถ้าเป็นภายในแล้วก็รีบไปหาหมอเถอะ ถ้ามานั่งในที่อย่างนี้ยังไม่รู้สึกโล่งใจสบายใจรีบไปหาหมอเถอะ มันจะ มันจะลุกลามใหญ่โต ทีนี้ตามธรรมชาติธรรมดานี้ ธรรมชาติมันจะช่วยแวดล้อมให้เราลืมความเห็นแก่ตัว จิตใจเกลี้ยงไปพักหนึ่ง ความหมายของคำว่าโมกข์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างในที่นี้ที่มันเป็นอยู่ตามธรรมชาติ เราไปจัดมันเข้าก็มี แก้ไขไปครึ่งหนึ่งก็มี สร้างใหม่ทั้งดุ้นก็มี เช่นตึกหลังนี้มันสร้างใหม่ แต่ทุกอย่างจัดปรับปรุงไปเพื่อให้เป็นอุปกรณ์แก่การมีจิตใจเกลี้ยง เราต้องการให้มีจิตใจเกลี้ยงสะอาดสว่างสงบไม่เป็นทุกข์ในระดับไหนก็ตามขอให้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในฐานะช่วยให้ศึกษาความเกลี้ยงแห่งจิตใจ ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่สุด
ขอฝากไว้อีกคำหนึ่งว่าขอให้ทุกคนอย่าได้เกลียดธรรมชาติ ขอให้รักธรรมชาติ พยายามเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุด ความเป็นธรรมนั้นคือความเป็นตามธรรมชาติปกติ เยือกเย็นตามธรรมชาติ เข้าไปแก้ไขเข้ามันก็ยุ่ง แต่ก็ควรจะแก้ไขในทางที่มันไม่ขัดกับหลักของธรรมชาติ เพื่อให้มันสงบยิ่งขึ้น หลักธรมะในทุกศาสนามันเป็นอย่างนี้ นี้พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาติ จึงได้ตรัสรู้โดยธรรมชาติ พระพุทธเจ้านั้นเป็นนักธรรมชาติถึงขนาดที่เรียกว่า ท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน ท่านนิพพานก็กลางดิน สอนสาวกแทบตลอดเวลา เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคำสอนทั้งหลายพูดกันกลางดิน นี่ไม่ต้องอธิบายแล้วถ้าเป็นครูแล้วต้องทราบเรื่องนี้แน่ ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดินเหมือนอย่างที่คุณกำลังนั่งอยู่กลางดิน ไม่ได้ประสูติที่โรงพยาบาลหรือในวิมานห้องหับอะไร ท่านเกิดกลางดินที่สวนลุมพินีระหว่างต้นสาละนั่น ที่ปลูกเป็นตัวอย่างต้นนั้นคือต้นสาละ ที่พระพุทธเจ้าประสูติใต้โคน ไปถ่ายรูปไว้ดูบ้างจะได้นึกถึงพระพุทธเจ้าว่าท่านประสูติกลางดิน ที่ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดินที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง ท่านประสูติกลาง ประสูติกลางดินก็ทีหนึ่งแล้ว ทีนี้พอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดินอีก ไม่ใช่บน ไม่ใช่บน บนเตียง บนวิมาน บนอะไร นั่งที่ริมตลิ่งที่โคนต้นโพธิเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็กลางดิน ควรจะขอบใจกลางดินกันบ้าง แล้วนิพพานกลางดินก็โคนต้นสาละอย่างนี้อีก ต้นสาละนี้มีสองที ท่านประสูติโคนต้นสาละ ท่านนิพพานที่โคนต้นสาละ ตรัสรู้ที่ต้นโพธิ ส่วนมากท่านอยู่กลางดินเพราะว่ากุฏิของท่านพื้นดิน อาตมาไปดูมาแล้วทุกแห่งเลยกุฏิของพระพุทธเจ้าพื้นดิน พระสูตรทั้งหลายก็ปรากฏชัดว่านั่งตรงไหนก็สอนได้ เดินทางอยู่ก็สอนได้ ถึงท่านจะสอนกันที่กุฏิมันก็นั่งกลางดินอยู่แล้ว ฉะนั้นขอให้เข้าใจการนั่งกลางทรายที่ตรงนี้ วันนี้กันเสียใหม่ว่าบูชาพระพุทธเจ้าเถอะ ไม่ใช่แก้ตัวว่าไม่มีเสื่อให้นั่ง ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง เพราะไม่อยากให้นั่งมันจะทำให้ลืมพระพุทธเจ้า ว่าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ส่วนมากท่านอยู่กลางดิน เรายินดีที่จะนั่งกลางดินกันอย่างนี้บ้างเพื่อถวายความเคารพแก่พระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า นี่อาตมาต้องพูดอย่างนี้พูดอย่างอื่นไม่เป็น ขอให้จำไว้ตลอดชีวิตด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านเกิดกลางดิน ตายกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อะไรกลางดิน แล้วเราเป็นสาวกของท่านก็พยายามอย่าให้มันขัดหลักกัน ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องใกล้ชิดธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาติ ธรรมชาติจะช่วยแวดล้อมจิตใจไปในทางที่จะออกจากความผิดทั้งหลาย มีความถูกต้องดับกิเลสได้ดับทุกข์ได้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านไม่มีรองเท้าไม่มีร่มแล้วก็จะไม่ยอมขึ้นเกวียน เพราะรถยนต์ไม่มีมีแต่เกวียนท่านก็ไม่ยอมขึ้นเกวียน ไม่เคยปรากฏว่าท่านใช้ร่มใช้รองเท้าไปสอนคนที่ไหนๆ ก็ได้ นี่คุณมารถบัสคิดดูสิ หรือบางทีมันจะยิ่งกว่ารถบัสมัง ทีนี้ท่านเดินไปกลางแดดท่านก็ไม่มีร่มไม่มีรองเท้าแล้วก็ไม่ขึ้นเกวียนเพราะว่ามันลากด้วยสัตว์มีชีวิต เป็นความนิยมของนักบวชทั้งหลายจะไม่ขึ้นยานพาหนะที่มันลากด้วยสัตว์ที่มีชีวิต เว้นไว้แต่เจ็บไข้เท่านั้นเอง ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าในความเป็นอยู่ในความเสียสละของท่าน ในฐานะที่เป็นบรมครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ เราก็เอาอันนี้มาเป็นหลักการของการจัดสวนโมกข์นี้ ขอให้รับหลักการ พูดอย่างภาษาการเมืองเพราะถ้าไม่รับหลักการของพระพุทธเจ้าแล้วจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้โดยแน่นอน จะต้องเป็นอยู่แต่พอดี ไปบ้าตามเขาว่ากินดีอยู่ดีนั้นมันไม่มีขอบเขตกินดีอยู่ดีมันเตลิดไปไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านย้ำอยู่เสมอว่ากินอยู่แต่พอดี ฉะนั้นไม่ต้องเอาเก้าอี้นวมมาให้ท่านนั่ง แล้วท่านคงจะไม่นั่งด้วย นั่งยังไงก็ได้ไม่ต้องจัดตึกจัดวิมานเหมือนกับที่ทำกันเดี๋ยวนี้ให้ท่านอยู่ เป็นอันว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติได้เท่าไร ก็ยิ่งจะรู้จักกับพระพุทธเจ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เวลาที่ท่านกำหนดให้พูดก็หมดแล้ว ฉะนั้นขออวยพรว่า ท่านทั้งหลายจงมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ของตนคือความเป็นครู ผู้เปิดประตูทางวิญญาณเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายจะได้อยู่กันเป็นผาสุก ขอให้ครูทั้งหลายมีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน จงเป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ