แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ได้ตรัสรู้ถูกถ้วนดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ภควันตัง อภิปูชยามิ ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ สวากขาโต ภควตาธัมโม พระธรรมคือศาสนาอันพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงไว้ดีแล้ว อิเมหิสักกาเรหิ ตังธัมมัง อภิปูชยามิ ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งพระธรรมเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ หมู่พระสงฆ์ผู้เชื่อฟัง ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว อิเมหิสักการหิ ตัง สังฆัง อภิปูชยามิ ข้าพเจ้าบูชา ซึ่งหมู่พระสงฆเจ้านั้น ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ(นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะนะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ) (พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ) ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ) สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ(สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ) ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ) ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ) ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ(ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ) ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ) ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ( ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ) ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ) ติสะระณะ คะมะนัง นิถิตัง อามะพันเต ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ) มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ (สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ) สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย.. สาธุ.. พรัหมมา จะโลกาธิปะตี สะหัมปะตี กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ สันตีถะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อนุกัมปิมัง ปะชัง
เพื่อนครูทั้งหลาย ขอให้ท่านสังเกตว่า อาตมากำลังพูดว่าเพื่อนครูทั้งหลาย ไม่พูดอย่างที่เคยพูดว่าท่านที่เป็นครูทั้งหลาย เพราะเดี๋ยวนี้รู้สึกว่า อาตมาก็เป็นครู ท่านทั้งหลายก็เป็นครู ก็เลยคิดว่าเป็นเพื่อนครูด้วยกัน จะได้ถือโอกาสพูดอย่างเพื่อน คือตรงไปตรงมา นี่แหละจึงไม่เรียกว่าท่านครูทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู ภิกษุสงฆ์จึงเป็นครู เพราะฉะนั้นเราก็เป็นเพื่อน และก็พูดอย่างเพื่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่เทศน์ ทั้งที่อาราธนาอย่างกับให้มีเทศน์ ขอให้ถือว่าเป็นการเทศน์อย่างเพื่อน ท่านทั้งหลายก็ทราบดีอยู่แล้วว่า อาตมาได้รับการขอร้องให้พูดถึง วิธีการสอนจริยศึกษา แก่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา นี้หัวข้อ นี้คือหัวข้อที่อาตมาได้รับขอร้อง และท่านทั้งหลายก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าให้พูดถึงสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ แก่การสอนจริยศึกษา แก่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ถ้าพูดอย่างเทศน์มันก็ลำบาก ไม่คุ้มค่าเวลา พูดอย่างบรรยายนี้สะดวกกว่า ท่านทั้งหลายควรจะทำการสำนึกไว้ในใจตลอดเวลา ว่านักเรียนกำลังสร้างปัญหาหนักในทางจริยธรรม ครูก็เลยมีปัญหาหนักในการสอนจริยศึกษา นักเรียนกำลังสร้างปัญหายุ่งยากลำบากหนักอกหนักใจ ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยก็มีความเป็นอันธพาล หลายอย่างนานาประการ เพราะทุกคนนั้นไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เพราะว่าในมหาวิทยาลัยไหน ก็ไม่มีสอนว่าคนเกิดมาทำไม ก็เอาเลย เอากันตามใจของกิเลส มีการทะเลาะวิวาท มีการทำสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของนักเรียน ทีนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงในโรงเรียนระดับต่ำ โดยเฉพาะวัยรุ่น การศึกษาสมัยนี้ไม่ได้คุ้มครองป้องกันนักเรียนหรือนิสิต ให้อยู่ในกรอบของจริยธรรม หรือศีลธรรม ปัญหามันก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทีนี้ปัญหามันก็ตกอยู่แก่ครู มันหลีกไปไหนไม่ได้ จะเป็นครูอย่างพวกท่านทั้งหลาย หรือว่าจะเป็นครูอย่างอาตมา อย่างพวกอาตมา มันก็ได้รับภาระหนักอันนี้ด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้ครูจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือสะสางปัญหาเหล่านี้ ในฐานะที่เป็นหน้าที่ มันก็มีปัญหาขึ้นมาอีกเหมือนกัน ว่าครูจะทำเพียงความจำเป็นบังคับในหน้าที่ หรือว่าครูจะทำเพราะยึดมั่นในอุดมคติของครู ทำงานเพื่อมนุษยธรรม หรือเพื่อมนุษยชาติ นี่ครูของเราก็มี เกิดมีเป็นสองพวก พวกหนึ่งทำพอสักว่าเป็นเรือจ้าง เป็นอาชีพเรือจ้าง ทำตามหน้าที่ทำเท่าที่จำเป็นบังคับ แล้วครูอีกพวกหนึ่งก็ทำด้วยชีวิตจิตใจ หรือวิญญาณของความเป็นครู เห็นแก่มนุษยธรรมไม่ได้เห็นแก่เงินเดือน นี่ครูเกิดเป็นสองพวกอย่างนี้ แล้วครูพวกไหนจะแก้ปัญหาได้ ท่านทั้งหลายเอาไปคิดดูเอง แม้ว่าการเรียกการอบรม ให้มารับการอบรมนี้ มันก็ยังมีทางที่จะมองเห็นว่า พวกหนึ่งก็มาเพราะว่าถูกบังคับ หรือว่าถูกขอแกมบังคับ พวกหนึ่งก็มาเพราะว่าอยากจะมีความรู้ความเข้าใจ เพื่อสามารถแก้ปัญหานั้นๆกันจริงๆ นี่อะไรมันเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาเสียหมดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องรู้จักสะสางปัญหา ทีละปัญหา ตามลำดับติดต่อกันไป ในการที่จะทำให้คนมีศีลธรรมมีจริยธรรมนี้ อาตมาถือว่าเป็นงานที่ยากที่สุด ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วก็ มันเป็นงานปราบผี ความไม่มีศีลธรรมไม่มีจริยธรรมนั้นมันเป็นผี ผีที่ร้ายกว่าผีตามธรรมดา ทีนี้การที่จะทำให้เลิกละ ไอ้ผีอันนี้มันเป็นงานที่ยาก เหมือนกับงานปราบผี มันยากเพราะว่ามันไม่มีตัวตน ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ตรงไหน มันมีอะไรอยู่ที่ตรงไหนนี่ ความเสื่อมเสียทางศีลธรรมนี่มันลึกซึ้งถึงขนาดนี้ เมื่อเราต้องการจะปราบผี หรือจะแก้ไขความเสื่อมทางศีลธรรมนี่ คือแก้ไขความเป็นอันธพาลทางจิตทางวิญญาณของมนุษย์น่ะ มันจะต้องรู้ไปถึงไอ้ต้นตอ ของสิ่งนี้ ว่ามันได้แก่อะไร อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องรู้ว่า นักเรียนทั้งหมดก็ดี ไอ้ครูทุกคนก็ดี คนทุกคนในโลกก็ดี กำลังพ่ายแพ้หรือกำลังตกอยู่ใต้อำนาจของอะไรนั่น ถ้าไม่รู้ข้อนี้ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขไอ้ปัญหาทางจริยธรรมได้เลย พูดกันสรุปสั้นๆไว้ทีหนึ่งก่อนว่า เรากำลังเป็นทาสของวัตถุที่ให้ความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน สะดวกสบายนี่ เรากำลังเป็นทาสของวัตถุเหล่านี้ อย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยมันก็ลืมศีลธรรม ถ้ามากไปกว่านั้นก็คือเกลียดศีลธรรม นี่คนในโลกส่วนมากกำลังเกลียดศีลธรรม เพราะว่าศีลธรมมันเป็นอุปสรรคต่อการที่เขาจะตามใจตัวเอง ด้วยความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ซึ่งเป็นกิเลส ทีนี้ถ้ามันเป็นก้างขวางคอ คนเลยเกลียดศีลธรรม แต่ไม่กล้าพูด ในใจมันเก็บไว้อย่างนั้น นี่มันเป็นอย่างนี้กันทั้งโลก ในกรณีอย่างนี้ฝรั่งเขานำหน้า คนไทยที่ตามก้น อีกตามเคย นี่มันเป็นทางที่จะให้มองเห็นได้ว่า ทำไมศีลธรรมนี่มันชนะใจคนในโลกเวลานี้ไม่ได้ แต่ว่าวัตถุนิยมนี่มันชนะน้ำใจคนทั้งโลกอย่างหลุดลุ่ย พระธรรม ศีลธรรม หรือพระเจ้า หรืออะไรก็ตามใจ ชนะน้ำใจคนเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่วัตถุนิยมกำลังชนะอย่างหลุดลุ่ย ถ้าท่านไม่เข้าใจข้อนี้อาตมาคิดว่า คงไม่สามารถที่จะแตะต้องกับการแก้ไขปัญหาจริยธรรม เอาละทีนี้เป็นอันว่าเราจะ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุด ในการแก้ปัญหาทางจริยธรรม คือตั้งใจจะแก้กันจริงๆ จะหาวิธีแก้ และโดยเฉพาะพวกเราที่เป็นครู ก็คือวิธีสอน ที่มันตรงจุดตรงปัญหา เพื่อจะแก้ปัญหาข้อนี้กันให้สุดฝีไม้ลายมือ ให้สมกับเกียรติยศของครู ขอบอกกล่าวไว้แต่เบื้องต้นนี้ว่าอาตมาจะไม่พูดถึงเรื่องพิธีกรรม พิธีรีตอง หรือว่าตัวบทบัญญัติ ศีลธรรม ซึ่งมันรู้กันจนเฟ้อแล้ว นี้ก็จะพูดกันแต่ส่วนที่มันเป็นปัญหาเท่านั้น คือว่าเราจะพูดกันถึงเรื่องวิธีแก้ปัญหาทางจริยธรรม ด้วยการสอนจริยธรรมแก่เด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาโดยเฉพาะ สิ่งแรกขอให้พิจารณาคำว่ามัธยมศึกษา มันมีอะไรแปลกๆอยู่ในนั้น คือคำว่ามัธยมมันแปลว่าเป็นกลางๆ มันจะไปข้างไหนก็ได้ นี่มันเด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง จะผิดก็ไม่ใช่ จะถูกก็ไม่ใช่ คือมันยังเป็นกลางๆ คำนี้มันมีความหมายที่ควรจะสนใจว่า ไอ้เด็กระดับมัธยมศึกษานี้ มันกำลังไม่รู้จะไปทางไหน มันไม่ยอมเป็นเด็ก แล้วมันก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ มันเลยทำความลำบากให้แก่ครู เพราะฉะนั้นครูจะต้องฉลาดกว่า จะต้องเหนือกว่า จะต้องรู้จักดึงให้มันละจากไอ้ระดับที่ไม่รู้จะไปทางไหนนี่ ให้มันไปสู่ระดับที่แน่นอนว่ามันจะต้องไปทางไหน นี่การสอนเด็กในระดับมัธยมศึกษานี้ มันมีปัญหายุ่งยากเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งอย่างนี้ ถ้าสอนเด็กเล็กๆ มันจะดีไปเสียที สอนคนโตแล้วมันก็จะดีไปเสียทีหนึ่ง ไอ้คนที่ไม่รู้ว่าจะไปข้างไหนนี่ มันก็ยากกว่า ทีนี้เราจะพิจารณากันถึงคำว่าสอน การสอนนี่มันก็มีมากอย่างหลายอย่างหลายวิธี แต่นี้เราจะเรียก จะพูดกันเฉพาะการสอนอย่างในโรงเรียน อย่างน้อยอาตมาก็เห็นว่า มันก็มีอยู่ตั้งสี่ระดับ หรือสี่ชนิด อย่างที่หนึ่งก็สอนกันอย่างเครื่องจักร หลับตาสอนก็ได้ ใช้หีบเสียงสอนก็ได้ บอกคำบอกให้จดลงไปในกระดาษแล้วก็ไปเก็บไว้เท่านั้นเอง มันไม่อยู่ในจิตใจของเด็ก มันอยู่ในกระดาษ ที่เด็กเขาเก็บไว้ นี่เรียกว่ามันเป็นการสอนอย่างเครื่องจักร อย่างที่สองครูบางคนก็สอนอย่างที่มีความคิดนึกพร้อมกันไปด้วย แต่มันเป็นความคิดนึกชั่วขณะ ไม่ได้เตรียมมาเป็นอย่างดี มันเป็น Common Sense ที่เลวเกินไป สอนตามสบาย ไม่ได้มีความคิดที่ตระเตรียม แต่ก็ค่อยยังชั่วกว่าที่สอนอย่างเครื่องจักร ให้จดใส่กระดาษไปเก็บไว้ ทีนี้อย่างที่สามนี้ก็สอน อย่างที่พอจะเรียกได้ว่าลึกซึ้ง คือรู้ถึงจิตใจของเด็ก ว่าเด็กกำลังต้องการอะไร มีปัญหาอย่างไร ก็พยายามสุดฝีไม้ลายมือ ที่จะให้ตรงกับจิตใจของเด็ก นี้ก็นับว่าดีมากอยู่ คือเป็นครูจริงๆ เสียสละมากอยู่ แต่ว่ายังมีไอ้อย่างที่สี่ ที่ว่าสอนอย่างที่รู้ลึกซึ้ง ถึงสิ่งที่แวดล้อมเด็กทุกๆอย่าง เด็กมีสิ่งแวดล้อมมากอย่าง เช่นพ่อแม่ก็แวดล้อมเด็ก ไอ้สิ่งรอบด้านนี้ก็แวดล้อมเด็ก โลกในปัจจุบันทั้งโลกนี้ก็ กำลังแวดล้อมจิตใจของเด็กอย่างลึกซึ้งแต่ว่ามองไม่เห็น พ่อแม่แวดล้อมเด็กนี้เป็นปัญหาที่ครูประสบกันมาแล้วดีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นครูก็ยังไม่ค่อยติดต่อทำความเข้าใจกับพ่อแม่ของเด็ก เดี๋ยวนี้พ่อแม่เฉไปหาวัตถุนิยม ก็ต้องประสงค์ที่จะให้ลูกนั้นน่ะเหไปทางวัตถุนิยม เอาความมีหน้ามีตาโก้เก๋ดีเด่นทำนองนั้น ไม่คำนึงถึงว่ามันจะผิดหรือจะถูก พ่อแม่เดี๋ยวนี้ชักจะเป็นเสียอย่างนี้ อยากให้ลูกสาวสวยอยากให้ลูกชายเก่ง อย่างที่ว่ามันจะมีประโยชน์เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ไม่ได้ประสงค์ไอ้ความดี ความจริง ความผิด ความถูก ความอะไร เหมือนแต่โบราณ นี้จะเกิดเป็นปัญหากระทบกระทั่งระหว่างพ่อแม่กับครูที่ว่ามันต้องการไม่เหมือนกัน มันทำลายหรือมันขัดขวางแก่กันและกัน เมื่อครูจะเอาให้มันดีจริงๆ ให้ถูกต้องจริงๆ พ่อแม่เขาจะเอาแต่ได้ เอาให้มันได้ก็แล้วกัน ให้มันได้เร็วๆด้วย พ่อแม่เป็นสิ่งที่แวดล้อมเด็กในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้ไอ้สิ่งแวดล้อมรอบๆด้านนี้ ทุกหัวระแหงรอบบ้านรอบเมืองรอบตัวนี้ มันก็แวดล้อมเด็กไปในทางที่จะให้ละทิ้งศีลธรรม จะเอาแต่ได้ แต่สนุกสนานเอร็ดอร่อย ไอ้ความดีของเขามันอยู่ที่ได้นั่น เด็กเกิดเปลี่ยนเป็นถือได้แล้วเป็นดี ไม่ใช่ดีเสียก่อนแล้วจึงได้ตามที่มันดี นี่สิ่งแวดล้อมเด็ก รอบๆตัวเด็ก ในเวลานี้มันเป็นอย่างนี้ ไม่เหมือนกับสมัยโบราณ ซึ่งเพียงชั่วห้าสิบปีมานี้มันแตกต่างกันลิบ เพราะอาตมายังจำได้ ว่าสมัยโน้นมันเป็นอย่างไร ทีนี้ไอ้ที่ว่าไอ้โลกทั้งโลกมันแวดล้อมเด็กนี่ มันลึกมากมองเห็นยาก เพราะเมื่อทั้งโลกเขานิยมกันอย่างไร ไอ้ความนิยมอันนั้นมันจะครอบงำเด็ก แล้วเด็กมันก็เห็น ได้ยิน ได้ฟังวิทยุ รูปภาพ สิ่งต่างๆว่าทั่วไปทั้งโลกนั้นเขาสนุกกันอย่างไร เขาสวยกันอย่างไร เขาเล่นกันอย่างไร มันเห็นแต่ภาพโฆษณาที่น่าตื่นตาตื่นใจทั้งนั้น บริษัทการบินนี่เป็นตัวการอย่างยิ่ง ที่ออกไอ้สมุดชักชวนนำเที่ยวโฆษณาอะไรก็ล้วนแต่ ยั่วให้เด็กมันอยากจะไปเที่ยวอย่างนั้นบ้าง ตั้งแต่เล็กๆเลย ทีนี้บริษัทโฆษณาทุกๆชนิด มันก็มีอย่างนี้ ทั้งแม้แต่อยู่ไกลกันคนละโลก คนละมุมโลกมันก็ยังมาถึงกันได้ ที่จะทำให้เด็กสร้างวิมานในอากาศ ล้วนแต่ในทางวัตถุนิยมทั้งนั้น นี่มันก็แวดล้อมเด็กลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะฉะนั้นครูจะต้องรู้ถึงไหม ว่าอะไรที่มันแวดล้อมเด็ก ทุกๆอย่างที่มันแวดล้อมเด็ก ปั้นจิตใจของเด็ก มันต่อต้านไอ้คำสั่งสอนของครู นี่การสอนมันจึงเกิดมีหลายระดับอย่างนี้ ซึ่งทบทวนได้อีกทีหนึ่งว่า สอนอย่างเครื่องจักรตามหน้าที่บังคับเพราะได้รับเงินเดือน และก็สอนด้วยความคิดนึกชั่วขณะ พร้อมกันไปในเวลานั้น และก็สอนอย่างรู้ลึกซึ้งถึงจิตใจของเด็ก และอันสุดท้ายก็สอนอย่างรู้ลึกซึ้งถึงสิ่งที่แวดล้อมเด็กๆนั้นทุกอย่างทุกประการทุกวิถีทางเลย อาตมาคิดว่าควรจะสนใจ และถ้าจะสอนกันในลักษณะที่สี่ คือให้มันถูกต้อง ตามสิ่ง ตามปัญหาที่มันมีอยู่แล้วก็จะต้องได้ทราบถึงข้อเท็จจริงในโลกนี้อีกหลายอย่างหลายประการทีเดียว อาตมาเห็นว่าควรจะเอามาพิจารณากันแม้ว่ามันจะเสียเวลาบ้าง มันเป็นความจำเป็น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาศึกษากันถึงปัญหาข้อนี้ ครูจะต้องทราบถึงไอ้มูลเหตุหรือต้นเหตุ หรือสิ่งแวดล้อมที่ลึกลับที่มองเห็นยากนั้น อย่างทั่วถึงในทุกๆแง่ ทุกๆ มุม นี่ข้อแรกอาตมาอยากจะพูดว่า งานหนักที่สุดมันมาตกอยู่กับผู้ที่เป็นครู ถ้าพูดอีกทีหนึ่งก็ว่าครูนี่แหละเป็นผู้รับบาป คือไอ้งานหนักทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับคนนี่ มันมาตกหนักอยู่ที่ครู ข้อนี้เป็นเพราะว่ามันมีการทำผิดโดยไม่รู้สึกตัว ไม่รู้ตัวนี่ มาตั้งแต่อาจารย์คนแรก คำว่าอาจารย์คนแรกนี้ช่วยจำไว้ด้วย ในภาษาพุทธศาสนานี้ก็หมายถึงพ่อแม่ เขาเรียกว่า บุพพาจะโย (นาทีที่27.55) อาจารย์คนแรกนั้นคือพ่อแม่ ทีนี้ทำผิดโดยไม่รู้สึกตัวมาแต่พ่อแม่ แล้วจะไปโทษพ่อแม่ก็ไม่ได้ โดยเฉพาะพ่อแม่สมัยนี้เพราะแกก็ไม่รู้สึกตัว เพราะแกก็ไปเล่าไปเรียนมาอย่างที่เรียกว่า จะตามก้นพวกฝรั่งนี่ มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นทุกที ไม่ ไม่ ไม่เหลียวดูไปทางไหนแล้ว หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็นิยมวัตถุมากขึ้นทุกทีได้แล้วเป็นดี ดีหรือชั่วจริงๆนั้นไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้าว่าได้แล้วก็เป็นดี ถือศาสนาได้แทนที่จะถือศาสนาดี นี่บุพพาจารย์หรืออาจารย์คนแรกมาเป็นเสียอย่างนี้ มันก็เป็นต้นเงื่อนที่ทำความลำบากยุ่งยากให้แก่อาจารย์คนที่สองที่สามที่สี่ที่ห้า แล้วบาปมันก็มาตกหนักอยู่แก่ผู้ที่เป็นครู ที่อยู่ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย เพราะโรคร้ายมันร้ายเกินกว่าที่จะรักษาได้ แล้วมันก็มาหาหมอ แล้วจะทำอย่างไร จะไม่รักษาก็ไม่ได้ จะรักษาก็ดูว่ามันไม่รู้ว่าจะรักษาให้หายได้อย่างไร ถ้าเด็กมันเสียหลักในทางจิตในทางวิญญาณมาเสียแล้วตั้งแต่ทีแรกนี่ นี่ขอฝากไว้อย่างยิ่งแก่บุคคลบางคนที่ชอบหัวเราะเยาะคำว่าวิญญาณ เมื่ออาตมาพูดถึงคำว่าวิญญาณทีแรกๆแล้ว เต็มไปด้วยการถูกหัวเราะเยาะ คำแรกดูเหมือนจะพูดว่าครูคือผู้นำทางวิญญาณ ในปทานุกรมสันสกฤตก็แปลไว้ว่า ครูคือ Spiritual guide แปลว่าผู้นำทางวิญญาณ พอพูดอย่างนี้ก็มีคนหัวเราะมีคนล้อ นักศึกษาเขาโง้งๆในกระทรวงศึกษาธิการนั่นแหละ ล้อด้วยเหมือนกัน แล้วก็ยังมีคนอื่นอีกมากที่ล้อคำว่าวิญญาณ เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังพูดว่า มันต้องมีเรื่องทางวิญญาณ โรงมโหรสพทางวิญญาณเช่นตึกหลังนี้ เราต้องมีแสงสว่างทางวิญญาณควบคู่กันไปกับเทคโนโลยี ชีวิตของคนสมัยนี้จะเจริญแต่ทางวัตถุหรือทางร่างกาย หรือทางเทคโนโลยีไม่ได้ จะต้องมีไอ้ Spiritual enlightenment คือแสงสว่างทางวิญญาณนี้คู่กันไปด้วย มันจึงจะเป็นคน ไม่งั้นมันจะเป็นควายหรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้เรื่องคำว่าวิญญาณ หรือ Spiritual นี้กันซะบ้าง เดี๋ยวนี้ปัญหามันไปสรุปอยู่ที่ตรงนี้น่ะ คือมันขาดแสงสว่างทางวิญญาณมาตั้งแต่พ่อแม่ แล้วเด็กมันก็เป็นโรคไอ้ชนิดนี้ขึ้นมา งานหนักก็เลยมาตกอยู่ที่ครู ที่จะรักษาเด็กผู้เต็มไปด้วยโรคทางวิญญาณมากมายเกินระดับที่ควรจะเกิด เด็กสมัยก่อนไม่เป็นโรคทางวิญญาณมากอย่างนี้ แล้วปัญหามันไม่ค่อยหนัก เดี๋ยวนี้มันเป็นโรคทางวิญญาณติดมาแต่บ้าน นี่มากถึงขนาดนี้ ปัญหามันก็หนัก งานหนักก็มาตกอยู่ที่ครู แล้วระดับที่สามความรับผิดชอบมันก็ไปตกอยู่ที่รัฐบาล ก็ช่วยกันด่ารัฐบาล ประโคมคำด่าทั้งหลายลงไปยังรัฐบาล เพราะว่าไม่สามารถทำให้อันธพาลตามถนนหนทางนี่มันน้อยลง แม้แต่บนรถเมล์กลางวันแสกๆในเมืองหลวง มันก็ยังมีอันธพาล แล้วรัฐบาลก็เป็นผู้รับผิดชอบ แล้วผลร้ายมันก็ไปได้แก่ประชาชนทั้งประเทศ หรือว่าทั้งโลกก็แล้วกัน คนดีก็พลอยได้รับ คนชั่วก็พลอยได้รับ คนชั่วก็เดือดร้อนแล้วคนดีก็เดือดร้อน เวลานี้นะ ขอให้ไปสังเกตดู แล้วจะมีใครเหลือสำหรับที่จะไม่เดือดร้อน นี่คือข้อเท็จจริง ซึ่งส่วนใหญ่มันกำลังเป็นอย่างนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นแก่ทุกคน แต่ว่าส่วนใหญ่มัน ส่วนมากมันกำลังเป็นอย่างนี้ เอาล่ะทีนี้เขายกไอ้หน้าที่แก้ไขนี้เอามาโยนให้กับพวกครู ก็รวมทั้งอาตมาด้วยนะอย่าลืม เราก็มีภาระที่เรียกว่ายิ่งกว่าภาระ แต่ก็ทิ้งไม่ได้ แต่ก็ปัดไม่ได้ มันก็ต้องพยายามกันไปตามความสามารถ ควรจะมองดูข้อเท็จจริงหรือสิ่งแวดล้อม ที่มันเป็นข้อเท็จจริงอยู่ในเวลานี้ เกี่ยวกับจริยธรรม ครูจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ถ้าสมมุติว่าครูนั่นแหละเป็นผู้มัวเมาในวัตถุนิยมเสียเอง เห็นแก่เงิน เห็นแก่วัตถุ เห็นแก่อะไรเสียเอง แล้วจะแก้ไขโรคหลงใหลในวัตถุได้อย่างไร ถ้าครูหลงใหลในวัตถุจนหมดสิ้นเจตนารมณ์ หรือสปิริตของความเป็นครู แล้วก็ลองคิดดูว่า จะมาพูดกันทำไมถึงเรื่องการแก้ไขจริยธรรมของเด็ก นี่ครูจะต้องยืนให้ได้ จะต้องยืนอยู่บนขาของตัวเองให้ได้ ว่าครูต้องเป็นครู ครูต้องเป็นครู หรือว่าครูต้องเป็นปูชนียบุคคล ครูไม่ใช่ลูกจ้าง ครูไม่ใช่เรือจ้าง ครูไม่ใช่อะไรทำนองนั้น ครูต้องเป็นครู เอาความหมายที่ถูกต้องนั้น มันเป็นปูชนียบุคคล ผู้อยู่ อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของประชาชน เดี๋ยวนี้น่าเศร้า น่าร้องไห้ ที่ว่าครูไม่อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของประชาชน เมื่อสมัยอาตมาเป็นเด็กๆ ครูถูกเทอดทูนไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทุกคน เขาจะเคารพครูเหมือนกับสถาบันในสววรค์สูงสุดอย่างนั้นแหละ ถ้าใครว่าครูแล้วมันก็จะยกมือขึ้นแสดงความเคารพ โดยไม่ ไม่ต้องเป็นครูของตัวโดยเฉพาะหรอก พอเอ่ยชื่อว่าครูแล้วทุกคนมันจะแสดงอันใดอันหนึ่งออกมาเป็นการแสดงความเคารพ เพราะว่าสถาบันของครูนั้นมันสูงสุดมันศักดิ์สิทธิ์มาก พอได้ยินว่าครูเท่านั้นแหละทั้งคนแก่ ทั้งคนหนุ่ม ทั้งเด็กๆ จะรู้สึกในจิตใจไหวไปตามความหมายของคำว่าครู คือต้องเคารพ คำว่าครูนี้แปลว่าผู้ที่คนอื่นจะต้องทำความหนัก คือเคารพ เดี๋ยวนี้คำว่าครูไม่มีความหมายอย่างนี้ซะแล้ว เด็กๆดูถูกครู อย่าว่าแต่คนโตๆด้วยกันเลย เด็กๆก็ชักจะจัดครูไว้ในฐานะอะไรก็ไม่ทราบ บางทีจะจัดไว้ในฐานะเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเสียมากกว่า นี้เราก็เรียกว่าสูญเสีย Motive หรือสูญเสียอะไรที่สำคัญที่สุด ที่เราจะใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ไอ้ความเคารพนับถือ ไอ้ความเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์นี่ มันเป็น Good will เป็น Motive เป็นอะไรเหล่านี้มันหายไปหมด ไม่เหมือนกับสักเมื่อห้าสิบปีมาแล้ว เลยปฏิบัติหน้าที่ของครูชนิดนี้น่ะยาก มันเลยกลายเป็นอะไร ก็ไม่ทราบ จะเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่จะเป็นลูกจ้างก็ไม่เชิง นี้เด็กๆมันมองครูในลักษณะอย่างนี้ ไอ้เด็กที่มีจิตใจดี นับถือครูอย่างครูนั้นหายากเข้าทุกที จนจะเรียกว่าหาทำยายาก มันมีแต่เด็กๆที่ตามๆ ตามกันไป จัดครูไว้ในฐานะอะไรก็ไม่รู้ แล้วทีนี้เอ่ยคำว่าครูนี้มันชักจะ ทุกคนมันเฉย หรือมันไม่รู้สึกสะเทือนใจอะไร สมัยก่อนคำว่าครูเหมือนกับผู้วิเศษหรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ ครูพูดอะไรมีคนฟัง ครูต้องการอะไรมีคนสนใจเอื้อเฟื้อ แม้ว่าออกจากราชการแล้วนี่มันก็ยังเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงไหว้ครู จึงมีวันครู เป็นวันสถาบันของครูในโลก ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ นี่มัน มันทำให้เกิดความยากลำบากสูงสุดขึ้นมาแก่การการปฏิบัติหน้าที่ครูในเวลานี้ ทั้งครูที่เป็นฆราวาสและทั้งครูที่เป็นพระ อย่างอาตมาเป็นต้น แล้วทีนี้ก็จะแนะให้เห็นข้อต่อไปอีกว่า เวลานี้การแก้ไขปัญหาทางศีลธรรมนี้ นับว่าเป็นการกระทำที่สายที่สุด ที่สายที่สุดคงจะฟังถูกกระมัง มันสายเหมือนกับว่ามันเพิ่งจะกระโต๊กกระต๊ากกันขึ้นเมื่อไฟไหม้ถึงหลังคาแล้ว นี่เรียกว่ามันสายที่สุด พอมันนอนหลับอยู่ ไฟไหม้ถึงหลังคาแล้วจึงตื่น เอะอะๆขึ้นมา แล้วจะดับไฟ ทีนี้ไอ้การแก้ไขปัญหาทางศีลธรรมอยู่ในลักษณะอย่างนี้ คือมันสายถึงขนาดที่ว่า ไฟขึ้นถึงหลังคาแล้ว ข้อนี้อาตมาก็หมายถึงไฟคือวัตถุนิยม คือวัตถุนิยมนี่ครอบงำจิตใจของมนุษย์ในโลกถึงขนาดหนักแล้ว ขนาดที่เรียกว่าไหม้ถึงหลังคาแล้ว คนจึงค่อยรู้สึกตัว ทั้งนี้เพราะว่าไอ้วัตถุนิยมนี้มันเป็นสิ่งที่ประหลาด หรือว่ายุ่งยากลำบากที่สุด คือมันเข้ามาอย่างผี ไอ้วัตถุนิยมหรือ Materialism นี่มันเข้ามาหามนุษย์ หรือเข้าไปในจิตใจของมนุษย์นี่ มันเข้าไปอย่างผี คือมันมองไม่เห็นตัว ถ้าเรียกว่าผีนะ ข้อแรกก็หมายความว่ามันมองไม่เห็นตัว แล้วมันแสดงแต่ภาพลวงชนิดที่ยั่วยวนที่สุดเลย นี่ถ้ามันแสดงไอ้อะไรออกมา มันแสดงไอ้ภาพลวง มันไม่ใช่ตัวจริง ฉะนั้นเราไม่ได้เห็นตัวจริง เราเห็นแต่ภาพลวง เป็นภาพลวงชนิดที่ทำให้ทุกคน สมัครใจที่จะเป็นทาสของมัน มันจึงเข้าไปเป็นทาสของผีวัตถุนิยม โดยไม่รู้สึกตัว นี่เรียกว่ามาอย่างผี เหมือนกับที่อาตมาพูดทีแรกว่า มันเป็นงานที่ยากลำบากที่สุด คืองานปราบผี มันจับตัวมันไม่ค่อยจะได้ แล้วมันก็ คนเป็นทาสของวัตถุนิยม มันเหมือนกับผีสิง มันไล่ออกไปลำบาก วัตถุนิยมเป็นเหมือนกับผี แล้วไม่แสดงตัวที่แท้จริง แสดงตัวที่ทำให้คนสมัครใจเป็นลูกน้อง เป็นบริวารของมัน มันก็เลยขึ้นมาครองโลกทั้งโลก อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ทุกคนกำลังเป็นทาสของวัตถุนิยม คือเป็นลูกสมุนของผีตัวนี้ โดยไม่รู้สึกตัวตามมากตามน้อย นี้เรียกว่าคนส่วนมากในโลก แล้วก็ระวังให้ดี ที่กำลังจะเป็นก็มีอยู่มาก ที่เป็นเต็มที่แล้วก็มีอยู่มาก แล้วอาตมาก็ไม่ได้ยกเว้นหรอก แม้แต่พระแต่เณร นี่เดี๋ยวจะว่าเอาเปรียบ พูดตรงๆเลยว่าแม้แต่พระแม้แต่เณรก็เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นแต่อุบาสกอุบาสิกา หรือชาวบ้าน เป็นอันว่าทุกคนหรือทุกฝ่ายนี่ส่วนใหญ่นี่ สมัครที่จะเป็นทาสของวัตถุนิยม ไม่มากก็น้อยนะ คืออยากดีอยากสวยอยากรวยอยากสนุกสนานสบายเอร็ดอร่อย ในสิ่งที่ไม่จำเป็น กลับไปถึงบ้านแล้วไปจดบัญชีดู อะไรในบ้านน่ะมีทั้งหมดจำเป็นทุกสิ่งหรือเปล่า มีสิ่งอะไรไม่จำเป็นแล้วก็ขืนเอามามีกับเขาด้วย นี่กลับไปบ้านแล้วก็เอากระดาษดินสอมา จิตใจยุติธรรมสุจริต แล้วก็จดบัญชีสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น อะไรควรกินอะไรไม่ควรกิน อะไรควรใช้อะไรไม่ควรใช้ นี่จะทำให้รู้จักไอ้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มากขึ้น แล้วเดี๋ยวนี้คนส่วนมากยิ่งมีการศึกษาดีเท่าไร ยิ่งเห็นว่าอันนี้จำเป็น ยิ่งเห็นว่าสิ่งที่ไม่จำเป็นน่ะเป็นของจำเป็น บูชาเทคโนโลยี อาตมานั่งอยู่ที่นี่แทบทุกวันน่ะ นั่งเถียงกันเรื่องนี้ กับพวกครูบาอาจารย์บัณฑิตนักปราชญ์ที่เขามาที่นี่ เพื่อจะมาเถียงว่าเทคโนโลยีจำเป็นเทคโนโลยีจำเป็น ศีลธรรมไม่จำเป็น อาตมาว่าไม่ใช่อย่างนั้น อย่าพูดไอ้อะไร พูดโกหกน้ำขุ่นๆอย่างนั้นสิ อาตมาบอกว่ามันต้องไปคู่กัน เหมือนกับควายสองตัวลากแอกลากไถอันเดียวนั่น ไม่ได้บอกว่าเทคโนโลยีไม่จำเป็น ความสบายสะดวกในทางวัตถุไม่จำเป็น มันก็จำเป็นแต่ว่าเอาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีจิตใจที่อยู่ในศีลในธรรม มีแสงสว่างนี้คู่กันไปด้วย ให้จำไว้ว่าต้องเทียมด้วยควายสองตัว ด้วยวัวสองตัว ด้วยม้าสองตัว ลากรถไปจึงจะเรียบร้อย เอาแต่เทคโนโลยีนี้มันไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันหลงเทคโนโลยีซึ่งให้ผลเป็นวัตถุ เป็นความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ เมามายทางวัตถุ จนบ้านเรือนของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็น ขอให้มองข้อนี้กันก่อน ทีนี้พอไปมองเข้า อ้าว ตายแล้ว มันจมลึกลงไปถึงคอจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว คือจมลงไปในวัตถุนิยมนี่ นี่อาตมาใช้คำว่ามันสายมากทีเดียว ในการที่จะแก้ไขไอ้ปัญหาทางศีลธรรม ไอ้คนทั้งโลกก็กำลังเป็นอย่างนี้กันหมด พวกฝรั่งก็นำหน้า ประเทศเราก็ตามก้นฝรั่ง จนเลยหน้าฝรั่งไปอีก น่าหัวไหม ไปตามก้นเขาแต่ไปเลยเขาไปอีก เพราะว่าเรามันเพิ่งพบ เพิ่งหลง ไอ้เขามันก็พบมานานแล้ว เราไปตามก้นเขาแล้วชิงออกหน้าด้วย ปัญหามันจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร นี่คือสิ่งที่ต้องดูกันก่อน เดี๋ยวจะว่าไม่เข้าเรื่อง พูดนอกเรื่อง อาตมายืนยันว่านี้ไม่นอกเรื่อง เพราะว่าถ้าอันนี้ไม่รู้แล้วก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาทางจริยธรรม ทีนี้จะให้ดู ไหนๆก็ดูขึ้นมาแล้วก็อยากจะให้ดูให้มันละเอียดลงไปถึงว่า ในความก้าวหน้าทางวัตถุนั้น มันมีความล้มเหลวทางจริยธรรมอย่างน่าพิศวงที่สุด หรือจะพูดว่าไอ้ความก้าวหน้าของโลกนี้คือความล้มเหลว พูดแล้วจะฟังไม่ถูก เพราะว่าทุกคนมีความรู้สึกอย่างคน แล้วก็พูดว่าจะสร้างความดี สร้างความเจริญ สร้างสันติภาพ แล้วก็อุตส่าห์พยายามที่จะสร้างด้วยการศึกษาการค้นคว้าการประดิษฐ์ การกระทำให้เกิดความเจริญ แต่พอสิ่งที่เป็นความเจริญเกิดขึ้นมันกลับทำลายจิตใจของมนุษย์มีความตกต่ำทางศีลธรรม นี้ต้องถือว่ามันเป็นความล้มเหลวของความเจริญ หรือความก้าวหน้า ซึ่งที่แท้มันเป็นเพียงความก้าวหน้าแต่ในทางวัตถุ มันไม่ก้าวหน้าพร้อมกันไปทั้งสองอย่างคือทั้งในทางจิตใจด้วย นี่ขอให้ดูสักนิดหนึ่งว่า ไอ้ความก้าวหน้าในโลกเวลานี้ทุกชนิดกำลังเป็นความล้มเหลว ไม่ใช่ความก้าวหน้า มันก้าวหน้า มันเจริญ มันงอกงาม มันวิ่งไปทีเดียว แต่มันเป็นความล้มเหลวของความหวัง ที่จะได้สันติภาพ ความเจริญนี้กลับกลายเป็นไอ้เรื่องตรงกันข้ามกับสันติภาพ เป็นข้าศึกเป็นอุปสรรคของสันติภาพ การศึกษาก็อย่างที่เห็นๆกันอยู่นี่ ถ้าไปตามก้นฝรั่งมันก็เจริญแต่ทางวัตถุ และเดี๋ยวนี้ยิ่งลำบากยุ่งยากขึ้นเพราะว่ามันเชี่ยวชาญเฉพาะคนเท่านั้น กลายเป็นว่าคนหนึ่งทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเอง เชี่ยวชาญเฉพาะวิชาเชี่ยวชาญเฉพาะคน มันก็ได้แต่เป็นครูเฉพาะในส่วนนั้น แล้วเป็นครูอย่างลูกจ้าง ให้วิชานั้นเฉพาะในแง่นั้น ไม่สามารถจะให้ความสว่างไสวทางจิตใจได้เลย นี่ มันก็เลยมีแต่ครูอย่างนี้กันไปทั้งโลก มันก็มีแต่เรื่องวัตถุ นี่ การศึกษามันล้มเหลวอย่างนี้ เรียนจบกี่ครั้งกี่หนก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เรียนจบสิบมหาวิทยาลัย ดีกรียาวเป็นหางก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี่คือการศึกษาในโลกปัจจุบันมันล้มเหลวในการที่จะแก้ปัญหาทางจริยธรรม แล้วมันจะเพิ่มกำลังให้แก่ทางฝ่ายวัตถุ ให้วัตถุก้าวหน้าให้วัตถุมีอิทธิพลมากขึ้น ทีนี้พูดถึงการค้นคว้า การศึกษาและค้นคว้า เขาก็ค้นคว้าไปแต่ตามความประสงค์ของกิเลสที่ต้องการวัตถุ ไม่มีใครค้นคว้าว่ามนุษย์เกิดมาทำไม ไม่มีใครค้นคว้าปัญหาทางจริยธรรม หนังสือหนังหาแต่ละเล่มละเล่มออกมาน่าเลื่อมใส น่าบูชาในความพากเพียรพยายาม รอบรู้ สุขุม รอบคอบ แต่หนังสือนั้นมันไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ได้พูดเรื่องที่มนุษย์ต้องการ มันเป็นพูดเรื่องวิชาอะไรบางอย่างอย่างใดอย่างหนึ่งละเอียดละออ การค้นคว้าทำอย่างน่าเลื่อมใส แต่เป็นไปในทางวรรณคดีล้วนๆ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีจริยธรรม ในเมืองไทยนี่ หนังสือบางเล่มดีมาก แต่เป็นผลงานค้นคว้าทางวรรณคดี ทางประวัติศาสตร์ ชนิดที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ศีลธรรม โบราณคดีที่เฟ้อจะไม่เป็นประโยชน์แก่ศีลธรรม เราไปเสียเวลาอย่างนั้น เพราะว่าการทำอย่างนั้นมันเป็นไอ้ทำวิทยานิพนธ์รับปริญญาเอก ถ้าจะมาค้นคว้าว่าคนเกิดมาทำไม อะไรเป็นอย่างไรนี้มันไม่ได้รับปริญญาเอก แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย แล้วก็ไม่ชอบทำด้วย นี่การค้นคว้าทางวิชาก็เป็นอย่างนี้ เสียเป็นส่วนใหญ่ ทีนี้ถ้าพูดถึงการประดิษฐ์มันก็อย่างเดียวกันอีกแหละมันจะประดิษฐ์แต่สิ่งที่จิตใจเป็นทาสของวัตถุนิยมแล้วต้องการ เพราะฉะนั้นจึงเห็นเขาประดิษฐ์ ก้าวหน้าถึงขนาดว่าไปโลกพระจันทร์ได้ แต่ไม่สามารถทำให้เด็กกลางถนนนี่ สุภาพเรียบร้อยได้ นี่ความก้าวหน้าในทางประดิษฐ์นี่ยังจะไปอีกมากไปอีกไกลไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ คงจะไปกันได้ทุกโลกทุกดวงดาว แต่ทำให้เด็กกลางถนนนี่เป็นคนสักหน่อยก็ไม่ได้ คือยังมีภาวะที่น่าสลดใจสังเวชเต็มไปหมดทั้งโลก โลกนี้ ทั้งที่เขาจะไปโลกอื่นกันได้ ทีนี้ความก้าวหน้าไอ้อย่างที่มันมีความมุ่งหมายเฉพาะเช่นการทหารอย่างนี้ ก็ลองคิดดูสิว่ามันก้าวหน้าทำไม มันก็ก้าวหน้าเพื่อจะฆ่ากันตายให้มันมากขึ้น ก็ดีเหมือนกันช่วยทำความสมดุลกับการแพทย์ ในการแพทย์มันช่วยชีวิตคนไว้ได้มาก ให้การสงครามมันมีมากขึ้นเพื่อฆ่าให้ตายเสีย ให้มันพอมีความสมดุลกันบ้าง เมื่อก่อนเขาใช้โรคระบาดเป็นเครื่องทำความสมดุลแก่ปริมาณของมนุษย์ในโลก เดี๋ยวนี้โรคระบาดมันหายไปเพราะการแพทย์มันเจริญ มันก็เลยมาเพิ่มไอ้ทางสงครามนี้ให้มันมากๆเข้า มันจะได้สมดุลไปตามเดิม ไม่เต็มโลกไม่ล้นโลกเร็วนัก ทีนี้อะไรก็ใช้เทคโนโลยีกันทั้งนั้นแหละ แม้แต่จะกินข้าวก็จะต้องใช้เทคโนโลยีแล้ว มันก็บูชาไอ้เครื่องมือที่ให้เกิดความสำเร็จทุกอย่างทุกประการ มีความก้าวหน้าทุกอย่างทุกประการ ทั้งการฆ่ากันตายทีละมากๆ นี้คงจะมีดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแหละ คือจะได้ฆ่ากันตายทีละมากๆยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน การเศรษฐกิจก็ก้าวหน้า ได้ยินแต่ประชุมเรื่องเศรษฐกิจทุกประเทศและบ่อยที่สุด แต่แล้วผลของมันก็คือความปั่นป่วนมากกว่าเดิม แต่ละประเทศก็ต้องการเอาเปรียบมากกว่าแต่ก่อน การประชุมทางเศรษฐกิจก็คือทำความยุ่งยากมากกว่าเดิม ปัญหาเรื่องกรรมกรแรงงานนี้กำลังทำกันอย่างที่เรียกว่าเอาจริงเอาจัง ในอนาคตมันกลัวมาก บางประเทศนี่ ขึ้นอยู่กับไอ้กรรมกร มีปัญหาเรื่องกรรมกรมาก ก็แม้จะจัดอย่างไร มันก็ยิ่งกลายเป็นเหมือนกับยิ่งยุ หาความสงบสันติภาพไม่ได้ มันจะถึงยุคที่ว่ากรรมกรมันจะครองโลกขึ้นมาบ้างแล้ว มันก็เลยเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำความยุ่งยากลำบากมากที่สุด นี่เป็นตัวอย่างที่พอแล้วสำหรับการก้าวหน้าของสิ่งต่างๆทุกอย่างทุกประการนะ ยกเว้นอย่างเดียวคือการศีลธรรม หรือการศาสนาไม่ก้าวหน้า ไม่มีทางจะก้าวหน้า เรื่องของศาสนาเรื่องของศีลธรรมไม่มีทางจะก้าวหน้า แล้วมิหนำมันกลับตรงกันข้าม คือถอยหลังหรือยุบตัวลงไป หรือกระทั่งว่าต้องไปเดินตามก้นตามหลังไอ้วัตถุนิยม นี่กำลังนอนแขม่วๆเป็นอัมพาตอยู่ ที่อาตมาพูดว่าศาสนากำลังนอนเป็นอัมพาตนี้บางคนจะไม่เข้าใจ เพราะไปคิดว่าการปริยัติก็เจริญ การก่อสร้างอะไรก็เจริญ อะไร สัญลักษณ์ของศาสนาก็เจริญ แต่แล้วมันก็เจริญเพียงสัญลักษณ์ ตัวศาสนาแท้จริงอยู่ที่ไหนทราบไหม ไอ้ตัวศาสนาที่แท้จริงมันก็คือ ตัวการกระทำที่กำจัดกิเลสได้ นั่นแหละคือตัวศาสนาที่แท้จริง ถ้าไม่มีการกระทำชนิดที่กำจัดกิเลสได้ ก็ยังไม่มีตัวศาสนา ทีนี้พอไป ไปเหลียวดูไอ้การกระทำที่จะกำจัดกิเลสหรือว่ามีศีลธรรมดีนี้ มันน่าใจหาย มันไม่ก้าวหน้า มันไม่ก้าวหน้าเพราะมันถูกละเลย ถูกทอดทิ้ง ถูกบีบบังคับให้ไปอยู่ตามก้นของวัตถุนิยม กระทั่งว่าในวัดในวานี่มันก็เต็มไปด้วยวัตถุนิยม พระเณรก็เลยไปเป็นลูกน้อง ไปเป็นสมุนของไอ้วัตถุนิยม เจ้าหน้าที่ทางศาสนานั้นเองกลายเป็นวัตถุนิยมไป มันก็ก้าวหน้าแต่รูปร่างภายนอกหรือสัญลักษณ์ ไอ้ตัวแท้ของศาสนานั้นนอนอัมพาต ไม่อาจจะทำอะไรได้ตามหน้าที่ของศาสนา ขอให้ช่วยพิจารณาสักหน่อยที่ว่า ศาสนากำลังไม่สามารถทำหน้าที่ของศาสนาได้ เป็นอัมพาต ถูกกำจัด ถูกจำกัดหรือถูกกำจัดทั้งสองอย่างนี่ บีบคั้นโดยวัตถุนิยม เพราะว่ามนุษย์ทั้งหมดเขาไปหลงใหลในวัตถุนิยม ก็เลยจัดให้ศาสนาไม่มีความจำเป็นไม่มีความหมายพระเจ้าตายแล้ว ธรรมะสำหรับคนโง่ คนไม่สามารถนี่ ความคิดอย่างนี้มันเกิดขึ้น แม้ว่าในทางฝ่ายวัตถุมันจะก้าวหน้าบ้างเหมือนกัน มีสถาบัน มีอะไร มีการวิ่งเต้น มีการเคลื่อนไหว วี๊ดว๊ายไปกับเขาด้วยเหมือนกันแหละ ทำเหมือนกับการเมืองเหมือนกันแหละ แต่มันเป็นเรื่องเปลือกทั้งนั้น มันไม่เป็นตัวแท้ของศาสนา ตัวแท้ของศานานอนอัมพาตอยู่ แล้วสัญลักษณ์ของมันก็เที่ยววิ่งว่อนไปได้ทั่วโลก นี้เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ถ้ามอง ถ้าไม่มองแล้วจะไม่เห็น ถ้ามองแล้วก็จะเห็นว่า ไอ้สิ่งที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจนั้นหมดกำลัง ทีนี้เราก็มามองดูปัญหาของเราว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจริยธรรมหรือศีลธรรมนั้นมันเป็นเรื่องอะไร คือมันเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นขั้นหนึ่งของศาสนา คือเป็นเรื่องทางจิตใจ เมื่อไอ้ส่วนใหญ่คือตัวศาสนามันเป็นอัมพาตนั้น ศีลธรรมมันก็พลอยกระจอกงอกง่อยไปตาม เวลานี้มันหมือนกับว่านอนเป็นอัมพาต นอนกลอกตาดิ้นกระด๊อกกระแด๊กอยู่บนที่นอน ไปไหนไม่ได้ แม้ว่าไอ้ผิวไอ้เปลือกไอ้สัญลักษณ์มันจะวิ่งว่อนไป แม้ว่าพระไตรปิฏกจะถูกพิมพ์ขึ้นทุกภาษาก็เถอะ มันก็ไม่เป็น เป็นความจริงที่ว่า ไอ้ตัวศาสนามันจะเจริญได้ มันเว้นไว้แต่ว่าคนเข้าใจแล้วไปปฏิบัติ เมื่อยังไม่เรียนพระไตรปิฏกกันมากเสียอีก คนยังมีศีลธรรมดี เพราะว่าเขากลัวบาปก็พอแล้ว เขาหวังจะได้บุญก็พอแล้ว พอมีการศึกษาทางอักษรศาสตร์ วรรณคดี คือพระไตรปิฎกก้าวหน้าขึ้น มันกลายเป็นประมาทมากไปเสีย อย่างเดี๋ยวนี้ นี้เรียกว่าปัญหามันยากเหลือเกิน มันซับซ้อนเหลือเกิน ความก้าวหน้าทุกอย่างมันล้มเหลว ล้มเหลวในทางที่จะสร้างสันติภาพ แล้วศาสนาที่เป็นสิ่งที่จะสร้างสันติภาพจริงๆ ก็ถูกทอดทิ้งถูกเหยีบย่ำเลย ให้พระเจ้าตายแล้ว ให้ศาสนาไม่จำเป็น นี่แล้วผลมันก็เกิดขึ้นอย่างที่เพิ่มความยากลำบากให้แก่พวกเราที่เป็นครู เกิดความจำใจ จำเป็นจำใจที่ศาสนาหรือองค์การศาสนาหรือสถาบันศาสนานี่ จะต้องผ่อนผันตามความประสงค์ของสถาบันทางการเมืองเป็นต้น แม้แต่ว่าทางเศรษฐกิจนี้ พวกอาเสี่ยจะมาดึงพระไปทำอะไรก็ได้นี่ คุณก็เห็น นี่ อาตมาก็ไม่ต้องพูดดีกว่า คืออะไรมันอยู่ใต้อิทธิพลของวัตถุนิยม ไปเดินตามก้นวัตถุนิยมโดยไม่รู้ตัวก็มี โดยรู้ตัวแท้ๆก็มี แต่ว่าถูกบังคับก็มี มันหมดกำลังที่จะต่อต้าน แล้วปัญหามันก็เกิดหนักขึ้นมากขึ้นไปอีกเกี่ยวกับจริยธรรม แล้วเขามาบอกว่าพวกครูช่วยที พวกครูช่วยที ช่วยแก้ไขปัญหาทางจริยธรรม ทางศีลธรรม มันก็น่าหัวเราะ แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่ไอ้เราก็หลีกไม่ได้ เราก็ต้องพยายามไปตามความสามารถ เอาละทีนี้จะมองกันกว้างๆหน่อยว่าไอ้ความก้าวหน้า ความเจริญ ความก้าวหน้าที่บูชากันนักในโลกนี้ ที่คนไทยทุกคนไปตามก้นฝรั่งนั้นมันจะมีผลอย่างไร คือว่าความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทางวัตถุ อย่างวิ่งหรือบินไปในเวลานี้ในโลกนี้ มันมีผลอะไรเกิดขึ้น อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง ว่าเดี๋ยวนี้กำลังก้าวหน้ามากนะ ก้าวหน้าจริงๆนะ นี้ไม่ต้องอธิบายนะ คือว่าไปโลกพระจันทร์หรือจะไปอะไรต่อกันไปอีก ในทางวัตถุในทางส่วนบุคคล หรือว่าส่วนรวมมันเป็นความเจริญก้าวหน้า เดี๋ยวนี้เราอยู่ในระดับที่เรียกว่าสูงมากทีเดียวในความเจริญก้าวหน้า แต่แล้วมันเป็นไปเพื่อทำให้เรานี่เกลียดพระเจ้ายิ่งขึ้น ความเจริญสูงสุดในโลกเวลานี้ทำให้เราเกลียดธรรมะเกลียดศาสนา เกลียดพระเจ้ายิ่งขึ้น ถึงกับพวกฝรั่งเขาพูดกันว่าพระเจ้าตายแล้ว โดยเฉพาะพวกฝรั่งหนุ่มๆที่มาที่นี่เสมอๆ นี่ จะใช้คำพูดอย่างนี้หน้าเฉยตาเฉย พระเจ้าตายแล้ว ผมไม่ถือศาสนาอะไร นี่ ฝรั่งหนุ่มๆว่าอย่างนี้ ผมไม่ถือศาสนาอะไร ไม่มีศาสนาอะไร แล้วมาทำไมมาสนใจพุทธศาสนาก็ว่าเผื่อว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง อย่างนี้คนไม่ยอมมีศาสนา นี่ความเจริญสูงสุดของมนุษย์ในโลกมีขึ้นเพื่อให้คนเกลียดศาสนาหรือเกลียดพระเจ้ามากขึ้นอีกทางหนึ่งมันก็ทำให้ได้มีการคุมกำเนิดเพิ่มขึ้น นี้ทางนี้ก็มองดูสิ ความเจริญของโลกทุกๆวิถีทาง มีกระทั่งถึงการแพทย์การอะไรนี่ มันก็เจริญเพื่อให้เราต้องคุมกำเนิดกันมากขึ้นเร็วขึ้นอย่างด่วนจี๋ แล้วทำความยุ่งยากมากขึ้น จะเรียกว่าเป็นส่วนดีหรือส่วนร้ายก็ตามใจ แล้วทีนี้มันก็ทำให้ จะสามารถทำสงครามฆ่าฟันกันคราวละมากๆได้ยิ่งขึ้น ถ้าไม่มีความเจริญอย่างเดี๋ยวนี้น่ะ เราไม่สามารถฆ่ากันคราวละหมื่นละแสนได้หรอก เดี๋ยวนี้เรามันเจริญ เพราะฉะนั้นเราจึงมีมือที่สามารถฆ่าเพื่อนมนุษย์กันคราวละหมื่นละแสนละล้านก็ได้ ต่อไปในอนาคต แล้วทีนี้มันทำให้เรานี่มีความเป็นอยู่อย่างผิดธรรมชาติยิ่งขึ้น ข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับคำพูด ที่เราเจริญกันมากมายในโลกนี้ มันจะทำให้เราเป็นอยู่ชนิดที่ผิดธรรมชาติมากขึ้น นี่มนุษย์จะเป็นอะไรถ้ามันผิดธรรมชาติมากขึ้น มันจะมีโรคภัยไข้เจ็บแปลกประหลาดออกไป นี่ ยิ่งเรายิ่งเป็นอยู่ผิดธรรมชาติ เราก็ยิ่งมีจิตใจชนิดที่สงบยาก เราไม่ เราไม่ทำตัวให้ธรรมชาติช่วยเหลือเราได้เลย ฉะนั้นใจคอที่จะปกติจะสงบ จะสงบอย่างธรรมชาตินี้มันก็หวังไม่ได้ นี่เราก็เลยมีความเจ็บไข้แปลกออกไปแปลกออกไป ชนิดที่ท้าทายหมอน่ะ ให้หมอไล่ให้ทันก้นที ความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์เป็นอย่างนี้ ทีนี้ดูอีกทางหนึ่ง ว่าไอ้ความเจริญของโลกในเวลานี้ มันก็เพื่อทำลายวัตถุมีค่าในแผ่นดินโลกนี้ให้หมดเร็วขึ้น คือถ้าเราอยากเจริญกันมากถึงขนาดนี้ เราคงไม่ทำลายของมีค่าในแผ่นดินของโลกนี้ให้หมดเร็วขึ้น เราเอาน้ำมันนี่มาใช้ในทางที่ไม่จำเป็นน่ะมากเท่าไร เอาสินแร่เอาวัตถุอะไรต่างๆในแผ่นดินมาใช้โดยไม่จำเป็นน่ะมันมากเท่าไรจนมันจะหายากไปทุกที ถ้าอยู่อย่างพอดีพอดีแล้วมันไม่ ไม่ถลุงกันมากอย่างนี้ เพราะฉะนั้นความเจริญที่พรวดพราดควบคุมไม่อยู่นี่ จะทำของมีค่าในแผ่นดินของพระเจ้านี่ให้มันหมดไปเร็วขึ้น แล้วมันจะทำให้ดินน้ำลมไฟของธรรมชาตินี่สกปรกมากขึ้น เราเอาวัตถุธาตุนี่ ประกอบด้วยดินน้ำลมไฟนี่ จากความเจริญอย่างของมนุษย์สมัยนี้ ทำสิ่งเหล่านี้ให้สกปรกมากขึ้นให้ปั่นป่วนมากขึ้น ให้น่าเกลียดน่าชังน่าระอามากขึ้น แผ่นดินของโลกนี้จะมีแต่ความสกปรกน่าเกลียดน่าชังน่าระอามากขึ้น ปล่อยไว้ตามธรรมชาติสมัยหินยังจะดีกว่า ที่มันเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ไอ้รกรุงรังไปหมดนี่ คนบางคนว่าดีว่าวิเศษว่าเจริญ แต่แล้วน่ะมันมาจากไอ้อะไรก็ลองไปคิดดู มันมาจากความละโมบโลภลาภ มาจากความอยากเป็นใหญ่เป็นโต มาจากความทุจริตคดโกงที่ไม่ผิดกฏหมายที่จะมาสร้างสิ่งเหล่านี้ให้มันเต็มโลก เพราะฉะนั้นจึงถือว่าไอ้ทำดินน้ำลมไฟในโลกนี้ให้มันไม่น่าดูยิ่งขึ้น ให้เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมมากขึ้น แต่ว่ามันไม่ร้ายเท่ากับที่ว่า ทำให้มนุษย์นี่ มันเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ ไอ้ความเจริญของมนุษย์นี้ มันทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายเพราะว่าเห็นแก่ตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ถ้าเจริญน้อยเห็นแก่ตัวน้อย ถ้าเจริญมากเห็นแก่ตัวมาก พอมีความเจริญมากมันก็เบียดเบียนผู้อื่น โดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง ไอ้เบียดเบียนโดยอ้อมใต้ดินนั่นแหละมันเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า เพราะมันเป็นความคดโกงมากเกินไป ไอ้ต่อสู้กันซึ่งหน้า เบียดเบียนกันซึ่งหน้านี้ ยังเรียกว่ายังยุติธรรม เกิดใช้อิทธิพลใต้ดิน เช่นพวกคนรวยกระทำแก่คนจนอย่างนี้น่ะเป็นความดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า ทีนี้ความเจริญมันก็ทำให้ไอ้มนุษย์เรานี้มีความดุร้ายอย่างสัตว์ป่าน่ะมันมากขึ้น มันเป็นทาสของวัตถุนิยมมากขึ้น เป็นเครื่องวัด เป็นปรอทเครื่องวัดว่าเดี๋ยวนี้นะไอ้ความเป็นทาสของวัตถุนิยมมันมากขึ้น ทีนี้มันก็แน่นอน มันกำลังวิ่งไปหามิคสัญญีนี่เร็วขึ้น ไอ้มิคสัญญีที่จะล้างผลาญกันอย่างไม่เห็นแก่หน้าใครนี่น่ะ เขาเรียกว่ามิคสัญญี แปลว่าฆ่ากันเหมือนกับฆ่าเนื้อฆ่าปลานี่เรียกว่ามิคสัญญี ยุคมิคสัญญีนี่จะมาถึงเร็วขึ้น ในเมื่อมีความเจริญแบบนี้ ความเจริญอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ มันกระตุ้นให้ไปถึงไอ้มิคสัญญีเร็วขึ้น และขอสรุปความว่า ในที่สุดมันก็ทำให้ผีได้หัวเราะเยาะมนุษย์ มากขึ้น นี่มันจะทำให้ผีได้หัวเราะเยาะมนุษย์นี่มากขึ้น ให้ผีหัวเราะคนมากขึ้น ผีมันยังอยู่อย่างเดิมนี่ มันอยู่ปลายไม้อยู่ในก้อนหินในแผ่นดิน ในอะไรมันยังอยู่เท่าเดิม แล้วไอ้คนมันวิ่งไปสู่ความบ้าหลัง ไปหามิคสัญญีเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นผีก็หัวเราะเยาะคนมากขึ้น บางทีไอ้สุนัขนี่ถ้ามันหัวเราะได้มันก็จะหัวเราะเยาะมากขึ้นเหมือนกัน เพราะสุนัขยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรกี่มากน้อย ยังมีความผาสุกเหมือนเดิม แต่คนนี่ มีความยุ่งยากลำบากเพิ่มขึ้นร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่า เท่ากับที่ว่าไอ้ความก้าวหน้าความเจริญของยุคปัจจุบันมันก้าวหน้าอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่อาตมาอยากจะให้เพื่อนครูทั้งหลายนี่คิดดู ที่ว่าเราจะต้องทำความเข้าใจในต้นเหตุของความเสื่อมเสียศีลธรรมจริยธรรมในโลก มันคือสิ่งนี้ มันคือความเจริญอย่างหลับหูหลับตาไม่ดูหน้าใครในทางวัตถุ ไม่เหลียวมองในทางด้านจิตด้านวิญญาณนั่น ปัญหามันอยู่ที่นั่น แล้วก็ทอดทิ้งพระเจ้า ทอดทิ้งพระธรรม ทอดทิ้งศาสนา ศาสนาเหลือแต่เปลือกสำหรับจะกัดกัน ศาสนาที่มันไม่ใช่ตัวศาสนาแท้ มันเหลือแต่คนที่มีกิเลส นั่นศาสนาของมึง นี่ศาสนาของกู กูดีกว่าของมึง มึงดีกว่าของกู กำลังวิวาทกันในระหว่างศาสนาเลยหมดที่พึ่งเลย แปลว่าศาสนาก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ ถ้าศาสนามัวแต่รังเกียจเกลียดชังกันในระหว่างศาสนา แล้วก็พูดไปผิดๆนะ ว่าศาสนาอื่นผิดทั้งนั้นนอกจากศาสนาของเราศาสนาเดียว นี่มันหลับตาพูดด้วยความโง่ ที่จริงศาสนาทุกศาสนาเขามีมาสำหรับจะแก้ปัญหานี้โดยตรง เพราะว่าทุกศาสนาจะทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหนไปดูเถอะ ให้เห็นแก่พระเจ้า แล้วอย่าเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่พระเจ้าแล้วเบียดเบียนใครไม่ได้ คนที่ถือพระเจ้าแล้วไปเบียดเบียนคนอื่นนั้นมันคนไม่มีศาสนา มันมีศาสนาแต่ปาก นั่นมันถือพระเจ้าผีสางอะไรมากกว่า ถ้ามันถือพระเจ้าจริงมันจะเบียดเบียนใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกศาสนาดีเหมือนกันหมด ในการที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์คือไม่เห็นแก่ตัว แต่ว่าระดับนั้นมันจะเท่ากันไม่ได้ หรือว่ามันจะทำในวิธีการเดียวกันไม่ได้ ใช้วิธีการหลายอย่างแต่ความมุ่งหมายเหมือนกันหมด คือจะทำลายความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เมื่อไม่บูชาเนื้อหนังก็เห็นแก่ธรรมะเห็นแก่ศาสนา เห็นแก่ศีลธรรม มันมีเท่านั้นเอง ที่ปัญหายุ่งยากอยู่เวลานี้ เพราะฉะนั้นดูความเจริญที่เราจะไปพลอยบูชาเขา ไปตามก้นเขานั้นให้ดีๆ ว่ามันจะเป็นอะไรแก่เรา แก่โลก แก่มนุษย์ เอ้าทีนี้ก็ดูกันต่อไปอีกที่มันเนื่องๆกัน คือผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของการศึกษา อาตมาอยากจะระบุลงไปว่ามันเป็นความผิดพลาด ของผู้จัดการการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ อย่ามองแคบๆว่าแต่ในประเทศไทย หรือว่าของเราในเมืองไทย ให้มองทั้งโลก เมืองไทยไม่ต้องมองก็ได้ เพราะกำลังไปตามก้นฝรั่ง ไปมองฝรั่งดีกว่า จะได้มองทีเดียวทั้งโลก ว่าการศึกษานี่มันถูกจัดไปในลักษณะที่เป็นความผิดพลาดทั้งนั้น พูดแล้วไม่น่าเชื่อแต่เป็นความจริงที่สุด ว่าการศึกษาทั้งหมดทั้งโลกนี้มันอยู่ในกำมือของคนคนเดียว คนคนเดียวนั้นคืออะไร ก็คือคนที่มีอำนาจในทางวัตถุนิยม มันมีอำนาจใน ในหลายๆอย่างหลายทาง การเศรษฐกิจ การทหาร การเมือง การประดิษฐ์ การอะไรต่ออะไร มันมีอำนาจในทางวัตถุนิยมอย่างนี้แล้ว มันจะบันดาลการศึกษาของโลกทั้งโลกให้เป็นอย่างไรก็ได้ เพราะคนทั้งโลกมันชอบที่จะเจริญอย่างนั้น มันก็ไปตามก้นกันหมดเป็นพวงเป็นหางไปเลย ไอ้ชาติไหนมันนำหน้า มันก็ไปตามก้นการศึกษาของชาตินั้น เรียกว่าการศึกษามันอยู่ในกำมือของคนคนเดียว ฟังแล้วก็ไม่น่าเชื่อ การศึกษาของโลกเหมือนกันทุกประเทศ คือมุ่ง มุ่งผลความเจริญทางวัตถุแก่ประเทศของตนของตน แล้วสมัครยอมให้ศาสนาเดินตามก้น จัดศาสนาไว้เดินตามหลังไอ้วัตถุประสงค์ทางโลกๆ เอาศาสนาเป็นอุปกรณ์ประดับเกียรติ มันกลายเป็นอย่างนี้แหละ เรียกว่าการศึกษามันผิดพลาด คือไปเป็นทาสของวัตถุนิยม เลยเป็นว่าการศึกษาทั้งหมดทั้งโลกนี่ เพื่อผลเป็นทางวัตถุ เอร็ดอร่อยเจริญก้าวหน้าทางวัตถุกินดีอยู่ดี ไม่ถือตามหลักของศาสนาที่ว่ากินอยู่แต่พอดี ถ้าถือตามหลักของพระพุทธเจ้าต้องว่ากินอยู่แต่พอดี มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ถ้าถือตามพวกบ้าวัตถุนิยมแล้วกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต มันยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปยิ่งขึ้นไป กินดีอยู่ดี มีตึกหลายหลัง มีรถยนตร์หลายคัน มีอะไรมากมาย นั่นแหละแล้วกินดีอยู่ดี การศึกษาในเวลานี้มันมุ่งหมายการกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต ไม่มุ่งหมายความกินอยู่แต่พอดี เพราะฉะนั้นศีลธรรมมันจึงเสื่อม แล้วก็ไปเทอดทูนไอ้สิ่งลามกอนาจาร นี่ที่มุมโลกบางมุมในปัจจุบันนี้น่ะ มันบูชาสิ่งลามกอนาจารเป็นของสูงสุด นี่เราก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่เรื่อยๆ แล้วมันจะมีมากขึ้น นี่ เพราะว่ามันเป็นทาสของไอ้วัตถุนิยมมากขึ้น การศึกษามันก็จัดไปเพื่อเทอดทูนสิ่งลามกอนาจาร รวมความสักทีหนึ่งว่า ต้นเหตุสำคัญนี่มันกำลังอยู่ที่โรคระบาดของวัตถุนิยม ต้นเหตุแห่งปัญหายุ่งยากของพวกเราที่เป็นครูทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มันอยู่ที่โรคระบาดของวัตถุนิยม การศึกษาในโลกปัจจุบันมันเป็นการศึกษาที่กำลังเดินไปผิด มันตั้งต้นผิด แล้วมันเดินไปผิด มันหันหลังให้ธรรมะให้ศาสนา ให้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ ไปเอาเรื่องทางเนื้อหนังอย่างเดียว ทีนี้ผู้จัดการศึกษาของโลกมันเป็นทาสวัตถุนิยมเสียแล้ว มันเกิดมาอย่างเด็กอมมือ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแต่ความเจริญอย่างวัตถุนี่ก็เลยบัญญัติการศึกษาบัญญัติปรัชญาของการศึกษา บัญญัติอะไรๆของการศึกษานี่ เพื่อวัตถุนิยมทั้งนั้น เพราะว่าเขาเกิดมา ลืมตาขึ้นมาในโลกที่มันมีวัตถุนิยมตำตา ็ Hgl,kvmmvmvmmzmnmznvnhvbbnvbbvjajkanvnmmnnnhjHhhhGGGGggg gggg็็า้JJJJJKXLKXKXCKCNZNZLJNCBCBเเglfkkf รู้จักกันแต่เพียงเท่านั้น นี่ตะวันตกเป็นอย่างนี้ ตะวันออกก็ไปตามก้นเขา ศาสนามากมายที่เคยเกิดในตะวันออก ก็เลยเป็นลูกไล่ของวัตถุนิยม นี่พระศาสดาของทุกๆศาสนากำลังถูกทอดทิ้ง นี่ขอเตือนอีกทีหนึ่งนะว่า เผื่อบางท่านจะไม่นึก หรือลืมเสียแล้วว่าศาสนาทุกศาสนาเกิดทางฝ่ายตะวันออก ซีกโลกตะวันออก คริสเตียน อิสลาม ปาตีย์ (นาทีที่75.22) ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอะไรต่างๆ กระทั่งศาสนาขงจื๊อ เล่าจื๊อ มันล้วนแต่เกิดในทางตะวันออก ในเมื่อตะวันตกมันยังเป็นป่าเถื่อน ทีนี้ตะวันตกมันพรวดพราดขึ้นไปรุ่งเรือง สดใสทางวัตถุนิยม ทางตะวันออกไปตามก้นเข้า นี่ศาสนามันก็อับแสง คือดับรัศมี ไปเป็นทาสของวัตถุนิยม ปัญหาจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ เท่าที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างนี้ อาตมารู้สึกว่ามันจะพอสมควรแล้ว ที่เราจะพิจารณาถึงต้นเหตุของไอ้ความเสื่อมทางศีลธรรม และอุปสรรคของการแก้ไขปัญหาทางศีลธรรม ว่าครูนี้ได้รับภาระหนักเหลือเกิน ไอ้โลกทั้งโลกมันเป็นโรคชนิดที่ร้ายกาจเต็มขนาด แล้วเรามารู้สึกตัวเมื่อสายเสียแล้ว หรือเมื่อไฟขึ้นถึงหลังคาบ้านแล้ว ว่าเมื่อไฟไหม้ถึงหลังคาบ้านแล้ว มันก็หมายความว่า มันยังเหลืออยู่ไม่กี่เปอร์เซนต์ ที่ว่าโลกนี้จะรอดไปได้ ถ้ามันเกิดดับได้ มันก็รอดไปได้ ถ้ามันเกิดดับไม่ได้มันก็หมด เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะดึงศาสนากลับมานี่ มันยังเหลืออยู่บ้างเท่านั้นแหละ โอกาสที่เราจะดึงจริยธรรมศีลธรรม กลับมาหาเด็กนี่ มันเหลืออยู่บ้างเท่านั้นแหละ ไม่ใช่มันหมดทีเดียว แต่ว่าถ้าเปรียบเทียบแล้ว มันเหมือนกับว่าไฟไหม้ถึงหลังคาแล้ว จะทำกันอย่างไร มันก็ทำเล่นอยู่ไม่ได้ มันต้องทำจริง ไอ้ดึงเอาส่วนที่ยังเหลืออยู่บ้างนั้นน่ะกลับมาให้ได้ แล้วก็มานั่นกันใหม่ การที่จะเพ่งเล็งไปยังเด็กนี้ก็ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กมัธยมศึกษาที่แปลว่ายังกลางๆอยู่ ดูว่ามันจะมีเหตุผลอยู่ ที่ว่าจะมุ่งหมายเด็กมัธยมศึกษา ที่ยังเป็นกลางๆอยู่นี่ให้มาก เพราะฉะนั้นการตั้งหัวข้อว่าจะแก้ไขจริยธรรม ของนักรียนระดับมัธยมศึกษานี้ เป็นคำพูดที่น่าฟัง แต่ว่าขอให้มุ่งหมายกันให้จริงจัง แล้วพยายามกันให้จริงจัง ให้สำเร็จประโยชน์ แล้ววิธีการ ทีนี้จะพูดถึงการที่ว่า จะจัดการกับเด็กๆนี้อย่างไร อยากจะให้สนใจกับพระพุทธภาษิต ที่ตรัสไว้ตรงๆว่า ไอ้ลูกที่ดีที่สุดนั้นคือลูกที่เชื่อฟัง ทีแรกพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า ลูกมีสามชนิด คือลูกที่ดีกว่าพ่อแม่ ลูกที่เสมอกับพ่อแม่ ลูกที่เลวกว่าพ่อแม่ แต่แล้วกลับตรัสปฏิเสธในตอนท้ายว่า ลูกที่ดีที่สุดคือลูกที่เชื่อฟัง คือว่ามันจะดีกว่าพ่อแม่หรือเลวกว่าพ่อแม่ หรืออะไรก็ตาม ถ้ามันไม่เชื่อฟังแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ให้มันดีวิเศษกว่าพ่อแม่สักเท่าไร ถ้ามันไม่เชื่อฟัง แล้วไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่ามันเพียงแต่จะไม่เอื้อเฟื้อกับพ่อแม่ มันจะใช้ความดีความฉลาดของมันนั่นแหละ ทำลายตัวมันเองและทำลายผู้อื่น โดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นผู้เชื่อฟังแล้วมันปลอดภัย จะโง่อย่างไรมันก็ทำผิดไม่ได้ เพราะพ่อแม่ห้ามไว้ และมันเชื่อพ่อแม่ เพราะฉะนั้นลูกที่ดีกว่าพ่อแม่ หรือว่าเลวกว่าพ่อแม่ หรือเสมอกับพ่อแม่ก็ตามแหละ ถ้าเชื่อฟังแล้วเป็นปลอดภัย เราจึงมีหลักเป้าหมายที่ว่าเราจะทำเด็กๆให้เชื่อฟังก่อน แต่มันก็มาปะทะกันเข้ากับปัญหาว่า เดี๋ยวนี้เด็กมันไม่ยอมเชื่อฟัง เราจะสามารถทำให้เด็กเชื่อฟังไหม นี่ก็ขอให้คิดถึงไอ้อุปสรรคข้อเท็จจริงต่างๆที่กล่าวมาแล้ว อย่างยืดยาวข้างต้นนั่นแหละว่าอะไรมันเป็นเหตุที่ทำให้เด็กๆไม่ยอมเชื่อฟัง เด็กๆมันเป็นบ้าผีสิงไปแล้ว มันไม่ยอมเชื่อฟัง เราจะทำอย่างไรมันจึงจะเปลี่ยนมาเป็นเด็กที่เชื่อฟัง นี่เป็นปัญหาอันแรก แล้วก็ถือตามหลักของพระพุทธเจ้าว่า ถ้ามันมีลูกที่เชื่อฟัง แล้วปัญหามันก็จะหมดได้ ในโลกของเรานี้ เดี๋ยวนี้เราดูจะไม่ชอบลูกที่เชื่อฟังกระมัง เราจะชอบลูกที่โก้ ที่หรู ที่สวย ที่ขายได้แพงกระมัง นี่มันจะเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า มันเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาทุกที ถ้ามันมีเชื่อฟัง ปัญหามันก็หมดในทางจริยธรรม ในทางศีลธรรม เรามีแต่การไม่เชื่อฟังกันมากขึ้น ลูกเด็กๆก็เริ่มไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ทีนี้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชามากขึ้นในโลกนี้เวลานี้ แม้ในบ้านเรานี่ ทีนี้เมื่อคนโตๆที่เป็นลูกใต้บังคับบัญชา ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชายิ่งขึ้น ไอ้เด็กๆมันก็เอาอย่าง มันก็ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่มากขึ้น มันจึงเต็มไปแต่ด้วยคนที่ไม่เชื่อฟัง ทีนี้ประชาธิปไตยที่มันไม่ถึงขนาดนั่นแหละ มันมีส่วนช่วยให้เกิดความไม่เชื่อฟัง ประชาธิปไตยบ้าๆบอๆในโลกนี้ มันมีส่วนที่ทำให้คนไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณ นี่เราก็ไปหลงประชาธิปไตยอย่างหลับหูหลับตา ไม่รู้ว่ามันชนิดไหนกัน ไปหลงไอ้คำพูดเพราะๆว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน แล้วก็ไม่รู้ว่าประชาชนผีหรือประชาชนมนุษย์ ถ้ามันเป็นประชาชนวัตถุนิยมไปหมดแล้ว มันคือประชาชนผี แล้วมันก็จะชวนกันเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ก็เลยสะดวกที่ว่าทุกคนจะเห็นแก่ตัว ประชาธิไตยของผู้ที่เห็นแก่ตัว แล้วต่างคนต่างก็มีสิทธิที่จะเห็นแก่ตัว แล้วก็แย่งกันเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำลายผู้อื่น ด้วยความเห็นแก่ตัว นี่ เป็นประชาธิปไตยบ้า ประชาธิปไตยผี ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับอาตมาเอง ตะโกนบอกหลายหนแล้วว่า ถือธรรมาธิปไตย ตามแบบพระพุทธเจ้า ไม่ถือประชาธิปไตยหรอก แล้วจะจับไปฆ่าไปแกงอย่างไรก็ตะโกนว่า ไม่บูชาประชาธิปไตย แต่ว่าบูชาไอ้ธรรมาธิปไตย คือความดี ความจริง ความถูกต้อง ถ้ามันมีแล้วจะใช้วิธีการไหนก็ได้ จะใช้วิธีการประชาธิปไตย หรือเผด็จการหรือยิ่งกว่าเผด็จการก็ได้ แต่ขอให้มันมีธรรมาธิปไตย คือนิยมศาสนา นิยมพระเจ้า นิยมธรรมะ นิยมไอ้ความถูกต้อง ไม่นิยมวัตถุ ไม่นิยมความเป็นทาสของวัตถุ นี่มันพัวพันถึงกันไปหมด ถึงระบบการปกครอง การเป็นอยู่อะไรของโลกมนุษย์ ที่ทำให้ปัญหาทางจริยธรรมเกิดขึ้น มันแก้ปัญหาต่างๆได้ อย่างเหมือนกับเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว ว่าด้วยการเชื่อฟัง คำพูดนี้ถูกต้องที่สุด แต่มันเหมือนกับเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว ใครจะเป็นคนทำได้ที่ว่าจะทำให้เด็กทุกคนมันเชื่อฟัง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีทางเลือก เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องดันทุรังกันไป ในการที่จะทำให้เด็กเชื่อฟังก่อน แล้วจึงจะอบรมอะไรกันต่อไป อาตมาจึงจะพูดถึงวิธีการสอนเด็กๆของเรา ทีนี้เราก็มองดูเด็กๆของเรา ว่าเด็กๆของเรานี่กำลังไม่รู้จักศาสนา พูดอย่างนี้ใครจะคัดค้านก็ตามใจ ว่าเด็กๆของเราส่วนใหญ่ส่วนมากที่สุดนั้น ไม่รู้จักศาสนา รู้จักแต่สัญลักษณ์ของศาสนา ธงศาสนามีกี่สี มีโบสถ์ มีวิหาร มีเจดีย์ มีพระพุทธรูป มีพระเครื่องที่แขวนอยู่ที่คอ นี่ว่าเป็นศาสนา อย่างนี้ก็เรียกว่ามันก็รู้กันแต่ไอ้สัญลักษณ์ของศาสนา ไม่รู้จักตัวศาสนา ก็เลยไม่มีอะไรที่จะเป็นหลัก ที่แท้จริงสำหรับจะยึดเหนี่ยว ให้เดินไปในทางของความถูกต้อง มันมีบ้างที่ว่าจะยึดพระเครื่องที่แขวนคอถ้าเขายึดถูกว่าอย่าทำชั่ว ทำแต่ความดี นี้มันก็ดี แต่ทีนี้เขายึดว่าใครยิงกูไม่ออก ใครฟันกูไม่เข้า กูก็จะทำอะไรตามชอบใจกู นี่ แม้ว่าเขาจะไปบูชาพระในวิหารในอะไรก็มันมีความคิดนอกทาง อย่างดีที่สุดก็ว่าให้สอบไล่ได้ แล้วก็ไปขี้เกียจเสีย มันเป็นเรื่องถือศาสนาผิดฝาผิดตัว จะต้องแก้ไขกันในข้อนี้ก่อน คือว่าให้เด็กเขารู้จักตัวศาสนา แล้วเขาจะเกิดความเชื่อฟังขึ้นมา ดูที่เด็กวัด เด็กวัดสมัยนี้อยู่วัดเพราะจำเป็น เด็กวัดสมัยนี้น่ะอยู่วัดเพราะจำเป็น ใจมันไม่อยากอยู่วัดหรอก แต่มันจำเป็นที่ต้องไปอยู่วัด ไปอาศัยพระพอได้มีโอกาสเล่าเรียน เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทีนี้พระนี่ก็รับเด็กวัดเพราะความจำเป็น ไม่ใช่รับเพราะว่าจะสอนเด็กให้ถึงศาสนา บางทีก็เพราะอยากจะได้ประโยชน์จากการรับเด็กวัดนั้นด้วยซ้ำไป เด็กๆมันก็เลยคดโกงเป็นนิสัย อยากจะเอาเปรียบ เอาเปรียบคดโกง ต่อการเล่าเรียน การสอบไล่ การอะไรมันคดโกงไปหมด เด็กๆนี้มันใช้เงินเปลืองเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก หลอกลวงพ่อแม่ทั้งที่อยู่ในวัดอยู่กับพระนี่ เด็กสมัยก่อนว่ามันโบราณหน่อยก็จริง แต่มันไม่เป็นอย่างนี้เลย การเข้าไปอยู่วัด อย่างอาตมาไปอยู่วัดนี่ มันเหมือนกับเข้าไปเกิดอยู่ในโลกใหม่เลย ออกจากบ้านไปอยู่วัดนี่ เหมือนเข้าไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งน่าชื่นใจ มันสนุกสนานพอใจที่จะอยู่ในวัด ไม่ใช่อยู่ด้วยความจำใจอย่างเดี๋ยวนี้ เด็กสมัยก่อนนั้นมันกลัวบาปเท่ากับกลัวผี เด็กสมัยนี้ไม่กลัวทั้งบาปทั้งผี กลัวผีบ้างก็ยังดี ถ้าไม่กลัวบาป เด็กสมัยอาตมากลัวบาปเท่าๆกับกลัวผี เพราะฉะนั้นก็เลยกลัวทั้งสองอย่าง ทีนี้เด็กไอ้สมัยก่อนนั้นมันรักดี มันรักดีเท่ากับรักได้ เด็กสมัยนี้มันรักแต่ได้ มันไม่รักดี ถ้าเป็นเด็กสมัยก่อนมันรักดี เท่าๆกับมันรักได้ มันรักจะได้ เด็กสมัยก่อนนี่ มันกลัวตายเท่ากับกลัวการถูกลงโทษ เด็กสมัยนี้มันจะกลัวตายหรือมันจะไม่กลัวตายก็ได้ แล้วมันไม่กลัวการถูกลงโทษ ไอ้เรานี่กลัวถูกลงโทษเท่าๆกับกลัวตายทีเดียว ถ้าเราอยู่วัดสมัยก่อนเราเรียนนิดเดียว แต่เราทำงานมาก เด็กวัดสมัยอาตมานี่ เรียนนิดเดียวแหละวันหนึ่งน่ะแต่ทำงานมาก ทีนี้ทำงานมากเท่าไรก็ทำลายความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น เด็กสมัยอาตมาโง่มากแต่เป็นอันธพาลน้อย เด็กสมัยนี้มันฉลาดมาก มันฉลาดมากมันไม่โง่มากหรอก แต่มันเป็นอันธพาลมาก เพราะฉะนั้นเอาข้างโง่มากแต่เป็นอันธพาลน้อยไว้ดีกว่า สมัยโน้นศีลธรรมเกิดอยู่ในการเป็นอยู่ในวัด เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นศีลธรรมจริง อยู่ที่กาย วาจา ใจ เดี๋ยวนี้ศีลธรรมอยู่แต่ในกระดาษ ที่เด็กจด สมัยก่อนอาตมาไม่ต้องจด เป็นเด็กๆไม่ต้องจดข้อศีลธรรม มันอยู่ในใจ สมัยนี้ศีลธรรมมันอยู่ในกระดาษที่เด็กๆจด มันก็เลยเป็นไปไม่ได้ เอาละ ยังอีกนิดเดียวจะจบ ฝนจะตกก็ลองทน ทีนี้ก็มาถึงไอ้วิธีการสอนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นความมุ่งหมายของการบรรยาย วิธีการที่จะสอนเด็กระดับมัธยมศึกษานี้ ชั่วเวลาเล็กน้อยนี้ แล้วช่วยพูดไปตามความเห็นของอาตมานี้ มันก็มีอยู่บ้าง จะไม่พูดอย่างเอามะพร้าวมาขายสวน เพราะว่าสิ่งที่พวกครูรู้อยู่แล้วมันไม่จำเป็นจะต้องพูด นี่ก็พูดหัวข้อเท่าที่นึกได้ ก็คือว่าเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่จะสอน จะต้องคำนึงถึงคำพูดที่จะใช้ จะต้องคำนึงถึงกิริยาท่าทางที่จะสอน และจะต้องคำนึงถึงการทำตัวอย่างที่ดี จะต้องคำนึงถึงความรักที่เรามีต่อเด็กๆ ที่หนึ่ง เรื่องที่สอน อย่าไปสอนในรูปอักษรศาสตร์ หรือวรรณคดี ให้มันมากเกินไปเหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้าจะสอนศีลธรรม จะแก้ไขทางศีลธรรมนั่น จะต้องสอนให้รู้จักการปฏิบัติที่ว่า เราจะอยู่กันสะดวกสบายในสังคมอย่างไร จะสอนจนให้เห็นว่า ไอ้ปฏิบัติตามศีลธรรมนี้มันจำเป็นสำหรับมนุษย์ มนุษย์ที่จะเป็นมนุษย์นี่ จะต้องอยู่ในศีลธรรม มิฉะนั้นมันไม่ใช่มนุษย์ รวมความแล้วก็เริ่มสอนให้รู้ว่าเกิดมาทำไมนี่ ไปตั้งแต่เล็กๆจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ถ้าข้อนี้ไม่รู้ข้ออื่นจะเหลวหมด นี่เรียกว่าเรื่องที่สอนว่า สรุปแล้วว่าศาสนานี่มันเป็นสิ่งที่คู่กันกับมนุษย์ เป็นของจำเป็นแก่ชีวิต หรือเป็นตัวชีวิตเสียเอง ให้เด็กเห็นว่าธรรมะนี้คือตัวชีวิตนั่นเอง เด็กเล็กๆก็ให้เข้าใจไปตามภาษาเด็กเล็กๆ ให้เห็น ให้ถือ ให้ยอมรับ ให้เชื่อ ว่าพระธรรม หรือพระเจ้า หรือศาสนานี้ คือตัวชีวิตนั่นเอง ถ้าปราศจากอันนี้แล้ว ชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิต คือว่าจะเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ จะมีแต่ความทุกข์ ทีนี้ คำพูดที่ใช้ เด็กสมัยนี้จะไม่ยอมรับคำภาษาบาลี เขาเห็นเป็นของครึคระไปหมดแล้ว เอาภาษาบาลีมายื่นให้เด็กสมัยนี้ มันว่าบ้า มันต้องพูดกับภาษาโสกโดกสำหรับเด็กสมัยนี้ แต่ให้อมความหมายของธรรมะไว้อย่างเต็มตัว อย่างเราจะสอนว่าจงมีความละอายบาป กลัวบาป นี้ จะใช้คำว่า หิริ และโอตตัปปะ มันสั่นหัวและมันจำยาก แล้วมันภาษาครึ บอกว่าเธอทำให้ดี อย่าให้ผีหัวเราะ คงจะสนใจบ้าง ทำให้ดี อย่าให้ผีหัวเราะ มันไปแอบทำความชั่วอยู่ที่มุมไหนน่ะ ให้รู้ว่าพอทำแล้วผีมันหัวเราะ จะผีบนต้นไม้บนไหนก็ได้ มันหัวเราะเพราะผีมันเห็น หรือว่าไอ้ความชั่วนั่นแหละคือผี เมื่อความชั่วมีอยู่ในใจเธอที่กำลังกระทำความชั่ว เพราะฉะนั้นผีตัวนั้นมันจะหัวเราะ เราบอกว่าผีหัวเราะ ระวัง นั่นแหละคือคำว่าหิริ และโอตตัปปะ ทีนี้ถ้าเด็กมันเนรคุณพ่อแม่ ไม่กตัญญูนี่ เราบอกว่า มันเป็นลูกหนี้ที่เลว ถามเขาว่า เมื่อใครติดเป็นหนี้สตางค์เราแล้วไม่ให้เรานี้ เราจะคิดว่าอย่างไร เราจะเกลียดน้ำหน้า เราจะประณามว่ามันเป็นลูกหนี้ที่เลว แล้วทีเราล่ะทำไมไม่ทำแก่พ่อแม่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ให้ถูกต้อง ไม่กตัญญูล่ะ นี่มันเป็นลูกหนี้ที่เลวเหมือนกับเด็กที่เธอประณามว่ามันเป็นลูกหนี้ที่เลว นี้คือความไม่กตัญญูกตเวที ทีนี้เรื่องความสัตย์ ความซื่อสัตย์ ถ้ามันเกิดไม่ซื่อสัตย์ขึ้นมา ก็บอกว่ามันเป็นลูกของลิงแล้ว ทางศาสนาเขาบัญญัติลูกผู้ชายว่าเป็นบุตรพระเจ้า ลูกผู้หญิงว่าเป็นบุตรมนุษย์ ไปดูสิในคัมภีร์ไบเบิลของคริสเตียน ไม่มีที่เป็นลูกลิงเลย ลูกผู้ชายเป็นลูกพระเจ้า Lord แล้วลูกผู้หญิงเป็นลูกมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้แกมันเป็นลูกลิง คือว่าไม่สัตย์ซื่อเหมือนกับลิง ที่หลอก ที่หลอกเจ้า ลิงหลอกเจ้า คือว่าอกตัญญู ถ้ามันทะเยอทะยานเกินตัวนัก บอกว่าเป็นเปรต คำว่าเปรตนี่มีความหมายว่าหิวจัด หิวเกิน เกินกว่าที่จะหิว ท้องเท่าภูเขา ปากเท่ารูเข็ม มันหิวจัด มันจึงเลยระดับของความหิว ไอ้เด็กที่กำลังเรียนหนังสืออยู่นี่ มันมักจะสร้างวิมานในอากาศ ด้วยความหิวที่เลยเถิด ไอ้ความหิวกับความอยากเกินขนาดนี้เขาเรียกว่าเปรต เพราะฉะนั้นแกอย่าเป็นเปรตเลย ความที่โลภเกินขนาดนี้เขาเรียกว่าเปรต เพราะฉะนั้นอย่าโลภเลย ทีนี้ความยกหูชูหางไม่อ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่นี้ เขาเรียกว่ามันเป็นแมลงป่อง เด็กก็คงจะจำคำว่าแมลงป่องไว้ได้ ไม่อยากเป็นแมลงป่อง ไม่อยากจะยกหูชูหาง หรือว่าจะขู่กันว่ามันเป็นไม้ที่ไม่รู้จักลู่ลม มันจะต้องหัก ต้นไม้ที่ไม่รู้จักลู่ไปตามลมมันจะต้องหัก ทีนี้ถ้าว่ามันไม่อดทน มันไม่เข้มแข็ง คนเขาพูดด่ากันไว้แต่ทีแรกแล้วว่า เป็นคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่แตก ทีนี้ถ้ามันไม่บังคับตัวเองให้อยู่ในระเบียบเรียบร้อย มันก็เป็นคนที่แก้ผ้า หรือว่าเป็นคนที่ไม่นุ่งผ้า ไม่แต่งเนื้อแต่งตัว เพราะมันไม่อยู่ในระเบียบที่เรียบร้อย ถ้ามันไม่ยอมละความชั่วก็บอกว่าเธอมีผีขี่อยู่ที่คอ เพราะว่าผีมันบังคับไม่ให้ละความชั่ว มันให้เป็นสมุนของผีอยู่เรื่อย มันขี่อยู่ที่คอ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ละความชั่ว ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ นี่ตัวอย่าง พอแล้วที่ว่าจะใช้คำใหม่ ที่เป็นชื่อของศีลธรรม สำหรับสอนเด็ก ทีนี้อีกนิดหนึ่งต่อไปก็ว่าท่าทางที่สอน ครูต้องเคารพความเป็นครู เมื่อดาไลลามะมาที่นี่ นิมนต์ให้เทศน์ ดาไลลามะไหว้ธรรมาสน์เสียก่อนแล้วจึงขึ้นไปบนธรรมาสน์ นี่คือเคารพความเป็นครูผู้สอน ธรรมาสน์เป็นสิทธิของพระพุทธเจ้า เราจะขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์เราไหว้เสียก่อน เพราะฉะนั้นถ้าครูไหว้กระดานดำเสียก่อน จะเหมือนดาไลลามะทำ เพราะว่าจะเกิดความรู้สึกดีมากในจิตใจของเด็ก ว่าสำนึกในความเป็นครูเสียก่อน เอ้าทีนี้เรากำลังสอนเด็กให้อดทน เราก็กำลังว่าฝนตกเราก็ทน แล้วอาตมาก็ต้องทน ว่ากันไปให้จบเลย ท่าทางที่สอนเป็นอย่างเพื่อนก็ได้ เป็นอย่างพ่อก็ได้ เป็นอย่างอาจารย์ก็ได้นี่ เดี๋ยวนี้มักจะมีแต่อาจารย์ที่เหี้ยมโหด ดุร้ายทารุณ ไม่สมกับว่ามันเป็นครู ตัวอย่างที่ดีก็คือการปฏิบัติให้ดู การสอนที่ดีคือการปฏิบัติให้ดู เมื่อมีความรักอย่างพ่อแม่ และเมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว เด็กเขาจะเชื่อฟัง เราก็จะแก้ปัญหาได้สำเร็จ สำเร็จอยู่ที่ความเชื่อฟัง ในลักษณะอย่างนี้ เป็นอันว่าขอสรุปคำบรรยายนี้ว่า จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยการเชื่อฟัง ที่จะสร้างขึ้นในจิตใจเด็กมัธยมศึกษา ที่ยังกำลังเป็นกลางๆ ขอยุติเพราะว่าฝนบังคับให้ยุติ ไว้เพียงเท่านี้ก่อน
..........(นาที่ที่100.53) ......ความมุ่งหมายอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า สรุปแล้วก็มีเพียงข้อเดียว คือทำลายความเห็นแก่ตัว ซึ่งที่แท้ว่าการทำลายความรู้็สึกที่เห็นแก่ตัวหรือของตัว ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างอื่น จะสอนแก่คนที่จะไปนิพพาน หรือคนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มคนสาว กระทั่งเด็กๆ ก็รวมอยู่ที่ธรรมะข้อนี้ คือทำลายความเห็นแก่ตัว ทีนี้ปัญหาของโลกปัจจุบันทั้งโลกหรือกี่โลกก็ตามนี้ มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้สงครามมาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้คนเห็นแก่ตัวก็ฉวยโอกาสสงครามนี้ ถือเอาประโยชน์หรือทำลายผู้อื่น หรือว่าทำผู้อื่นให้ลำบาก เพราะฉะนั้นเราลำบากกันในเรื่องอะไรกี่เองก็ตาม มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ของคนใดคนหนึ่งหรือพวกใดพวกหนึ่ง เพราะฉะนั้นไอ้เครื่องกำจัดทุกข์จึงมีเพียงว่า ทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าทำในขั้นสูงสุดก็บรรลุมรรคผลนิพพาน ขอให้ท่านไปศึกษาเอาเองว่า การบรรลุพระอรหันต์นั้นคือการทำลายความรู้สึกว่าตัวตน ของตนเสีย ได้สิ้นเชิงเมื่อไรก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น ชาวบ้านก็ทำลายความรู้สึกเลวๆว่าตัวกูว่าของกูเสีย ก็อยู่กันเป็นผาสุข แม้เด็กๆของเราถ้าทำลายความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูเสีย ก็จะเป็นเด็กที่ดี มีความสุขและก็เชื่อฟัง ปัญหาก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้เด็กของเราเห็นแก่ตัว เป็นอันธพาล เป็นอันธพาลอย่างสนุกสนุก มันก็เพราะเห็นแก่ตัว เป็นอันธพาลเบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน เอาอะไรของเขามาก็เพราะเห็นแก่ตัว นี่มันจึงเหมือนกับว่า ยามีอยูขนานหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็กินได้ คนแก่ก็กินได้ คนหนุ่มคนสาวก็กินได้ เด็กก็กินได้ แล้วมันก็ลดขนาดลงมา ไปดูฉลากยา เราจะกำหนดไว้ว่าผู้ใหญ่กินกี่เม็ด เด็กกินกี่เม็ด เด็กอ่อนกินกี่ครึ่งเม็ด อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นขอให้สนใจเป็นพิเศษในธรรมะของพระพุทธองค์ ซึ่งมีอยู่แต่เรื่องทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น วิธีทำลายก็แบ่งไว้เป็นขั้นๆ เช่นศีลขั้นต้น สมาธิขั้นกลาง ปัญญาขั้นปลายสุด ก็เป็นเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ความทุกข์ทั้งหมดต้องมาจากความเห็นแก่ตัว นี่ เป็นพระพุทธภาษิต แต่ตรัสไว้เป็นภาษาบาลี มันฟังยากว่า สังขิเตนะ ปัญจุปาทา นักขันธา ทุกขา( นาที่ที่ 104.36) กลุ่มเบญจขันธ์ที่มีอุปาทานเป็นตัวทุกข์ อุปาทานนั้นคือความเห็นแก่ตัว ขอให้ถือว่า เรากำลังทำงานของพระพุทธเจ้า ทีนี้อยากจะแนะสักนิดหนึ่งว่าบางที อาจจะมีบางท่านเข้าใจผิด เดี๋ยวนี่เราใช้หัวข้อว่าจริยธรรม แต่ที่แท้นั้นก็คือศีลธรรม เราชอบพูดกันตามสะดวกว่าจริยธรรม สำหรับคำว่าจริยธรรมนั้น ต้องเอาไปบัญญัติ ให้ตรงกับคำไอ้ภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะว่า ethics คำว่าศีลธรรมนั้นตรงกับคำว่า moral หรือ morality ฉะนั้น ethics มันเป็นเพียงปรัชญาของศีลธรรม ไม่ใช่ตัวศีลธรรม จริยธรรมในภาษาไทยที่ตรงกับคำว่า ethics นั้นเป็นเพียงปรัชญาของศีลธรรม ไอ้ตัวศีลธรรมเองแท้ๆเรียก morality มันต่างกันแต่เพียงว่าอันหนึ่งมันเป็นปรัชญา เป็นเพียงหลักสำหรับคิด สำหรับวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับอะไรต่างๆ เป็น ethics แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องทำลงไปด้วยกาย วาจา ใจ โดยตรง อย่างนี้เรียกว่าศีลธรรม หรือ morality เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงเรื่อง morality โดยตรง ก็พูดถึงไอ้ ethics นั้นโดยอ้อม เนื้อแท้ที่เราพูดกันนั้นคือเรื่องศีลธรรม ก็มีปัญหาในแง่ของปรัชญาหรือศีลธรรมเราจึงพูดกันบ้าง เช่นเราพูดว่ามันมาจากอะไร มีมูลเหตุอย่างไรจึงได้เกิดปัญหาข้อนี้ขึ้น อย่างนี้ก็เป็นเรื่องจริยธรรม แต่ถ้าพูดว่าเดี๋ยวนี้เราจะต้องให้เด็กทำอย่างไรลงไป ก็เรียกว่าเรื่องศีลธรรม ขอให้ถือเอาความหมายของคำว่าศีลธรรมนี้นะเป็นหลัก ถ้าเราจะพยายามให้เด็กเป็นเด็กที่มีศีลธรรม ที่มันทำเสียไปก็จะแก้ไขให้มันดีขึ้น ที่มันยังไม่มีก็ทำให้มันมี ให้สรุปได้ว่าเด็กนั้นจะต้องเป็นเด็กที่ดี คือเป็นบุคคลที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ก็เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนของเขา เขาก็โตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดี ของประเทศชาติ กระทั่งว่าเป็นสาวก เป็นศาสนิกที่ดีของพระพุทธเจ้าด้วย ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าปัญหาของเรามันมีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้เด็กของเราดูไม่เป็น ยังไม่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเป็นต้น ถ้าทุกข้อนั้นมันสำเร็จอยู่ที่การเชื่อฟัง ก็เชื่อฟังมันก็เป็นหมด เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี สาวกที่ดี เพราะฉะนั้นการเชื่อฟังนั้นมันเป็นศีลธรรม ต้องเล็งการเชื่อฟังนี้ในลักษณะของศีลธรรม ไม่ใช่จริยธรรม ไม่ใช่ข้อที่ต้องถกเถียง ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป แล้วพยายามทำให้มีการเชื่อฟังโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง นับตั้งแต่ว่าครูก็อดทน ที่จะแก้ไขเด็กทำตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก การสอนหรือการเปลี่ยนจิตใจคนนั้น พระพุทธเจ้าท่านได้ใช้วิธีทำตัวอย่างให้ดู มีความสุขให้ดู ส่วนสอนด้วยปากนั้นเป็นเรื่องเบื้องต้น ยังไม่สำเร็จประโยชน์ พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นก็โดยการที่ คนบรรลุ มรรคผล และมีความสุข อยู่เป็นแบบฉบับ เป็นหลักเป็นฐาน ใครเห็นเข้าก็เกิดความเชื่อ ความเลื่อมใส ความไว้ใจ แล้วพากันปฏิบัติ นี่ครูจะต้องอดทน เป็นตัวอย่างที่ดี แล้วก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จ มีความสุขอะไรให้เห็นอยู่ตลอดเวลา นี้ขอให้ถือว่าการกระทำนี้ มันเป็นการเผยแผ่พระศาสนา ตามแบบของพระพุทธเจ้า อยู่ในตัว แม้แต่งานของครูที่โรงเรียน ก็เป็นงานของพระพุทธเจ้าโดยตรง ขอให้ถือว่าได้บุญ พร้อมๆกันไปในตัวด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราจะแก้ปัญหาในหน้าที่หรือตามไอ้หน้าที่ผูกพัน เราจะคิดไปถึงว่ามันเป็นหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าท่านมอบหมายด้วย จะได้มีกำลังใจมากไปกว่าที่จะทำเพียงหน้าที่ราชการ แล้วมันก็ได้ผลทุกอย่างด้วย ได้บุญด้วย เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ดียิ่งๆขึ้นไปด้วย ทีนี้ก็มามองดูกันอีกนิดหนึ่งว่า ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยพระธรรมเป็นหลัก คำว่าพระธรรมนี่นะ สำคัญมาก พูดกันสักกี่วันก็จะไม่จบ แต่ถ้าสรุปแล้วมันก็เป็นทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็เคารพพระธรรม ทั้งที่พระธรรมเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และนำมาเปิดเผย แล้วพระสงฆ์ก็เป็นพระสงฆ์ อยู่ได้ก็เพราะมีพระธรรม พระธรรมเนี่ทำให้เป็นพระสงฆ์ คนมักจะเข้าใจตามพอใจ พระธรรมเป็นอย่างหนึ่ง พระสงฆ์เป็นอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเหนือกว่าทั้งหมด อย่างนี้ไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้โดยตรงว่า แม้ตถาคตก็เคารพธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม จึงตั้งอยู่ในฐานะสูงสุด กว่าสิ่งใดหรือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าในพุทธศาสนาจะมีพระเจ้ากับเขาบ้าง ก็คือพระธรรมนั้นเอง นี่ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นอันเดียวกันได้ โดยคำว่าพระธรรม พระพุทธเจ้าสตรัสรู้ธรรม เคารพธรรม ในพระพุทธเจ้ามีพระธรรม จึงเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระธรรมก็คือตัวพระธรรมนั้นเอง พระสงฆ์ก็มีธรรมะจึงเป็นพระสงฆ์ขึ้นมา มันเหลืออยู่แต่คำว่าธรรม เราถือหลักในสิ่งที่เรียกว่าธรรม ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบอยู่ด้วย ถ้าเราพูดกันอย่างธรรมดาสามัญ เราก็ต้องพูดว่าอาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนทั่วไปก็ต้องพูดอย่างนี้ แต่ถ้าพูดในภาษาที่ลึกซึ้ง ในภาษาของพระอริยเจ้า ท่านเล็งถึงคำว่าธรรมเพียงคำเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสว่า ถ้าถือเอาธรรมะเป็นที่พึ่งไม่ได้แยกออกเป็นสามอย่างว่า ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสว่า อัตทีปา อัตสรณา ธรรมทีปา ธรรมสรณา ตนเป็นที่พึ่ง นั้นคือมีธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วคนก็พ้นจากทุกข์ได้ ด้วยอำนาจของการมีพระธรรม หรือประพฤติธรรม เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้เราจะ เล็งถึงทั้งสามอย่างคือ พระรัตนตรัย แยกออกมาเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมคือสิ่งที่ตรัสรู้และนำมาเผยแผ่ พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติตาม แต่เราจะได้รับประโยชน์จากพระรัตนตรัย นี้คือการปฏิบัติตาม คือการทำให้มีสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมขึ้นมา โดยส่วนตัวเป็นอย่างไร โดยส่วนรวมทั้งโลกก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นแก่คนที่เขาไม่เข้าใจเราก็พูดว่า มาดูให้รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นสากลที่สุด เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ และสั่งสอนสิ่งที่ดับความทุกข์ หรือขจัดปัญหาต่างๆได้ พระธรรมนั้นแหละคือความรู้ หรือหลักปฏิบัติที่จะดับความทุกข์ทั้งหลายได้ พระสงฆ์ก็เป็นผู้ทำได้ ช่วยสืบอายุพระธรรม หรือพระศาสนา ให้ยืนยาวตลอดไป และก็ช่วยเผยแผ่ให้มันทั่วไปทั้งโลกด้วย
เพราะว่าโลกนี้มีพระธรรมเป็นหลัก มีพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง โลกก็ปลอดภัย เพราะฉะนั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นของสากล ในศาสนาอื่นก็มีสิ่งนี้ แต่จะต้องเรียกอย่างอื่น แต่ว่าโดยเนื้อหา โดยสาระ โดยใจความแล้ว ต้องมีผู้รู้ ผู้สั่งสอน จะต้องมีสิ่งที่ถูกสั่งสอน แล้วจะต้องมีผู้ที่ปฎิบัตตาม สำเร็จประโยชน์ตนแล้ว ก็ช่วยกันสืบไว้สอนกันต่อๆไป ทุกศาสนาจะต้องมีลักษณะอาการ บุคคล หรืออะไร ทำนองนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าทั้งหมด โดยส่วนตัวหรือโดยส่วนรวมก็ตามจะรอดได้เพราะอาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเราก็มีความเชื่อความเลื่อมใส ความเสียสละ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันจะต้องประสบความสำเร็จ โดยแน่นอน ดังนั้นอาตมาขอปิดการประชุมนี้ ด้วยการกล่าวคำว่า ...(นาทีที่ 115.35) ขอให้ความประสงค์อันนี้จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ ด้วยอำนาจที่เราทั้งหลายมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่มีคืนคลาย มีความเจริญผาสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ