แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดในวันนี้ขอให้ถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการปรึกษาหารือมากกว่าที่จะเป็นโอวาทหรืออะไรทำนองนั้น นี้เข้าใจว่าจะได้ประโยชน์กว่า หัวข้อ หัวข้อที่จะพูดก็คืออุดมคติของครูกับโลกในสมัยปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าปัญหาใดในวงการของครู ตลอดไปถึงความเป็นอยู่ของโลกคือความดิ้นรนเพื่อสันติภาพ ที่จริงเรื่องครูก็เคยพูดมาหลายคราวแล้ว ก็มีผู้นำไปเผยแผ่ต่อ ๆไปก็มี ฉะนั้นคงจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว ทีนี้ยังมีเหลืออะไรที่ยังไม่ได้พูดเท่าที่จะนึกได้ก็จะพูด คือว่าเรามีครูในโลกนี้เพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ แต่แล้วมันก็ไม่สำเร็จตามความประสงค์อันนั้น เพราะมันเข้าใจกันไม่ได้ หรือว่าเหตุการณ์มันบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลง จนทำไปไม่ได้ตามความมุ่งหมายเดิมของคำว่าครู หรือว่าคำว่าครูนี้ถูกนำมาใช้ผิด ๆ ในความหมายอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่าครูไป ฉะนั้นเราควรจะทำความเข้าใจกันถึงคำว่าครู หรืออุดมคติของครูนี้กันเสียบ้างก่อน แล้วก็จะรู้ได้เองว่าเรากำลังมีครูอยู่ในโลกนี้หรือว่าไม่มี พูดแล้วก็คล้าย ๆกับว่าเป็นเรื่องประชดประชัน แต่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องประชดประชัน พูดตามความจริง ว่าเดี๋ยวนี้ครูมีมากพอหรือมากเกิน ที่จะทำโลกนี้ให้ฉิบหาย จะมีไม่พอสำหรับที่จะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ ฉะนั้นขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ในการที่เรากำลังมีปัญหาว่าครูไม่พอ จะต้องผลิตครู นี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง แต่ว่าเราไม่มีครูชนิดที่จะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ แล้วเราก็ยิ่งไม่ได้ผลิตครูชนิดนั้น เรายิ่งผลิตครูชนิดที่จะทำโลกให้ฉิบหายน่ะมากขึ้นทุกที นี้หมายถึงทั่ว ๆ โลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย คือเราไม่ได้ผลิตครูตามอุดมคติของครู เราผลิตแต่เพียงผู้สอนหนังสือ และเมื่อรู้หนังสือแล้วก็สอนให้ทะเยอทะยาน ด้วยกิเลสตัณหา แล้วความทะเยอทะยานนั้นมากเข้า มันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที มันก็มีความทุกข์โดยส่วนตัว แล้วก็มีการเบียดเบียนกันในระหว่างบุคคล ฉะนั้นเรื่องที่ไม่เคยมีในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย มันก็มีขึ้น คือการทะเลาะวิวาทหรือการทำสิ่งที่ไม่งดงาม ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ไม่ต้องพูดถึงในโรงเรียนเด็ก ๆ และเมื่อคนเรียนมหาวิทยาลัยกันมากเข้า มากเข้า ในรูปนี้ มันก็มีความเห็นแก่ตัวมาก มากกว่าเดิมมาก มีผลให้พวกหนึ่งเห็นแก่ตัวในทางที่จะเป็นฮิปปี้ คือจะตามใจตัวให้ถึงขีดสุด ไม่ค่อยคำนึงถึงวัตถุ มันก็เลยเป็นฮิปปี้ ก่อรูปขึ้นมาในผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั้งนั้น เด็กชาวบ้านจะทำไม่เป็น นี่ผลด้านหนึ่งของความเห็นแก่ตัวอย่างผิด ๆ ในด้านจิตด้านวิญญาณ มหาวิทยาลัยก็ผลิตฮิปปี้ ทีนี้อีกทางหนึ่งที่เป็นด้านวัตถุ มันก็ทำให้คนสมัยนี้เห็นแก่ตัว ทางเนื้อทางหนังของตัว แล้วก็รวมหัวกันที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ฉะนั้นประเทศหนึ่ง ๆ ก็มีแผนการลึกซึ้งที่จะเอาเปรียบประเทศอื่น เอาประโยชน์มาเป็นของตัว นี่เค้าก็มีสงครามทางเศรษฐกิจ มีสงครามเย็น มีสงครามร้อนในที่สุด ซึ่งหลีกไม่ได้ เดี๋ยวนี้ทำโลกให้ปั่นป่วนไปทั้งโลก เค้าต้องการจะเอาประโยชน์เกินกว่าที่มนุษย์ควรจะเอา นี่การศึกษานำไปผิดอย่างนี้ ทีนี้ครูก็มีแต่สอนให้รู้หนังสือ แล้วก็สอนให้ทะเยอทะยานโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อมีความทะเยอทะยานจนลืมตัว จนเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่ต้องมีใครสอน มันก็มีการเบียดเบียนกันเอง นี่โลกก็กำลังเดือดร้อน จนเรียกได้ว่าครูสำหรับจะทำโลกให้วินาศนั้นมีพอหรือเกิน ส่วนครูที่จะทำโลกให้มีสันติภาพนั้นไม่มี ยิ่งถ้าเราไปตามก้นพวกฝรั่งเขาด้วย มันก็มีแต่ครูแบบนั้น ไม่มีครูแบบอุดมคติตามแบบเดิมของเรา ในความหมายของคำว่าครู นี่เรากำลังจะผลิตครู จะผลิตครูเพื่อสมทบครูประเภททำโลกให้วินาศ หรือว่าเราจะผลิตครูชนิดที่จะทำโลกมนุษย์ให้มีสันติภาพ นี่ ขอให้ไปลองคิดดู เพราะท่านทั้งหลายทุกคนก็เป็นนักเรียนครู รับฝึกหัดเพื่อเป็นครู ว่าจะไปเป็นครูชนิดไหน โดยส่วนตัวเรา เรามีอิสรภาพ มีเสรีภาพที่จะคิดจะนึก ฉะนั้นเราควรจะคิดนึกให้หมด ไม่ใช่คิดนึกแต่ในขอบขีดที่เขาจำกัดไว้ให้ ควรจะคิดนึกด้วยอิสระถึงความจริง ข้อเท็จจริงต่าง ๆให้หมด ให้มันรู้ดีกันเสียก่อน แล้วจะเป็นครูชนิดไหนด้วยความจำใจก็ตามใจ แต่ต้องรู้ไอ้อุดมคติทั้งหมดของครู เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่าเราควรจะพูดกันในวันนี้โดยหัวข้อว่าอุดมคติของครูกับโลกในยุคปัจจุบัน เมื่อพูดถึงอุดมคติของครู ก็ต้องนึกย้อนไปถึงต้นตอที่มาของอุดมคติอันนี้ ทีนี้เราก็อย่าลืมว่าชนชาติไทยหรือประเทศไทยนี้รับวัฒนธรรมอินเดียมา พูดตรง ๆก็ว่าเราเป็น Colony เป็นเมืองขึ้นของประเทศอินเดียโดยทางวัฒนธรรม โดยทางจิตทางวิญญาณนี่ตั้งสองพันปีมาแล้ว วัฒนธรรมทั้งหมดที่เหลืออยู่ในประเทศไทยเวลานี้ก็เป็นวัฒนธรรมอินเดีย พุทธศาสนาก็เป็นศาสนาของอินเดีย เราพูดด้วยถ้อยคำที่ถ่ายออกมาจากภาษาอินเดียแทบทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่คำว่าครูนี้ก็เป็นภาษาอินเดีย นี่ขอให้นึกอย่างนี้ก่อน ฉะนั้นควรจะยินดีศึกษาไอ้วัฒนธรรมอินเดีย ให้ไปถึงต้นตอของมัน ก็จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ดี เรานับถือพระพุทธศาสนา เรียกพระพุทธเจ้าว่าพระบรมศาสดา หรือบรมครู สำหรับคำว่าครูนี้ ตัวหนังสือที่เขาแปลกันมาแต่เดิม ก็แปลว่าผู้ที่ให้แสงสว่างในทางวิญญาณ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็แก่บุคคลชั้นที่เป็นผู้นำ นับตั้งแต่พระราชาลงมา จนถึงคนที่มีหน้าที่เป็นผู้นำเล็ก ๆ น้อย ๆก็ตามใจ จะต้องมีครูที่ให้ความรู้ ให้แสงสว่างในด้านจิตใจเพื่อให้เขานำไปถูก ว่าโดยที่แท้ครูก็เป็นผู้นำอยู่เองในทางวิญญาณ ฉะนั้นคำนี้จะต้องเก่ามาก ตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักความจำเป็น ในการที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องในทางวิญญาณ ไอ้ที่เรียกว่าศิลปศาสตร์ต่าง ๆ นั้น ไม่เกี่ยวกับคำว่าครู ก็เกี่ยวกับคำอื่น แม้ที่สุดแต่คำว่าอุปัชฌาย์ อุปัชฌายะ นี้ก็เป็นอาจารย์ผู้สอนศิลปศาสตร์ แต่มาเหลืออยู่ในรูปของ ในประเทศไทยเหลืออยู่ในรูปของอุปัชฌาย์อาจารย์ บวชคนให้เป็นพระ เพราะว่าคำว่าอุปัชฌายะนั้นมันก็สอนวิชาชีพนั่นเอง นี้อุปัชฌายะในความหมายของการบวช บวชคนให้เป็นพระ นี้ก็เป็นวิชาชีพในทางด้านวิญญาณอีกคือว่า การเป็นพระนี้เขาก็เรียกว่าเป็นสิกขา เป็นอาชีพ มีคำว่าสิกขาและสาชีพใช้ คำว่าอุปัชฌายะแต่เดิมแท้นั้นมันเป็นครูสอนศิลปศาสตร์นานาชนิดเพื่ออาชีพ ต้องไปอ่านดูหนังสือเก่า ๆ ฝ่ายสันสกฤตในประเทศอินเดียนั้นจะพบคำว่าอุปัชฌายะ เป็นอาจารย์สอนวิชาชีพคือศิลปศาสตร์ทั้งหลาย ส่วนคำว่าครูนั้นก็หมายถึง Spiritual guide Guide หรือ ผู้นำ หรือ มัคคุเทศก์ Spiritual มันก็คือเรื่องทางฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย หรือที่เนื่องอยู่ในร่างกาย คำว่าผู้นำในทางวิญญาณนี่คือครู ผู้สอนวิชาชีพคืออุปัชฌาย์และคำอื่นๆอีกมาก กระทั่งคำว่าอาจารย์ คำว่าอุปัชฌาย์ คำว่าอาจารย์นี้มีค่าทางวิญญาณน้อยกว่าคำว่าครู แต่เดี๋ยวนี้เราก็ใช้สับเปลี่ยนกัน อาจารย์ก็กลายเป็นครูที่ยิ่งไปกว่าครู เช่นคำว่าครูสอนธรรมดาเรียกว่าครู ครูสอนในมหาวิทยาลัยเรียกว่าอาจารย์ กระทั่งเรียกว่าศาสตราจารย์ แต่แล้วก็เป็นเรื่องทาง ทางวัตถุ ทางร่างกายนี้ คำว่าครูเอาไปกดไว้ต่ำเตี้ย สอนหนังสือชั้นแรก ๆ ฉะนั้นเราควรจะนึกถึงอุดมคติของคำว่าครูตามความหมายเดิมในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นตอของวัฒนธรรมไทย เอาอุดมคติอันนั้นมาพิจารณาดูใหม่ และเป็นครูตามอุดมคตินั้น แล้วโลกนี้ก็จะมีสันติภาพ ถ้าเรามีครูกันแต่เพียงอาจารย์สอนหนังสือ สอนวิชาชีพ ตามหลักการหรือที่กระทำกันอยู่ในปัจจุบันแล้วก็ไม่ทำโลกนี้ให้มีสันติภาพได้เลย อย่าเข้าใจอย่างเขลา ๆ ว่าคนรู้หนังสือแล้วโลกจะมีสันติภาพ นี่อาจจะเป็นความโง่ที่สุดก็ได้ เพราะว่าเมื่อคนยังไม่รู้หนังสือ โลกมีสันติภาพมากกว่ายุคที่คนรู้หนังสือกันมาก พูดง่าย ๆว่ายุคเดี๋ยวนี้คนรู้หนังสือโลกไม่มีสันติภาพยิ่งขึ้น ยุคที่คนไม่รู้หนังสือยิ่งมีสันติภาพมากกว่า เพราะว่าเขามีความถูกต้องในทางจิตทางวิญญาณมากกว่า เดี๋ยวนี้มีความผิดพลาดในทางจิตทางวิญญาณมากขึ้นทุกที เก่งแต่ในทางวัตถุ วัตถุเก่งจนเป็นไอ้ขั้นเทคโนโลยี ซึ่งจะลวงมนุษย์ในโลกให้หลงใหลในเรื่องทางวัตถุ โลกก็มีวิกฤติการติดต่อไม่ขาดสายมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที การมีครูแต่ในทางรู้หนังสือหรือทางวัตถุนี้ไม่ช่วยให้โลกมีสันติภาพ จะผลิตครูให้เท่าจำนวนนักเรียนมันก็โลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ นี่จึงเรียกว่าไอ้ครูสำหรับทำโลกให้ฉิบหายนั้นมีพอแล้วมีเกินแล้ว ยังขาดแต่ครูที่จะทำโลกให้มีสันติภาพ ตรงตามอุดมคติของคำว่าครูแท้จริง นี้ประเทศไทยเราจะผลิตครูกันในรูปไหนนี้จะไม่พูด ขอให้ดูเอาเอง เมื่อมนุษย์อยู่ในสมัยป่าเถื่อน สมัยหิน สมัยอะไรเขาก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ เพราะว่าเรื่องที่จะเอาเปรียบกันมันมีน้อย เรื่องที่จะเบียดเบียนกันมันมีน้อย มันอยู่อย่างสัตว์ คุณดูโลกของสัตว์เดรัจฉานมีสันติภาพมากกว่าโลกของมนุษย์ ถึงแม้ว่าเสือจะต้องกินเนื้อมันก็เป็นเรื่องส่วนน้อย เป็นเรื่องอาหารประจำวัน ส่วนมนุษย์เดี๋ยวนี้ไปฆ่าผู้อื่น ไปแย่งชิงของผู้อื่นมาสะสม มาสะสมจนเกิน เกิน เกินความต้องการที่มนุษย์ควรจะต้องการ มากมายหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนเท่า ฉะนั้นความเบียดเบียนจึงมีกว่า ต่อมาถึงมนุษย์สมัยที่มีสติปัญญามากขึ้น เริ่มมีความคิดลึก ๆ เข้าไป ก็นึกถึงเรื่องที่มองไม่เห็นตัว คือเรื่องทางจิตทางวิญญาณที่มองไม่เห็นตัวนี้ เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเชื่อฟัง เขาก็เชื่อฟังทำตามคำแนะนำของบุคคลที่สอนคือครูนั่นเอง ฉะนั้นครูนี่มีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ไม่มีหนังสือ ไม่มีอะไรต่าง ๆ ต่อจากสมัยคนป่า สมัยหินขึ้นมาก็เริ่มมีครู ที่นับว่าเป็นครูทางวิญญาณได้แล้ว แม้ในมนุษย์ในสมัยหินเขาก็มีครู คือมีบุคคลที่จะคอยบอกให้ทำอะไรให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไปในทางจิตทางวิญญาณ อย่าให้เดือดร้อนทางจิตใจ เมื่อมีอาหารกิน มีที่อยู่ มีที่อาศัยหมดปัญหาทาง ทางร่างกายแล้ว มันก็ยังมีปัญหาทางจิตใจ ฉะนั้นคนที่ฉลาดกว่าเพื่อนก็คิดนึกที่จะปลอบโยนหรือจะสั่งสอนคนเหล่านี้ให้มีจิตใจที่สบาย มีความเบาใจยิ่งขึ้นมาทันกันมา คือว่าสมส่วน สมสัดส่วนกันมากับที่มนุษย์ค่อยมีคิดนึกมากขึ้น ฉะนั้นครูก็มีมาเรื่อย หนังสือยังไม่มี เรา เราเรียน ถ้าเราอ่านดูเรื่องเก่าๆ ในพระบาลีในฝ่ายพุทธศาสนาเท่านั้นน่ะ ไม่ต้องไปถึงฝ่ายอื่น ก็พบความเป็นอยู่ที่มันสงบราบคาบดี เพราะว่ามีการนำในทางวิญญาณดี โดยที่ยังไม่มีหนังสือใช้ เริ่มตั้งแต่ให้มีศีล ไม่ให้ฆ่า ไม่ให้ลัก ไม่ให้ประพฤติผิดในของรักของผู้อื่น กระทั่งมีความเชื่อที่เป็นรากฐานของการกระทำเหล่านั้น เรียกกันสั้นๆ เดี๋ยวนี้ก็ว่าความกลัวบาป ความหวังที่จะได้บุญ และความกลัวบาป อันนี้เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้มีสันติภาพ คือความกลัวบาป ความอยากจะได้บุญ ไอ้ความกลัวบาปและอยากจะได้บุญนี้มันมีมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นตามความเจริญของมนุษย์สมัยโน้น เพราะครูเป็นผู้สอน จนกว่าจะมาถึงยุคถึงสมัยที่ใช้หนังสือนี้มันคงหลายหมื่นปี กว่ามนุษย์จะรู้จักใช้หนังสือ เขาก็สอนกันด้วยปาก ด้วยการทำให้ดู ด้วยท่าทาง ด้วยอะไรต่าง ๆ ก็อยู่กันอย่างที่เรียกว่ากลัวบาปรักบุญอย่างยิ่ง และก็ถือว่าบาปหรือ Taboo นี่คือทำอะไรผิดธรรมชาติ ไม่ตรงตามธรรมชาติจนมีความทุกข์ แต่เขาต้องพูดไว้ในลักษณะที่เป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ ที่มาจากพระเจ้า มาจากผี มาจากเทวดาอะไรก็ตามแล้วแต่เขาจะสรรคำขึ้นมาใช้ได้ในสมัยนั้น แต่ผลก็ได้เต็มที่คือคนกลัวบาป กลัวการกระทำผิด ๆ แล้วก็รักบุญ เขาฉลาดเท่าไหร่เขาก็ทำได้เท่านั้น บางอย่างมันก็มีลักษณะงมงายแต่มันก็มีผลคือทำให้กลัวบาปและก็หวังบุญ นี่เขาอยู่กันมาเป็นผาสุกอย่างมนุษย์ ที่มีจิตใจสูงขึ้น สูงขึ้น เพราะกลัวบาป เพราะรักบุญ และก็ไม่ปรารถนา ไอ้สิ่งเฟ้อที่สมัยนี้ปรารถนากันนัก ไอ้พวก Luxurious ต่าง ๆ คือสิ่งที่เฟ้อที่เกินจำเป็นที่มนุษย์จะต้องการ นับตั้งแต่เรื่องความสวย ความงาม ความสนุกสนานเอร็ดอร่อย ทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังนี้ มันถือเป็น Tabu Over sex ถือเป็น Tabu ที่ร้ายกาจที่สุด สูงสุดกว่า Tabu อันไหน แต่คนสมัยนี้บูชา Over sex เป็นพระเจ้า ขอให้คิดดู คนปัจจุบันนี้ทั้งโลกนี้ ที่มีการศึกษาดี บูชาความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังยิ่งกว่าสิ่งใด ซึ่งคนสมัยหิน สมัยโน้นถือว่าเป็นยอดของ Tabu คือบาปที่สุด นี่ครูเขาสอน เขาระบุลงไปว่าจะต้องมีได้เพียงเท่านั้น ขอบเขตเพียงเท่านั้น เหลือเกินนั้นไปเป็นบาป ที่มนุษย์สมัยนี้ถือตรงกันข้าม จนบูชาไอ้เรื่องทางเซ็กส์นี่เป็นพระเจ้า นี่มันก็มีผลต่างกันอย่างตรงกันข้าม เด็ก ๆ เรียนหนังสือก็ได้อาชีพดี ได้เงินมาก และเงินนั้นมุ่งหมายจะใช้ไปในทางบำรุงบำเรอความสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีส่วนที่ว่าพอ ไม่มีส่วนที่พอ ก็ไม่ต้องพูดถึงส่วนที่เกิน เท่านี้ก็ไม่พอ เท่านั้นก็ไม่พอแล้ว ไอ้คำว่าเกินก็ไม่มี มันเกินเหลือที่จะเกินแล้วก็ยังไม่พอ นี่ลองสังเกตดูการเป็นอยู่ในโลกปัจจุบัน ดูได้จากไอ้หนังสือหนังหาที่เขาพิมพ์โฆษณา เรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ แทบทั้งหมด เรื่องประกวดนางงาม เรื่องอะไรต่างๆ หนังสือพิมพ์ไทยฉบับสอง สามวันนี้ มีเอาดาราสวยสุดมานอนคว่ำหน้าเปลือยกายโฆษณาหน้าร้าน ที่ขายเครื่องแต่งตัวผู้หญิง ผู้ชาย แล้วมีคนมาที่ร้านนั้นมาก นี่เขาก็ถือว่าดีในประเทศที่เจริญ แล้วเรากำลังตามก้นเขา ระวังไม่เท่าไหร่จะมาถึงเมืองไทย การโฆษณาขายเหล้า ขายบุหรี่ ทำกันอย่างวิจิตรงดงามไพเราะ เพื่อให้คนหลงในเหล้า ในบุหรี่ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย อะไรก็โฆษณาเกินความจำเป็น แม้แต่โฆษณาเรื่องเรือบินของบริษัทการบินนี่ มันก็เป็นเรื่องล่อ เรื่องล่อลวง เรื่องยั่วให้อยากไป ฉะนั้นต้องหาเงินให้มาก สำหรับจะไปเที่ยวเรือบิน ก็เพื่อความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางเนื้อทางหนัง ทีนี้ให้รางวัลอะไรชั้นดี ๆ หน่อยก็ให้ตั๋วเครื่องบิน แล้วก็ไปดูไอ้หนังสือหนังหาต่าง ๆ ไอ้ Magazine ที่เขานิยมกันที่สุด ว่าเป็นชั้นดี ดูเถอะ จะมีแต่ภาพลามกอนาจาร หรือภาพการกระทำที่มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องทำ แล้วเขาก็แสดงในที่สาธารณะแล้วเอามาทำเป็นข่าว พิมพ์ให้มันแพร่หลายออกไป ให้เด็ก ๆ โง่หลงตามนั้นมากขึ้นไปอีก แล้วก็จะทำเก่งกว่าไอ้ครู นี่โลกกำลังเป็นอย่างนี้ พวกเรากำลังจะเป็นอย่างนี้ เรากำลังลุ่มหลงในเรื่องแต่งตัวให้สวยงาม พูดจาให้ยั่วยวน ให้มีแต่การยั่วยวน ทั้งกลางวันกลางคืน เรามีเครื่องมือวิเศษเช่นวิทยุเป็นต้น ก็ใช้เพื่อทำมนุษย์ให้ฉิบหาย เพื่อด่ากัน เพื่อหลอกลวงกันในทางการเมือง และที่มากที่สุดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือทำคนให้ติดเพลง ชนิดของภูตผีปีศาจ เพลงยั่วยุทางกามารมณ์ เด็ก ๆ เกิดมาไม่รู้แล้วเดี๋ยวนี้ ว่าอะไรเป็นเรื่องอนาจาร อะไรไม่อนาจาร อะไรผิดอะไรถูกมันไม่รู้ เพราะเกิดมามันก็ได้ยินแต่ไอ้เรื่องนั้นเป็นธรรมดาไป เพลงและดนตรีมีความหมายเสียทางยั่วยุ ให้คนเราเป็นทาสของอารมณ์ของกิเลส ผิดกับเพลงและดนตรีในโบสถ์สมัยโบราณโน้น ซึ่งเขาจะระงับไอ้ความยั่วยุกิเลสด้วยความเยือกเย็นของดนตรี ดนตรีไม่มีความหมายในทางยั่วยุ นี่มันกลับตรงกันข้ามอย่างนี้ นี่โลกปัจจุบันนี้ ทีนี้ครูก็สอนหนังสือให้เด็ก ๆ มีความรู้ทางหนังสือทางวิชาชีพ ได้เงินเดือนสูงเอาเงินเดือนมาถลุงบูชาภูตผีปีศาจแห่งเนื้อหนัง นี่ขออภัยถ้าคำมันหยาบคาย แต่มันจำเป็นที่จะต้องพูด เพราะมันเป็นความจริงและมันประหยัดเวลากว่าคำพูดอย่างอื่น ทั้งหญิงทั้งชายไปเรียนเมืองนอกเอาอะไรกลับมา ไม่เอาความรู้ทางจิตทางวิญญาณมาเลย ก็ที่เมืองนอกมันไม่มี ไอ้ความรู้ที่ทำให้จิตวิญญาณให้สงบมันไม่มี มีแต่ความรู้ทางเทคนิคแขนงใดแขนงหนึ่ง ที่ทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาทางวัตถุ กลับตรงกันข้าม ที่กรุงเทพ ที่เพื่อนสนิทคนคุ้นเคยเขาเล่าให้ฟัง นางสาวคนหนึ่งกลับมาจากอเมริกา ปริญญายาวเป็นหาง มาถึงเมืองไทยเขาใช้แม่อย่างคนใช้ ไม่มีคนใช้ ใช้แม่อย่างคนใช้เป็นประจำจนนานเข้าแม่ทนไม่ไหว ออกปาก ออกปากบ้างเท่านั้น ไม่ใช่เสียงแข็งอะไรว่า ลูกดูช่างไม่รู้คุณของแม่เสียเลย ไม่รู้บุญคุณของแม่เสียเลย นางสาวคนนั้นเขาตวาดแม่ว่า แม่สิไม่รู้บุญคุณของฉัน ฉันไปเรียนได้ดิบได้ดีมา ทำให้แม่มีหน้ามีตามีเงินใช้ แม่ไม่รู้คุณของฉัน นี่ฟังดูเหมือน คงจะเป็นนิยายมากกว่า นิยายที่แต่งขึ้นโดยนักเขียนนักประพันธ์ แต่ว่าเป็นเรื่องจริง นี่มันกลับถึงขนาดนี้ ว่าโลกสมัยปัจจุบันนี้กลับเป็นว่าไอ้ลูกต้องมีบุญคุณกับพ่อแม่ สมัยโบราณนั้นพ่อแม่มีบุญคุณกับลูก นี่เรื่องทางจิตทางวิญญาณมันหมดไป เรื่องทางวัตถุมันเข้ามา มันก็กลับตรงกันข้าม นี่เพียงวัตถุมันก็เป็นเรื่องเนื้อหนังเป็นเรื่องกามารมณ์ เมื่อคนเป็นทาสของไอ้เนื้อหนังของกามารมณ์แล้วก็ โลกมันก็ต้องฉิบหาย เมื่อทางจิตใจมันฉิบหายก่อน เห็นแก่ตัวแล้วมันแสดงออกมา มันจึงมีการกระทำไปตามอำนาจของไอ้ความเห็นแก่ตัวเพื่อเนื้อเพื่อหนัง การเบียดเบียนร้อยชนิดพันชนิดก็เกิดขึ้น เมื่อก่อนไม่เคยมี ชั่ว ๕๐ ปี ๖๐ ปีนี้ผิดกันมาก คุณอายุยังไม่ถึง ๖๐ ปี คนที่มีอายุห้าหกสิบปีจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงอย่างไร แม้ในกรุงเทพหรือแม้ในบ้านนอก ที่บ้านนอก ที่บ้านนอกนี้เมื่อสมัยก่อนคนเขาไม่มีปัญหามากเรื่องการเบียดเบียน ไปไหนก็เอ่ย เอ่ยปากคำเดียว บ้าน บ้านบ้านข้างเคียงว่าช่วยดูบ้านด้วย แล้วก็ไป ไปป่า ไปทำนา ประตูก็ไม่ได้ใส่กุญแจ แล้วคนโดยมากนอนใต้ถุนบนแคร่ สบาย เย็นสบาย ไม่ต้องนอนบนเรือนก็ได้ เดี๋ยวนี้ใครทำอย่างนั้นก็มีคนมายิงตาย นอนบนเรือนฝากระดานมิดชิดแล้วก็ยังมีคนไปพยายามจะยิงให้ได้ นี้ที่กรุงเทพเองเรื่องที่ทำอันตราย เบียดเบียนกัน มีกลางถนน กลางวันแสก ๆ ที่หน้าป้อมตำรวจ อันนั้นก็เห็นอยู่แล้วไม่ต้องพูด แล้วในมหาวิทยาลัยก็มีการกระทำชนิดที่ไม่สมกับการเป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษา ครูบาอาจารย์ ชนิดที่ทำอะไร เหมือนกับอันธพาลแล้วต้องตายโหง นี้ก็ไม่เคยมี ใน ใน ในสมัยก่อนๆ เดี๋ยวนี้มันก็มีมากขึ้น มากขึ้น นี่เพราะการศึกษามันนำไปอย่างนี้ การศึกษาที่ทำให้เป็นทาสของภูตผีปีศาจทางเนื้อทางหนังก็มีมากจนท่วมโลก การศึกษาที่หยุดสิ่งนี้มันไม่มี คนไม่ไม่ คนไม่กลัวบาป คนไม่รักบุญ นี่ช่วยจำไว้ ๒ คำนี้ว่าเดี๋ยวนี้ คนไม่กลัวบาปและไม่รักบุญ แล้วจะเอาอะไรมาแก้ แก้โลก แก้ไขโลกนี้ให้ดีขึ้นได้ เราก็มีปัญหา ทุกคนมีปัญหาที่ว่าไม่อยากจะให้มีการเบียดเบียน ไม่อยากให้มีคอรัปชั่น เกลียดคอรัปชั่น นักเรียน Strike ว่ารัฐบาลคอรัปชั่น นิสิตนักศึกษา Strike ว่ารัฐบาลคอรัปชั่น แต่แล้วไม่รู้ว่าแม้ผู้ Strike นั้นก็มีคอรัปชั่นอย่างใดอย่างหนึ่งที่ร้ายแรง คือความไม่กลัวบาปไม่รักบุญ ขบถทรยศต่อธรรมะ ต่อศาสนา ต่อพระเจ้า ประเทศที่เขาถือพระเจ้า ใช้คำว่าพระเจ้า ประเทศที่ไม่ถือพระเจ้าก็ใช้คำว่าธรรมะหรือศาสนา นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นก็หันไปบูชากิเลสตัณหาพระยามารซาตานแทนพระเจ้า นี่นักศึกษาฝรั่งนี้ นักศึกษาไทยเราก็บูชาเนื้อหนังยิ่งกว่าบูชาธรรมะหรือศาสนา มันก็มีแต่การเห็นแก่ตัว สามารถที่จะเบียดเบียนผู้อื่นได้ลงคอ ฉะนั้นการขว้างลูกระเบิดอะไรเข้าไปในหมู่ชน นั้น เป็นของที่ทำได้ง่าย ๆ เหมือนของเล่น ทุกอย่างเป็นไปเพื่อเห็นแก่ตัว การกีฬาที่มีความมุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้กลายเป็นเครื่องสนับสนุนส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไปแข่งขันกีฬากันที่ไหนก็แบกความเห็นแก่ตัวไปที่นั่น ไปเอาเปรียบกันที่นั่น ด้วยจิตใจที่จะเห็นแก่ตัว แล้วปากมันก็พูดว่าเพื่อวัฒนธรรม เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ฝึกเด็กเล็ก ๆให้มีความเห็นแก่ตัวด้วยการมีกองเชียร์ เชียร์แต่พวกของตัว คอยเกลียดโกรธแค้นฝ่ายอื่นนี่สอนให้เขาเห็นแก่ตัวตั้งแต่เล็ก ๆ ซึ่งก่อนนี้เขาไม่เคยมี เขาไม่เคยทำ มนุษย์โง่ลงในทางจิตทางวิญญาณ เพิ่มความเห็นแก่ตัว สร้างนิสัยแห่งความเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น นี้เรียกว่ามีความโง่ลงในทางวิญญาณ เพราะว่าขาดสิ่งที่เรียกว่า Spiritual Guide ดังที่ว่ามาแล้ว คือครูหรือผู้นำ หรือมัคคุเทศก์ในทางฝ่ายวิญญาณ ว่าวิญญาณหรือจิตใจของเราต้องมีอย่างนี้ ต้องตั้งไว้อย่างนี้ ต้องอบรมไปอย่างนี้ นี่มันขาดไปหมด มันเลยกลับหลังตรงกันข้าม เป็นไปในทางที่จะเพิ่มความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่การศึกษา การศึกษาเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนเป็นอะไรได้ ที่นี้การศึกษามันเดินไปทางไหน คนมันก็เดินไปทางนั้น มีการศึกษาแต่ในทางไหน คนมันก็เก่งแต่ในทางนั้น เดี๋ยวนี้เรื่องทางจิตทางวิญญาณนี้มันไม่มี ยิ่งไม่มีมากขึ้น แล้วหัวเราะเยาะด้วย นักเรียนนักศึกษาสมัยนี้จะหัวเราะเยาะเรื่องทางวิญญาณ ทางศาสนา ทางธรรม ทางพระเจ้า เพราะว่าตัวเองเป็นภูตผีปีศาจเต็มขนาด จึงมองไม่เห็นไอ้คุณค่าของพระธรรมหรือศาสนาหรือพระเจ้า ก็หันหลังให้ศาสนา หันหลังให้พระเจ้ากันหมด นี่เรากำลังตามก้นฝรั่งในเรื่องนี้และจะเป็นมากขึ้น ฝรั่งกำลังจะสุดเหวี่ยงจะถอยหลังกลับก็ได้ แต่เรากำลังจะพุ่งไปข้างหน้าเพราะเราเพิ่งทำตามฝรั่ง กำลังมีแรงเหวี่ยงกำลังพุ่งเต็มที่ นี่ระวังให้ดี เราจะได้รับหายนะได้รับความวินาศฉิบหายเหมือนกับที่พวกฝรั่งเขาได้รับจากการศึกษาของเขา จากความไม่มีระเบียบขึ้นใน ในระหว่างศิษย์กับครูบาอาจารย์ นี่อะไรต่าง ๆ นี้ นี่เรากำลังจะตามก้นเขา พิธีรับน้องใหม่อย่างภูตผีปีศาจนั้นน่ะเอามา ไอ้รับน้องใหม่อย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะทำนั้นไม่รับเอามาหรือไม่มี นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องเพาะหว่านไอ้เชื้อโรคร้าย จุลินทรีย์เชื้อโรคทางวิญญาณที่ร้ายกาจที่สุด ให้ระบาดทั่วไปทั้งประเทศทั้งโลก เพราะมันขาดครู ขาดครูซึ่งมีเพียงไม่กี่คนก็ทำโลกให้มีสันติภาพได้ เดี๋ยวนี้เราเต็มไปด้วยครูที่จะทำโลกให้ฉิบหาย เรามีครูประเภทนี้เกินความจำเป็นแล้ว ถ้าเราจะไปผลิตเพิ่มเข้าอีกมันก็ยิ่งฉิบหายเร็วขึ้นอีก การที่ครูจะต้องระวังให้ดี เราก็อยู่ในโรงเรียนฝึกหัดครู ก็ควรจะนึกถึงข้อนี้ว่าเราจะไปสมทบกับพวกจะทำโลกให้ฉิบหาย หรือว่าเราจะถอยหลังไปหาไอ้การทำโลกให้มีสันติภาพ ถ้าเราต้องการจะถอยหลังไปหาไปหาสันติภาพ เราต้องถอยหลังไปหาการกลัวบาปและก็รักบุญนี่ ซึ่งเป็นคำครึเต็มทีแล้วนะสมัยนี้ ไอ้กลัวบาป ไอ้รักบุญนี่ เพราะเขาหันหน้าไปหาเงิน เพื่อจะซื้อความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง บาปหรือบุญไม่ต้องคิด ไม่ต้องคิด ไม่ต้องรู้ ต้องการแต่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังนั่นแหละคือบุญ เขาไปถือซะอย่างนั้น ฉะนั้นไม่มีใครกลัวบาปตามความหมายของคำว่าบาป มันจึงมีการเบียดเบียนโดยทั่วทุกหัวระแหงอย่างที่ไม่เคยมี ไปถามคนอายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปี เพื่อเปรียบเทียบกันดูว่าไอ้ความสงบสุขในบ้านเมือง สมัยโน้นกับสมัยนี้ต่างกันอย่างไร เมื่ออาตมาเป็นหนุ่ม ๆ ยังไม่ได้บวชตอนนั้นก็ไปกรุงเทพ นั่งรถลากคนเดียวดึกดื่นไปสถานีรถไฟไปได้ปลอดภัย ถนนว่างแทบไม่มีรถกี่คัน มีแต่รถลากนาน ๆ คันนี่ก็ปลอดภัย ต้องไปไกล ๆ จากที่ไกล ไปสถานีบางกอกน้อย ยังจำได้ติดตาว่าทำไมมันจึงไม่รู้สึกกลัว เพราะมันเป็นที่รับรองยืนยันได้ว่ามันปลอดภัยจริง ๆ ไปกับเจ๊กลากรถคนเดียวกับเราคนหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้เขาว่าทำไม่ได้ แม้แต่ในรถยนต์มันก็ยังปล้นจี้ นี่ไม่ถึงร้อยปี สี่ห้าสิบปีเท่านั้น มันเปลี่ยนแปลงมากอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าภูตผีปีศาจแห่งการบูชาวัตถุเนื้อหนัง ไม่ ไม่ ไม่บูชาบุญ ไม่ ไม่เกลียดบาป มันกลายเป็นบูชาบาป รักบาป รับเอาบาปมาเป็นพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว คำว่าบาปนั้นใครๆยังขยะแขยงอยู่ แต่ไม่รู้ความหมายเสียแล้ว เปลี่ยนความหมายไปหมดแล้ว ให้ได้ตามใจตัว โดยไม่ต้องคิดนึกถึงผิดถูก ชั่วดี แล้วก็แม้ว่าได้มาโดยที่เรียกว่าถูกต้องและยุติธรรม ก็ไม่มีขอบเขตที่พอ เกินเหลือจะเกินแล้วก็ยังไม่รู้สึกว่าพอ ตามทางศาสนาก็บัญญัติว่าแสวงหาเกินความจำเป็นนั้นเป็นบาป มีไว้เกินความจำเป็นก็เป็นบาป กินบริโภคเข้าไปเกินความจำเป็นก็เป็นบาป ก็ต้องการแต่ความถูกต้องและพอดี ช่วยจำข้อนี้ไว้ด้วยว่าไอ้ความถูกต้องและพอดีนั้นน่ะคือธรรมะในศาสนาทุกศาสนา ต้องถูกต้องและต้องพอดี ไอ้ความไม่พอดีคือมากไปหรือน้อยไปนั้นเป็นบาป เป็นผิดก็ต้องมีความทุกข์ เช่นคุณกินน้อยไปคุณก็ต้องเป็นทุกข์ คุณกินมากไปคุณก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าคุณกินพอดีคุณก็จะสบายดี เรื่องมีเงินมีของมีอำนาจวาสนามีอะไรก็ ก็เหมือนกัน ต้องมีพอดี ในพุทธศาสนาของเรานี้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ความไม่สุดโต่งไปทางซ้ายหรือทางขวา ฉะนั้นเราไม่ใช่ซ้ายหรือขวา เราไม่ใช่พวกซ้ายพวกขวา เราเป็นพวกพอดี ไม่ Negative ไม่ Positive ไม่ Pessimistic ไม่ Optimistic เมื่อไม่มีคำใช้ในโลกนี้คือความพอดี หรือพุทธศาสนา ฝรั่งไม่เข้าใจ มันจะมาเกณฑ์ให้พุทธศาสนาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ Positive หรือ Negative นี่มันบ้า ซึ่งพุทธศาสนามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นแต่ถูกต้องและพอดี ฉะนั้นจะมีความเกลื่อนเป็นกลาง ถูกต้องคือว่า มีเป็นสมดุลอยู่เรื่อย นั่นคือหลักว่าถ้าเกินพอดีแล้วเป็นบ้า เด็กนักเรียนคนไหนทะเยอทะยานเรียนเกินความสามารถของมันสมอง มันก็เป็นโรคเส้นประสาท เป็นบ้าแล้วก็ตายไปหลายคนแล้ว มันไม่พอดี รู้จักเรียนให้พอดีแก่กำลังกาย กำลังมันสมอง รู้จักปรารถนาความพอดี อย่าไม่มีขอบเขตในเรื่องการได้มาซึ่งเงิน ซึ่งอะไรเหล่านี้ แม้ที่สุดแต่การแต่งเนื้อแต่งตัว การพูดจา การอะไรต่าง ๆ ก็ต้องพอดี เดี๋ยวนี้มันไม่มี ไม่มีพอดี ไอ้ที่เกินลดลงมาเป็นไม่พอดี ที่เกินแสนจะเกินแล้วกับลดลงมาเป็นยังไม่พอ ยังไม่พออยู่นี่ นี่เราเข้าใจตัวเราเองยาก เพราะว่าเราถูกทำให้ผิดไปเสียตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่แรกเกิดมานั้น โผล่ขึ้นมาในโลกมีแต่ความไม่พอดี มีแต่สิ่งที่เป็นลามก อนาจาร อย่างแนบเนียน อย่างลึกซึ้ง อย่างสุขุม ไปดูเถอะ สิ่งที่มันโฆษณาอยู่หน้าหนังสือพิมพ์ก็ตาม โรงหนังโรงละครก็ตาม แม้แต่วิทยุกระจายเสียงโทรทัศน์นี่ ย้อมจิตวิญญาณของคนให้เป็นภูตผีปีศาจโดยไม่รู้สึกตัวทั้งนั้น สรุปในคำว่ามันเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไม่ลดความเห็นแก่ตัวเรื่องเหล่านั้น ถ้าเมื่อไหร่เรื่องของศาสนาเข้ามา เมื่อนั้นน่ะทุกอย่างจะเป็นไปเพื่อความลด ความเห็นแก่ตัว รักผู้อื่น รับใช้ผู้อื่น เดี๋ยวนี้ไม่มีใครจะรักผู้อื่นหรือรับใช้ผู้อื่น นอกจากจะได้ประโยชน์ตอบแทนมาล้นค่า การรับใช้ผู้อื่น การเห็นแก่ส่วนรวม การเห็นแก่พระธรรมศาสนาโดยบริสุทธิ์ใจนั้นมันไม่มี มันมีเพื่อจะเห็นแก่ตัวมากขึ้นทั้งนั้น นี่เพราะมันขาดครูที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่าครู Spiritual Guide ไปเปิดดู Dictionary ภาษาสันสกฤตทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องเกี่ยวกับทางศาสนา เกี่ยวกับทางภาษาแท้ ๆ เขาก็แปลคำนี้ว่าอย่างนี้ นี่เราในโลกนี้กำลังไม่มี Spiritual Guide ปล่อยให้เนื้อหนังให้กิเลสมัน มัน มันพาไปมันเป็นมัคคุเทศก์พาไป ไอ้มนุษย์ที่มีความรู้ถูกต้องทางจิตทางวิญญาณที่จะเป็น Spiritual Guide หรือครูนี้มันไม่มี ฉะนั้นก็ได้โอกาสแก่ปีศาจซาตานพระยามาร พูดง่ายๆ ว่าความหลงใหลในทางสุขทางเนื้อหนังนี่มันพาไป พาไป พาไป แบ่งออกเป็นพวก ๆ ตามที่ประโยชน์มันร่วมกัน เพื่อเข่นฆ่าไอ้ฝ่ายที่มันมีประโยชน์มันขัดกัน ค่ายสังคมนิยมหรือค่ายนายทุนหรือค่ายอะไรก็ตาม มันมีเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น ก็ประโยชน์มันขัดกัน แล้วตัวต้องการประโยชน์ไม่มีขอบเขต มันก็ต้องคิดทำลายล้างกันให้ถึงที่สุด เพื่อจะให้ประโยชน์นั้นเหลือมาเป็นของตัว นี่ทำกันระหว่างมนุษย์ ทีนี้ทำกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ก็คือว่าธรรมชาตินั่นเป็นสมบัติของพระเจ้าของธรรมชาติ มนุษย์ก็พยายามที่จะขุดขึ้นมาถลุง ทำลายให้หมดไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่จำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น นี่คุณไปดู ไอ้ทรัพยากรที่เขาขุดขึ้นมากจากใต้ดินนี้ เอามาทำสิ่งที่ยังไม่จำเป็นแก่มนุษย์ทั้งนั้น อย่างน้ำมันที่ใช้มากที่สุด ขุดขึ้นมานี้จวนจะหมดในโลกอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เอาไปใช้เพื่อหาความสำราญทั้งนั้น และที่เอามารบราฆ่าฟันกันนี้ ก็เพื่อผลคือสำราญของตัว อย่างที่พูดมาแล้ว ถ้าเรารบชนะประเทศอื่น เราก็ได้ความสำราญทางเนื้อหนังผู้เดียว ขุดไอ้น้ำมันขึ้นมาทำสงครามกัน ก็เพื่อความสำราญทางเนื้อหนัง โดยไม่จำเป็นจะต้องฆ่ากันก็ฆ่ากัน แล้วคนนั่งรถยนต์ไปเที่ยวบางแสน ไปเที่ยวกินอาหารเอร็ดอร่อย ไปเทียบดูเถอะ ไอ้นั่งธุรการงาน นั่งไปธุรการงานนั้นมันยังมีน้อยกว่าหรืออย่างดีก็เท่ากัน เพราะคอยจ้องโอกาสที่จะไปเที่ยว กินอาหารกลางวันต้องนั่งรถยนต์ไปกินที่ร้านที่เล่าลือกัน ที่โฆษณากัน ที่เล่าลือกัน ที่ยั่วยุกัน จะกินก๋วยเตี๋ยวชามละห้าสตางค์ข้างที่ทำงานเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ต้องนั่งรถยนต์ไปกินอาหารที่ไกลออกไป บางทีต่างจังหวัด ไปจังหวัดนนทบุรี จะไปกินอะไรที่มันอร่อยปาก นี่รถยนต์มันสึกหรอเท่าไหร่ น้ำมันมันสึกหรอเท่าไหร่ สิ่งต่างๆยังมีอีกมากมายที่เป็นไปในทำนองอย่างนี้ เรียกว่าเราถลุงสมบัติของพระเจ้า ของธรรมชาติให้หมดไปโดยเร็ว นี่ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นอย่างนี้ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก็มีใจบาปหยาบช้า คิดล้างผลาญกันอย่างนี้ ก็คิดดู นี่คือบาป นี่คือคอรัปชั่น ไปดู Dictionary ที่มีอธิบายรากศัพท์เสียบ้าง คำว่า คอรัปชั่น ไม่ใช่เรื่องโกงเงินตามออฟฟิศอย่างเดียว มันหมายถึงความสกปรกทั่วไป ความสกปรกที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในพื้นที่อันสะอาด ในจิตใจอันสะอาดนั้นน่ะเรียกคอรัปชั่นทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นทำผิดชนิดไหนก็ไม่พ้นที่จะเป็นคอรัปชั่น เดี๋ยวนี้เราทำคอรัปชั่นต่อสังคมต่อมนุษย์ด้วยกัน ทำคอรัปชั่นต่อพระเจ้าคือธรรมชาติ ทุกคนกำลังเป็นคอรัปชั่นไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง การเดินขบวนประท้วงคอรัปชั่นของรัฐบาลอย่างนี้ เป็นเรื่องเล็กเรื่องนิดเดียว ไม่เท่ากับที่มนุษย์กำลังทำคอรัปชั่นต่อพระเจ้า ต่อบุญต่อกุศล ฉะนั้นอย่างไปเห่อในเรื่องไอ้หลับหูหลับตาชนิดนั้น มารู้เรื่องจริงเสียบ้าง ว่าเดี๋ยวนี้เราคอรัปชั่นต่ออุดมคติของครูหรือเปล่า พวกคุณที่ยังไม่เป็นครู กำลังฝึกที่จะเป็นครูก็มี เป็นครูแล้วก็มี ช่วยกันดูให้ดีว่าเรากำลังคอรัปชั่นต่ออุดมคติอันสูงสุดบริสุทธิ์ของคำว่าครูหรือเปล่า ถ้าไม่คอรัปชั่นอันนี้แล้วก็วิเศษ คือจะเป็นครูที่แท้จริง เป็นปูชณียบุคคลของโลก ครูไม่ใช่อาชีพ ครูไม่ได้ทำอาชีพอย่างแบบหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ครูมีอาชีพอย่างปูชณียบุคคล คือประสิทธิประสาทแสงสว่างในทางวิญญาณให้แก่มนุษย์ทั้งโลก แล้วเขาก็บูชาความประเสริฐของครูด้วยวัตถุปัจจัยที่จะให้มีชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นอาชีพมันผิดกับคนเหล่าอื่น เป็นอาชีพพิเศษของปูชณียบุคคล ที่เป็นปูชณียบุคคลอื่นๆ ก็ยังมี อาชีพของปูชณียบุคคลต้องเป็นอย่างนี้ คือสมัคร เสียสละ รับใช้ผู้อื่น รับใช้โลกเพื่อให้โลกมันดีขึ้น แล้วก็รับวัตถุปัจจัยมาหล่อเลี้ยงชีวิตเพียงให้มันอยู่ได้หรือให้ทำงานสะดวก แล้วทรัพย์สมบัตินั้นควรจะเป็นของกลาง เราเป็นเจ้าหน้าที่ใช้ ใช้สิ่งอุปกรณ์เหล่านั้นให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แทนที่จะกินเองเลี้ยงชีวิตเองนี้ทำเท่าที่มันควรจะทำ รับมาเท่าที่ควรจะรับ ถ้าทำอย่างนี้มันเป็นปูชนียบุคคล ถ้าทำผิดจากนี้มันก็เป็นลูกจ้าง รับจ้างสอนหนังสือเอาเงินมาบำรุงบำเรอความสุขทางเนื้อหนังของตัวของครอบครัว มันมีเท่านั้น อย่างหนึ่งก็เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ อย่างหนึ่งก็เป็นปูชณียบุคคลของโลก แต่อุดมคติของคำว่าครูนั้น มันเป็นปูชณียบุคคลของโลก ไม่มีทางที่จะเป็นไอ้ลูกจ้างสอนหนังสือเลย ศึกษาประวัติศาสตร์ก็ช่วยกันศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนนี้ คือติดตามคำว่าครู ถอยหลังเข้าไป ถอยหลังเข้าไป หนึ่งพันปี สองพันปี สามพันปี หมื่นปี แสนปีก็ตาม ให้พบไอ้แง่หรือ Spirit ของคำว่าครู เรื่อยไป เรื่อยไป จนถึงสมัยหิน เดี๋ยวนี้ตำรับตำรา มันมีพอที่จะศึกษาออกมาได้ แต่เราไม่ศึกษาเอง เพราะไอ้บันทึกทางวิชาประวัติศาสตร์การค้นคว้าต่าง ๆ เขาบันทึกไว้เป็นกลาง ๆ เยอะแยะไปหมด พอค้นออกมาในแง่ไหนแขนงไหนก็ทำได้ เราก็ค้นในแขนงของคำว่าครูสิ เอามาสอนในโรงเรียนฝึกหัดครู สอนวิชาครูให้มีความเป็นครูที่ถูกต้อง ที่เคยทำโลกให้มี ให้อยู่กันโดยสันติภาพ ก็ไม่ต้องใช้เงินอะไรมากมาย เดี๋ยวนี้เราใช้เงินมาก ใช้เพาะครูที่จะทำโลกให้ฉิบหายจนมากเกินต้องการ ใช้เงินมากในการเพาะครูขึ้นมาสำหรับทำโลกให้ฉิบหายกันทั้งโลกนี่ มาก ไม่มีสถาบันไหนที่มุ่งจะไปทำครูให้เป็น Spiritual Guide ทีนี้การสอนหนังสือก็ไม่เห็นว่ามันมีก้าวหน้าอะไร นี่จะบอกให้ฟังในความรู้สึกอันหนึ่ง ซึ่งยังสงสัยอยู่จนเดี๋ยวนี้ สมัยโน้นครูเงินเดือน ๘ บาท นัก เด็กนักเรียน ป. ๔ มันก็มีความรู้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ไอ้ครูสอนประชาบาล ป.๔ มันมีเงินเดือนหกร้อยบาท เจ็ดร้อยบาท พันกว่าก็มี ไอ้เด็กมันก็มีความรู้เท่านั้น รู้หนังสือน่ะ มีความรู้เท่านั้น หรือบางทีจะเลวกว่า แต่ความประพฤตินั้นเลวกว่าแน่ เด็กสมัยนี้เป็นลิงหลอกเจ้า แลบลิ้นหลอกครู ลับหลังครูเรียกว่าไอ้ก็มี เรียกครูว่าไอ้ก็มี สมัยโน้นเราเสียเงินเดือนละ ๘ บาทให้ครูสอนหนังสือแล้วก็อบรมจรรยาตามแบบโบราณได้ผลมาอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ครูมีเงินเดือนตั้งพัน สอนหนังสือ ป. ๔ แล้วก็สอนให้เป็นลิงหลอกเจ้าโดยไม่รู้สึกไม่ใช่เจตนา เพราะครูเองมันเป็นลิงหลอกเจ้า มันไม่ซื่อตรงต่ออุดมคติของครู กิริยาทางท่าทางอะไรที่มันแสดงออกมาโดยมรรยาทนั้นน่ะ มันอบรมเด็กให้รับไปโดยไม่รู้สึกตัว เด็กมันไม่เคารพครู สมัยโน้นเด็กจะกลัวครู จะรักครู จะนับถือครู สมัยนี้เด็กไม่กลัวครู ไม่รักครู ไม่นับถือครู ไปทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากอย่างยิ่งแก่เด็กนักเรียนชายที่มีครูผู้หญิงรุ่นสาวนี่ มันมีปัญหาอย่างยิ่ง มันไม่มีความเป็นครูและความเป็นศิษย์ แล้วโลกจะเป็นอย่างไร นี่ มันน่าหัวที่ว่าสมัยก่อนเงินเดือนครู ๕ บาทก็มี ๘ บาทก็มี ๘ บาทนี้เป็นอย่างสูงอยู่แล้วครูประชาบาล เขาสอนให้มนุษย์รู้หนังสือเท่านั้นล่ะคือเท่าเดี๋ยวนี้ แต่แล้วทางจิตใจยังดีกว่า นี้ต่อไปอีก ๕๐ ปีข้างหน้ามันจะเป็นอย่างไร ครูจะมีเงินเดือนหลายพันบาท ถ้าสอนคนให้เป็นลิง มันก็เป็นได้สิ โดยเพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม ตามสัดส่วนที่มันกำลังหมุนไป เปลี่ยนไป โลกมันเปลี่ยนไป ถ้าอย่างไรมาคิดกันใหม่ว่า ไหน ๆ เกิดมาชาติหนึ่ง เกิดมาทั้งที จะลองทำอะไรให้มันน่ารัก น่าบูชา น่านับถือ เมื่อสมัครอาชีพเป็นครู ก็ควรจะสมัครเป็นครูชนิดที่เป็นปูชณียบุคคลกันบ้าง อย่าเป็นครูรับจ้างสอนหนังสือตามแบบของพวกฝรั่งเลย สอนหนังสือและก็สอนวิชาชีพนั้นแหละ มีเท่านั้น สอนหนังสือต้องเป็นพื้นฐานเพื่อให้เล่าเรียนได้ แล้วก็เล่าเรียนได้ ก็เรียนวิชาชีพจนกระทั่งไปถึงเทคโนโลยีแขนงนั้นๆ ไปเลย แม้อะไรมันก็จะมีเทคโนโลยีไปหมดเพราะมันทำดีได้ถึงที่สุด แต่แล้วมันก็ทำโลกให้ปั่นป่วนยิ่งขึ้น ให้เห็นแก่ตัวจัดขึ้นด้วยกันทุกฝ่าย แล้วมันก็ล้างกันวินาศ ตามคำทำนายของคนโบราณโง่ๆ ว่าไม่เท่าไหร่ยุคมิคสัญญีจะมาถึง เด็กๆ ก็พูดว่านี้เป็นคำพูดงมงายโง่ ๆ ของคนโบราณ คนโบราณก็ยังยืนยันพูดอย่างนั้น ว่าไม่เท่าไหร่ยุคมิคสัญญีจะมาถึง คือว่าคนจะฆ่ากันโดยไม่มีความรู้สึก ไม่มีความหมาย มิคคะแปลว่าเนื้อ ไอ้เนื้อเช่นนก เช่นสัตว์ต่าง ๆ นี้เขาเรียกว่าเนื้อ มิคคะ สัญญีแปลว่าสำคัญ มีความสำคัญว่าเนื้อ แล้วก็ยิงเล่น เหมือนกับยิงลิง ยิงค่าง ยิงกระรอก ยิงสัตว์ในป่ามากินเป็นอาหารอย่างนั้น นี่คนจะกระทำแก่คนอย่างนั้น เขาเรียกว่ามิคสัญญี เดี๋ยวนี้มันก็มีความหมายอย่างนั้นเข้ามาแล้ว เช่นเห็นประโยชน์แก่ตัวไม่มีเหตุผลอย่างอื่น เอาระเบิดปรมาณูไปโยนใส่เพื่อนกัน ตายทีเดียวหลาย ๆ หลายๆ แสนอย่างนี้ มันมีความหมายอย่างนั้น เหมือนกับเราตบยุงตัวหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรตบยุงกี่ตัวก็ได้ ไม่มีความหมายอะไรไม่รู้สึก แต่ว่าฆ่าคนสักคนหนึ่งยังรู้สึก ถ้าต่อไปฆ่าคนสักคนหนึ่งก็เหมือนกับตบยุงตัวหนึ่ง มันจะมีอย่างนี้ เพราะมีความสะดวกในการจะฆ่า เครื่องมือจะฆ่ามัน มัน มันสะดวก มันเจริญ และจิตใจของคนก็เลวลง ฉะนั้นการที่จะฆ่าคนคราวละแสนละแสนนี้มันก็ทำได้ เขาเรียกยุคมิคสัญญีจะมาถึง ฉะนั้นเด็ก ๆไม่ควรจะหาว่าคนโบราณงมงาย โง่เง่า ครึคระอะไรนัก มันเป็นเรื่องที่คำนวณไปตามเรื่องทางจิต ทางวิญญาณว่าคนจะเห็นแก่ตัวจัดเข้า จัดเข้า ทีนี้มันก็จะต้องฆ่ากันอย่างวินาศที่สุด และเหลืออยู่ไม่กี่คนนี้จะตั้งต้นใหม่ จะมีความสำนึกผิดแล้วก็ตั้งต้นกันใหม่ ถ้าบุคคลประเภทครูรักษาอุดมคติไว้ได้ อาการมิคสัญญีนั้นจะไม่เกิด ถ้าว่าจะเกิดก็ต้องช้ากว่านี้มาก แล้วจะไม่เกิด เพราะว่าคนทุกคนกลัวบาป รักบุญ อยากจะเป็นคนของพระเจ้า หรือเป็นคนที่เป็นธรรมะ มีธรรมะในศาสนา ซึ่งเขาสอนให้เอาธรรมะเป็นตัวตน อย่าเอาตัวกูเป็นตัวตน เดี๋ยวนี้เราเอาตัวกู ของกูเป็นตัวตน จะเอาประโยชน์เพื่อตนให้คนอื่นมารับ รับสนองความต้องการของเรา มารับใช้เรา แต่ถ้ามันกลับตรงกันข้าม เชื่อพระเจ้า เชื่อธรรมะ มันก็มีธรรมะเป็นตัวตน รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า นี่พอพูดอย่างนี้เด็กๆสมัยนี้ก็หัวเราะเยาะอีก ว่ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า แต่ความจริงยังเป็นอย่างนั้น รับใช้ตัวตนคือรับใช้กิเลสของตัวเอง ถ้ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระธรรม พระธรรมต้องการสอนให้เห็นแก่ผู้อื่น ให้ลืมตัวเสีย ให้เห็นแก่ผู้อื่น แล้วรับใช้ผู้อื่นนั่นแหละมันจะเป็นประโยชน์แก่ตัว รับใช้ผู้อื่นมันทำลายความเห็นแก่ตัว ไอ้ตัวมันก็บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีกิเลส มันก็อยู่เป็นสุข และอยู่กันด้วยกันเป็นสุข ฉะนั้นในไอ้ลัทธิ ศาสนาที่เขามีพระเจ้า เขาก็พูดไว้เป็นหลักว่ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเองคือรับใช้ซาตาน กิเลสตัณหาของเรามันต้องการจะเห็นแก่ตัว เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังของตัวนี่แหละซาตาน รับใช้ซาตาน ถ้ารับใช้ผู้อื่นหมายความว่า เรี่ยวแรงวัตถุปัจจัยที่มีเหลืออยู่ก็ช่วยเหลือผู้อื่น หรือบางทีจะเป็นมากถึงกับว่าช่วยผู้อื่นก่อนช่วยตัว แล้วผลนั้นมันย้อนมาหาตัว ประดังเข้ามารอบด้าน เราทำให้ เรารับใช้ผู้อื่นจนคนทุกคนรักเรารอบด้าน นี้ เราก็จะกินไม่หวาดไหว เราก็จะมีความสุขไม่หวาดไหว นี่คติสมัยโบราณเขาเป็นอย่างนี้ ครูก็สอนกันแต่ในหลักธรรมะอย่างนี้ ให้วิญญาณมันสูง แล้วทีนี้ก็อยากจะพูดถ้อยคำอีกสองคำ เวลาเหลือน้อยแล้ว ว่าไอ้เรื่องวิญญาณนั้นน่ะ อย่าไปดูถูก อย่าเข้าใจเป็นคำครึคระ บ้า ๆบอ ๆ ก็ว่าควรจะเห็นอกเห็นใจผู้พูดบ้าง เราไม่มีคำพูดอื่นที่จะดีกว่านั้น ก็เลยใช้คำว่าวิญญาณ วิญญาณ เรื่องทางวิญญาณ อะไรๆ ก็เป็นความหมายในทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายร่างกายหรือเนื้อหนัง ไอ้ Flesh ถ้าภาษาคริสเตียนเขาใช้คำว่า Flesh เฉย ๆ คือแปลว่าเนื้อหนัง ถ้าเนื้อหนังนี้หมายถึงกิเลส ซึ่งยึดครองร่างกายหรือเนื้อหนัง เราเห็นแก่เนื้อหนัง เราบูชาเนื้อหนัง บูชาความสุขทางเนื้อหนัง อย่างนี้เราเกลียดพระเจ้า ถ้าเราจะไม่เกลียดพระเจ้าเราจะต้องเกลียดเนื้อหนัง เรื่องความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง มันจึงจะบูชาพระเจ้าได้ เรื่องทางเนื้อหนังนี้ก็เรียกว่าทางเนื้อหนังหรือทางกาย ส่วนเรื่องทางฝ่ายพระเจ้านั้นเรียกว่าฝ่ายวิญญาณ คนเราจะต้องพอดี อย่าบูชาไอ้วัตถุเนื้อหนังเป็นพระเจ้า จะต้องจัดการกับไอ้เนื้อหนังร่างกายแต่พอดี เพื่อมีชีวิตอยู่เท่านั้น ความสุขที่แท้จริงมาจากวิญญาณ มาจากทางวิญญาณ มาจากทางฝ่ายพระเจ้า ไอ้ทางร่างกายนี้แฝดกันอยู่กับทางไอ้ ทางระบบประสาท ทางจิต จิตในความหมายที่เป็นเพียงความรู้สึก ฉะนั้นเรามีร่างกายกับจิตนี้รวมกันเป็นคน ๆ หนึ่ง มีร่างกายกับจิต มี Corporeality Mentality คือมี มีทางฟิสิกส์กับทางไอ้ Mental นี้ รวมกันอยู่เป็นคน ๆหนึ่ง ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นเนื้อหนัง ทีนี้มันมีอีกอันหนึ่งซึ่งอยู่ไกลไปโน้น ไม่มีคำอื่นเขาใช้คำว่า Spiritual Spiritual นั้นความหมายมันกำกวม มันหมายถึงผี ปีศาจ ถึงเหล้า กินแล้วเมาอะไรก็ได้คำว่า Spirit นี่ แต่ Spirit ในความหมายของคำว่า Spiritual นั้นหมายถึงเรื่องวิญญาณ สติปัญญา ความคิดความเห็น นั่นแยกออกไปต่างหากเป็นเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ ทางฝ่าย spiritual ไอ้พวกฝ่ายนี้อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกาย พร้อมทั้งระบบประสาทจิตใจที่มันทำหน้าที่จะหลงใหลไปด้วยกันกับร่างกาย จะแยกเป็นสองก็ได้ ถูกกว่าคือว่าเป็นฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ แต่ในเรื่องมันมีอยู่ ในเวลานี้มันมีคนแปลกันอยู่เรื่องกาย เรื่องจิต และเรื่องวิญญาณ ไปเปรียบเทียบเป็นอุปมา ไม่ใช่อุปมาชี้ระบุไปยังว่าไอ้เรื่องกายนี่ ถ้าเราไม่สบายเราไปที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น ถ้าจิตไม่สบายเราไปที่โรงพยาบาลปากคลองสาน หรือโรงพยาบาลหมอประสบอย่างนี้ นี่กายไม่สบาย จิตไม่สบายไปที่นั่น แต่ถ้าวิญญาณไม่สบายต้องไปหาพระพุทธเจ้า ต้องไปหาธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังจะลับเลือนไปเพราะไม่มีใครสนใจ นั่นทางวิญญาณเป็นอย่างนั้น ทีนี้อยากจะฟื้นฟูคำนี้ให้กลับมา หรือ หรือกิจการนี้ให้กลับมา เราจึงนำคำว่าวิญญาณนี้มาใช้ใหม่ ให้เป็นคู่ไว้เสมอทางกายกับทางวิญญาณ ทางกายทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็ใช้แพร่หลายเต็มไปมาก พวกฝรั่งที่เป็นนักศึกษาในทางธรรม ทางศาสนา ทางปรัชญาใช้คำว่า Spiritual โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุข ไอ้ความสุขทางเนื้อหนังนั้นอย่างหนึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่ความสุขทาง Spiritual นี้เป็นเรื่องของทางศาสนา ที่จริงไอ้ความสุขทางเนื้อหนังนั้นไม่ใช่ความสุขหรอก ความสะดวกสบายเท่านั้นเอง ไอ้ความสุขแท้จริงมันอยู่เรื่องทางวิญญาณ ที่จะใจคอเยือกเย็นเป็นสุข สบายจริง ๆ เป็นเรื่องทางวิญญาณ ทางกายมันเป็นไปไม่ได้ มันได้แต่สะดวก สบาย สนุกเท่านั้นเอง เป็น Pleasure มากกว่าที่จะเป็น Happiness ถ้าเป็นเรื่อง Happiness แล้วเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ เพราะถ้าวิญญาณไม่สงบ ไม่เป็นสุขแล้วอะไร ๆ ก็ไม่เป็นสุข เงินทองข้าวของกามารมย์ก็ไม่เป็นสุข ฉะนั้นเราจะต้องมีความสุขแท้จริงคือความสุขในทางวิญญาณคือจิตใจสะอาด สว่าง สงบ นั่นแหละจะมีความสุข ถ้าจิตใจสกปรก มืดมั่วเร่าร้อนแม้จะมีเงิน มีของ มีอะไรมันก็สกปรกไปหมด เป็นทุกข์ไปหมด ร้อนเป็นไฟไปหมด จะไปหลงใหลในเรื่องทางเนื้อหนัง นี้เรื่องทางวิญญาณนี้อยากจะให้กลับมาใหม่ เพื่อให้ศาสนากลับมาใหม่ ให้พระเจ้ากลับมาใหม่ ให้พระธรรมกลับมาใหม่ ขอร้องให้ทุกคนสนใจเรื่องทางวิญญาณ แล้วครูก็จะได้เป็น Spiritual guide คือเป็น Guide ในทางวิญญาณ ตามความหมายเดิมหลายพันปี ทีนี่เราจึงมีคำว่าวิญญาณใช้ เช่นโรงมโหรสพทางวิญญาณ มโหรสพคือสิ่งซึ่งทำให้เกิดความบันเทิงใจ Entertainment เป็นความหมายของคำว่ามโหรสพ แต่ทางเนื้อหนังมันก็ทำ นำไปสู่ความเป็นลามกอนาจาร เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังทางกิเลสตัณหา ทีนี้มโหรสพทางวิญญาณหมายความว่าความรู้ถูกต้อง มีแสงสว่างแก่จิตใจ มีความสะอาดแก่จิตใจ มีความสงบเย็นแก่จิตใจ เราถึงจัดโรงมโหรสพทางวิญญาณขึ้นคือสวนโมกข์ นี้คุณกำลังนั่งอยู่ในโรงมโหรสพทางวิญญาณ ตามความมุ่งหมายของที่นี่ ตรงนี้ ก้อนหิน ต้นไม้ กวดทรายนี้ คือโรงมโหรสพทางวิญญาณ เมื่อคุณนั่งอยู่ที่นี่ สิ่งเหล่านี้ธรรมชาตินี้มีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ให้เย็น ให้หยุด ให้ยอมให้อะไรทำนองนั้น คุณสู้มันไม่ได้หรอก อิทธิพลของธรรมชาตินี้ คุณสู้มันไม่ได้ เข้าไปในที่ธรรมชาติมันมีอิทธิพลอย่างไรจะรู้สึกอย่างนั้น เช่นเราไปที่ทะเล จิตใจเราจะรู้สึกว่างเหมือนทะเล เราเข้ามาในที่อย่างนี้ จิตใจเราจะเย็น สงบเหมือนที่อย่างนี้ แต่แล้วเราไม่สนใจนี่ จิตใจของเรายังเตลิดเปิดเปิงไปแต่ความสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง จึงมาหัวเราะกระซิกกระซี้กันระหว่างคนหนุ่มคนสาวแถวนี้ก็มี ทำความรำคาญให้แก่พระเณร นั่นมันคนมันบ้าเกินไป มันกำลังเดือดจัดเกินไปจนอิทธิพลของธรรมชาติไม่ทำให้มันหยุดได้ถึงที่สุด แต่ว่ามันก็ยอมรับว่าแหมสบายใจนี่ ไอ้คนหนุ่มคนสาวที่จะมาหาความเสสรวล สรวลเสกันในทางเพศนั้นน่ะ มันก็รู้สึกว่าอย่างนี้สบายใจ แต่มันกลับใช้โอกาสอย่างนี้ไปในทางอย่างโน้น นี่ถ้าเราจะศึกษาเรื่องทางวิญญาณ เราก็ควรจะมีปัญหา ทำไมมันจึงสบายใจ เรามานั่งอยู่กับต้นไม้ ก้อนหิน ทำไมมันจึงสบายใจ แล้วก็พบว่า อ้าว สิ่งเหล่านี้มันมีอิทธิพลเปลี่ยนจิตใจของเราไม่ทันรู้ ให้เย็น ให้หยุดหรือให้ยอม ให้ยอมนี้มีความหมายว่าไม่ ไม่ยอมเสีย คือว่ายอม ยอมตายไม่ยอมเสียความสงบสุข เมื่อก่อนนี้เราไม่ยอม เราจะเอาสนุกสนานเอร็ดอร่อย เอาเรื่องบ้ากันใหญ่ตามชาวโลก เดี๋ยวนี้เรายอมเสียสละอย่างนี้ เรายอมอยู่กับไอ้ก้อนหิน ต้น ต้นไม้ กรวดทราย อย่างนี้ ตรงนี้อยากจะถือโอกาสพูดว่า นี้คุณกำลังนั่งที่ทราย จงนั่งที่ทรายนี้ ที่ดินนี้ ให้เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า ถ้าคุณยังรักพระพุทธเจ้าอยู่บ้าง นับถือพระพุทธเจ้าอยู่บ้าง ขอให้การนั่งนี้มันเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่กลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน มีหญ้าสองสามกำมือรองพอไม่ให้มันเจ็บมากเท่านั้น ท่านตรัสรู้กลางดิน ไปอ่านดู ทีนี้เมื่อนิพพานคือตาย ท่านก็ตายกลางดิน ไปอ่านดูก็แล้วกันเรื่องนิพพานเป็นอย่างไร ไม่ใช่นิพพานบนกุฏิหรือว่าบนโรงพยาบาลเหมือนคนสมัยนี้ ว่ามีผ้าสังฆาฏินี้ปูตรงกลางดินแล้วก็นิพพาน นี้เมื่อประสูติ เมื่อเกิดท่านก็เกิดกลางดิน ไปอ่านเรื่องลุมพินี ท่านไม่ได้ประสูติที่ในวัง มีการประสูติโดยบังเอิญที่สวนอุทยาน ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากพื้นดิน จะต้องประสูติกลางพื้นดิน ท่านเกิดกลางพื้นดิน ท่านเป็นพระพุทธเจ้ากลางพื้นดิน ท่านตายกลางพื้นดิน ฉะนั้นถ้าเรานั่งลงที่ดินทีไรขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่ระลึกแก่ท่าน พอกลับไปนี้นั่งแต่บนโต๊ะ บนเก้าอี้ บนเก้าอี้ที่สบาย หรือบนเรือน บนตึก เดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งกลางดิน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านประสูติ ท่านตรัสรู้ ท่านปรินิพพาน นี่เป็นเกลอกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า นี่กำลังศึกษาเรื่องมโหรสพทางวิญญาณ ว่าไอ้สิ่งธรรมชาติเหล่านี้มันเปลี่ยนจิตใจให้ไปตามเรื่องของธรรมชาติคือ สงบ สะอาด แล้วก็รู้ตามที่เป็นจริง ฉะนั้นขอให้ธรรมชาติเหล่านี้มันช่วยทำจิตใจของเราอย่างนี้ เพื่อเราจะได้รู้ทั่วถึงทุกแขนง ไม่ต้องกลัว คุณมีอิสรภาพ มีเสรีภาพจะเลือกเอาอย่างไหนก็ได้ จะเลือกเอาทำโลกให้ฉิบหาย คุณก็มีสิทธิที่จะเลือก จะทำโลกให้สงบมีสันติก็มีสิทธิที่จะเลือก ทีนี้พูดเผื่อไว้ทั้งสองอย่างให้เผื่อเลือก นี้มัวแต่พูดกันอย่างเดียว พูดข้างเดียว ไปข้างแต่เรื่องเนื้อหนังทั้งนั้น มโหรสพก็ทางเนื้อหนัง ไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยมหรสพทางเนื้อหนัง ที่โรงหนังโรงละคร ที่บาร์ ที่ไนท์คลับ ที่อะไรต่าง ๆ เดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งอยู่ในโรงมโหรสพทางวิญญาณ ที่จูงใจไปในทางความสะอาด สว่าง สงบ นี่เป็นการศึกษาจากก้อนหิน ก้อน ก้อนดิน ต้นไม้ มันจะพูดเรื่องความสงบ ถ้าหูได้ยิน ถ้าหูไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้ยิน ถ้าเกิดหูมันฉลาด มันนั่นขึ้นก็จะต้องได้ยิน คือรู้สึกต่อความสงบ คล้ายกับว่าสิ่งเหล่านี้ร้องตะโกนบอกให้สงบ ให้หยุด ให้เย็น นี้โดยอำนาจของธรรมชาติ มันเป็นมโหรสพทางวิญญาณเราส่งเสริมเข้านิดหน่อยนี้ ที่จะจัดก้อนหิน ต้นไม้อะไรอย่างนี้ ทั้งวัดเป็นโรงมโหรสพทางวิญญาณโดยธรรมชาติ ทีนี้ที่โดยทำด้วยมือคน โรงมโหรสพทางวิญญาณก็คือตึกหลังนั้น ที่เขาไปดูข้างในแล้ว ขอให้ใช้สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในตึกหลังนั้นที่เป็นไปในทางมโหรสพทางวิญญาณ อย่าไปแสวงหาความสนุก ไอ้เรื่องฝ่ายวัตถุฝ่ายเนื้อหนังอะไรอีก ถ้าเข้าใจภาพเหล่านั้นทุกภาพแล้วก็พอที่จะ พอที่จะเข้าใจเรื่องทางวิญญาณ ส่วนหนึ่งก็แสดงความโง่ความหลงของมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็แสดงความฉลาดของมนุษย์ ส่วนหนึ่งก็แสดงความสงบที่เป็นผลจากการปฏิบัติถูกต้องของมนุษย์ ภาพเหล่านี้รวบรวมมาด้วยความยากลำบาก คนที่มาเห็นมาดูว่าง่าย ๆนิดเดียว ภาพบ้าๆ บอ ๆ มาใส่ไว้เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เขียนส่งเดชไปก็ได้ แต่ความจริงทำยากมาก ใช้เวลารวบรวมหลายปีจากหลายพันหลายหมื่นภาพ กว่าจะเลือกได้ภาพเหล่านี้มาเขียนไว้ในลักษณะนี้ นี่ถ้าไปศึกษามัน เข้าใจมัน จะได้รับความสบาย ได้รับความสุขในด้านของวิญญาณ แม้แต่ในด้านศิลปะอันบริสุทธิ์มันก็เป็นไอ้ความสุขฝ่ายวิญญาณ อย่าเป็นศิลปะอนาจาร หรือใครสนใจศิลปะก็ได้ สนใจโบราณคดีก็ได้ แต่ความมุ่งหมายแท้ ๆต้องการให้สนใจในทางธรรม ความเห็นแก่ตัว ตัวกูของกูนี้เป็นข้าศึกศัตรู เป็นผู้ทำลายโลก ฆ่าไอ้ตัวกูของกูเสีย โลกนี้ก็จะรอด อยู่ได้อย่างเป็นโลกของมนุษย์ที่มีคุณสมบัติอย่างมนุษย์ เป็นเรื่องทางวิญญาณ เป็นเรื่องความรู้หลักเกณฑ์ทางวิญญาณ ครูอาจารย์สอนกันมา ชี้แจงกันมาหรือคิดขึ้นประดิษฐ์ขึ้นจากนามธรรมมาเป็นรูปภาพ นี่รูปภาพที่เขียน ที่ปั้น ทีนี้รูปภาพที่ดัดแปลงธรรมชาติคือสระนาฬิเก มีต้นมะพร้าวอยู่กลางสระนั้น มันก็ต้องการจะแสดงภาพเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ภาพเขียน ให้ไปดูให้เป็นภาพ รู้ความหมายของภาพ ภาพทำนองนั้นซึมซาบจิตใจหรือว่าเข้าถึงจิตใจมากกว่าภาพที่เขียนด้วยพู่กัน แต่ต้องดูออก ต้องดูเป็น ต้องขยันดู เย็นๆ ไปนั่งดู เย็นๆ ไปนั่งดูหลาย ๆวันเข้า มันจะซึมซาบถึงความหมายที่ว่า ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่ความทุกข์นั่นแหละ พูดอย่างนักพูดกับภาษาวิญญาณ เขาว่าจุดเย็นที่สุดอยู่กลางเตาหลอม เตาหลอมเหล็ก เตาหลอมอะไรที่มันมีความร้อนสูงสุด จุดเย็นที่สุดมันอยู่กลางเตาหลอม นี้คนมันโง่ไปหาที่อื่นมันไม่พบ แม้จากความบ้า ๆ บอ ๆ ความเป็นทุกข์ทรมานในโลกนี้ เปลี่ยนมันเสีย ค้นให้พบจุดเย็นที่ที่นั่น คือเลิกในส่วนที่มันร้อนมันก็มีเย็นอยู่ที่นั่น หาที่อื่นมันก็ไม่พบ มีความทุกข์ที่ตรงไหนมันก็จะต้องหาความดับทุกข์ที่นั่น ภาพอย่างนี้คือภาพไอ้สระนั้น นี้ก็ถ่ายก็มาจากคำกล่อมลูกแต่สมัยโบราณของ คนสมัยโน้นที่เขาพูด เขาแต่งไว้สำหรับกล่อมลูก ไอ้ความมี ความไม่มี ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้ามีความทุกข์ก็มีความไม่ทุกข์อยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ในร่างกายที่เป็นทุกข์นี่มันมีความดับทุกข์ มีความไม่มีทุกข์ ไหนๆ จะเป็นครูทั้งทีก็ช่วยจำคำอย่างนี้ของพระพุทธเจ้าไว้บ้าง ว่าท่านพูดแต่เรื่องความทุกข์กับความไม่มีทุกข์ ข้อแรกประโยคแรกพระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ เรื่องอื่นไม่พูด ทีนี้เรื่องทุกข์ก็ดี เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ก็ดี เรื่องความดับทุกข์ก็ดี เรื่องวิธีที่ให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี สี่อย่างนี้อยู่ในร่างกายคนที่เป็น ๆ มันอยู่กันได้ สังสารวัฏกับนิพพานนี่อยู่รวมกันได้ในร่างกายคนที่เป็น ๆ นั่น ฉะนั้นจงจัดการกับไอ้คนที่เป็น ๆ นี้ให้ดี คือตัวเราด้วย ในนั้นมันมีเรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับสนิทของทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความดับสนิทของทุกข์ที่เรียกว่าอริยสัจ ๔ คือหลักพุทธศาสนา ฉะนั้นการมาที่นี่ขอให้ได้พูดกันในเรื่องนี้ ให้มีความเข้าใจในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นบ้าง คือเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ ที่นี่มีโบสถ์สำหรับลงโบสถ์ทำสังฆกรรมบนภูเขา ก็มีเกลี้ยง ๆ อย่างนี้ เลยต้องเรียกว่าโบสถ์ทางวิญญาณ ไม่มีตัวโบสถ์ ไม่มีสวย ๆ อย่างช่อฟ้าใบระกา มันมีต้นไม้นี้เป็นหลังคาโบสถ์ ไม่มีต้นไม้เป็นเหมือนกับผนังโบสถ์ เสาโบสถ์ ไม่มีใบไม้เป็นหลังคาโบสถ์ คนที่มีความรู้เรื่องนี้ดีคนหนึ่ง เขาโผล่เข้ามาถึง ร้องตะโกนขึ้นมาโดยไม่มีใครบอกว่า โบสถ์ทางวิญญาณดังลั่นนี่ เราก็ไม่ได้บอกเขา นี่เพราะเขามีความคิดไอ้เรื่องอย่างนี้มานานแล้ว นี่เรากำลังนั่งอยู่ในโรงมโหรสพทางวิญญาณ ช่วยจำให้ติดตา ติดใจในความรู้สึก และกลับไปที่สงขลาเข้าไปในโรงหนัง ก็ไปดูก็รู้สึกว่าเรานั่งในโรงมโหรสพทางเนื้อหนังของซาตานของพระยามาร ต่างกันอย่างไรกับนั่งอยู่ตรงนี้เวลานี้ ในโรงมโหรสพของพระเจ้า ของพระธรรม มันต่างกันอย่างไร ต่อไปเราจะรู้จักยับยั้งตัว ยับยั้งสติสัมปชัญญะ รู้จักเลือกที่พอเหมาะพอดี เราจะปลอดภัย และเราจะเป็นครูที่ดี ที่จะนำโลกนี้ไปสู่ความถูกต้องได้ เอาล่ะขอสรุปว่าไอ้คำว่า ครู นี้อย่าโง่ไปถึงกับคิดว่าเราคนเดียว หรือว่าครูกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย คำว่าครูนี้ ขอให้ถือเป็นสถาบันอันหนึ่งของโลกทั้งโลก สถาบันของครูทั้งโลกมีอยู่สถาบันเดียวคือสถาบันที่จะนำมนุษย์ทั้งโลกไปสู่ความถูกต้อง ไปสู่ความสงบสุขเป็นสันติภาพ เดี๋ยวนี้สถาบันนี้กำลังแหลกลาญ ด้วยอำนาจภูตผีปีศาจของซาตานทางเนื้อทางหนัง สถาบันครูกำลังแหลกลาญ กำลังกระจัดกระจาย กำลังจะตายมิตายแหล่ เพราะว่า Materialism กำลังหนาแน่นขึ้นในโลก มีเหตุผลเหลือประมาณ แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็พูดเป็นที่จะลุ่มหลงในทางวัตถุนิยม สถาบันครูกำลังแหลกลาญ ครูไม่ใช่คน ๆ เดียวหรือหลายคน ก็ต้องรวมกันทั้งหมดเป็นสถาบันทางจิตทางวิญญาณกำลังจะแหลกลาญ ครูกำลังจะไม่มีอยู่ในโลก ต่างถูกต้องตามความหมายของครู มีแต่ครูที่จะทำโลกให้วินาศ เรียกว่าครู แต่ว่าจะทำโลกให้วินาศอย่างนี้ไม่ใช่ครู ไม่ใช่ Spiritual guide ถ้าจะเป็น Spiritual guide ก็ต้องของฝ่ายอื่น คือฝ่ายซาตาน ฝ่ายพระยามาร ที่จะนำวิญญาณของสัตว์โลกจมลงไปในนรก คือความเดือดร้อนทุก ๆ แง่ ทุก ๆ มุม จนมีปัญหา แก้ปัญหากันต่างๆ นานา มันโง่มันแก้แต่ทางวัตถุ มันไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นเรื่องทางวิญญาณ นี้การเจริญทางวัตถุมันแก้ไม่ได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มันก้าวหน้าเหลือประมาณ แต่มันเป็นเรื่องที่สำหรับทำกับสิ่งที่เป็นวัตถุ ไม่ใช่ทำกับมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าเหลือแสนไปโลกพระจันทร์ก็ได้ แต่แล้วมันไม่แก้ปัญหาทางจิตใจ เพราะว่าวิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องที่งอกงามขึ้นมาโดยวัตถุ ทางวัตถุ เพื่อวัตถุ มันจึงแก้ได้แต่ปัญหาทางวัตถุ นี้มันไม่แก้ปัญหาทางวิญญาณ โลกนี้ก็มีปัญหาทางวิญญาณมากขึ้น ๆ ตามส่วนที่ว่าไอ้ทางวัตถุมันก้าวหน้าขึ้นมาสำหรับหลอกลวง นี่ความก้าวหน้าทางวัตถุไม่เคยช่วยโลก ยุคหนึ่งเราเรียกว่ายุคอะไร ยุค ยุคยุคมีรถไฟ ยุคไอน้ำมีรถไฟ โลกก็ไม่ได้ดีขึ้นมีแต่ยุ่งมากขึ้น แล้วมายุคไฟฟ้า โลกมันก็ไม่ได้ดีขึ้น เพราะเราใช้ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังไปทุกแง่ทุกมุม แล้วมาถึงยุคปรมาณู มันก็ไม่ช่วยให้โลกดีขึ้น ให้ยุ่งมากขึ้น ยุคอวกาศไปโลกพระจันทร์ มันก็ยิ่งทำโลกให้ยุ่งมากขึ้น ทีนี้ยุคสุดท้ายยุควันนี้ก็คือยุคปิงปอง มันก็จะทำโลกให้ยุ่งมากขึ้นไปอีก แบบเดียวกับความหมายของปิงปอง ยังไม่มีหวังที่จะพึ่งพาไอ้วิชาความรู้ของโลก ทางรอดมีทางเดียวขอให้ทุกๆคนเป็นครูที่แท้จริง ผู้นำในทางวิญญาณที่แท้จริง ดึงไอ้สถาบันครูที่ถูกต้องกลับมาใหม่เพื่อครองโลกนี้ แล้วขอให้ทุกคนหวังที่จะเป็นครูในลักษณะที่เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ความอวดดิบอวดดี แต่ว่าเป็นความซื่อตรงต่อหน้าที่ หน้าที่ของครูมันมีอย่างนี้ เราอย่าเป็นครูรับจ้างสอนหนังสือเลย แต่สอนไอ้ความถูกต้องในทางวิญญาณ ช่วยทำเด็กๆ ให้กลัวบาป เกลียดบาป กลัวบาป มีหิริโอตตัปปะ ให้รักบุญ รักความดี แล้วเด็ก ๆ จะเคารพครู แล้วก็จะนำไปได้ แล้วโลกนี้ก็จะกลับไปสู่ยุคสันติภาพได้ ขอให้ทุกๆ ครูทุกๆ คนจงอธิษฐานจิต ให้นักเรียนฝึกหัดครูทุกๆคนจงอธิษฐานจิต เพื่อเป็นครูให้ถูกต้องตามความหมายอุดมคติของครู มีความสุข มีความเจริญงอกงามในโลกนี้ ในธรรมนี้ เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ พอกันที.