แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาได้รับคำขอร้องให้มากล่าวสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เห็นว่าพอจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ตามเคย โดยความรู้สึกนั้นก็รู้สึกว่ามีแต่เรื่องเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักจะมองข้ามกันไปเสียเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และควรนำมากล่าว เพราะว่าโดยหลักใหญ่ ๆ เรื่องใหญ่ ๆ นั้นก็ได้กล่าวกันเป็นที่แพร่หลายและก็ซ้ำอยู่หลายครั้งหลายหน สำหรับในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ความสับสนแห่งความหมายของภาษาการพูดจา ความสับสนของความหมายของภาษาเท่าที่ครูทั้งหลายจะพึงทราบไว้บ้างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทางศาสนาและตลอดถึงที่เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปด้วย ความสับสนทางภาษานี่เป็นสิ่งที่มองข้ามกันไปเสียหมด ขอให้พิจารณาหรือสังเกตดูให้ดีว่าเรามีความเข้าใจผิดหรือถือเอาความหมายกันคนละอย่างในคำพูดคำเดียวกัน ต่างระดับกันก็มี ไปตรงกันข้ามเลยก็มี แล้วก็เป็นคำที่เราใช้พูดกันอยู่ทุกวันด้วย นี่คือต้นเหตุหรือมูลเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เกิดความยากลำบากหรือช้าในการที่จะเข้าใจอะไรอย่างถูกต้องตรงกันโดยเร็ว ข้อสำคัญมันอยู่ที่ความหมายของคำเหล่านั้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงให้หัวข้อว่า ความสับสนแห่งความหมายของภาษาที่ใช้พูดกันอยู่ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าความหมายนี้มันสำคัญจนเรียกได้ว่า ๑๐๐% คำพูดนั้นไม่สำคัญถ้าไม่มีความหมาย ยิ่งในทางธรรมะแล้วจะไม่ถือเอาตัวหนังสือเป็นหลักเลยจะถือเอาความหมายที่แท้จริงของมันเพราะว่าภาษาธรรมะเป็นภาษาต่างประเทศ ภาษาอินเดียโบราณ ภาษาอะไรหลาย ๆ อย่างซึ่งถ่ายทอดกันมา รับมอบกันมาผิดบ้างถูกบ้าง ฉะงั้นให้ถือว่าความหมายนั่นแหละสำเร็จประโยชน์ส่วนตัวหนังสือหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถือเป็นหลักทั่วไปในวงพุทธบริษัทที่ศึกษาพุทธศาสนา อยากจะเล่าเรื่องสั้น ๆ สองสามนาทีเกี่ยวกับคำว่าความหมาย เรื่องมีว่าครั้งหนึ่งในประเทศจีน พระจักรพรรดิให้รวบรวมบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตทั่วทั้งประเทศมาช่วยกันร้องกรองประวัติศาสตร์ของโลกประวัติศาสตร์ของโลกทั้งโลกให้เวลาตามพอใจ นักปราชญ์ราชบัณฑิตหลายสิบคนพากันค้นคว้าเรื่องประวัติศาสตร์ทั้งหมด ถกเถียงกันแต่ละวันเช้ายันค่ำอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๒-๓ ปี จึงเขียนบันทึกประวัติศาสตร์สากลของโลกขึ้นไปเสนอพระจักรพรรดิมีใจความหกคำ คนเกิด คนทุกข์ และคนตาย หกคำหกพยางค์ด้วย คนเกิด คนทุกข์ คนตายนี่ลองคิดดูเถอะว่าสิ่งที่เรียกว่าความหมายนั้นหมายความว่าอย่างไร เรื่องต่าง ๆ ที่เขียนเป็นประวัติศาสตร์ได้หลายร้อยหลายพันหน้าหรือหลายหมื่นหน้านั้นความหมายมีความสำคัญอยู่ตรงที่คนเกิดขึ้นมาและคนเป็นทุกข์และคนตาย ไม่มีพูดถึงเรื่องคนเป็นสุข พระจักรพรรดิก็ตำหนิติเตียนอะไรไม่ได้เมื่อได้รับคำอธิบายจากราชบัณฑิตเหล่านั้น เพราะนอกจากนั้นเป็นเรื่องฝอยเรื่องไร้สาระ เรื่องต่าง ๆ เรื่องพลิกแพลงอะไรต่าง ๆ นี้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความหมายแท้จริงของมนุษย์ ไปเรียนมันเข้าก็เพื่อจะเป็นคนมีปัญญาตลบแตลง หาทางออกหาทางแก้ตัวหาทางป้องกันอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่ใช่สาระไม่ใช่ความหมายที่แท้จริง นี่ถ้าอยากจะเข้าใจคำว่าความหมายแล้วลองไปคิดดู คนเกิดแล้วคนเป็นทุกข์แล้วก็คนตาย มีเท่านี้ประวัติศาสตร์สากลของโลก ถึงแม้พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเราก็มีสาระสำคัญเพียงเจ็ดแปดคำว่าท่านประสูติ ท่านตรัสรู้ ท่านสั่งสอนและท่านนิพพาน มี ๗-๘ คำนี้เท่านั้นที่เป็นความหมายที่แท้จริง เพราะฉะนั้นคำว่าความหมายต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายจริง ๆ มีความหมายเต็มที่ มีความหมายลึกซึ้งมีความสำคัญ อย่าเพ่อหัวเราะว่าประวัติศาสตร์โลกมีเพียงหกพยางค์ ไปคิดดูให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความหมายเลยรู้ว่านอกนั้นเป็นเรื่องฝอยเรื่องเล็กเรื่องขี้ประติ๋ว ไม่ช่วยใครอะไรได้มีแต่ทำให้คนเป็นพาล เอาอย่างในทางความเป็นพาล คนเกิด คนทุกข์ คนตายนี่ทำให้คนรู้จักโลกดี สิ่งที่เรียกว่าความหมายตามความรู้สึกของอาตมามีอย่างนี้ ทีนี้จะพูดต่อไปถึงคำที่เราพูดกันอยู่ในวงพุทธบริษัทและก็สำคัญที่สุดเช่นคำว่าไม่มีคน คงจะฟังไม่ถูกว่า คำว่าไม่มีคนนี่คือเป็นความหมายทั้งหมดของพุทธศาสนาที่สอนว่าไม่มีคน สิ่งที่เรียกว่าคนนั้นมิได้มี เดี๋ยวนี้มามัวถามกันอยู่แต่ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ไปเกิดด้วยอะไรเป็นอย่างไร มัวแต่ถามกันอยู่อย่างนั้น แต่แล้วพุทธศาสนาต้องการสอนว่าที่แท้คนไม่มี ให้มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ อากาศธาตุรวมกันอยู่เป็นกลุ่มหนึ่งแล้วก็ไปตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมชาติ มีแต่ธรรมชาติไม่มีคน ถ้าศึกษาพุทธศาสนาจนถึงหัวใจของพุทธศาสนาอย่างนี้แล้วจะไม่ถามเลยว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดเพราะไม่มีคน เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีคนอยู่ แต่คนทั่วไปไม่เข้าใจไม่ยอมรับฟังว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีคนอยู่เพราะมีฉันอยู่ฉันคิดนึกได้ฉันทำอะไรได้อะไรต่าง ๆ ได้ เขาก็เถียงว่ามีคนอยู่ แต่ทางพุทธศาสนาบอกว่านั่นไม่ใช่คนเป็นเพียง mechanism ของธาตุต่างๆ ตามธรรมชาติแล้วก็ประณีตกว่าที่เจ้าตัวนั้นเองจะรู้สึกได้เพราะว่าฉันคิดได้ฉันรู้สึกได้ฉันเป็นสุขได้ฉันเป็นทุกข์ได้ก็เรียกว่ามีคนอยู่เสมอ แต่หลักธรรมะต้องการจะสอนให้รู้ว่าที่รู้สึกคิดนึกได้ก็เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติและก็รู้สึกไปตามเรื่องของธรรมชาติ คนไม่มี พอได้ยินคำว่าไม่มีคนก็ให้รู้ว่านั่นแหละคือหัวใจของพุทธศาสนา คำสามพยางค์นี้ ไม่มีคนนี่ มีความหมายเป็นความหมายทั้งหมดของพุทธศาสนา กิเลสเกิดขึ้นมาเพราะความรู้สึกว่ามีคน คือฉันเป็นคนและก็ทำตามกิเลสแล้วก็มีความทุกข์แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นเพราะความมีคนมีตัวมีตนมีเห็นแก่ตน ถ้าเห็นความไม่มีคนจริงแล้วก็เกิดกิเลสไม่ได้ นี่ขอบอกว่าสามพยางค์สั้น ๆ ว่าไม่มีคนนี่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาและรวมทั้งศาสนาอื่นด้วยโดยอ้อมโดยปริยาย ศาสนาอื่นเขาก็ไม่สอนไม่ให้มีตัวของตัวไม่ให้มีตัวของผู้นั้นแต่ให้เป็นตัวของพระเจ้าซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร ในที่สุดก็เป็นเรื่องธรรมชาติหรือไม่ใช่คนไปอีกเหมือนกัน ดังนั้นขอให้ทบทวนดูว่าเคยฟังคำเหล่านี้เคยได้ยินคำเหล่านี้ไหมแล้วฟังแล้วเข้าใจว่าอย่างไร ทีนี้คำต่อไปที่อยากจะยกตัวอย่างคือ ไม่มีศาสนา เดี๋ยวนี้เราพูดว่ามีศาสนานั่นศาสนานี่เราถือศาสนานั้นเราถือศาสนานี้แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยพูดอย่างนี้ ไม่เคยพูดว่าศาสนาของฉันเป็นอย่างนี้เธอถือศาสนาไหน อย่างนี้ไม่เคยพูด ถ้าเอาตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสอยู่จริงท่านใช้คำว่า ธรรมไม่ใช้คำว่าศาสนา ท่านชอบใจธรรมของใครท่านประพฤติธรรมของใคร และคำว่าธรรมนี้คือกฏความจริงอะไรอย่างหนึ่งตามที่ศาสดาองค์หนึ่ง ๆ เอามาสอน ศาสนานี้ใช้แต่ในประเทศไทยเราในเวลานี้ ไม่ใช่คำที่พระพุทธเจ้าท่านเคยใช้หรือใช้อยู่สมัยโน้นและที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้น ถ้าเราเข้าใจรู้สึกสิ่งนี้หรือระบบที่เรียกว่าศาสนานี้เป็นของขลังเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติไป นี่ทำให้เข้าใจผิดตัว ตัวธรรม ทั้งที่ตัวเรียกว่าศาสนาก็ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามอะไรทำนองนี้ ที่แท้คือกฏของธรรมชาติส่วนใดส่วนหนึ่งที่ศาสดานั้น ๆ ค้นพบแล้วเอามาสอน เราไปเข้าใจว่าบัญญัติขึ้นมาในฐานะอย่างนั้นอย่างนี้กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นสถาบันทางจิตทางอะไรไปก็เลยเกิดความรู้สึกอย่างอื่นขึ้นมาคือความยึดมั่นถือมั่น มีความหวาดกลัวมีความอะไรเพิ่มเติมขึ้นมามาก ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นคือกฏของธรรมชาติตามที่มีผู้พบ เท่าไร เพียงไร อย่างไร เพื่อวัตถุประสงค์อะไรแล้วก็เอามาสอน ต่อมาถูกยึดมั่นถือมั่นเป็นรูปศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าพูดตามความหมายที่แท้จริงก็ว่าไม่มีศาสนามีแต่ธรรมชาติมีแต่กฏของธรรมชาติ มีแต่หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ถูกกฏของธรรมชาติแล้วก็ได้รับผลตามสมควร ต้องดูให้คุ้นให้เห็นกันว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าธรรมาติ จึงจะเห็นตัวสิ่งที่เรียกว่าศาสนาเลิกคำว่าศาสนาก็ได้เหลือแต่ตัวคำว่าธรรม แล้วธรรมนั้นกระจายไปเป็นตัวธรรมชาติ ตัวกฏของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติและผลก็จะออกมาตามสมควรแก่หน้าที่นั้น มันเหลือแต่ธรรมชาติไปอย่างนี้ จึงพูดว่าโดยเนื้อแท้ก็ไม่มีศาสนาตามที่เราสำคัญมั่นหมายหรือถือเอาความหมายอย่างที่ถือกันอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าเราจะไม่เรียกศาสนาแล้วเรียกว่าธรรมจะใกล้ความจริงเข้าไปอีก ถ้าเราไม่เรียกว่าธรรมไปเรียกว่าธรรมชาติก็ยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปอีก ธรรมชาติในฐานะที่เป็นกฏ นี่ดูแล้วจะเห็นว่าสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนานี้เป็นรูปร่างที่เราปั้นขึ้นมาเป็นระบอบที่เราจัดขึ้นซึ่งล้วนแต่ทำให้มากให้ยากขึ้นไป ถ้าเข้าถึงตัวศาสนาจริงแล้วจะรู้สึกว่าไม่มีศาสนาอย่างที่ว่าที่ถือที่ยึดมั่นอะไรกันนั้น นี้ว่าเท่าที่จะยกมาเห็นเป็นตัวอย่างนี้ก็คือความสับสนความหมายของคำที่ใช้พูดกันอยู่ คนหมู่หนึ่งมีความหมายไปอย่างหนึ่งหรือถือใช้ไปอย่างหนึ่งแต่ว่าคนหมู่อื่นมีการถือการใช้ไปอย่างอื่นโดยเฉพาะพวกที่หมดความยึดมั่นถือมั่นหมดกิเลสเช่นเป็นพระอรหันต์แล้วอย่างนี้จะมีความรู้สึกในความหมายนั้นเป็นอย่างอื่น นี่เป็นตัวอย่างอันแรก ๆ ที่เห็นความสับสนความหมายของคำที่ใช้พูดจา สิ่งที่พูดอยู่อีกคำหนึ่งทั่วโลก eternity คือไม่มีที่สิ้นสุดนี้ สิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือนิรันดรไม่มีที่สิ้นสุดนี่ก็เป็นคำที่เข้าใจผิดกันมากมีความหมายต่าง ๆ กันมาก พวกเราเคยคิดกันหรือเปล่าว่ามีอะไรไหมที่เป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอยู่นิรันดรอย่างนี้ ที่แท้มันก็ไม่มีอะไรนอกจากธรรมชาติ แต่แล้วเราไปให้ชื่อเรียกต่าง ๆ ๆ ๆ กันโดยความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกพระนิพพานก็มีเรียกอมตธรรม(นาทีที่ ๑๘.๑๑ไม่แน่ใจว่าหมายถึงคำนี้หรือไม่ค่ะ)ก็มี หรือเรียกอะไรที่เข้าใจไม่ได้ นอกจากรู้แต่ตามตัวหนังสือว่าเป็นของนิรันดรเท่านั้นเองแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรอย่างนี้ก็มีอยู่ทั่วไป ถ้าเรามองดูเราจะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั่นแหละจะมีเป็นนิรันดร เพราะว่าแม้แต่นิพพานนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แม้แต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มีความหมายที่กว้างมากแต่เล็งถึงสิ่ง ๆ เดียวเท่านั้น ทีนี้มนุษย์ไประบุเอาส่วนใดส่วนหนึ่งตามความหมายที่ตนประสงค์และมักตามที่ตัวชอบเป็นนิรันดร เช่นว่ากลัวตายอย่างนี้ก็อยากจะให้ไม่ตายอยู่ตลอดกาลเป็นนิรันดร ก็ถือว่าความไม่ตายเป็นนิรันดรก็เลยมีไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าจะมองเห็นอะไรอีกอันหนึ่งจนไม่มีคนเสียก่อนจึงจะไม่มีใครตายและจึงไม่มีความตายเลยไม่ตายอีกต่อไป คำ ๆ นี้คือคำว่านิรันดรนี้ยังเป็นคำมืดมนลึกลับสำหรับท่านทั้งหลายเป็นแน่นอน แต่ถ้าถือเอาตามหลักพุทธศาสนาก็เรียกว่านิพพานหรืออมตธรรม(นาทีที่ ๑๙.๔๖) คือธรรมชาติที่เป็นที่ดับลงของสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง คือธรรมชาติฝ่ายที่ไม่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นที่ดับของธรรมชาติฝ่ายที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง อย่างนี้ก็เรียกว่านิพพานเหมือนกันในความหมายหนึ่ง นี่คือสิ่งนิรันดร ทีนี้ไปเรียกอย่างที่น่าตกใจว่าความว่างก็มี ความว่างนี้เป็นที่ดับของสิ่งที่วุ่นวาย ทีนี้มนุษย์เจาะจงเอาเฉพาะที่เป็นประโยชน์แก่จิตใจจะดับความทุกข์ได้ก็เรียกว่าอมตธรรม(นาทีที่ ๒๐.๒๙) คือรู้ธรรมะชนิดที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเรามีความตาย ธรรมชนิดนี้เรียกว่าอมตธรรม(นาทีที่ ๒๐.๓๘) เราถือว่าอมตธรรม(นาทีที่ ๒๐.๔๐)นั่นแหละคือนิรันดรคือสิ่งนิรันดร ทีนี้ไปดูความหมายของคำว่า eternity ของพวกฝรั่งนั้นน่าหัวเราะที่สุด เป็นลูกเล็ก ๆ เป็นเด็ก ๆ ไปเลย ในเมื่อมาเปรียบเทียบคำนิรันดรในพุทธศาสนาโดยเฉพาะคำว่าอมตธรรม(นาทีที่ ๒๐.๐๒)หรือนิพพานนี้ ขอให้เข้าใจคำเช่นอย่างนี้ว่ามีความหมายที่สับสน ดูความหมายที่สับสนระหว่างที่เราเข้าใจอยู่กับที่ความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ที่เราใช้พูดกันอยู่ในหมู่ของคนที่มีความรู้แตกต่างกัน ทีนี้มาถึงคำว่าโลกุตระและโลกียะซึ่งใช้กันอยู่อย่างสับสนเพราะเข้าใจผิดและจนไม่ปรารถนาสิ่งที่ควรปรารถนาคือเกลียดหรือกลัวคำว่าโลกุตระและก็ชอบสิ่งที่เรียกว่าโลกียะ ทั้งที่ปากก็พูดตำหนิติเตียนสิ่งที่เรียกว่าโลกียะ ถ้าจะพูดกันตรงไปตรงมาสั้น ๆ อย่างเข้าใจง่าย โลกุตระนี้หมายถึง free เป็นอิสระ โลกียะหมายถึงเป็นขี้ข้าหรือเป็นทาสถ้ายังมีจิตใจเป็นโลกียะคือเป็นขี้ข้าหรือเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตัวรักตัวพอใจ ถ้าเป็นโลกุตระก็หมายความว่า free หรือเป็นอิสระไม่มีความเป็นขี้ข้าหรือความเป็นทาสของสิ่งใด เหนือโลกหรือในโลกมีความหมายเพียงเท่านี้ คนก็บัญญัติความหมายเข้าใจความหมายเอาเองไปในลักษณะอื่นมากมายทีเดียว อยากเป็นขี้ข้าก็ลองสมัครไปตามวิสัยโลกคือโลกียะ อยากจะเป็นอิสระก็ถือตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือเป็นโลกุตระมีจิตใจอยู่เหนือสิ่งแวดล้อมคือโลก คำว่านิพพานกับสังสารวัฏก็คล้ายกันมากเป็นคู่กันมา นิพพานกับสังสารวัฏ นิพพานคือเย็น สังสารวัฏก็คือร้อน เมื่อใดจิตใจของใครเย็นไม่มีอะไรทำให้ร้อนก็เป็นนิพพาน เมื่อใดจิตใจของใครร้อนก็เป็นวัฏสงสาร วัฏสงสารเกิดจากความโง่ความหลงที่เรียกว่าอวิชชา เมื่อได้เห็นรูปได้ฟังเสียงได้อะไรก็ตามก็ทำไปผิดทางคิดไปผิดทาง ความคิดปรุงแต่งไปผิดทางจนเกิดรักเกิดโกรธเกิดกลัวเกิดเกลียดเกิดอะไรขึ้นมามันก็ร้อน มีตัวกูของกูเกิดขึ้นอย่างเป็นมายาที่สุดแล้วก็ร้อนอย่างนี้เรียกว่าวัฏสงสาร ถ้ายังมีความสงบมีสติปัญญาไม่ให้ความคิดเดินไปผิดทาง ยังเย็นอยู่ตามเดิมเรียกว่าเป็นนิพพาน ฉะนั้นอย่าเข้าใจคำเหล่านี้ผิดไปตามที่เข้าใจผิดอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เข้าใจอยู่นั้นน่ะเป็นเข้าใจไม่ถูกความหมายของสิ่งที่มีความหมายสับสนที่สุด ขอให้ทนสังเกตเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะเข้าใจความหมายที่ถูกต้องแล้วจะกลายเป็นเรื่องเข้าใจได้และมีประโยชน์ ทีนี้จะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เรานี้ ที่ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอเรื่องนรกเรื่องสวรรค์เรื่องอะไรเหล่านี้ เราเคยได้ยินได้ฟังว่าที่เลวหรือต่ำคืออบาย มีนรกเดรัจฉานเปรตอสุรกายนี่เป็นส่วนเลวหรือส่วนต่ำหรือส่วนผิด แล้วสูงขึ้นมาก็คือมนุษย์ แล้วสูงขึ้นไปอีกก็คือสวรรค์ สูงไปกว่าสวรรค์ก็คือพรหมโลก ถ้าจะมีสูงกว่านั้นไปอีกก็กลายเป็นนิพพานไปเลย ภาวะแห่งนิพพานไปเลย ทีนี้เราได้ยินคำว่าอบาย นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายนี้ ที่เรามีความรู้กันอยู่เดี๋ยวนี้ในสมองว่าตายแล้วจึงจะไปตกแล้วอยู่ใต้ดินลึกลับหลายชั้นสำหรับนรก มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้ ถูกเผาถูกลวกน้ำร้อนร้อนถูกแช่น้ำกรดถูกทิ่มถูกแทง แล้วเดรัจฉานก็คือสัตว์ที่อยู่ในทุ่งนาตามป่าตามดง เปรตก็ไม่เห็นตัวปากเท่ารูเข็มท้องเท่าภูเขา รูปร่างก็ประหลาด ๆ อสุรกายก็เป็นผีชนิดหนึ่งนั้นเป็นความหมายตามปุคลาธิษฐานไม่ใช่ความหมายตรงตามที่พุทธศาสนาต้องการ ทีนี้มนุษย์นี้ก็มีความหมายไปอย่างหนึ่งอีกสวรรค์ก็อย่างอีกพรหมโลกก็อีกอย่างอีก ขอให้สังเกตดูไปตามลำดับ ถ้าเอามนุษย์เป็นหลักตรงกลางข้างล่างลงไปเป็นอบายข้างบนเป็นสวรรค์ มนุษย์มีความหมายเฉพาะคำนี้อย่างหนึ่งว่า คือว่าอยู่ในระดับที่ยังไม่พูดว่าเลวหรือดีสุขหรือทุกข์ผิดหรือถูก แต่มีความหมายอย่างหนึ่งว่าเป็นผู้ที่กำลังกระทำอะไรอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยแล้วแต่ว่าทำดีหรือทำชั่ว เพราะฉะนั้นมนุษย์มีความหมายว่าผู้เหน็ดเหนื่อยหรือความเหน็ดเหนื่อย ถ้าความเหน็ดเหนื่อยนั้นผิดเป็นบาปก็เป็นเรื่องอบายนรก ถ้าดีก็เป็นฝ่ายสวรรค์ สุข เลยนั้นไปอีกคือเหนือผิดเหนือถูกเหนือดีเหนือชั่วจึงจะเป็นนิพพาน ทีนี้คำว่าอบายมี ๔ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อย่าเข้าใจเหมือนที่ลูกเด็กเล็ก ๆ เห็นภาพตามฝาผนังแล้วเข้าใจ นรกนั้นหมายถึงความร้อนใจคือมนุษย์กำลังร้อนใจเป็นทุกข์เหมือนกับไฟเผาอยู่ในใจเรียกว่าเมื่อนั้นตกนรก จะด้วยเหตุใดก็ตาม เพราะทำผิดเองแล้วตกนรกก็ตามหรือยกมาใส่ บินมาตกยกมาใส่อะไรก็ตาม ถ้าเป็นความร้อนใจเหมือนไฟเผาอยู่ข้างในแล้วก็เรียกว่ากำลังตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าโง่อย่างไม่น่าโง่ไม่ควรโง่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉานที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าหิวทะเยอทะยานหิวอย่างคนซื้อลอตเตอรี่ หิวอยากจะถูกลอตเตอรี่หรืออยากจะสอบอะไรให้มันได้อย่างอกอย่างใจฝันมากนี้ก็เป็นหิวทางวิญญาณนี้เรียกว่าเป็นเปรตคือมีความหิวที่เผาอยู่ในใจ เมื่อใดมีความขลาดขี้ขลาดขึ้นมาอย่างไม่ควรจะขลาดเลยนี้ไม่มีเหตุผลที่จะขลาดนี้คนนั้นก็เป็นอสุรกายเป็นผีอสุรกายที่นี่เดี๋ยวนี้ก็ได้ นี่คือความหมายขอได้ฟังให้ดี ๆ ว่าความหมายที่แท้จริงและถูกต้อง จะเป็นนรกเดรัจฉานเปรตอสุรกายที่นี่หรือต่อตายแล้วก็ตามความหมายเป็นอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันสำเร็จอยู่ที่ความหมายจริงอยู่ที่ความหมายสำคัญอยู่ที่ความหมาย พอมีความร้อนใจเป็นสัตว์นรกพอมีความโง่เป็นสัตว์เดรัจฉานพอมีความหิวก็เป็นเปรต หิวทางวิญญาณทางจิตใจไม่ใช่หิวข้าว พอกลัวอย่างไม่มีเหตุผลก็เป็นอสุรกาย ความสับสนของภาษาที่ใช้พูดกันอยู่เป็นอย่างนี้ มีความหมายที่สับสนอย่างนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คือผู้เหน็ดเหนื่อยผู้ทำการงาน แล้วแต่ว่าการงานนั้นจะนำไปสู่นรกหรือไปสู่สวรรค์ถ้าสวรรค์ก็คือความพอใจตัวเองนับถือตัวเองยินดีมีความสุข มีเหตุปัจจัยให้ได้สิ่งที่ตัวต้องการโดยเฉพาะที่เป็นทั่ว ๆ ไปก็คือกามคุณ ความได้พอใจในเรื่องกามารมณ์เรียกว่าสวรรค์ คำว่าสวรรค์นี้บางทีก็มีความกำกวม สวรรค์ชั้นกามาวจร สวรรค์ชั้นพรหมโลก เดี๋ยวนี้เราแยกสวรรค์มาเพียงเป็นกามาวจรคือได้รับผลของการกระทำในทางที่ดีที่ถูกต้องเป็นความพอใจในตัวเองอยู่หรือได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นที่พอใจอยู่เรียกสวรรค์ ถ้าสวรรค์ธรรมดาเรียกกามาวจรมีเรื่องกามารมณ์เป็นหลักใหญ่ ถ้าเป็นพรหมโลกก็เลยกามารมณ์ขึ้นไปเห็นกามารมณ์เป็นที่น่าขยะแขยงแล้วไปเอาความสงบมีตัวตนมีตัวกูของกูที่สงบเย็นอย่างชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ เกิดจากรูปธรรมวัตถุบ้างเกิดจากนามธรรมความคิดนึกความรู้สึกบ้าง เช่นว่ามีของเล่นที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์อย่างนี้ พอจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องของพรหมโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องนามธรรมเช่นเกียรติยศพอใจในบุญในกุศลในเกียรติยศอะไรอย่างนี้ไม่เกี่ยวกามารณ์เรียกว่าเป็นพรหมโลกชั้นสูงขึ้นไปอีก คนเขาเรียกว่ารูปพรหม อรูปพรหม อย่าไปนับว่าอยู่บนสวรรค์ข้างบนหัวเราเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป เป็นสวรรค์ ๖ ชั้น สวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นและพรหมโลกอีก ๑๖ ชั้นเป็น ๒๒ ชั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ยิ่งน่าหัวสำหรับสมัยนี้เพราะเรารู้กันอยู่ดีว่าบนล่างนี้ไม่มี โลกนี้กลมและมีจุดดึงดูดอยู่ที่ศูนย์กลางของมัน มันดึงเข้ามารอบตัว ไม่มีบนไม่มีล่าง ล่างคือจุดศูนย์กลางของโลก บนคือรัศมีที่พุ่งออกไปจากจุดศูนย์กลาง ไม่มีบนไม่มีล่าง พูดเรื่องบนเรื่องล่างเลยกลายเป็นเด็ก ๆ ไปคือไม่รู้อะไรไป บอกสวรรค์เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปแต่มันไม่มีบนไม่มีล่าง ก็เลยเข้าใจไม่ได้ แต่ถ้าในสมัยที่คนเขาเชื่อกันอย่างโน้นพูดกันอย่างโน้นก็มีประโยชน์แต่เดี๋ยวนี้ถึงสมัยนี้แล้วพูดกันไม่มีประโยชน์คือไม่มีใครยอมฟังยอมเชื่อและก็ไม่จริงด้วย เรื่องจริง สวรรค์ที่อยู่ในใจ สวรรค์อยู่ในอกนรกที่อยู่ในใจนี่จริงกว่า เมื่อใดมีความพอใจตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วเป็นเหตุให้อาศัยความดีนั้นแสวงหาสิ่งที่ต้องการตามสามัญสัตว์(นาทีที่ ๓๓.๓๒)ต้องการได้เรียกว่าสวรรค์ชั้นกามาวจรแบ่งเป็น ๖ ชั้น แต่ว่า ๖ ชั้นนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรต่างกันนัก เป็นเรื่องกามารมณ์ทั้งนั้นเพียงแต่ประณีตกว่า ประณีตกว่า ประณีตกว่าและจนกระทั่งถึงกับว่ามีคนคอยสนองให้ด้วยไม่ต้องหยิบกินเองไม่ต้องบริโภคเองหยิบเองอย่างนี้ก็มี เมื่อใดมีความพอใจได้ตามความพอใจเป็นผลของการประพฤติกระทำที่ถูกต้อง ไม่มีความร้อนใจไม่มีอะไรแล้วก็เรียกว่าเป็นสวรรค์ได้ ถ้าบริสุทธิ์จนไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เรียกว่าสวรรค์ชั้นพรหม พรหมโลกไปได้ คนบางคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศแต่มีความสุขอยู่ได้กับเรื่องทางอื่น เช่นเรื่องแม้แต่ของเล่นทำให้พอใจเขาก็สบายใจอยู่ตลอดวันตลอดคืนโดยที่ว่าเชื่อในบุญในกุศลในเกียรติยศก็พอใจได้ตลอดวันตลอดคืน ไม่ต้องลำบากด้วยเรื่องกามารมณ์ มีความหมายอย่างนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ได้ทั้งนั้น สวรรค์กามาวจรก็ดีสวรรค์อย่างพรหมโลกก็ดีนี่คือความสับสนของความหมายของภาษาที่ใช้พูดกันอยู่ศึกษากันอยู่ปฏิบัติกันอยู่ ทีนี้ก็มีหน้าที่ที่จะต้องเลือกเอาว่าอย่างไหน ความหมายอย่างไหนหรือระบบไหนที่จะมีประโยชน์ช่วยให้มีประโยชน์แล้วก็ถือเอาระบบนั้น ถ้าเรื่องต่อตายแล้วคือหลังจากเข้าโลงไปแล้วเรายังรู้ไม่ได้ก็ทิ้งไว้ก่อน แต่ที่นี่อย่าตกนรกอย่าตกอบาย ตายแล้วไม่ตกแน่และที่นี่ยึดเอาสวรรค์ให้ได้ตายแล้วก็ต้องได้สวรรค์แน่เพราะกระทำเหมือนกัน กระทำชนิดที่ได้สวรรค์แท้จริงที่นี่ได้แล้วตายแล้วก็ต้องได้ ถ้าว่ามี ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ต้องได้แน่นอนเพราะได้สอนไว้อย่างเดียวกัน ที่เป็นจริงกว่าและเป็นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือที่นี่และเดี๋ยวนี้เพราะฉะนั้นอย่าตกอบายที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่าเป็นสัตว์นรกเดรัจฉานเปรตอสุรกายที่นี่และเดี๋ยวนี้ และมีสวรรค์อย่างกามาวจรหรืออย่างพรหมโลกก็ตามที่นี่และเดี๋ยวนี้หรือจะสลับกันได้ก็ได้ บางเวลาเราก็เปลี่ยนแปลงเป็นสวรรค์อย่างนี้บ้างอย่างโน้นบ้างก็ได้แต่อย่าไปตกนรกดีกว่าหรือว่าถ้าตกนรกก็รีบขึ้นมาเสียเร็ว ๆ ต้องรู้จักหลาบรู้จักจำในการที่จะไม่ทำสิ่งที่เกิดเป็นความร้อนใจอย่างนั้นอีก เรียกว่าเข้าใจความหมายคำว่านรก สวรรค์ เปรตอสุรกาย มนุษย์ สวรรค์ พรหมโลกอะไรได้ดีอย่างที่มีประโยชน์อย่างที่พุทธบริษัทต้องการ สำหรับบุคคลผู้มีปัญญาในสมัยนี้ในยุคที่เรียกว่ายุคอวกาศยุคปรมาณูอะไรอย่างนี้ ทีนี้ถ้าว่าเลยสวรรค์เลยพรหมโลกไปก็เป็นเรื่องนิพพาน เพราะว่านิพพานนี้เป็นคำที่ทำความลำบากยุ่งยากมากที่สุดและก็ทำความเสียหายมากที่สุดด้วยเพราะว่าพูดเล่นกันอย่างไร้ความหมายไร้สาระก็มี แล้วที่ยึดมั่นถือมั่นหลับหูหลับตาปรารถนาทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไรก็มี เข้าใจว่าเป็นบ้านเป็นเมืองเต็มไปด้วยกามารมณ์อย่างอกอย่างใจก็มี นิพพานก็หมายความตามตัวหนังสือว่าเย็นให้จำไว้เป็นหลักเพื่อประกันความยุ่งยากต่าง ๆ ให้จำไว้ว่าคำว่านิพพานนี้แปลว่าเย็นเป็นภาษาพูดพูดอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิด เด็ก ๆ ก็พูด คำว่านิพพานนี้หมายถึงเย็น เดี๋ยวนี้เราพูดว่าเย็นเป็นภาษาอินเดียครั้งกระโน้นก็ใช้คำว่านิพพาน แต่คำว่าเย็นแบ่งไปได้เป็น ๓ ประเภท ประเภท..(นาทีที่ ๓๘.๑๕) ประเภทของวัตถุ วัตถุเย็นเช่นข้าวร้อนปล่อยให้เย็นจึงจะกินได้อย่างนี้ พอข้าวเย็นกินได้ เด็ก ๆ คนหนึ่งร้องตะโกนบอกเด็กข้างนอกว่าข้าวนิพพานแล้วมากินได้ นี่เป็นภาษาที่พูดอยู่จริง เป็นเรื่องของวัตถุที่ร้อนลุกโชนอยู่ เย็นลงแล้วก็เรียกว่านิพพานทั้งนั้นเลย ทีนี้เป็นของสัตว์เดรัจฉาน คำว่านิพพานนี้ก็ใช้กับสัตว์เดรัจฉานที่เย็นสนิทหรือว่าฝึกดีแล้วไม่มีอันตรายต่อไปเรียกว่าสัตว์ตัวนี้นิพพานแล้วก็เป็นคำที่พูดอยู่ในเวลานั้นในยุคนั้น นี่ถ้าเป็นเรื่องของคน เขยิบมาถึงคน ยุคแรก ๆ คำว่าเย็นนี้หมายถึงเย็นเพราะดับความกระหายความใคร่ได้ชั่วขณะ จึงมียุคหนึ่งสมัยหนึ่งที่ถือเอาความสมบูรณ์ทางกามารมณ์ว่าเป็นนิพพาน มีเหลือมาถึงครั้งพุทธกาลด้วยพวกที่ยอมถือว่ากามารมณ์เต็มเปี่ยมเป็นนิพพานนี้ยังมีมาถึงครั้งพุทธกาล คนอีกพวกหนึ่งว่าอย่างนั้นไม่ใช่เย็นเป็นเรื่องร้อนชนิดหนึ่ง ไม่ยอมรับ พวกนี้ถือเอาความที่จิตหยุดสงบเพราะอำนาจของสมาธิ มีฌาน มีสมาธิ มีสมาบัติ จิตหยุดสงบอยู่ไม่ไปเกี่ยวข้องกับอะไรนี่อย่างนี้เป็นนิพพาน ก็ดีกว่าขึ้นมาแล้วก็มีคนถือมากถือมากระทั่งถึงยุคพุทธกาล พอพระพุทธเจ้าออกบวชมาศึกษาก็ได้รับคำสั่งสอนข้อนี้ว่าหยุดความรู้สึกของจิตเสียได้ ถึงขนาดที่จะเรียกว่าตายก็ไม่ใช่ มีชีวิตก็ไม่ใช่ที่เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ อาจารย์คนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าชื่อ อุททกดาบส รามบุตร อุททก รามบุตรสอนได้เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ยังไม่เย็นจึงไปค้นหาตามแบบของท่าน จึงพบความหมดกิเลสหมดความยึดมั่นว่าตัวกูว่าของกูนี้ไม่เกิดโลภโกรธหลงนี้ต่อไปว่าเย็น ท่านว่านี่คือนิพพานแล้วก็ไม่เคยมีใครค้านว่าท่านได้ แล้วมาถึงพวกเราคำว่านิพพานคำเดียวมีความหมายมาอย่างนี้ สำหรับวัตถุก็อย่างสำหรับสัตว์เดรัจฉานก็อย่างสำหรับมนุษย์ก็มี ๓ ระดับ เรารู้อย่างนี้แล้วพวกเราก็รู้ความหมายที่ค่อนข้างจะปลอดภัยโดยพยายามทำให้มันเย็นไว้ก็แล้วกัน ให้ตัวเองนี่เย็นกายเย็นใจไปก็แล้วกัน พอกิเลสเกิดขึ้นก็ร้อน ทีนี้ระวังอย่าให้มันเกิดให้เย็นอยู่เสมอก็เป็นนิพพานชั่วคราวนิพพานชั่วขณะอยู่เสมออย่างนี้ก็ยังดี สำหรับคำว่านิพพานหมายถึงหยุดหรือเย็นหรือเป็นอิสระ เปรียบเทียบกันดูว่าถ้าเป็นมนุษย์ก็หมายถึงเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่เหน็ดเหนื่อยอยู่ ถ้าไปเป็นอบายก็เป็นเดรัจฉานนรกเปรตอสุรกายนี้ก็ไม่ไหว ถ้าเป็นเทวดาในกามาวจรก็มัวเมาอยู่ด้วยกามารมณ์ ถ้าเป็นพรหมในพรหมโลกก็มัวเมาอยู่ในความสุขอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์รวมแล้วก็เรียกว่าต้องมัวเมาหรือถูกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ ทีนี้นิพพานเป็นเรื่องกระเด็นออกไปไม่ถูกกระทำไม่ถูกสิ่งใดกระทำแก่จิตใจ ไม่มีอะไรมี effect แก่จิตใจเรียกว่านิพพาน นี่เป็นความหมายที่รัดกุมตรงตามความหมายในพุทธศาสนา ถ้าไม่ตรงกับที่รู้ ๆ กันอยู่ก็ขอให้เข้าใจว่านั่นแหละคือความสับสนที่ต้องการจะชี้อย่างยิ่งว่าความสับสนความหมายของภาษาที่เราใช้พูดจากันอยู่กับที่มีอยู่จริงของธรรมชาติ นี่เรียกว่ามนุษย์ไม่ได้รู้จักสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องจนกระทั่งว่าไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี่ฟังดูให้ดีคำถามนิดเดียวว่าเกิดมาทำไมนี้ตอบกันได้ร้อยอย่างพันอย่างถูกทั้งนั้นเลย เพราะใคร ๆ ก็มีความต้องการของตัวโดยเฉพาะแต่แล้วก็มีผิดมีถูกตามมากตามน้อย ตัดสินได้ตรงที่ว่าถ้าผู้ใดไม่มีความทุกข์เลย คนนั้นรู้ว่าเกิดมาทำไมอย่างถูกต้องแล้วปฏิบัติแล้วอย่างถูกต้อง ใครมีความทุกข์เหลืออยู่ร้อนเป็นไฟอยู่ ตกนรกวันหนึ่งหลาย ๆ หนเรียกว่ายังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ทั้งที่ตัวมีปากพูดว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไรของตัวเอง ฉะนั้นการที่จะถืออุดมคติเป็นหลักนี่มีทางที่จะผิดได้ การที่สอนให้ถืออุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าถือความหมายผิดก็ผิดได้ เดี๋ยวนี้มีการสอนแต่เพียงให้หลงในอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ไม่รู้จักสิ่งที่ควรจะเป็นอุดมคติอย่างถูกต้อง ก็เลยเอาความที่ตัวต้องการตัวอยากเป็นอุดมคติไปหมดนี่ระวังให้ดี คนทุกคนจะเถียงว่าเราก็มีอุดมคติของเราแต่แล้วอุดมคติของใครกันแน่ของความโง่หรือของความฉลาด อาจจะเป็นอุดมคติที่นำไปสู่ความร้อนใจตลอดกาลก็ได้ ทีนี้เมื่อสอนให้บูชาอุดมคติอย่างเดียวนั้นก็เลยไม่พอ มันต้องสอนอุดมคติที่ถูกต้องด้วย อย่างเดี๋ยวนี้เราได้ยินได้ฟังเรื่องคนที่บูชาอุดมคติสูงสุดกลุ่มหนึ่งคือพวกฮิปปี้ ทุกคนก็เคยอ่านหนังสือพิมพ์เรื่องพวกฮิปปี้ แต่ระวังให้ดีจะเกิดขึ้นในตัวเราเองไม่ทันรู้ก็ได้ คือการหลงบูชาอุดมคติโดยที่ไม่รู้จักอุดมคติที่ถูกต้องเลยเอาความต้องการทางเนื้อหนังเป็นอุดมคติไปหมด การศึกษาสมัยนี้สอนให้ยุ่งให้บูชาอุดมคติแล้วก็ไปเอาเรื่องรักความเป็นอิสรภาพเสรีภาพอะไรนี้เป็นอุดมคติ ไม่ถูกอุดมคติที่แท้จริง คนเลยสร้างอุดมคติตามพอใจของตัว คนประเภทฮิปปี้จึงเกิดขึ้นในโลก ไม่ใช่เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ครั้งพุทธกาลก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ที่สอนให้หลงอุดมคติแล้วผิดตัวอุดมคติที่ควรจะเป็นอุดมคติ ก็กลายเป็นเรื่องทะลุกลางปล้องอย่างนี้ขึ้นมา เดี๋ยวนี้การศึกษาของโลกเจริญมากสอนเรื่องปรัชญามากเกินไป สอนเรื่องอุดมคติสำหรับหลงใหลมากเกินไปคืออิสรภาพ ก็มีผลฮิปปี้อย่างเดี๋ยวนี้เกิดขึ้น เรามีหลักจริยธรรมหรือศีลธรรมอยู่ก็เป็นความกดดันอันหนึ่งคือเราต้องนับถือแต่แล้วมันผิดฝาผิดตัวต่อเด็ก ๆ หรือคนหนุ่มคนสาวในโลกสมัยนี้ที่ได้รับการศึกษาอย่างสมัยปัจจุบันนี้ที่ทำให้ทนต่อการกดดันของศีลธรรมไม่ได้จึงทะลุกลางปล้องออกไปเป็นอุดมคติอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา มนุษย์อุดมคติประเภทฮิปปี้นี้จึงมีขึ้นมาในโลก แล้วเมื่อเรากำลังเดินตามก้นพวกฝรั่งไม่เท่าไหร่จะมาถึงพวกเรา จะเป็นของที่ดื่น ดาษดื่นไปทั้งโลก การศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ไม่มีพูดเรื่องจิตเรื่องวิญญาณแยกตัวออกมาเสียจากศาสนาเลยไม่เกี่ยวกับการศึกษาเลย แล้วสอนให้คน imagine อะไรต่าง ๆ เก่งไปตามแนวของปรัชญาก็หลงอุดมคติเสรีภาพหลงอุดมคติของกิเลสตัณหาก็มีผลอย่างที่ว่านี้ มันขาดความรู้ที่ถูกต้องของธรรมชาติมีแต่ปรัชญาที่เฟ้อที่กำลังเวียนไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องเฟ้อ ก็เลยไม่มีหลักในการที่จะควบคุมตัวเอง ที่นี้กามสำนึก ความสำนึกในกามที่มีอยู่เป็นพื้นฐานของนิสัยก็เดือดขึ้นมาเป็นรูปปรัชญาของคนพวกนี้ ปัญหาอย่างนี้จะมีมากขึ้นในโลกและทั่วไปในโลก ทีนี้ครูจะมีหน้าที่อย่างไรก็คอยดูต่อไปถ้าไม่รู้เข้าเรื่องนี้ครูจะเป็นฮิปปี้เองแล้วจะเป็นตัววัตถุสำหรับจะต้องชำระสะสางไม่ใช่เป็นผู้ชำระสะสาง ให้มองเห็นให้ชัดว่าวัตถุนิยมนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรากำลังยุ่งยากลำบาก เราหลับหูหลับตาไปตามทางของวัตถุนิยมตามก้นพวกฝั่งนี้ทิ้งในเรื่องเดิม ๆ ของปู่ยาตายายซึ่งเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณทางมโนนิยม ทีนี้ก็วัตถุนิยม วัตถุนิยมอย่างที่เป็นเนื้อหนังสร้างปรัชญาของมันเองมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นเพราะเขากำลังเมาปรัชญาทางมหาวิทยาลัยและเป็นเรื่องทางวัตถุทางเนื้อหนัง ทีนี้ก็เลยเข้าใจเอาหรือนึกคิดเอารู้สึกเอาว่าเราสร้างมโนนิยมหรือจิตนิยมตามแบบของเราขึ้นมาใหม่ตามพอใจตนเองเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น ปัญหาที่โลกกำลังประสบอยู่ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์พวกไหนจะแก้ไขมัน เป็นเรื่องศีลธรรมหรือจริยธรรมที่ผิดฝาผิดตัวกับมนุษย์ที่กำลังได้รับการศึกษาอยู่ในโลกเวลานี้ เป็นความกดดันที่ทนไม่ไหวเพราะเป็นศีลธรรมที่ปราศจากโลกุตรธรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นวัตถุนิยมที่ปราศจากเรื่องธรรมะหรือเรื่องจิตเรื่องวิญญาณเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็เกิดการกดดันที่ทนไม่ไหวศีลธรรมจริยธรรมต้องการอย่างนี้แต่จิตใจของคนเป็นอย่างอื่นต้องการอย่างอื่นไม่ถูกฝาถูกตัวกันได้เลย โลกเรากำลังมีปัญหาอย่างนี้ ขอให้เข้าใจว่าของวิเศษของพระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนาหรือโลกุตรธรรมยังคงจำเป็นแต่สัตว์แก่มนุษย์อยู่ตลอดกาลนิรันดร แต่เรากำลังหลีกเลี่ยงกำลังบ่ายเบี่ยงกำลังไม่สนใจกำลังต้องการแต่เรื่องทางวัตถุเป็นเงินเป็นของกินได้ใช้ได้เป็นเรื่องเนื้อหนังอย่างเดียว จนกระทั่งเราไม่เข้าใจคำว่าศาสนาคำว่าจริยธรรมคำว่าศีลธรรมคำว่าวัตถุนิยมมโนนิยมอะไร พาลไม่สนใจหมด สนใจแต่เรื่องเราต้องการอะไรแล้วก็ถือศาสนาใหม่ที่เอี่ยมที่สุดว่าได้นั่นแหละดี ได้อะไรตามที่ต้องการนั่นแหละดี นี่เป็นจริยธรรมหรือว่าศีลธรรมของคนพวกหนึ่งซึ่งกำลังจะมีมากขึ้น ๆ ในโลกนี้ ขอให้ครูบาอาจารย์สนใจคำที่มีความหมายที่สับสนที่สุดเหล่านี้ไว้ให้มาก นับตั้งแต่คำว่าศีลธรรม จริยธรรม ปรัชญา อุดมคติ อิสรภาพ การศึกษาและแต่ละคำมีความหมายที่สับสนที่สุดและถือเอาแต่บางแง่ตามที่ตัวต้องการ ก็ขัดกับความจริงของธรรมชาติก็เกิดความปั่นป่วนขึ้น แม้ที่สุดแต่คำง่าย ๆ คำว่าจริยธรรมกับศีลธรรมก็ยังมาเข้าใจกันสับสน ครูบาอาจารย์เข้าใจกันว่าอะไร ตามหลักทั่วไปที่มีอยู่ว่าศีลธรรมคือเรื่องที่ต้องปฏิบัติลงไปตรง ๆ จริยธรรมนั้นทิ้งไว้เป็นปัญหาทางปรัชญาที่จะถกจะเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องมีศีลธรรมไม่ใช่มีจริยธรรมซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร แต่ที่แน่นอนลงไปแล้วว่า อย่า อย่า อย่า อย่า อย่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำให้ได้จึงจะมีศีลธรรม คำว่าปรัชญาอาศัยไม่ได้เพราะไม่มีที่สิ้นสุดและไม่ยึดติดเลื่อนลอยไปตามเหตุผลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเฉพาะปัจจุบันเรื่อยไป พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญาเป็นศีลธรรมที่ตายตัวลงไปแล้ว คำว่าอุดมคติไม่ใช่ตามต้องการของเราต้องตรงตามกฏของธรรมชาติชนิดที่ว่าจะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาไม่ใช่มัวเมาอิสรภาพเสรีภาพต้องการอย่างไรจะเอาอย่างนั้นมันเป็นอุดมคติของกิเลส ทีนี้ถือว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญเรามีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็ต้องเข้าใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จึงจะเป็นการศึกษาไม่ใช่ทำไปอย่างละเมอ ๆ เหมือนเครื่องจักรที่ยังไม่รู้ความหมายหรือว่าทำตามคำสั่งอย่างเดียว และก็มีคำต่อไปอีกเช่นคำว่าทำงานเพื่องาน ครั้งหนึ่งเคยเข้าใจและเคยถือกันมากในโลกนี้ พวกฝรั่งนั่นน่ะบูชาเรื่องทำงานเพื่องานแต่เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งกลับเป็นครูในการทำงานเพื่อเงิน เราก็กำลังเดินตามก้นของเขา ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยเป็นมากอย่างนี้ มาเป็นมากเมื่อเรามาเดินตามก้นฝรั่งทำงานเพื่อวัตถุเพื่อประโยชน์ทางเนื้อหนัง ถ้าตามหลักของพระพุทธเจ้าทำงานด้วยจิตว่างคือไม่มีตัวกูของกูที่จะกอบโกยเอาผลอะไร ทำไปตามหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างพระพุทธเจ้าท่านทำ ท่านทำงานเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งโลกไม่เพื่อตัวท่านเองอย่างนี้เขาเรียกว่าทำงานด้วยจิตที่ไม่มีตัวเอง ไม่มีตัวกูของกู ทำไปด้วยสติปัญญาที่ยังเหลืออยู่ในจิตใจหลังจากการตรัสรู้แล้วก็เรียกว่าทำงานเพื่องานทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เรียกภาษาธรรมะว่าทำงานด้วยจิตว่างไม่เกี่ยวกับตัวกูของกู ทีนี้งานนั้นสนุกแล้วก็ไม่โกงใครด้วย ถ้าทำงานเพื่อเงินแล้วร้อนตกนรกอยู่ตลอดเวลา ได้ช่องเมื่อไหร่โกงเขาทันทีเลยนี่ถ้าทำงานเพื่อเงิน ถ้าทำงานเพื่องานแล้วจะไปโกงใครได้คิดดู ไม่เพื่อตัวกูของกูแล้วจะไปโกงใครได้แล้วเลยสนุกไม่มีสูงไม่มีต่ำไม่มีสะอาดไม่มีสกปรกไม่มีอะไร ไม่มีเหนื่อยไม่มีสบายอะไร เป็นเรื่องที่สนุกไปในตัวการงานนั้นโดยไม่ต้องไปหาการพักผ่อนหย่อนใจที่ไหนอีก ที่สวนโมกข์นี้ก็พยายามสอนพระเณรให้ยึดหลักอย่างนี้เคร่งครัดที่สุด ให้ทำงานโดยไม่มีใครขอบใจหรือให้รางวัล ทำงานเหมือนกับคนตายแล้ว คนตายแล้วทำงานได้ดีไหมคือไม่มีตัวกูของกูที่จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้จะเรียกร้องอย่างนั้นอย่างนี้นี่เหมือนกับตายแล้วแต่ยังทำงานได้ ทำงานให้ความว่างให้ศาสนาหรือให้มนุษย์ทั่วไปไม่ระบุใครนี้เรียกว่าทำงานให้ความว่าง ให้รู้จักคำว่าทำงานเพื่องานให้ถูกให้มีความหมายที่ถูกอย่าให้สับสนเราจะรอดตัวทุกคนเราจะรอดตัว เดี๋ยวนี้ถ้าว่าทำงานเพื่อตัวกูของกูก็คือเพื่อเงินเพื่อผลจะต้องเป็นทุกข์เมื่อลงมือทำตลอดเวลาที่ทำอยู่ กระหายหิวเป็นเปรตอยู่เรื่อยแล้วจะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไร ได้ช่องเมื่อไหร่โกงเมื่อนั้นเลย เหมือนกับมีของซ้อนเข้ามาในการที่ต้องตกนรก ทำผิดด้วยและยังจะโกงอีกด้วย เพราะฉะนั้นคำว่าทำงานเพื่องานนี้เป็นอุดมคติสูงสุดของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ปู่ย่าตายายของเราเคยยึดถือเคร่งครัด พวกฝรั่งในสมัยที่มีวัฒนธรรมทางจิตใจสูงก็เคยเก่งในเรื่องนี้จนเรานับถือเขา เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกเปลี่ยนไปในลักษณะที่ว่าทำงานเพื่อเงิน ทีนี้มาถึงคำที่ว่าน่าหัวที่สุดคือคำว่าฉลาด คำว่าความฉลาด ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จัดตัวเองเป็นคนฉลาดทั้งนั้นแหละ ลองถามดูเถอะไม่มีใครยกมือเป็นคนโง่และจะต้องโกรธด้วยถ้าถูกหาว่าเป็นคนโง่ แต่คำว่าฉลาดนี่ระวังดูให้ดีมีความหมายที่สับสนอย่างเดียวกันอีก คนฉลาดในการที่จะตามใจกิเลสให้ได้ตามที่กิเลสต้องการนี้ก็เป็นความฉลาดและฉลาดจริงเหมือนกันเป็นความจริงเหมือนกัน กิเลสของเราต้องการอะไรเราพยายามทำจนให้ได้จนได้ก็เรียกว่าฉลาด ฉลาดทำตามความประสงค์ของกิเลสอย่างนี้ฉิบหายหมด ความฉลาดนั้นน่ะทำฉิบหายหมด ต้องฉลาดที่จะทำตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือว่าตามธรรมหรือว่าตามกฏของธรรมชาติที่แท้จริงถ้าฉลาดอย่างนั้นแล้วจะเป็นผู้เจริญจะเป็นผู้มีความสุขและสมตามความหมายของคำว่าฉลาด เพราะฉะนั้นคำว่าฉลาดเป็นคำสับปลับที่สุดกำลังเป็นผีหลอกคนอยู่ทุกคนเลย ทุกคนก็ฉลาด ฉลาดอย่างยิ่งแต่ว่าฉลาดที่จะเข้าข้างตัวเองฉลาดที่จะเข้าข้างกิเลสไม่ยอมเข้าข้างพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมหรือว่ากฏอันถูกต้องของธรรมชาติ เป็นโจรเป็นขโมยไปปล้นเอาธรรมชาติมาเป็นของตัวอะไร ๆ ที่เป็นธรรมชาติเรียกว่าของกูว่าตัวกูทั้งนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นโจรเป็นขโมยเป็นผู้ปล้นเลย ที่ในตึกนั้นมีเรื่องลิงล้างหู ลิงมาอยู่ในเมืองมนุษย์ได้ยินแต่ว่าเงินของกูของของกูลูกของกูเมียของกูผัวของกูแล้วก็ไปเล่าให้ลิงในป่าฟังลิงทุกตัวหนีไปล้างหูเลย ความที่ว่ามีอะไรนึกจะฉลาดไปแต่ในทางที่จะเป็นตัวกูเป็นของกูเท่านั้นไม่ตรงตามกฏของธรรมชาติ ระวังคำว่าฉลาดนี้ให้ดี ๆ มีอยู่ ๒ ความหมาย ฉลาดเข้าข้างพระพุทธเจ้าหรือว่าจะฉลาดเข้าข้างตัวเอง ถ้าอย่างไรแล้วก็ช่วยจำไปสักหน่อยว่าอยากจะขอร้องให้ทุกคนเมื่อจะทำอะไรลงไปจะตัดสินอะไรลงไปลองทำในใจสมมุติเหมือนกับว่าไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อน ผัวเมียจะทะเลาะกันอย่างนี้ไปถามพระพุทธเจ้าดูก่อนว่าท่านจะแนะว่าอย่างไร ควรจะทะเลาะกันหรือไม่หรือจะไปตีใครฆ่าใครหรือทำอะไรลงไปตามลำพังผู้เดียว หยุดอย่างที่เรียกว่านับ ๑๐ ก่อนแต่เราไม่นับ ๑๐ ก่อนเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อน เพราะเราได้ยินเรื่องพระพุทธเจ้ามามากพอแล้วพอที่จะคิดออกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะแนะว่าอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นก็ไปถามพระพุทธเจ้าก่อนว่าท่านจะแนะว่าอย่างไร ถ้าใครถือหลักอย่างนี้ก็จะไม่มีทำอะไรผิดนี้เรียกว่าฉลาดเข้าข้างพระพุทธเจ้าและปลอดภัย ถ้าฉลาดเข้าข้างกิเลสเป็นอันว่าหมดเลยจะเป็นนรกเดรัจฉานเปรตอสุรกายอยู่ตลอดเวลาวันหนึ่งหลายสิบครั้งหลายสิบหน คำว่าฉลาดคำเดียวนี้ระวังให้ดีมีความหมายที่สับสน ทีนี้มาถึงคำว่ากีฬากันบ้างครูหรือนักเรียนนี่เป็นเจ้าหน้าที่กีฬาจัดการกีฬาโดยเฉพาะ คำว่ากีฬาก็เหมือนคำว่าฉลาดมี ๒ ความหมายอย่างเดียวกันอีก กีฬาที่ทำคนให้เป็นคนก็มีกีฬาที่ทำคนให้เป็นสัตว์ก็มี เดี๋ยวนี้มักจะมีแต่กีฬาที่ทำให้คนเป็นสัตว์ กีฬาที่ทำคนให้เป็นมนุษย์น่ะที่ร้องเพลงกันว่า แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคนนี้มีอยู่จริงเหมือนกัน ถ้าว่าได้กระทำไปถูกต้องตาม spirit ของคำว่ากีฬาคือไม่เห็นแก่ตัว คำว่าไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา ไม่เห็นแก่ตัวจนกระทั่งไม่มีตัวกูไม่มีของกูเลย ถ้าว่า spirit อยู่ตรงที่ว่าอย่าเห็นแก่ตัวนั้นคือหัวใจของพุทธศาสนา ขอบูชาสรรเสริญยกมือสาธุการคำว่ากีฬาเพราะว่าทำคนให้เป็นคนได้ แต่ทีนี้มีกีฬาที่ทำคนให้เป็นสัตว์คือเพิ่มความเห็นแก่ตัว กีฬาที่เพิ่มความเห็นแก่ตัว ไปเล่นกีฬาพอลงสนามกีฬาเป็นโอกาสของการมีความเห็นแก่ตัวยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นกองเชียร์เอาไปเป็นกลุ่มเป็นฝูงไปนั่งเชียร์ไปเรียนเรื่องความเห็นแก่ตัวเพิ่มความเห็นแก่ตัว เป็นกีฬาที่ทำคนให้เป็นสัตว์เพิ่มความเห็นแก่ตัวและในกีฬานี้มีชกต่อยกันขว้างอาวุธใส่กันเอาเปรียบกันทุกทาง มาจากต่างประเทศจะมาเล่นในประเทศนี้เตรียมนึกมาแล้วว่าจะเอาเปรียบได้อย่างไร จะเอาเปรียบได้อย่างไรนี่ ถ้าอยู่ที่บ้านนอนเสียไม่เคยเกิดความคิดอันนี้ พอมีโปรแกรมจะเล่นกีฬาพอลงในสนามกีฬาก็มีความคิดว่าจะเอาเปรียบได้อย่างไร กีฬาอย่างนี้ทำคนให้เป็นสัตว์กับกีฬาที่ทำคนให้เป็นคนนั้นต่างกันมาก เราจะเป็นนักกีฬาชนิดไหนก็รู้กันอยู่แก่ใจทุกคนแล้ว ดูว่าความหมายที่สับสนของคำว่ากีฬานี้ให้ดี ๆ เป็นครูบาอาจารย์เป็นลูกเสือเป็นอะไรก็ล้วนแต่ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากีฬา มีคำอีกมากมายที่มีความหมายเป็น ๒ ประเภทเป็น ๒ ฝ่ายอย่างนี้ ไม่อาจจะยกมาให้เป็นตัวอย่างให้หมดสิ้นได้จึงยกมาแต่คำที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรา เช่นคำว่ากีฬามันเหลือที่จะเกี่ยวข้องอยู่กับเรา ถ้าไปชำระสะสางให้ดี ๆ จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่ากีฬาซึ่งมีหัวใจเป็นหัวใจอันเดียวกับศาสนาทุกศาสนาคือการทำลายความเห็นแก่ตัว เราเล่นกีฬานี่เพื่อจะมีโอกาสยอม ยอม เข้าใจไหมว่ายอมคืออะไร ยอมให้เค้าทำอะไรได้โดยที่เราจะรักษากฏเกณฑ์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ยอมแล้วเราจะเอาเปรียบ เป็นโอกาสแห่งการฝึกการยอมเพื่อรักษาไว้ซึ่งความถูกต้องความยุติธรรมหรือความสามารถอันแท้จริงไม่มุ่งความแพ้และชนะ เดี๋ยวนี้เล่นกีฬาเพื่อความแพ้และชนะเลยกลายเป็นกีฬาชนิดที่ทำคนให้เป็นสัตว์ ถ้าเล่นกีฬาต้องไม่มุ่งความแพ้และชนะใครไปนั่งดูก็ดูความสามารถความเป็นธรรมความถูกต้องแม้ของฝ่ายแพ้ ที่สมมุติว่าเป็นฝ่ายแพ้ก็จะเป็นฝ่ายชนะคือเป็นฝ่ายรักษากฏเกณฑ์ถูกต้องยอมได้ทุกอย่าง แต่ในที่สุดแพ้เขานั่นน่ะคือชนะ ถ้าถือหลักอย่างนี้คือกีฬานี้ทำคนให้เป็นคนอยู่เสมอคือรักษาเจตนารมณ์ของกีฬาไว้ได้คือทำลายความเห็นแก่ตัว เวลาจะหมดแล้ววกมาเรื่องใกล้กว่านี้ดีกว่าคือเรื่องคำว่าครู คำว่าครูนี้มีความหมายที่สับสนปนเปกันยุ่งเพราะว่าเราเคยพูดเคยวิจารณ์กันมาบ้างแล้วหลายครั้งหลายหน ถ้าเอาตามตัวหนังสือภาษาบาลีแปลว่าหนัก คำว่าครูแปลว่าหนักคือหนักอยู่บนหัวคนทุกคนที่คนทุกคนจะต้องเคารพบูชาและทำตาม แปลว่าผู้มีบุญคุณต่อคนทุกคน ครูนี้จึงเป็นปูชนียบุคคลเพราะว่าครูได้ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ทางวิญญาณชักจูงให้มีการเดินถูกต้องในทางจิตใจจึงเรียกว่าผู้นำในทางวิญญาณอยู่เหนือศีรษะคนทุกคน ครูเป็นปูชนียบุคคลด้วยเหตุนี้ นี่ความหมายหนึ่ง ทีนี้ครูลูกจ้าง อาชีพครูเป็นสะพานเพื่อจะไปสู่อาชีพอื่นเพราะว่ายังไม่อาจจะทำอาชีพอื่นได้แล้วก็ทำงานอย่างลูกจ้างหรือลูกจ้างทั่วไป ทำงานกันด้วยความจำเป็นบังคับหรือหน้าที่บังคับนี่ก็เป็นครูอีกประเภทหนึ่งคือครูลูกจ้างไม่ใช่ปูชนียบุคคลและไม่ตรงตามความหมายของคำว่าครูคือไม่หนักอยู่บนหัวคนทุกคนเพราะไม่มีบุญคุณแก่ใครเลย เป็นเรื่องลูกจ้าง ทีนี้ครูอีกประเภทหนึ่งซึ่งอาจจะต่ำลงไปอีกคือว่าอาชีพจำเป็นเพราะยังไม่สามารถไปทำงานอื่นได้ เพราะไม่สามารถจะไปเข้างานอื่นได้ต้องขอทนเป็นครูไปก่อนก็มีอย่างนี้ยิ่งไปกว่าลูกจ้างเสียอีกเพราะว่าลูกจ้างนี้ยังทำอะไรคุ้มค่าจ้างหรือว่าตรงไปตรงมาตามหน้าที่การงานแต่ว่าเป็นอย่างลูกจ้าง เป็นครูเพราะว่าจำเป็นหาอาชีพอื่นไม่ได้ต้องมาเป็นครูไปก่อนกว่าจะได้แหวกทางออกไปหรือว่าซังกะตายไปอย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน มีอยู่ถึง ๓ ความหมายเป็นอย่างน้อยในความหมายของคำว่าครู แต่ว่าโชคดีที่เปลี่ยนได้ โปรดจำไว้ว่าโชคดีที่เปลี่ยนได้ ครูที่ซังกะตายมาทำอะไรไม่ได้นี้อาจจะเปลี่ยนเป็นครูที่เป็นปูชนียบุคคลได้ ในเมื่อทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้สมบูรณ์ให้บริสุทธิ์ก็เป็นปูชนียบุคคลได้ หรือเหมือนพระบวชนี่ พระบวชเข้ามาเป็นพระนี่บวชเข้ามาตามประเพณีโดยมากอาตมาก็เหมือนกันบวชตามประเพณีบวชอย่างละเมอเพ้อฝันอย่างนั้นไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่แล้วเปลี่ยนได้ในที่สุด มาศึกษาเข้ามารู้เรื่องนี้มากเข้าก็เปลี่ยนได้เป็นพระที่ถูกต้องตามธรรมตามวินัยได้ บ้านเรานี้มีคำว่าเกี่ยวกับบวชนี่ควรจะจำไว้นะเดี๋ยวจะสูญหายไปหมด ปู่ย่าตายายพูดว่า บวชลี้บวชลองบวชครองเวณี(นาทีที่ ๑.๑๐.๔๐)บวชหนีสงสารบวชผลาญข้าวสุกบวชสนุกตามเพื่อน โดยมากบวชอย่างนี้ทั้งนั้นแหละอาตมาเองก็รวมอยู่ในพวกนี้ บวชลี้บวชลอง บวชลี้ก็หมายความว่าหนีอันตรายหนีภัยหนีโทษหนีอะไรมาบวช บวชลองลองดูเผื่อมันจะดี บวชครองเวณี(นาทีที่ ๑.๑๑.๐๕ )นี้พ่อแม่บังคับให้บวชตามประเพณี บวชหนีสงสารความหมายกำกวมหนีสงสารหนีความยากความลำบากอะไรมาก็เรียกว่าหนีสงสาร ไม่ใช่หนีสงสารอย่างถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการหรอก หนีสงสารคือขี้เกียจหรืออะไรอย่าง ก็มาบวช แล้วบวชผลาญข้าวสุกคือทำอะไรไม่คุ้มค่าข้าวสุกของชาวบ้านที่ไปบิณฑบาตมาเป็นวัน ๆ นี้ เดี๋ยวก็บวชสนุกตามเพื่อน พูดได้ว่าทุกคนบวชอยู่ในขอบเขตเหล่านี้ทั้งนั้น น้อยคนที่สุดหรือหาไม่พบที่ว่าบวชมาด้วยความรู้อย่างถูกต้องเข้าใจอย่างถูกต้องเบื่อโลกเบื่ออะไรจริงเหมือนครั้งพุทธกาลอย่างนี้หาไม่พบ จับตัวมาบวชตั้งแต่เป็นเณรนี่ก็คือบวชตามประเพณี แต่ว่าโชคดีที่เปลี่ยนได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระศาสนานี้มากเข้ามากเข้าเปลี่ยนได้เป็นพระที่ตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าได้ ดังนั้นครูก็เหมือนกันครูประเภทลูกจ้างก็เปลี่ยนได้ครูซังกะตายแล้วมาเป็นครูนี้ก็เปลี่ยนได้เปลี่ยนเป็นปูชนียบุคลได้ ในเมื่อภักดีซื่อตรงต่อหน้าที่ต่ออุดมคติทำงานเพื่องานนี้ ฉะนั้นครูมีทั้ง ๓ ความหมายอย่างนี้มันสับสนด้วยการพูดว่าครู ครู ครูเหมือนกันหมด เรียกคุณครูเหมือนกันหมดแต่ข้างในต่างกันลิบลับเลย นี่ความสับสนตามความหมายของคำที่พูดกันอยู่ ทีนี้ก็ดูกันต่อไปนิดหนึ่งว่าที่ว่าเป็นครูเป็นปูชนียบุคคลนี้ ช่วยคนให้เดินถูกทางในทางวิญญาณ อย่าลืมคำว่าทางวิญญาณ อาตมายอมรับบาปให้ใคร ๆ เขาเหมาว่าอะไร ๆ ก็ทางวิญญาณดูจะเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อะไรไปเสียแล้ว เรื่องทางวิญญาณนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดไม่มีคำอื่นจะเรียกต้องขอเรียกว่าทางวิญญาณ ตรงข้ามอยู่กับทางเนื้อหนังทางร่างกาย ความสุขทางวิญญาณกับความสุขทางเนื้อหนังนี่ต่างกันอยู่เสมอไป ความดีทางเนื้อหนังความดีทางวิญญาณเป็นคำที่เขาใช้อยู่ทั่วโลกว่า spiritual นี้ แต่ภาษาไทยเราไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีก็เลยเรียกว่าทางวิญญาณเสียทีก่อน ถ้าเป็นทาสของเนื้อหนังร่างกายเรียกว่าทางวัตถุ ถ้าเป็นอิสระเหนือเนื้อหนังร่างกายก็เรียกว่าทางวิญญาณมีอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นครูนี่เป็นผู้นำในทางวิญญาณจูงจิตใจวิญญาณของสัตว์ให้เดินถูกทาง ฉะนั้นครูเป็นของสากลของโลกของธรรมชาติไม่ใช่ของใครไม่ใช่ของประเทศใดไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ ฝืนจำกัดลงให้แคบแค่ประมาณนี้เดี๋ยวจะมาเป็นเรื่องทางวัตถุเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเท่านั้นเอง ต้องเป็นปูชนียบุคคลของมนุษย์และของโลกทำให้เขาเดินถูกทางทางวิญญาณ ดังนั้นครูจึงไม่ใช่ของเล่น ๆ ต้องเป็นผู้เดินถูกทางในทางวิญญาณเสียก่อนจึงจะจูงคนอื่นให้เดินถูกทางในทางวิญญาณได้ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ยังมีอีกมากที่เราต้องรู้ต้องเข้าใจและต้องผ่านไปให้ได้ ถึงจะจูงวิญญาณของคนไปได้จริง เรื่องสอนหนังสืออย่างเดียวไม่เป็นเรื่องจูงวิญญาณนัก จูงได้นิดเดียวคือให้หายโง่เรื่องไม่รู้หนังสือแต่ว่าถ้าจะจูงให้วิญญาณของเด็กสูงนั้นมีอีกมากมายซึ่งไม่ได้ทำ เดี๋ยวจะลองยกตัวอย่างมาให้ฟัง เราจะต้องพูดกันถึงเรื่องมนุษย์ที่มีความเต็มก่อน มีความเต็มในทางจิตใจคือว่ามีความสุขที่ถูกต้อง มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องพิสูจน์ได้โดยการทำงานเพื่องานแล้วมีความรักที่สากล universal love คือไม่มีตัวเองแต่ว่ารักทุกคนรักทั้งหมดไม่มีตัวเองอย่างนี้เรียก universal love มีความสุขมีความเต็มของความเป็นมนุษย์แล้วก็มีเจตนาที่จะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ไม่ได้เพื่อตัวเราและมีความรักสากลเรียกว่าเป็นหลักทางจริยธรรมที่เค้ารับรองแล้วทั่วโลก philosophy ของ morality ก็เรียกว่าจริยธรรม ethic นี้ เป็นหลัก ethic ที่นักethic...(นาทีที่ ๑.๑๖.๒๐)ทั่วทั้งโลกยอมรับ ๔ ข้อนี้ไม่มีใครแย้งว่าเป็นจุดมุ่งหมายของจริยธรรมหรือความเต็มของมนุษย์ ไม่มีพวกไหนที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้ พวกนักจริยธรรมเป็นนักปรัชญานั่งพูดไปเท่านั้นแหละพูดไปไม่มีที่สิ้นสุดคิดไปไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่ทำหน้าที่จริงมาตกแก่พวกครูที่จะพาคนไปสู่ความเต็มของความเป็นมนุษย์ก็ต้องสนใจถึงข้อนี้กันให้มากเพื่อประโยชน์แก่การเป็นครูและก็จะได้เป็นปูชนียบุคคลเต็มตามความหมายของครู เงินเดือนนั้นไม่ไปไหน จะเป็นครูชนิดไหนก็ยังคงมีเงินเดือนเลี้ยงชีวิตอยู่ ถ้าเราเปลี่ยนจากที่ควรจะเปลี่ยนไปสู่จุดที่สมบูรณ์ จากครูที่ไม่สมบูรณ์ไปสู่ความเป็นครูที่สมบูรณ์ สามารถจูงวิญญาณของคนไป ของโลกไปในทางที่ถูกต้อง มีปัญหาเกี่ยวกับเด็กเพียงแต่เราสอนให้เขารู้หนังสือนี้คงจะไม่พอต้องสอนความเป็นมนุษย์ ฝังความเป็นมนุษย์ลงไปด้วย พูดคำเดียวว่าเด็ก ๆ ๆ ๆ นี่แล้วคิดว่ามีกี่อย่าง คำว่าเด็กมีความหมายหลายอย่างเอาตามภาษาบาลีก็ง่ายนิดเดียว เด็กทารก ทาระโก(นาทีที่ ๑.๑๘.๑๒ ) ทารกนี่ก็เด็กนอนเบาะหรือเด็กเตาะแตะเตาะแตะได้ มาถึงคำว่ากุมาโร กุมาระ(นาทีที่ ๑.๑๘.๒๓ ) วิ่งเล่นได้เล่นฝุ่นเล่นอะไรได้เหมือนเด็กขนาดอนุบาลหรือมัธยมเทียบเท่านี้ พอมาถึงยุวา ยุวตีก็กลายเป็นพวกรุ่น ๆ กันมาแล้ว จะเป็นเรียนมัธยมปลายหรือจะเข้าชั้นเตรียมแล้ว พอมาถึงมานพ มานะโว(นาทีที่ ๑.๑๘.๔๗ ) มาณวิกา ก็พวกนิสิตนิสิตาพวกจบปริญญาแล้ว แต่เราเรียกกันว่าเด็กทั้งนั้นแหละเด็ก ๆ ๆ แล้วก็ทำสะเพร่าไปว่าเหมือนกันหมด เด็ก ๆ เหมือนกันหมดก็ผิดอย่างไม่มีอะไรเหลือเพราะเด็กคนละชนิด พูดว่าเด็กคำเดียวแล้วทำเหมือนกันหมดก็ผิดอย่างไม่มีอะไรเหลือ นี่อย่าทำเล่นกับคำว่าเด็ก ๆ ทีนี้ที่ผิดมากผิดอย่างใหญ่หลวงก็เราสอนเขาให้รู้หนังสืออย่างเดียวไม่มีการทำให้จิตหรือวิญญาณสูงขึ้นและพูดว่าทำไม่ได้ด้วย มีคนที่มีชื่อเสียงเป็นปราชญ์เป็นอะไรนี่เขาว่าไม่ต้องสอนธรรมะแก่เด็ก ๆ หรือไม่ต้องสอนโลกุตรธรรม ธรรมะที่เป็นตัวพุทธศาสนาแก่ชาวบ้านหรือแก่เด็ก ๆ นี้ว่าเอาเองคิดเอาเองเพราะเขากำลังเป็นอย่างนั้นเสียเอง ที่ถูกแล้วสิ่งที่เรียกว่าโลกุตรธรรมหัวใจของศาสนาต้องสอนให้แก่เด็ก โลกุตรธรรมไปรวมอยู่ที่คำ ๆ เดียวว่า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวกูของกูที่จะเห็นแก่ตัว ทีนี้คนก็คิดว่าสูงลิบเกินไปที่จะมาสอนเด็กและก็ไม่สอนจริง ๆ ด้วย สอนแต่หนังสือแล้วไม่สอน spirit ถึงความไม่เห็นแก่ตัวให้แก่เด็กเล็ก ๆ เหล่านั้นเลย ครูทำงานได้นิดเดียวเพียงสอนให้รู้หนังสือ ถ้าว่าปล่อยไปอย่างนี้ยิ่งรู้หนังสือยิ่งโกงมาก ยิ่งรู้หนังสือยิ่งฉลาดแกมโกงมากเพราะไม่มีตัวที่เป็นโลกุตรธรรมหรือธรรมะเข้าไปช่วยกำกับ โตขึ้นก็เป็นคนโกง เด็กที่เราสอนให้รู้แต่หนังสือโตขึ้นจะเป็นคนโกงและโกงมากขึ้น ๆ ตามลำดับตั้งแต่วันแรกสอนมาทีเดียว ครูจะต้องนำทางวิญญาณให้วิญญาณเดินถูกทางอยู่เสมอ หนังสือก็สอนไปเพราะจำเป็นเป็นสื่อเป็นสะพานของเรื่องอื่น ๆ แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเฉพาะหน้าเหมือนเรื่องของพระธรรมโดยเฉพาะโลกุตรธรรมที่เป็นความหมายใหญ่คือความไม่เห็นแก่ตัว เราจะต้องสอนเรื่องความเห็นแก่ตัวทุกกระเบียดนิ้วสอนด้วยปากบ้างทำให้ดูบ้างอะไรบ้างทุก ๆ อย่าง แวดล้อมทุกอย่างให้มีความรู้สึกที่เป็นธรรม นี่ครูจะเป็นผู้นำทางวิญญาณให้เด็ก ๆ แล้วทำได้แม้เด็กทารก พูดว่ากระทำได้แม้แต่เด็กทารกโลกุตรธรรมนี้นำมาสอนได้แม้แต่เด็กทารกที่พวกนักปราชเอามาสอนว่าไม่สมควรนั่นแหละ ชาวบ้านโต ๆ ก็ไม่สมควร อาตมาว่าควรแม้แต่เด็กทารกชั้นอนุบาล เวลาไม่มีพอไม่มีมากพอจะจาระไนแต่ยกตัวอย่างได้ เด็กทารกในโรงเรียนอนุบาลจะสอนบรมธรรมหรือปรมัตถธรรมหรือเรื่องโลกุตรธรรมได้อย่างไร ตั้งเป็นปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ เอ้า พอมันร้องไห้เพราะว่าตุ๊กตาแตกหรือสอบไล่ตกหรืออะไรก็ตามแต่มันร้องไห้ เราก็สอนให้รู้ว่าไม่ต้องร้องไห้ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามความต้องการของเราทุกอย่าง มันต้องไปตามกฏของธรรมชาติตามกฏเกณฑ์ของมัน หยุดร้องไห้เสียเถิด อย่างนี้ก็เป็นเรื่องสอนปรมัตธรรมเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้แก่เด็กทารกในชั้นอนุบาล ถ้าสอบไล่ตกแล้วร้องไห้ก็บอกว่าเรายินดีเราพยายามอย่างที่สุดแล้วหรือเปล่าถ้ามันยังตกอีกเป็นไปตามกฏเกณฑ์ของมันตามธรรมชาติ ไม่ต้องร้องไห้ ตุ๊กตาแตกหรืออะไรแตกเป็นเรื่องตามธรรมดาของมันไม่ต้องร้องไห้ เด็กก็จะมีเหตุผลไปตามทางของพระพุทธเจ้าที่ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่าร้องไห้เพราะกลัวตายกลัวเจ็บกลัวไข้ บางทีจะฉีดยาที่แขนก็ร้องไห้นี่ก็อธิบายให้รู้ว่าเป็นอย่างไร เราไม่ต้องกลัวตายเราไม่ต้องกลัวเจ็บมันเป็นไปตามกฏที่จะต้องทำจะต้องเป็นไปอย่างนั้น เรามาสอบไล่กันดูว่าเราเก่งไหม ทดสอบความสามารถของเราดูว่าเรากลัวหรือไม่กลัว เราเสียสละได้เท่าไร ก็เป็นเรื่องสอนในทำนองให้วิญญาณสูงขึ้นไม่ใช่สอนหนังสือ วิญญาณของเด็กสูงขึ้นแต่นี้ไม่มีใครสนใจมาสอนกันในแง่นี้ สอนแต่หนังสือก็ยังไม่ครบเสียด้วยซ้ำไป เราจะต้องพยายามแล้วพยายามอีกจนให้เด็ก ๆ ทารกนั้นรู้ว่าเราไม่ควรจะถือว่าบิดามารดามีหน้าที่ที่จะต้องตามใจเรา เด็กเล็ก ๆ ต้องรู้สึกว่าบิดามารดาไม่มีหน้าที่ที่จะต้องตามใจเรา ท่านมีหน้าที่ที่จะต้องเอาตามความผิดความถูก ท่านไม่มีหน้าที่ที่จะต้องรักเราอย่างที่เรียกว่าตามใจเรา ต้องเอาตามความถูกต้องของท่านแล้วเราก็ต้องพยายามทำดีท่านจึงจะรักเรา ความคิดเรื่องช่วยตัวเองตัวเองเป็นที่พึ่งของตัวเองมันก็เกิดขึ้นในความรู้สึกของเด็กทารกอย่างนี้เรียกว่าวิญญาณของเขาสูงขึ้นมา ไม่รู้หนังสือก็ไม่เป็นไรขอยืนยันอย่างนี้อย่าว่าดูถูกครูเลย ในถิ่นที่มนุษย์ไม่รู้หนังสือเลยแต่มีภูมิธรรมจริยธรรมในจิตใจสูงอย่างนี้ปลอดภัยที่สุดมีสันติภาพที่สุด ในครั้งพระพุทธเจ้าหนังสือไม่มีใช้คนไม่รู้หนังสือแต่ว่ามีความสูงในทางวิญญาณอย่างยิ่งและอยู่กันโดยสันติ ไม่ได้รู้หนังสือเลย เขาไม่ใช้หนังสือ พระเจ้าแผ่นดินจะส่งข่าวสารก็ให้คนไปบอกไม่ได้เขียนหนังสือเรียกว่าหนังสือไม่มีใช้ สมัยพระเจ้าอโศกมีจารึกไม่กี่บรรทัดตามภูเขานี้ไม่มีการใช้หนังสือเป็นธรรมดาเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เป็นห่วงกันมากอยากให้รู้หนังสือ ๑๐๐% แล้วรู้หนังสือแต่ไม่มีธรรมะอย่างที่ครั้งกระโน้นเขามี ปัญหาจึงเกิดขึ้นในโลกนี้ นี่เราไปหลงตามพวกฝรั่งอีกเหมือนกันที่เห็นหนังสือสำคัญกว่าเรื่องจิตใจนี้ เด็ก ๆ นี่ต้องรักต้องได้รับการสั่งสอนให้รักผู้อื่นให้รักสัตว์อื่นเหมือนกับที่รักตัวเพราะเขาเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา เขาเกิดเหมือนเราเขาแก่เหมือนเราเขาเจ็บเหมือนเราเขาตายเหมือนเราแม้แต่สุนัขและแมว นี่รักผู้อื่นและรักสัตว์อื่นเท่ากับรักตัว แล้วทีนี้ประกันเผื่อไว้ให้มากหน่อย เผื่อให้เกินไว้หน่อยเพราะว่าให้คิดดูให้ดีว่าให้คนอื่นนั้นดีกว่ากินเอง ให้คนอื่นดีกว่าเอาไว้กินเอง เรามีดอกกุหลาบดอกหนึ่งเรามาทัดหูมาใส่ผมของเราไม่กี่ชั่วโมงก็เหี่ยวไปแล้วเราก็ลืม แต่ถ้าว่าเราเอาดอกกุหลาบดอกนั้นไปให้เพื่อนของเราเขาจะรักเราขอบใจเราไปนานแล้วไม่ลืม ดอกกุหลาบนั้นไม่รู้จักเหี่ยวมันบานอยู่ในจิตใจของคนทั้งสองนี้เรื่อย ถ้าเรามีดอกกุหลาบนี้เอาไปให้เพื่อนเสียนี้ดีกว่าเอามาดมเองหรือทัดหูเอง นี้เป็นเพียงตัวอย่างให้เด็กคิดดูว่าอะไรมันดีกว่าอะไร อะไรมันอยู่นานกว่าอะไรอะไรมันจริงกว่าอะไร เรามาดมองถือเองไม่กี่ชั่วโมงเหี่ยวแล้วเลิกกันหมดแล้ว แต่ถ้าเราให้เพื่อนนี่ยังมีความรักความรู้สึกอะไรอยู่ในใจสองคนนี่ไปนานทีเดียว เมื่อเรามีพอที่จะแบ่งให้เพื่อนได้นี่เราไม่กินเองถ้าเรากินเองก็อิ่มประเดี๋ยวใจแต่ถ้าเราให้เพื่อนจะมีความรู้สึกรักขอบใจนิสัยที่ดีอะไรนี้ยืดยาวไปนาน เด็กเขาคงไม่เชื่อเราทั้งหมดแต่ว่าเท่าที่เขาเชื่อบ้างก็พอที่จะทำให้เขารักผู้อื่นเท่ากับรักตัวเองไม่ต้องมากกว่าตัวเองเหมือนที่ลัทธิศาสนาสอน นี้จะเป็นช่องทางที่ให้เด็กรู้จักสิ่งที่เรียกว่ามโนธรรมหรือวัฒนธรรมทางวิญญาณ ความสูงทางวิญญาณขึ้นมาเป็นลำดับทำลายความเห็นแก่ตัวได้จริง รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความดี รู้จักว่าสิ่งที่เรียกว่าความดีนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเรามากินเองใช้เองเดี๋ยวก็หมดไปใน ๒-๓ นาทีนั้น เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เป็นความดีเสียก็มีอายุไม่มีที่สิ้นสุด เด็กทารกก็เข้าใจ แล้วถ้าไม่เข้าใจก็ให้ลองเปรียบเทียบดูในระหว่างเด็กคนนั้นกับเด็กอีกคนหนึ่ง มันก็เข้าใจได้ว่าเขาจะขอบใจเราไปนานถ้าเราให้เขา สอนหัวใจพุทธศาสนาในขั้นปรมัตถธรรมแก่เด็กทารกเป็นอย่างนี้ เราจะต้องสอนให้เขารู้ว่าทำความดีได้โดยไม่ต้องมีใครยุ เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็เห็นแต่นั่งยุเด็ก ๆ ให้เรียนหนังสือให้ทำความดี ถ้าเรามีทางที่จะสอนเด็กให้ทำความดีได้โดยไม่ต้องมีใครยุโดยบอกให้เห็นว่าถ้าเราทำเพราะใครยุเราไม่ใช่คนดี ถ้าเราทำความดีเพราะมีใครยุเราไม่ใช่คนดี ขอให้คิดดูสักนิดหนึ่ง เด็ก ๆ ก็ยังอยากดีอยู่มาก ความรู้สึกตามสัญชาตญาณยังอยากดีอยู่มาก เราบอกว่าเมื่อต้องใครยุนั้นไม่ใช่คนดี มันทำได้โดยไม่ต้องมีใครยุ นี่เป็นเงื่อนต้นของการสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนาเรื่องกรรมทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วซึ่งเป็นหลักในพุทธศาสนา ต้องทำเองต้องได้ผลเองต้องอะไรเอง ดังนั้นสอนเรื่องสูงสุดในพุทธศาสนาให้เด็กทารกได้ วิญญาณของเขาสูงได้ด้วยลักษณะอย่างนี้ เราสอนลูก ๆ เด็ก ๆ อนุบาลเราไม่ไปนั่งเชียร์ใครในโรงกีฬาเพราะสอนให้เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่พวกของตัวเห็นแก่โรงเรียนของตัวรักแต่โรงเรียนของตัวจะเอาเปรียบผู้อื่นได้เท่าไหร่ยิ่งดี เราไม่ไปนั่งเชียร์ใครในลักษณะอย่างนั้นในสนามกีฬา แม้กีฬาเล็ก ๆ ในสนามโรงเรียนนั้นน่ะ เราจะดูแต่ว่าใครผิดใครถูกใครรักษาระเบียบใครไม่รักษาระเบียบ เราไปนั่งดูไม่ใช่ไปนั่งเชียร์เรามาตัดสินไม่ใช่ไปนั่งเชียร์พวกพ้องของเรา เราจะสอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวได้มากที่สุดเลย นี่เป็นการทำให้ไม่ถือเขาถือเราไม่ถือพวกถือพ้อง บอกเด็กเล็ก ๆ ว่าเรื่องเห็นแก่ตัวเข้าข้างตัวเข้าข้างพวกของตัวเป็นเรื่องของสัตว์ไม่ใช่เรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของคนเป็นเรื่องของสัตว์ ไปดูสุนัขไปดูอะไร มันเข้าข้างตัวเห็นแก่พวกของตัวมันรุมกันกัด มันไม่ใช่เรื่องของคน เราสอนเรื่องจริยธรรมเรื่องปรมัตถธรรมเรื่องโลกุตรธรรมแก่เด็ก ๆ ได้เต็มตามที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เราเรียนแต่พอดีซึ่งเป็นหลักมัชฌิมาปฏิปทาในพุทธศาสนา ไม่อย่างนั้นเราจะเจ็บป่วยไม่อย่างนั้นเราจะเป็นโรคเส้นประสาทหรือบางทีจะต้องตายการที่เรามุมานะเรียนเกินพอดี เดี๋ยวนี้พ่อแม่หรือบางทีพวกครูนี่เองสนับสนุนให้เด็กมุมานะจนตาย พ่อแม่อยากให้เรียนเร็ว ๆ อะไรที่ยังไม่ควรเรียนก็เอามาให้เรียนแล้วเร่งให้เร็วเลื่อนชั้นขึ้นไป ล้มละลายหมด นี่พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์ทำให้เด็กโง่ทำให้เด็กเสียไปกระตุ้นไปให้มุโดยไม่มีเหตุผลนี้ ไม่สอนหลักมัชฌิมาปฏิปทาในพุทธศาสนาให้แก่เด็ก ๆ เสียเลย เราต้องสอนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ไม่ให้กลัวผีไม่ให้กลัวจิ้งจกตุ๊กแกไส้เดือนเพราะเป็นความโง่ แม้ว่าแม่จะโง่กลัวจิ้งจกเราก็ไม่กลัว แม่กลัวผีเราก็ไม่กลัว ครูกลัวผีเราก็ไม่กลัวครูกลัวจิ้งจกเราก็ไม่กลัว สอนเด็ก ๆ ให้ไม่รู้จักกลัวอย่างที่ไม่มีเหตุผลอย่างนี้ ความกลัวคือความโง่ โง่เรื่องคิดเลขบวกหนึ่งสองสามก็ไม่เป็น เรามนุษย์มีจิตมีวิญญาณมีร่างกายมีกล้ามเนื้อมีอะไรทุกอย่าง ผีมีแต่กระดูกขาว ๆ ๒-๓ชิ้น แล้วไปกลัวแล้วมันโง่เท่าไหร่นี่ขอให้คิดเลขประสมให้ละเอียดนี่ อันนี้มีตั้งสามตั้งสี่ อันนั้นมีไม่ถึงหนึ่งอย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร ฉะนั้นไม่ต้องกลัวอย่างที่ไม่มีเหตุผลอย่างนั้น เรื่องที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาล้วนแต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผลหรือหลักของเหตุผลอย่างนี้ทั้งนั้นว่าเราทำเองทำอะไรเองก็ได้ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติก็มีอยู่เพราะฉะนั้นจะต้องไปพึ่งผีพึ่งสางพึ่งเทวดาทำไม ทำไปให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติด้วยเรี่ยวแรงของเรา ผีสางเทวดาไม่มีส่วนที่มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องโง่ เรื่องฤกษ์เรื่องยามเรื่องไสยศาสตร์อย่างนี้มีความหมายอย่างอื่น คำว่าฤกษ์หมายถึงความถูกต้องเมื่อเขาไม่มีทางออกอย่างอื่นเขาก็ไปเอาฤกษ์จากดวงดาวจากอะไรตามใจ เดี๋ยวนี้เราเอาเทคนิคของธรรมชาติเป็นฤกษ์ เราพยายามทำให้ถูกตามเทคนิคของธรรมชาติ ความถูกต้องนั้นเป็นฤกษ์ เด็ก ๆ ของเราต้องถือฤกษ์อย่างนี้ไม่ใช่ถือฤกษ์ไสยศาสตร์ ผีสางเทวดานั้นน่ะพ่อแม่เป็นผู้อบรมบางทีก็ครูบาอาจารย์ด้วย ไปกลัวผีให้เด็กดูไปเชื่อศาลพระภูมิให้เด็กดู