แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พิธีกร : ธรรมบรรยายแก่พนักงานโรงแรมจากสวิตเซอร์แลนด์ แทร็ก 3 ครั้งที่ 1 วันที่ 23 มกราคม 2534 เวลา 5.00 น. ณ ลานม้าหินที่หน้ากุฏิ
ท่านพุทธทาส : และก่อนอื่นทั้งหมด อาตมาภาพขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ธรรมะเพื่อไปประกอบการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน เรามีความจำเป็นที่จะต้องใช้คำว่าธรรมะในภาษาอินเดีย ก็ยากที่จะแปล ถ้าจะแปลก็แปลว่าความถูกต้องต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อันนี้เรียกว่าธรรมมะ เมื่อชีวิตนี้ประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว มันหมดปัญหา มันจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตจะพึงได้ เราเรียกกันง่ายๆว่า ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ แต่ทำความยินดีพอใจให้แก่เจ้าของที่ว่าไม่กัดเจ้าของ คือ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ประกอบไปด้วยความหมายสองคำคือ สงบเย็น และก็เป็นประโยชน์
ส่วนตัวเอง สงบเย็น หมายความว่า ส่วนตัวเองก็มีความสงบเย็น ไม่มีความเดือดร้อนหรือทุกข์ร้อน จึงขอรวมเรียกสั้นๆว่า ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาทั้งในแง่บวกและแง่ลบ นี่เรียกว่าความสงบเย็นส่วนบุคคลนั้น
อีกส่วนหนึ่งก็เป็นประโยชน์ คือ แก่ผู้อื่น ประโยชน์น่ะมันมีแก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น และแก่พร้อมกันทั้งสองฝ่าย เพราะแยกกันไม่ได้ มันมีอยู่สามประโยชน์อย่างนี้แหละ ประโยชน์ผู้นั้น และประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ที่ผูกพันกันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้ ชีวิตของเราจะต้องเป็นประโยชน์โดยลักษณะทั้งสามอย่างนี้ จึงจะเรียกว่ามีประโยชน์
อีกนิดหนึ่งที่จะต้องขอทำความเข้าใจ ก็คือเวลาที่เรามาพูดกันในเวลานี้ ซึ่งเรียกว่า โลกเวลา 5 น. โลกเวลา 5 น. ทำไมเราจึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้มาพูดกัน เพราะว่าเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด คือเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับจิตใจที่จะรับอะไร ที่จะคิดนึกวิพากษ์วิจารณ์อะไร เวลา 5 น. เป็นเวลาเบิกบานทางจิตใจ นี่เป็นเวลาที่ดอกไม้ในป่าเริ่มบาน ดอกไม้ในป่าเริ่มบาน หรือว่าจะดูว่า ตัวอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาอย่างนี้ และเชื่อว่าแม้แต่ศาสดาอื่นๆในศาสนาอื่นก็น่าจะใช้เวลาอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงพยายามจะใช้เวลาโลก โลกเวลา 5 น. นี้ ให้เป็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้จิตกำลังว่าง ว่างพอที่จะเติมอะไรลงไปได้ ถ้าเป็นเวลาสว่างแล้ว กลางวันแล้ว มันก็เติมอะไรลงไปเกือบจะเต็มแล้ว ไม่ยุ่งแล้ว เวลานี้กำลังว่าง กำลังเย็น กำลังมีกำลังที่จะทำหน้าที่ งั้นขอให้พยายามใช้โลก เวลา 5 น. นี่ ให้เป็นประโยชน์ที่สุดแม้ว่าจะกลับไปจากที่นี่แล้ว
ต่อไปนี้เราก็จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าชีวิตไม่กัดเจ้าของ แต่ว่าทำความยินดีพอใจให้แก่เจ้าของ ให้เป็นที่เข้าใจยิ่งขึ้น
ชีวิตกัดเจ้าของทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ท่านอย่าได้คิดว่าในแง่บวกมันไม่กัด แง่บวกมันก็สร้างปัญหาไปทางบวก แง่ลบมันก็สร้างปัญหาไปทางลบ มันจึงมีการกัดเจ้าของทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ กริยาอาการที่กัดเจ้าของ นั้นเราอาจจะเรียกรวมกันสั้นๆ เพียงคำเดียวว่าความเครียดก็ได้ แต่โดยรายละเอียดและมูลเหตุมันมีมาก มันมีมากอย่างเหลือเกิน อยากจะให้ท่านได้ยินชื่อที่เป็นตัวอย่างสักสิบอย่าง
ข้อหนึ่ง ปัญหาต่างๆที่เกิดมาจากความรัก
ข้อสอง เกิดมาจากความโกรธ
ข้อสาม เกิดมาจากความเกลียด
ข้อสี่ เกิดมาจากความกลัว
ข้อห้า เกิดจากความตื่นเต้น ไม่สงบ Excite น่ะ ไม่สงบ ตื่นเต้น
ข้อหก วิตกกังวลไปในอนาคต
ข้อเจ็ด อาลัยอาวรณ์กลับไปทางอดีต
ข้อแปด อิจฉาริษยา
ข้อเก้า ความหวง ความขี้เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียว ความหวง
ข้อสุดท้าย ความหวงทางเพศ คือ ความหึง
ที่จริงมันมีมากกว่านี้ แต่เรามาพูดกันเพียง 10 อย่างเป็นตัวอย่าง นี่ก็เหลือเฟือแล้ว ขอให้ท่านรู้จักอารมณ์เหล่านี้ให้ดีๆ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึง รวมเป็นสิบตัวอย่างด้วยกัน
ทีนี้เราก็จะมาดูกันถึงลักษณะกริยาอาการของสิ่งที่เรียกว่าความเครียด ความเครียด คือมันไม่ได้ดีมากอย่างที่เราต้องการ และมันก็ไม่ได้มากอย่างที่เราต้องการ แล้วมันก็ไม่ได้เร็วอย่างที่เราต้องการ แล้วมันก็ไม่ได้ตรงตามที่เราต้องการ นี้เป็นตัวอย่างพอแล้วว่า ไม่ได้ดีอย่างที่เราต้องการ ไม่มากอย่างที่เราต้องการ ไม่เร็วอย่างที่เราต้องการ และก็ไม่ตรงกับอารมณ์ของเรา ในที่สุดมันก็เข้ากันไม่ได้ หรือไม่กลมกลืนกันกับสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ เราจึงมีความเครียด ความเครียดเหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่าธรรมมะ จัดการได้ ป้องกันได้ คือป้องกันก็ได้ แก้ไขก็ได้ แต่ว่าเราจะมาทำความเข้าใจกันกับคำอีกสองคำ ต่อไปอีก ขอทำความเข้าใจ เกี่ยวกับคำอีกสองคำต่อไปอีก
คำแรกคือว่า ความหวัง หรือความโง่ คำที่สอง คือ ความหวังด้วยสติปัญญา เราจะถือเอาความหมายแต่เพียงว่า ความหวัง ความหวัง หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Hope อย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันมี 2 ชนิด คือ หวังโดยความโง่ และหวังด้วยสติปัญญา มันตรงกันข้ามอย่างยิ่ง ถ้าหวังด้วยความโง่ เราเรียกโดยภาษาบาลีว่า ตัณหา ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษว่า Desire of Craving นี่เป็นความหวังโดยความโง่ แต่ถ้าหวังด้วยสติปัญญา เราเรียกเป็นภาษาบาลีว่า สังกัปปะ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษกันว่า Aspiration มันคนละอย่าง ไม่ใช่ Craving ไม่ใช่ Desire แต่มันเป็น Aspiration คือ สังกัปปะ
ความประสงค์ที่จะทำให้ดียิ่งๆขึ้นไปอย่างถูกต้อง นั่นเป็นฝ่ายสติปัญญา แต่ถ้าหวังอย่างโง่เขลาด้วยความต้องการของกิเลส นี่เรียกว่า ตัณหา หรือ Desire ขอให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสองคำนี้ไว้ให้มาก เพราะมันหวังด้วยความโง่หรือมันหวังด้วยสติปัญญา ถ้าหวังด้วยความโง่ มันมีมูลเหตุมาจากความเห็นแก่ตัว หรือ Selfishness ถ้าหวังด้วยความโง่ มันมีมูลเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวหรือ Selfishness ถ้าหวังด้วยสติปัญญา มันมีมูลเหตุมาจากความไม่เห็นแก่ตัว หรือ Non-selfishness
ความเห็นแก่ตัว ในทางธรรมมะในพุทธศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่สกปรกที่สุด คนเห็นแก่ตัวเป็นคนที่สกปรกที่สุด ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียวสร้างปัญหาหมดทุกปัญหานับได้ร้อยอย่างพันอย่างทีเดียว โลกเรากำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวของคนที่อยู่ในโลก เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะวินาศ โลกในที่นี้เราหมายถึง The World ไม่ใช่ The Globe มันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวของคนในโลก เรากำลังมองข้ามความเลวร้ายที่สุด คือความเห็นแก่ตัว แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆโดยไม่รู้สึกตัว ในที่สุดโลกนี้จะวินาศด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นแล
เมื่อ The World ถูกทำลายไปแล้ว The Globe ไม่ต้องสงสัย มันของเล็กนิดเดียว The World หมายถึง มนุษย์ ความคิดของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์อะไรรวมๆกันนั่น เป็น The World ถ้ามันถูกทำลายไปแล้ว ไอ้ The Globe ไอ้โลกแผ่นดินนี่ไม่ต้องสงสัย ความโง่ของมนุษย์ก็ทำลายหมดเองแหละ
เราจะมาดูตั้งต้นไปจากคนเห็นแก่ตัว ว่าผู้ที่เห็นแก่ตัวนั้น เขาทำ เขาปฏิบัติอย่างไร เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วเขาก็ขี้เกียจ ไม่อยากจะทำงาน ไม่อยากจะเหนื่อย แต่อยากจะเอาประโยชน์มากๆ เห็นแก่ตัวทำให้ขี้เกียจ
เมื่อขี้เกียจ มันก็ทำงานไม่สนุก ถ้ามีความขี้เกียจแล้วก็ทำงานไม่สนุก การงานหรือหน้าที่การงานก็เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ น่าระอา ไม่เอาด้วย นี่คนเห็นแก่ตัวแล้วก็จะขี้เกียจแล้วก็ไม่ทำงานไม่สนุก แล้วเขาก็ไม่ทำงานเท่านั้นเอง เมื่อเห็นแก่ตัว แล้วก็เอาเปรียบ เอาเปรียบ ……… (นาทีที่ 33.48) เอาเปรียบ เอาเปรียบผู้อื่น คนเห็นแก่ตัวก็ริษยา ริษยา ไม่อยากให้ใครดีกว่า แล้วเขาก็เป็นคนโกหก คดโกง คดโกง ไม่ซื่อตรง มลภาวะทุกชนิด ทุกขนาด ทุกหนทุกแห่งนี้ คนเห็นแก่ตัวสร้างขึ้น มลภาวะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เห็นแก่ตัว เป็นไปทั้งโลก
อุบัติเหตุ อุบัติเหตุ (นาทีที่ 35.42) Accident น่ะ อันนี้ได้รับรายงานทางแพทย์ว่า คนเจ็บป่วยมาโรงพยาบาลนี้ มาจากมูลเหตุอุปัทวะเหตุมากกว่าโรคมะเร็งอีก นี่ด้วย มันเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น รถยนต์ชนกัน เป็นต้น มากมายเหลือเกิน เรารวมเรียกว่า อุบัติเหตุมาจากความเห็นแก่ตัว จนมากกว่าโรคภัยไข้เจ็บอย่างอื่นเสียแล้ว เรียกว่าทำลายธรรมชาติอันสวยงาม เพราะความเห็นแก่ตัว ธรรมชาติในโลกนี้กำลังถูกทำลายลงอย่างที่ว่าเป็นอันตรายแก่โลกเองแล้ว นี่ก็เพราะความเห็นแก่ตัว ปัญหายาเสพติดซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในโลก นี่ก็มาจากความเห็นแก่ตัว โรคที่ไม่ควรมีแก่มนุษย์ โรคที่ไม่ควรจะมีแก่มนุษย์ อย่างเช่นโรคเอดส์ นี่เป็นต้น ไม่ควรมีแก่มนุษย์ มันไม่มีแม้แก่สัตว์เดรัจฉาน เช่น หมา เป็นต้น ไม่มีสมัยคนป่านู่นเป็นต้น แต่มันก็มามีในโลกสมัยที่เรียกว่าเจริญ เจริญ นี่โรค โรค โรคที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ควรจะมี มันก็มีขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะการตามใจตัว มันน่าละอายในข้อที่ว่า คนป่าที่ยังไม่เจริญ ไม่เป็นโรคเอดส์ สุนัขนี่ก็ยังไม่เป็นโรคเอดส์ แล้วทำไมคนน่ะเป็นโรคเอดส์ มันน่าละอาย นี่ก็เพราะมันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว มันจึงน่าละอายสัตว์ น่าละอายคนป่า ในที่สุดผู้เห็นแก่ตัวเหล่านี้ก็เป็นอาชญากร อาชญากรรม ทำผิดกฎหมายอย่างเลวร้าย จนทุกแห่งเต็มไปด้วยอาชญากร คอยเบียดเบียนไม่มีความสงบสุข ทุกแห่งเต็มไปด้วยอาชญากร สร้างคุก สร้างเรือนจำ สำหรับขังนักโทษเหล่านี้เท่าไหร่ๆ มันก็ยังไม่พอ สร้างคุก มันไม่พอ จะสร้างตำรวจ กิจกรรมตำรวจ เท่าไหร่ๆก็ไม่พอ ตำรวจยังไม่พอเลย ทีนี้สร้างศาลยุติธรรม สร้างศาลยุติธรรมเท่าไหร่ๆก็ยังไม่พอ ร้องทุกข์กันจนไม่มีงบประมาณสร้างศาล สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไหร่ๆก็ไม่พอ สร้างวัดทางศาสนาขึ้นเท่าไหร่ๆมันก็ไม่พอที่จะแก้ไขไอ้คนอันธพาล
ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นในโลก ก็เปลี่ยนโลกให้เป็นโลกที่เลวลง เลวลง เลวลง จนจะวินาศ เมื่อครู ครู เป็นผู้เห็นแก่ตัว ครูก็ไม่ใช่ครู และก็กลายเป็นพ่อค้า มาขูดรีดหาเงินจากเด็กนักเรียน จากบิดามารดาของเด็กนักเรียน ครูก็ไม่มี ครูก็กลายเป็นพ่อค้าไป จะเดือดร้อนกันเท่าไหร่ เมื่อหมอ หมอทั้งหลาย กลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว ก็ไม่เป็นหมอ ก็กลายเป็นพ่อค้า ก็ขูดรีดคนเจ็บไข้ ภาษาไทยเราเรียกว่า ทำนาบนหลังคนเจ็บไข้
เมื่อผู้พิพากษาตุลาการ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป มันก็ไม่มีผู้พิพากษาตุลาการ ก็กลายเป็นพ่อค้าไป มันก็ขูดรีดจำเลย ภาษาไทยเรียกว่า ทำนาบนหลังจำเลย เมื่อพระเจ้าพระสงฆ์ หรือเจ้าหน้าที่ทางศาสนา พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวขึ้นมา พระศาสนาก็หมด เมื่อผู้บังคับบัญชา ผู้มีหน้าที่บังคับบัญชาผู้อื่น เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวขึ้นมา พวกลูกน้องก็ตกนรกทั้งเป็น (ไฟล์เสียงชำรุด นาทีที่ 48.19 – 48.32) กำลังเห็นแก่ตัว ผู้พิพากษาตุลาการ กำลังเห็นแก่ตัว พระกำลังเห็นแก่ตัว ผู้บังคับบัญชากำลังเห็นแก่ตัว มีผู้มาถามคำถามนี้มากที่สุด อาตมาได้รับคำถามนี้มากที่สุด ว่าจะทำอย่างไร ถ้าว่าสามีภรรยาเห็นแก่ตัว มันก็ต้องหย่ากันเท่านั้นแหละ ดูนะ มันทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา แล้วก็หย่ากัน สมัยนี้ ลูก ลูก วัยรุ่น ลูก ก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น จนแม่น้ำตาไหล ลูกวัยรุ่นหญิงชายก็ตาม เห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่อยู่ในศีลธรรม ไม่อยู่ในคำแนะนำเชื่อฟังสั่งสอนอะไร แม่ก็จะมีน้ำตาไหลไปตกนรกมากขึ้น ในทางที่ตรงกันข้าม ถ้าพ่อหรือแม่ที่เกิดเป็นผู้เห็นแก่ตัวขึ้นมาบ้าง ลูกก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเพื่อนกับเพื่อนเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมา มันก็หมดความเป็นเพื่อนทันที ถ้านายจ้าง ลูกจ้าง เห็นแก่ตัวขึ้นมา เขาก็ทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็ต่อสู้กันไม่มีที่สิ้นสุด ก็มีความหวังร้ายทำลายกันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ถ้านายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว โลกนี้ก็ค่อยๆลุกเป็นไฟ ลุกเป็นไฟ เพิ่มขึ้น
ก็เดี๋ยวนี้ เราก็เห็นอยู่แล้วในโลก ก็ต้องแบ่งออกเป็นโลกฝ่ายนายทุนกับโลกฝ่ายกรรมกร ก็มีปัญหาสารพัดอย่าง ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งใต้ดินและบนดิน แล้วก็ตลอดเวลาทั้งเดือนทั้งปี ความเห็นแก่ตัวระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพแบ่งโลกออกเป็น 2 โลก เราพูดได้ไหมว่าสงครามระหว่างสัมพันธมิตรกับอาหรับ เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นมาและกำลังเกิดอยู่เนี่ย มันเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช่หรือไม่ หรือทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่มี ไม่มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น จะไม่มีการทะเลาะวิวาทระหว่างบุคคล ไม่มีการทะเลาะระหว่างประเทศ ซึ่งเรียกว่าสงคราม ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการทะเลาะวิวาท ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว
สรุปความทั้งหมดนี้ว่า วิกฤตการณ์ความเลวร้ายทั้งหลาย Crisis หรือ Crisis (นาทีที่ 47.45) มันมาจากความเห็นแก่ตัวทุกชนิดทุกชนิด ที่กำลังมีอยู่ในโลก สิ่งเลวร้ายไม่พึงปรารถนาส่วนบุคคล แต่ละคนก็ดี ระหว่างประเทศ ระหว่างประเทศของส่วนรวมก็ดี มันมาจากความเห็นแก่ตัว
องค์การสหประชาชาติปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จ ก็เพราะทุกฝ่ายมันเห็นแก่ตัว ถ้าเรามองดูอีกทางหนึ่งเราจะเห็นว่า ที่องค์การสหประชาชาตินั้นน่ะ มันเป็นที่ประชุมถกเถียงกันระหว่างผู้เห็นแก่ตัว ระหว่างผู้เห็นแก่ตัว หรือผู้แทน ผู้แทน ของผู้เห็นแก่ตัว มันทะเลาะกันที่นั่น มันไม่มีที่สิ้นสุด โลกมันยังหาสันติภาพไม่ได้
ทีนี้เราก็มามองดู คราวเดียวกันทั้งหมด ก็พบว่ามนุษย์กำลังเห็นแก่ตัว ยังผิดต่อความประสงค์ของธรรมชาติ ถ้าสมมุติว่าธรรมชาติเป็นบุคคล มีความประสงค์ มนุษย์ทั้งโลกกำลังทำผิดความประสงค์ของธรรมชาติ มนุษย์กำลังทำผิดความประสงค์ของธรรมชาติ คือมาเป็นผู้เห็นแก่ตัว แต่ธรรมชาติต้องการให้เรา เกิดมาเป็นเพื่อนกัน และไม่มีความเห็นแก่ตัว ให้เรามาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อน เป็นเพื่อน เป็นเพื่อน โดยไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราก็เป็นผู้เห็นแก่ตัว ไม่มีความเป็นเพื่อนกัน
คำว่าเพื่อน เพื่อนในที่นี้ ถือตามหลักธรรมมะทางพระพุทธศาสนา กระทั่งว่าวัฒนธรรมคนไทย ก็เรียกว่าเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเป็นเพื่อนกันเกิดมา เป็นเพื่อนกันแก่ชรา เราเป็นเพื่อนเจ็บไข้ และเราก็เป็นเพื่อนตาย สี่คำ สี่ความหมาย เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ธรรมชาติสร้างเรามาสำหรับเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ไม่เห็นแก่ตัว แต่เราก็ทำอย่างตรงกันข้าม เราเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว และเราก็เป็นศัตรูคู่แข่งขันกัน ไม่มีความเป็นเพื่อน
ทุกๆคนมีปัญหาร่วมกัน มีปัญหาเดียวกัน ภาษาไทยเรียกว่ามีหัวอกเดียวกัน คือสิ่งที่ทรมานใจเหมือนกัน ปัญหาอย่างเดียวกัน หัวอกเดียวกัน คือปัญหาทั้งหลายนานาชนิดอันเนื่องมาจากการที่เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ถ้าเราทุกคนต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จึงมีปัญหาเหมือนกัน เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน และเราก็ต้องเป็นเพื่อนช่วยกันแก้ปัญหาทุกปัญหาที่มาจากการเกิดแก่เจ็บตาย นี่คือความหมายของคำว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย
มันถึงได้มีผู้ถามขึ้นมาว่า เมื่อเราเป็นลูกจ้าง เป็นนายจ้างแก่กันและกัน แล้วเราจะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่กำลังเป็นปัญหา ว่าลูกจ้างกับนายจ้างจะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างไร นั่นแหละคือปัญหาที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว คุณก็เป็นคุณ ฉันก็เป็นฉัน มึงก็เป็นมึง กูก็เป็นกู ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดความแบ่งแยกกันอย่างนี้ ลูกจ้างนายจ้างจึงเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายกันไม่ได้ นี่ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นแก่ตัวทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เขามีใจกว้าง ใจกว้าง เขาคิดว่าเขาเกิดมาในโลกนี้ เพื่อทำให้โลกนี้มีความสุข มีสันติภาพ และมีความงดงาม เขาเก็บความเป็นลูกจ้างนายจ้างไปทิ้งซะ ทิ้งก่อน ไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้วก็มามองดูเราเนี่ยเป็นเพื่อนช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม สร้างโลกนี้ให้งดงาม โดยไม่มีความเห็นแก่ตัว จะเป็นอย่างไรก็ลองคิดดู ลูกจ้างนายจ้างไม่มี มีแต่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร
เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกไม่ถูกต้อง การศึกษาในโลกตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุด เมื่อตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัยมันไม่ถูกต้อง มันมีแต่ให้ฉลาดฉลาดแล้วเห็นแก่ตัว ฉลาดฉลาดแล้วเห็นแก่ตัว งั้นคนยิ่งมีการศึกษามากก็เลยยิ่งเห็นแก่ตัวอย่างฉลาด มันก็ไม่มีทางที่จะคิดว่าเราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย คิดแต่ว่าเราจะมาแข่งขันกัน เอาประโยชน์อันมากที่สุดก่อนคนอื่น เรามีการศึกษาไม่ถูกต้อง มีแต่เพิ่มความเห็นแก่ตัว เราจึงไม่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันได้ในโลกนี้
เราเลิกคำว่าลูกจ้างนายจ้าง มันก็เลิกคำว่าค่าจ้างไปเสียได้ ค่าจ้าง ไอ้ Salary ค่าจ้าง ค่าจ้าง เลิก เลิก ไม่มี เหลือแต่เงินค่าใช้สอยให้ทำหน้าที่การงาน จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ Remuneration อะไรเนี่ย เหลือแต่เงินค่าใช้สอยให้ช่วยกันทำการงาน ไม่มีค่าจ้าง ไม่มี ไม่มี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือนที่เป็นค่าจ้าง มีแต่เงินให้มาเป็นค่าใช้สอย แล้วทุกคนก็มาทำหน้าที่พัฒนาโลกทั้งโลกนี้ อย่างกับว่าเราเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายด้วยกัน ไม่มีคำว่าค่าจ้าง ไม่มีคำว่าเงินเดือน มีแต่ค่าใช้สอยที่ว่าบริษัทหรือว่าองค์การอะไรก็ตาม จ่ายเงินค่าใช้สอยมาทุกคนช่วยกันทำหน้าที่พัฒนาโลก พัฒนาโลก อย่างนี้มันไม่มีความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็สร้างความเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายได้เป็นแน่นอน เลิกคำว่าค่าจ้าง เหลือแต่คำว่าค่าใช้สอย เพื่อช่วยกันพัฒนาโลก
หลายคนจะแย้งและจะค้านว่า นายจ้างคงไม่ยอม นายจ้างคงไม่ยอม ลูกจ้างมันก็ไม่ยอม อยากจะเป็นลูกจ้าง มันไม่ยอมเป็นเพื่อน ไม่ยอมเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่เป็นข้อที่ต้องพิจารณาว่าเราจะทำได้มากน้อยอย่างเท่าไหร่ จึงจะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน และเราไม่เป็นลูกจ้างนายจ้างแก่กัน นี่เราจะทำได้มากน้อยเท่าไหร่ มาพิจารณาข้อนี้กันก่อน
ถ้าว่านายจ้างกับลูกจ้างเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน นี่ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้านายจ้างกับลูกจ้างเป็นคู่ต่อสู้กัน ต่อสู้กัน ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ทำไมจึงเกิดการสไตร์คระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือบางทีก็ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลด้วยซ้ำไป ในโลกนี้บ่อยนัก สไตร์คระหว่างนายจ้างลูกจ้าง ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล บ่อยนักเพราะเหตุอะไร เพราะมันมีความเห็นแก่ตัว มันไม่มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันนั่นเอง
มีลูกจ้างนายจ้างที่ไหนในโลกมองกันและกันอย่างเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันมีแต่มองกันในฐานะเป็นคู่ต่อสู้ เป็นคู่แข่งขัน เป็นคู่ต่อสู้ เพื่อจะได้ประโยชน์ให้มาก นายจ้างก็จะเอาประโยชน์ฝ่ายตัวให้มาก ลูกจ้างก็จะเอาประโยชน์ฝ่ายตัวให้มาก เขาก็เลยต่อสู้แข่งขันกัน อย่างนี้คือความเป็นลูกจ้างเป็นนายจ้าง ไม่ได้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน มันผิดความประสงค์ของธรรมชาติ ที่ไหนมีลูกจ้างนายจ้างที่มองกันอย่างเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย คือนายจ้างกับลูกจ้างกระทำเสียอย่างนี้ นายจ้างและลูกจ้างรวมกัน เป็นคู่ต่อสู้กับธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติต้องการให้ทำอย่างอื่น ธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ทำอย่างนี้ แต่มนุษย์ไปทำเสียอย่างอื่น ใจความสั้นๆก็คืออย่างนี้ เมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มันก็เกิดความยุ่งยากลำบากเหลือประมาณ มนุษย์กำลังทำผิด ดื้อดึงกับธรรมชาติ ต่อสู้กับธรรมชาติ ฝืนความต้องการของธรรมชาติ ซึ่งต้องการให้มาอยู่รวมกัน รวมกัน ไม่แยกกัน และก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ธรรมชาติต้องการให้ทุกๆปรมาณู หรือทุกส่วนของปรมาณูรวมกัน รวมกัน รวมกัน เป็นธาตุ เป็นวัตถุธาตุอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา ต้องการให้ทุกๆปรมาณูรวมกัน แต่มนุษย์มันต้องการให้แยกกัน มันจึงได้เกิดระเบิดทำลายโลกขึ้นมา ต้องการให้แม้แต่ดิน หิน ก้อนดินก้อนนี้มาอยู่รวมกันเป็นโลก ไม่ใช่แยกกัน ต้องการให้ต้นไม้ทุกต้น ต้นไม้ทุกต้นอยู่ร่วมกัน แยกกันมันตาย ต้องการให้สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้รวมกัน รวมกัน ไม่แยกกัน ไม่ต่อสู้กัน ต้องการให้คนทุกคนรวมกัน รวมกัน เป็นเหมือนกับคนคนเดียวกัน ไม่ฉะนั้นมันจะต้องตาย นี่ธรรมชาติต้องการทุกอย่างรวมกัน เป็นลักษณะสังคม แต่มนุษย์มันก็แยกกัน แยกกัน จนว่ามึงก็มึง กูก็กู นี่ เพราะฉะนั้น มันผิดธรรมชาติ มันต่อสู้กับธรรมชาติ แล้วมันก็จะต้องเป็นทุกข์ทรมานตลอดไป
ลัทธิเสรีประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามความต้องการของธรรมชาติ ทำให้แยกกันเป็นคนๆ ต่างคนต่างมือยาว สาวเอา ใครฉลาดใครก็สามารถที่จะสาวเอาได้ อย่างนี้ เสรีประชาธิปไตยนี่ไม่ถูกต้องตามความประสงค์ของธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสังคมนิยม เป็นสังคมนิยม เห็นแก่หมู่เห็นแก่คณะ เป็นสังคมนิยมที่แท้จริงนะ ข้อนี้ถูกต้องตามกฎความประสงค์ของธรรมชาติ ง่ายที่จะปฏิบัติเพื่อสันติภาพ
แม้เราจะใช้คำว่าสังคมนิยม หรือ Socialism เราก็หมายถึง Socialism ที่ถูกต้อง ที่เป็นธรรม สังคมนิยมของ Carl Mark ใช้ไม่ได้ เพราะมันเป็นสังคมนิยมของผู้แก้แค้น ของกรรมกร สังคมนิยมของกรรมกรผู้แก้แค้น สังคมนิยมอย่างนี้ใช้ไม่ได้ มันไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติเหมือนกัน มันต้องสังคมนิยมของผู้ที่ว่า เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน สังคมนิยมอย่างนี้ถูกต้อง ดังนั้นเราจึงต้องเติมคำประกอบเข้าไปว่าธรรมมิกสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยความถูกต้อง โลกต้องการสังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยความถูกต้อง เพราะว่าธรรมชาติสร้างมาให้เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน ไม่แยกกัน ไม่แยกกัน
สังคมนิยมที่ถูกต้องคือประกอบไปด้วยธรรมะ นี่ตรงกับความประสงค์ของธรรมชาติ ที่ให้เราเกิดมาอยู่ร่วมกันเป็นเพื่อนกัน และมันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ธรรมิก Socialism ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว แต่เสรีประชาธิปไตยนั้น มันต่างคนต่างต้องการต่างกอบโกย มันก็เกิดความเห็นแก่ตัว มันจึงไม่ตรงตามความประสงค์ของธรรมชาติ เราจึงเปลี่ยนความคิดนึกของเรามาเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตาย พัฒนาโลกนี้ให้เจริญ โดยไม่ต้องมีความเป็นลูกจ้างและนายจ้าง มีแต่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ถ้าเปลี่ยนไปเป็นสังคมนิยมจะไม่เห็นแก่ตัว เป็นเสรีประชาธิปไตยจะเห็นแก่ตัว
ในบริษัท องค์การหนึ่งๆ ไม่ต้องมีลูกจ้างนายจ้าง มีแต่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเป็น Partnership Partnership ช่วยกันพัฒนาโลก และได้รับค่าใช้จ่าย ค่าใช้สอยมาทำหน้าที่ได้ ไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่ค่าจ้าง เป็น Partnership เป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายกัน แล้วก็ทำงานด้วยกัน สนุกสนาน เนี่ย บริษัท องค์การไหนมีหลักการอย่างนี้ จะมีแต่ความเยือกเย็นเป็นสุข ไม่ ไม่มีความเครียดทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง เพราะมันไม่มีลูกจ้างนายจ้าง ในโลกนี้ไม่มีนายจ้างลูกจ้าง อย่าจัดให้โลกนี้มีลูกจ้างนายจ้าง ให้มีแต่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หรือ Partnership ช่วยกันพัฒนาโลกให้มีสันติภาพ แจกจ่ายค่าใช้สอย ไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่ใช่ค่าจ้าง ค่าใช้สอย ให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนสะดวก สะดวก สะดวก แล้วโลกนี้ก็จะไม่มีความเห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้ก็จะไม่มีความเครียดใดๆ ชนิดใดเหลือ
ที่นี้ปัญหาก็เหลืออยู่ตรงที่ว่า ความถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ความถูกต้องนั้นคือมันถูกต้องพอดี มันไม่ขาดหรือน้อยไป มันก็ไม่มากเกินไป มันไม่หลง Positive มันไม่หลง Negative มันมีความพอดี พอดี พอดี มันไม่มีขาด ไม่มีเกิน มีแต่ความพอดี พอดี มีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้องคือความพอดี จะเรียกกลางๆก็ได้ ใช้คำพอดี พอดี ดีกว่า ไม่มาก ไม่น้อย ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่ Positive ไม่ Negative มีพอดี มีพอดี
ถูกต้องคือพอดี ไม่ขาดไม่เกิน
เดี๋ยวนี้คนในโลกมันบูชา Positive มันหลง Positive มันพอใจ Positive มากเกินไป มันจึงมีแต่ความเกิน เกิน เกิน มันต้องการเกิน ต้องการเป็นอยู่ เกิน เกิน เกิน เพราะมันหลง Positive มากเกินไป นี่คือความไม่ถูกต้อง
ในบ้านเรือนของเรา มันไม่มีความพอดี ในแง่บ้านเรือนเราก็ต้องการบ้านเรือนมากเกินไป ของใช้ไม้สอยเราต้องการมากเกินไป ต้องการรถยนต์มากเกินไป เงินทองเราก็ต้องการมากเกินไป มากเกินไปท่าเดียว ไม่มี ไม่มีขอบเขต เรียกว่ามันบูชาบวก แล้วมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว งั้นอย่ามีส่วนที่ว่ามันเกินจำเป็น มันก็ไม่ถูกต้อง อย่าบูชา Positive มากเกินไป มันจะทำให้เกิน เกิน เกิน เกิน ไอ้ Negative ไม่มีใครต้องการ ก็ไม่มีใครบูชา แต่ถ้าว่ามันเกิดขึ้นมา ก็อย่าเห็นเป็นเรื่องประหลาด เห็นเรื่อง เห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเองเสียบ้าง ถ้าอย่างนี้ เราไม่มี Positive Negative เราอยู่เหนืออิทธิพลของ Positive Negative นี่เรียกว่าความถูกต้อง
เราไม่ จำเป็นจะต้องการอาหารการกินดีเกินไป มากเกินไป เอาแต่พอดี พอดี พอดี เราไม่ต้องการให้การนุ่งห่มแต่งตัวเยอะแยะ แต่พอดี พอดี เราก็มีที่อยู่ บ้านเรือน รถยนต์เอาแต่พอดี พอดี เรามีการอนามัย รักษาอนามัยแต่พอดี พอดี อย่างนี้ก็เรียกว่า โดยหลักใหญ่ๆ สี่อย่างนี้ถูกต้องพอดี ถูกต้องพอดี ไม่มีเกิน ถ้ามันเกิน หาได้เกินก็ไปทำประโยชน์ผู้อื่นเสียอย่าเอามาหล่อเลี้ยงตัวเองให้มันเกิน นี่เรียกไม่มีความเกินในเรื่องอาหาร ในเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ในที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย สุขภาพอนามัย มีแต่พอดี พอดี
ถ้ายังเกี่ยวข้องกับกามอารมณ์ ก็มีกามารมณ์แต่พอถูกต้องและพอดี เราควบคุมกามารมณ์ อย่าให้กามอารมณ์ควบคุมเรา เราก็มีกามารมณ์แต่ถูกต้องและพอดี เมื่อถูกต้องพอดีอย่างนี้แล้ว ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ไม่เกิดความเห็นแก่ตัวก็ไม่เกิดปัญหาคือความเครียด จะขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่า สั้นๆว่า เราควบคุมกามารมณ์ อย่าให้กามารมณ์ควบคุมเรา เราควบคุมความถูกต้องในอาหาร ในเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย การบำบัดอนามัย การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ อนามัย และควบคุมกามารมณ์ได้ จะไม่มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นและจะไม่มีความเครียดใดๆแม้แต่นิดเดียว
ขออีกสองประโยคสั้นๆว่า ความถูกต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว ความถูกต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ก็จะไม่เกิดความเครียดใดๆ หวังว่าท่านทั้งหลายจะสามารถควบคุมความเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่มี ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัว Non-selfish แล้วก็จะไม่มีความเครียดใดๆโดยประการทั้งปวง
ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดความเครียด ความเครียดนี่กัดชีวิต กัดชีวิต กัดเจ้าของ เพราะความเครียดของตนเอง ความเห็นแก่ตัวและเครียด กัดเจ้าของอย่างไร เราได้พูดกันแล้วอย่างละเอียด ครบถ้วนข้างต้นแล้ว เมื่อเราไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว เราก็เป็นเพื่อน เพื่อน เพื่อน เกิดแก่เจ็บตายได้ เราก็ไม่ต้องเป็นลูกจ้างนายจ้างกันอีกต่อไป เราเป็นเพื่อน เราเป็น Partnership ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ เป็นเพื่อนเหมือนกับคนคนเดียวกันทั้งโลก หวังว่าท่านทั้งหลายจะลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้ แล้วเราก็จะหมดสภาพลูกจ้างนายจ้าง แล้วมันจะมีสภาพเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เป็น Partnership ช่วยกันสร้างโลกให้มีสันติภาพได้
ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลาย เป็นผู้ฟังที่ดี ด้วยความอดทนมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว ขอขอบคุณและขอปิดการอบรม
ขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ท่านไม่ต้องขอบคุณอาตมา ไม่ต้อง อาตมาขอบคุณท่าน มาช่วยทำให้เกิดการมีประโยชน์ขึ้นมาที่นี่ ขอขอบคุณ ขอบคุณ ท่านไม่ต้องขอบคุณอาตมา อาตมาขอบคุณท่าน ท่านมาช่วยทำให้สถานที่นี้มีประโยชน์
เชิญ เชิญ ไปดูสวนนอกหรือยัง ไปดูสวนนอกที่ศึกษาธรรมะ และอบรมสมาธิ
ที่สุด ที่สุด ก็คือจัดการศึกษาเสียให้ถูกต้อง อย่าให้ฉลาด ฉลาดแล้วยิ่งเห็นแก่ตัว ให้ฉลาด ฉลาดแล้วยิ่งไม่เห็นแก่ตัว จัดการศึกษาขึ้นใหม่ให้ถูกต้อง เรากำลังมีการศึกษาที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว คอยดูดีดี เรากำลังมีการศึกษาที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว นี่มันกำลังผิดพลาด อีกทางหนึ่ง เรามีอุตสาหกรรม เครื่องจักร อุตสาหกรรม ผลิตส่วนเกิน ผลิตส่วนเกิน ส่วนที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวมากเกินไป ดูสิเราต้องเปลี่ยนบ้านเรื่อย เปลี่ยนรถยนต์เรื่อย เปลี่ยนวิทยุ ทีวี วีดีโอเรื่อย เปลี่ยนตู้เย็นเรื่อย ทั้งที่ของใหม่มันมีอยู่แล้ว มันอดซื้อของที่ใหม่กว่า ที่ออกมาหลอก ยั่ว ให้มากขึ้นไปไม่ได้ เรามีอุตสาหกรรมอย่างนี้ไม่ไหว
คำว่า Progress Progress นี่มันแปลว่า บ้า มันก็ได้ เราจะต้องมี Progress ที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือไม่บ้า
Progress เกินไปคือบ้า พูดสั้นๆหน่อยสิ Progress เกินไปคือบ้า พูดสั้นๆหน่อย
ผู้แปล : ท่านบอกว่า ตามธรรมชาติ มันมีสันติภาพอยู่ มันมีความสงบอยู่ แต่ที่เขาได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยเนี่ย แม้กระทั่งอาจารย์เขาเองบอกว่า ในธรรมชาติเนี่ย มันมีการแข่งขัน แม้กระทั่งในป่าเนี่ย มันก็มีการแย่งชิงกัดกินกันอยู่ตลอดเวลา
ท่านพุทธทาส : อาตมาไม่ได้พูดว่า ธรรมชาติมีความถูกต้อง แต่พูดว่าให้มีความถูกต้องตามความประสงค์ของธรรมชาติ คือให้เกิดมาสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความถูกต้อง ธรรมชาติต้องการให้เราเกิดมาอยู่ร่วมกันมากๆด้วยความถูกต้อง เราจะต้องทำให้มันถูกต้อง ธรรมชาติจึงจะถูกต้อง ธรรมชาติจะถูกต้องให้เราน่ะคงไม่ได้ ความไม่ถูกต้องมันเพิ่งเกิดเมื่อเราไปแก้ไขธรรมชาติ เราไปแก้ไขธรรมชาติอย่างไม่ถูกต้อง มันจึงเกิดความไม่ถูกต้องขึ้นมา
ผู้แปล : เขาบอกว่า ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวของคนเนี่ย อย่างเช่นว่า การทำลายธรรมชาติ ทำให้เกิดมลภาวะ แม้กระทั่งคนเห็นแก่ตัวเนี่ย ซึ่งกำลังทำลายธรรมชาติหรือทำให้เกิดมลภาวะเนี่ย ถ้ามาถึงจุดนึงแล้ว ซึ่งคนที่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นผู้กระทำผู้นั้นเนี่ย เห็นถึงผลอันตรายซึ่งจะมากระทบกับตัวเองเนี่ย ผู้เห็นแก่ตัวผู้นั้นเนี่ย โดยสันชาติญาณ ก็จะพยายามหาทางแก้ไข สิ่งที่กำลังเป็นภัยแก่ตัวเอง เพราะเกิดมาจากความเห็นแก่ตัวด้วยเหมือนกัน เห็นถึงผลประโยชน์หรืออันตรายที่จะมาสู่ตน ก็จะพยายามหาทางแก้ไขที่จะทำให้สิ่งที่จะเกิดเป็นอันตรายแก่ตนนั้นเนี่ยลดน้อยลง
ท่านพุทธทาส : ถูกแล้ว ในภาษาไทย ในประเทศไทย เรามี คำพูดสั้นๆว่าไอ้ความผิดนั่นแหละเป็นครู ให้สั้นที่สุด ความผิดนั้นแหละเป็นครู ความผิดพลาดนั่นแหละเป็นครู พูดให้มันสั้นที่สุด ความผิดนั่นแหละมันเป็นครู แล้วก็ว่า ชีวิตเป็นการศึกษาอยู่ในตัวเอง ชีวิตเป็นการศึกษาอยู่ในตัวมันเอง มันเป็นการเรียนด้วย เป็นการสอนด้วย เป็นการสอบไล่ด้วย เป็นการตัดสินด้วย อยู่ในตัวมันเอง ในชีวิตเอง สอบไล่ ตัดสิน ในตัวมันเอง
เชิญไปเที่ยวทั่วๆ ไปศึกษารูปภาพในตึกนั้นให้มากๆ รูปภาพในตึกนั้นน่ะ คอยศึกษาจะมีประโยชน์มาก ต้องเข้าใจ ให้เข้าใจ