แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นสหายร่วมงาน ในการแก้ไขปัญหาของโลก ในพุทธศาสนามีคำว่า สหธรรมิก คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน นี้หมายถึงหน้าที่ภายในศาสนาก็ได้ ร่วมกันภายนอกศาสนาก็ได้ ถ้าสามารถทำหน้าที่ร่วมกัน ก็เรียกว่าเป็นสหธรรมิกต่อกันได้
ดังนั้นวันนี้เราพูดกัน ในฐานะเป็นเพื่อน ร่วมหน้าที่กัน หรือสหธรรมิก การที่เลือกเอาเวลา เช้า อย่างนี้ เป็นเวลาสำหรับ ทำความเข้าใจกันนั้นมันเป็น สิ่งที่มีเหตุผล จะเรียกว่าเป็นเวลาศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังได้ เวลาเช้า เป็นเวลาที่ดอกไม้ ส่วนมากนั้นมันบาน เวลาที่น้ำชา ยังไม่ล้นล้นถ้วย นี่เป็นเวลา สำคัญ ที่มีเหตุผล และจะกล่าวได้ว่าเป็นเวลาตรัสรู้ของพระศาสดา คงไม่เฉพาะของพระพุทธศาสนา เป็นเวลาเหมาะสมสำหรับการตรัสรู้ของพระศาสดา เวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่เหมาะ สำหรับการ สำรวจตรวจส่อง ดูโลก เพื่อหาความจริง เวลาอย่างนี้เหมาะที่สุด
ศาสนาทั้งหมดเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ช่วยไม่ได้ ที่จะไม่ให้มีชื่อต่าง ๆ กัน นี่เป็นใจความสำคัญ ที่จะต้องพิจารณาเป็นข้อแรก มีความหมาย หรือการกระทำอย่างเดียวกัน แต่ช่วยไม่ได้ ที่ต้องมีชื่อ ต่าง ๆ กัน เพราะว่า ศาสนานั้น ๆ เกิดในยุคสมัยต่างกัน ในดินแดนที่ต่างกัน ในหมู่ประชาชนที่มี วัฒนธรรม และมีอะไรต่าง ๆ กัน เขาจึงมีชื่อที่เหมาะสมสำหรับยุคนั้น ๆ ดินแดนนั้น ๆ วัฒนธรรม นั้น ๆ ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ ในการที่จะไม่ให้มีชื่อต่างกัน เราจะไม่หลงชื่อ ไม่หลงยึดมั่นชื่อ แม้ว่าจะมี ชื่อของศาสนาต่างกัน ชื่อของศาสดาต่างกัน ยังคงมุ่งหมายใจความสำคัญ ว่ามันมีการกระทำที่ เหมือนกันสิ่งเดียวกันคือ ช่วยโลก แม้วิธีการที่จะช่วยโลก มันก็ยังต้องต่างกัน ตามยุค ตามสมัย ตามถิ่นที่มันได้มีขึ้นมา ดังนั้นการที่มีชื่อหรือมีอะไรต่างกันบ้างไม่เป็นไร แต่หัวใจตรงกันเป็นอัน เดียว คือว่าจะช่วยโลก ถ้าไม่มีความมุ่งหมายที่จะช่วยโลกแล้ว มันก็มิใช่ศาสนาเลย เราจะได้พิจารณา กันต่อไป ในวิถีทางของการที่จะร่วมมือกัน ร่วมมือกันช่วยโลก
สิ่งแรกที่เราจะต้องพิจารณาให้เห็น ก็คือ โลกกำลังจะวินาศเพราะความเจริญของโลก น่าแปลกที่ว่าโลกกำลังจะวินาศเพราะความเจริญของโลก โลกยิ่งเจริญทางวัตถุ แล้วก็ยิ่งเจริญด้วย ความเห็นแก่ตัวในทางจิตใจ ทางภายนอกเจริญด้วยวัตถุ แต่ทางภายในเจริญด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวยิ่งมากมายขึ้นในโลก โลกจะวินาศด้วยเหตุนี้ ความเจริญทางเศรษฐกิจมันก็เพิ่ม ความเห็นแก่ตัว ความเจริญทางอุตสาหกรรมมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ความเจริญในทุก ๆ ด้าน นั้นนะมันเป็น ทางมาของความเห็นแก่ตัว และก็เพิ่มมากขึ้น คำว่า Progress นั้นมันแปลว่า บ้าก็ได้ เราจะเห็นได้ชัดว่า ยิ่ง Progress สมัยนี้ก็คือ ยิ่งบ้า คือ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญยิ่งใกล้ความวินาศ
ขอให้พิจารณาดู สิ่งที่น่ากลัวว่า ฉะนั้นเดี๋ยวนี้โลกมันเจริญด้วยผู้เห็นแก่ตัว ประชาชนทุกคน เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว เรียกว่า ประชาชนทั้งหมดเห็นแก่ตัว ประชาชนผู้เห็นแก่ตัวเลือกสมาชิกรัฐสภาขึ้นมา เราก็ได้รัฐสภา ที่เห็นแก่ตัว รัฐสภาที่เห็นแก่ตัวตั้งรัฐบาลขึ้นมา เราก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว เมื่อเป็นดังนี้แล้ว มันจะมี อะไรเหลือ จะมีอะไรเหลือที่จะไม่เห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวก็คือ เห็นแต่ประโยชน์ของตัว ดังนั้นจึงพูด กันไม่รู้เรื่อง ทำความเข้าใจกันไม่ได้ มันจึงมีแต่ความขัดแย้ง จนต้องมีฝ่ายขัดแย้ง ให้โอกาสแก่ ผู้เห็นแก่ตัว
เรามาพิจารณากันสักหน่อย ถึงบุคคลผู้เห็นแก่ตัว ว่ามีอันตรายหรือความเลวร้ายสักกี่ มากน้อย คนเห็นแก่ตัวขี้เกียจทำงาน ไม่สามัคคี เอาเปรียบ อิจฉาริษยา คนเห็นแก่ตัว ไม่ทำหน้าที่ แต่จะเรียกร้องสิทธิ์เกินไปเสียอีกนี่ มลภาวะเกิดขึ้นเต็มไปทั้งโลกนี้เพราะผู้เห็นแก่ตัว การทำลาย ธรรมชาติ ทั้งแผ่นดิน ทั้งต้นไม้ทั้งสัตว์ นี่ก็เพราะเห็นแก่ตัว อุบัติเหตุอันมากมายในการจราจร ตามท้องถนนหรือแม้แต่ในอากาศ มันก็เพราะเห็นแก่ตัว อาชญากรรมทางเพศทวีขึ้น ทวีขึ้น ก็เพราะผู้เห็นแก่ตัว โรคอันเลวร้ายก็ดี ยาเสพติดก็ดี เหล่านี้ทวีขึ้นเพราะผู้เห็นแก่ตัว
แต่ละประเทศ แต่ละประเทศนะ เป็นห่วงว่าจะเสียเปรียบทางการเมือง สนใจแต่ว่าจะเสีย เปรียบทางการเมือง ไม่สนใจเรื่องสันติภาพ ไม่สนใจเรื่องสันติภาพมัวแต่ห่วงว่า ตัวเองจะเสียเปรียบ ในทางการเมือง เท่านั้นแหละ แต่ละประเทศไม่ได้สนใจเรื่องสันติภาพของโลกอันแท้จริง สนใจแต่ เรื่องความเจริญ ของประเทศของตน ประเทศของตน ลืมสันติภาพของโลก เดี๋ยวนี้เรากำลังสนใจ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการสงคราม สงครามเย็นโดยเฉพาะยิ่งกว่าสันติภาพ ความเลวร้าย ทั้งหมดนี้ มาจากความเห็นแก่ตัว ปัญหาเหล่านี้ ไม่อาจจะแก้ไขได้ นอกจากอุดมคติของพระศาสนา หรือการกลับมาของพระศาสนา สันติภาพในโลกไม่ได้ มีไม่ได้ มีไม่ได้ ถ้าไม่ได้มีการทำความเข้าใจ และทำความร่วมมือกันระหว่างศาสนา
ทีนี่เราก็จะดูกันต่อไปถึงปัญหา ที่มีอยู่ในการที่ทำให้ ร่วมมือกันไม่ได้ ข้อแรกที่สุดก็คือว่า ศาสนาแต่ละศาสนา ยังยิ้มกันไม่ได้ ยังยิ้มให้กันไม่ได้ ศาสนาเองก็ยังยิ้มให้กันไม่ได้ ในบางกรณี ศาสนา นั้นแหละเป็นฝ่ายเห็นแก่ตัวเสียเอง ศาสนาเห็นแก่ความก้าวหน้าของตัวเอง ก้าวหน้าแห่ง ศาสนาของตัวเองจนลืมสันติภาพของโลก เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าศาสนายังไม่ได้ทำหน้าที่ของศาสนา อย่างสมบรูณ์ อย่างถูกต้อง อย่างสมบรูณ์ บางทีศาสนาก็ไปรับใช้การเมือง บางทีก็ไปหลงใหล ในความเจริญทางวัตถุ เห็นแก่ความเจริญของศาสนาเอง ยิ่งกว่าสันติภาพของโลก
นี่คือการที่โลกยัง ไม่ได้รับความช่วยเหลืออันบริสุทธิ์ อันถูกต้อง จากสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ศาสนายังไม่ได้ทำหน้าที่โดยตรงของตัว คือ การกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลก เพราะไปมัวหลงใน ความเจริญของศาสนาเอง จนลืมหน้าที่โดยตรงของตัวคือ การกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลก ขอเวลาพิจารณาเรื่องนี้กันเป็นพิเศษโดยเฉพาะ ความจริงมีอยู่ว่า ศาสนาเกิดขึ้นมาในโลก ก็เพื่อกำจัด ความเห็นแก่ตัวในโลกเท่านั้นแหละ ถ้าโลกไม่เกิดมีความเห็นแก่ตัวแล้ว ศาสนาก็ไม่มีโอกาสที่จะ เกิดขึ้นมาในโลก ศาสนาเกิดขึ้นมาในโลกก็เพราะว่า ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลก บังคับให้ ศาสนาเกิดขึ้นมา
ขอเน้นอีกทีหนึ่งว่า ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวในโลก ศาสนาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นมาใน โลก และเกิดขึ้นมาในโลกไม่ได้ ขอให้มองย้อนหลังไปไปในเบื้องหลังให้ยาวนาน ว่าทำไมถึงเกิด ศาสนานั้น ศาสนานี้ขึ้นมาในโลก แม้ศาสนายิวอันเก่าแก่ที่สุด ก็ได้เกิดขึ้นมาเพราะมนุษย์มีความ เห็นแก่ตัว จนทนไม่ไหว มันก็มีการจับกลุ่มรวมตัว เกิดอำนาจที่ทำให้เกิดศาสนาขึ้นมา ศาสนามัน เกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ บังคับให้เกิดขึ้นมา เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความจำเป็นของธรรมชาติโดยธรรมชาตินะ บังคับให้เกิด พระศาสดาผู้สอนความไม่เห็นแก่ตัว และให้รักผู้อื่น แต่เราเรียกโดยโวหารไพเราะสูงสุดว่า พระเจ้าส่งมา
กฎของธรรมชาติอันสูงสุด มีความหมายอย่างเดียวกับพระเจ้า บังคับให้เกิดศาสนาขึ้นมา เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว มนุษย์มันมีความเห็นแก่ตัว ในหมู่คนผู้มีความยึดถือว่ามีตัวตน ก็ได้รับ คำสั่งสอนว่า เอาตัวตนของตนไปมอบถวายให้แก่พระเจ้าเสีย ก็ไม่เห็นแก่ตนเหมือนกัน แต่ใน พุทธศาสนาสอนเรื่องความไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งที่ควรเรียกว่า ตัวตน มันก็ไม่เห็นแก่ตนเหมือนกัน แม้จะมีมูลเหตุและที่มาต่างกัน แต่ผลก็เป็นอย่างเดียวกันคือ สอนไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้มีมนุษย์ในโลก ที่ไม่เห็นแก่ตัว และก็มีสันติภาพ เราไม่ต้องมีข้อขัดแย้งกันในเรื่องนี้ แต่เรามามุ่งหมาย มุ่งหมายจะให้ เกิดความไม่เห็นแก่ตัว คำสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว ปฏิบัติเพื่อไม่เห็นแก่ตัว เกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็แล้วกัน
ศาสนา ศาสนา ศาสนา คือ ความรอดของมนุษยชาติ สิ่งเดียวเท่านั้นคือ ความรอดของ มนุษยชาติ เราเรียนพระศาสนาก็เรียน เรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว เราปฏิบัติศาสนาก็ปฏิบัติเพื่อ ความเห็นแก่ตัว เราได้รับผลจากศาสนา เราก็ได้รับผลเป็นความไม่เห็นแก่ตัว นี่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ของศาสนาล้วนแต่ เป็นความไม่เห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวไปอยู่กับพระเป็นเจ้าไม่ได้ ผู้เห็นแก่ตัวบรรลุ นิพพานไม่ได้ สรุปความว่าผู้เห็นแก่ตัว จะเข้าถึงสิ่งสูงสุดในศาสนาของตน ของตนไม่ได้
ทุก ๆ ศาสนาในโลกจะต้องถือเอาการทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นหน้าที่หลัก หน้าที่หลักคือ หน้าที่สำคัญ เพียงอย่างเดียว หน้าที่หลักของศาสนานั้น ๆ คือ การกำจัดความเห็นแก่ตัว ทุกศาสนา ต้องถือหลักอย่างนี้ การทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นหัวใจ หัวใจของศาสนา ถ้าไม่มีการทำลายความ เห็นแก่ตัว มันก็เท่ากับไม่มีศาสนาอะไรเลย ดังนั้นสิ่งสูงสุดของศาสนา ก็คือ ท่านที่เป็นผู้ช่วยให้รอด รอดโดยการหมดความเห็นแก่ตัว พระศาสดาแต่ละองค์ก็ดี พระเจ้าในศาสนาใด ๆ ก็ดีซึ่งกล่าวไว้ใน ลักษณะบุคคล ก็ล้วนแต่เป็นผู้ช่วยทำลายความเห็นแก่ตัว สอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว มุ่งหมาย จะทำลายความเห็นแก่ในโลกให้หมดไป
พุทธศาสนาไม่มีสิ่งสูงสุดเป็นบุคคล อ่า, แต่ว่าเป็นธรรมะ ธรรมะสูงสุดคือ นิพพาน ธรรมะ สูงสุดในพุทธศาสนาก็คือ การหมดความเห็นแก่ตัว ธรรมะรอง ๆ ลงมาก็เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัวจนหมดความเห็นแก่ตัว สิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาก็ล้วนแต่ กำจัดความเห็น แก่ตัว สิ่งสูงสุด Supreme สูงสุดในพุทธศาสนานั้น ๆๆ จะเป็นบุคคล หรือไม่ใช่บุคคล นั้นไม่ใช่ ปัญหาสำคัญ ไม่ใช่ความสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ว่า จะเป็นบุคคลหรือไม่ใช่บุคคลก็ต้องมุ่งหมาย กำจัดความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว จะเป็นบุคคลหรือไม่ใช่บุคคล ก็ต้องมุ่งหมายจะกำจัด ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว
เราอย่ามีข้อขัดแย้งกันในข้อที่ว่าสิ่งสูงสุดเป็น Personal หรือ Impersonal ทั้ง ๒ นั้นช่วย กำจัดความเห็นแก่ตัวก็แล้วกัน ถ้าเรามาถือข้อขัดแย้งอันนี้เป็นเรื่องสำคัญแล้ว เราจะร่วมมือกันไม่ได้ ด้วยประการทั้งปวง พระเจ้าอย่างบุคคลก็กำจัดความเห็นแก่ตัว พระเจ้าอย่างไม่ใช่บุคคลก็กำจัด ความเห็นแก่ตัว ผลก็คือ สันติภาพของโลก นี่คือไม่ขัดแย้งกัน ขอให้เราได้มีการทำความเข้าใจกัน ระหว่างศาสนา ทุก ๆ ศาสนาที่มีอยู่ในโลก จะมีกี่ศาสนาก็ตามใจ ขอให้ได้มาทำความเข้าใจแก่กัน และกันแล้ว ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกนี้ให้สิ้นไป
ผู้ใดหมดความเห็นแก่ตัวแล้ว ผู้นั้นก็ไปอยู่กับสิ่งสูงสุดในศาสนาของตน นี่เป็นของจริง แน่นอน แน่นอน เห็นได้ชัด มีเหตุผลอยู่ในตัวเอง ที่ถือว่ามีพระเป็นเจ้าก็ไปอยู่กับพระเป็นเจ้าที่ถือว่า มีปรมาตมันก็ไปอยู่กับปรมาตมัน ที่ถือว่ามีนิพพานก็ไปอยู่กับนิพพาน แล้วแต่จะมีชื่อเรียกอย่างไรก็ ถือได้ว่าเป็นสิ่งสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ ซึ่งจะไปถึงได้เพราะบันได ๆ คือ การหมดความเห็นแก่ตัว
นี่ก็เพื่อนคริสเตียนทั้งหลาย อาตมาขอเสนอว่า สัญลักษณ์กางเขน คืออย่างนี้นะ นั้นนะคือ ภาพแห่งการความไม่เห็นแก่ตัว หรือเป็นการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัว The I , The I นี่เห็นแก่ตัว ถ้าตัด มันเสียก็คือ ตัดความเห็นแก่ตัว พระจีซัสไครสต์ได้ทำตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้ว ด้วยเสียสละตัว ตัดความ เห็นแก่ตัว ได้เสียสละตัวเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น และขอให้เราเอาตัวอย่างพระจีซัสไครสต์เสีย ด้วยการตัดทำลายความเห็นแก่ตัว ดังที่มีสัญลักษณ์กางเขนปรากฏอยู่
ในพุทธศาสนาสอนว่า ชีวิตหรือทั้งหมด นี่มันเป็นเพียงกระแส แห่งปฏิจจสมุปบาท ความรู้ เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทำให้ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว เพราะมันตัดความรู้สึกว่ามีตัว เสียตั้งแต่ทีแรกและ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว นี่อาศัยความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอาวุธ ที่ตัดตัวหรือตัดความเห็นแก่ตัว ความคิดว่ามีตัวจนเห็นแก่ตัวนั้น มันเป็นความโง่เขลา หรือไม่มีความรู้อันเพียงพอ ของสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณ ความรู้ที่มีมาตามธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต มันรู้ไม่พอ มันจึงโง่ว่ามีตัว มีตัว พอมี ความรู้สึกอะไรขึ้นแก่ระบบประสาท มันก็มีกู มีกูผู้รู้สึก มีกูผู้ได้ มีกูผู้เสีย มีกูผู้ทำ นี่ความจริงนั้น มันไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่า ตัว แต่มันเกิดขึ้นมาของความโง่ของสัญชาตญาณ เราฉลาดเสียก็ไม่ ก็พ้น ก็พ้น ก็หมดปัญหาแหละ
สัญชาตญาณมันโง่ไป จนเกิดความรู้สึกว่ามีตัว ไอ้ความโง่นี้มันเป็นความหลง ไปในสิ่งที่เป็น คู่ Positiveness and Negativeness เป็นคู่นี่ สัญชาตญาณมันหลงไป มันหลงเรื่องดีเรื่องชั่ว มันจึงเกิด ตัวกู ตัวกูหรือตัวตนขึ้นมา เมื่อสัญชาตญาณมันไปหลงในความเป็นบวกหรือ Positiveness มันก็เกิด ตัวกูบวก ตัวตนบวก เมื่อมันไปหลงในไอ้ความเป็นลบหรือ Negativeness มันก็เกิดตัวกูลบ ตัวตนลบ ทั้งตัวกูบวกและตัวกูลบ ล้วนแต่เห็นแก่ตนทั้งนั้นแหละ เป็นตัวกูบวกก็เห็นแก่ตน เป็นตัวกูลบก็เห็น แก่ตน มันดำเนินการเห็นแก่ตนเรื่อยไป จนเกิดปัญหากันทั้งโลก
ทุกศาสนา ทุกศาสนา สอนไม่หลงความเป็นบวกหรือหลงความเป็นลบ ข้อนี้เป็นความจริง ที่จะต้องเข้าถึงให้ได้ ถ้าเข้าถึงไม่ได้ก็ไม่ถึง ก็ไม่เข้าถึงความจริงของศาสนา ทุกศาสนาสอนให้ไม่หลง บวกและหลงลบ ข้อความในหน้าแรก ๆ ของ Book of Guinness secret ก็เห็นชัด พบชัดอยู่แล้วว่า พระเจ้าสั่งผัวเมียคู่นั้นนะว่าอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ ที่ไป Determinate สิ่งต่าง ๆ เป็น Good and Evil อย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้เกิดความโง่ว่า Good and Evil มันไป Determinate ไอ้ความโง่ แต่ว่าผัวเมียคู่นั้นมันไม่เชื่อ ผัวเมียคู่นั้นมันไม่เชื่อ มันกินเข้าไปนี่ บรรพบุรุษมันกินเข้าไป มนุษย์ทั้งหลายก็หลงดี หลงชั่ว หลง Good and Evil ปัญหามันก็เกิดยืดยาวมาจนถึงบัดนี้ มันเป็น Original sin เพราะตั้งต้นหลงบวกและหลงลบ
Taoism ของเล่าจื๊อก็ว่า อย่าไปหลงในความเป็นบวกหรือความเป็นลบที่เรียกว่า หยินหรือ หยาง มันจะเกิดตัวตนบวก ตัวตนลบ และก็เกิดปัญหาอย่างเดียวกัน ศาสนาฮินดูก็สอนว่าอย่าไป หลงติดอยู่ในปุญญะและปาปะ Good and Evil เช่นเดียวกันแหละ ถ้าไปหลงติดอยู่ในปุญญะและ ปาปะ มันจะไม่ไปสู่ปรมาตมัน มันต้องไม่หลงในความเป็นบวกหรือความเป็นลบเช่นเดียวกัน ในพุทธศาสนานี่มี การบอกความจริง ไม่ให้ไปหลงในกุศลหรือในอกุศล คือ ดีหรือชั่วนั้นแหละ ดีหรือชั่วเป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทเหมือนกัน เป็นกระแสปฏิจจสมุปบาทเหมือนกัน ไปหลงเขาแล้วก็จะเกิดความทุกข์ นี่เรียกว่า ต้องการไม่ให้หลงในความเป็น คู่บวกคู่ลบ Positive and Negative อย่างเดียวเหมือนกันกับศาสนาอื่น ๆ
นิพพานะหรือนิพพานนะ มีความหมายอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เป็นคู่ ถ้ายังตกอยู่ใต้ อิทธิพลของสิ่งที่เป็นคู่แล้ว ไม่นิพพาน ต้องอยู่เหนืออำนาจ เหนืออิทธิพล เหนือความหมายของสิ่งที่ เป็นคู่ ๆ คือ บุญ-บาป สุข-ทุกข์ ดี-ชั่ว เหล่านี้ จึงจะมีนิพพาน ขอให้สังเกตว่าเราไม่ได้ใช้คำว่า Balance หรือ Between แต่เราใช้คำว่า Above หรือ Beyond Balance Between นี่ใช้ไม่ได้มันยังอยู่ใน ระดับเดียวกัน ต้องอยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative โดยประการทั้งปวง
เดี๋ยวนี้เพื่อนมนุษย์ของเราทั้งโลก ทั้งโลกเลยไม่มียกเว้นนะ กำลังหลงไอ้ Positive และ Negative หลง ๆ ยังกับยาเสพติดยิ่งกว่ายาเสพติด ความหลงใน Positive และ Negative นี้เป็น ยาเสพติด ยิ่งกว่ายาเสพติดที่กำลังมีปัญหา ยาเสพติดวัตถุนะไม่ค่อยมีปัญหากี่มากน้อยหรอก ยาเสพติดทางจิตทางวิญญาณ นี่มีปัญหามากอย่างที่คนทั้งโลกกำลังหลงในยาเสพติดคือ อิทธิพลของ Positiveness and Negativeness ดังนั้นการที่จะช่วย เพื่อนมนุษย์ของเราให้หมดความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นจะต้องช่วยเขาให้ออกมาเสียจากอิทธิพลของ Positive and Negative
เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลก ก็ไปส่งเสริมคนให้หลงใน Positive และ Negative ก็เอาศาสนาออก ไปเสียจากการศึกษา การศึกษาก็ทำให้ฉลาด ๆๆ เพื่อที่จะหลงใน Positive และ Negative ให้มาก เราฉลาดจนไปโลกพระจันทร์ได้ เราก็ไม่สร้างสันติภาพได้ เราหลงบูชา Positive และ Negative ความสุขทางเนื้อหนังของเราเอง อีกทางฝ่ายหนึ่งอีกด้านหนึ่งความเจริญทางเศรษฐกิจ ความเจริญ ทางอุตสาหกรรมอันมากมายมหาศาลยิ่งขึ้นในโลกนี้ ก็ล้วนแต่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวทำให้เจริญทางเศรษฐกิจ ทางอุตสาหกรรม มันก็ยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ทั้งโลกมันจึงหลงไปในความเห็นแก่ตัว เพราะความหลงในเรื่อง Positive และ Negative
เราอาจจะช่วยพี่น้องของเราทั้งโลก ให้ออกมาเสียจากอิทธิพลของ Positive และ Negative โดยอาศัยกำลังหรือบารมีของสิ่งประเสริฐที่เรียกว่า ศาสนา ซึ่งเราจะได้อภิปรายกันต่อไป เราจะต้อง มีวิธีปฏิบัติภาวนา ภาวนาหรือกรรมฐานภาวนาทางศาสนา ที่สามารถขจัดไอ้ความหลงใน Positive และ Negative ให้หมดสิ้นไปแล้ว มนุษย์เพื่อนมนุษย์ของเรา ก็จะออกมาเสียได้จากอิทธิพล ของสิ่ง หลอกลวงเหล่านั้น แล้วก็จะไม่เห็นแก่ตัว
แต่เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยาวเกินไป ต้องไว้อภิปรายกันในวันหลัง ในวันนี้ขอขอบพระคุณ านทั้งหลาย ที่เป็นผู้ฟังที่ดีอดทนมาเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งแล้ว ขอให้เรามีความสำเร็จในการร่วมมือกัน กำจัดความเห็นแก่ตัวในโลก ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น ขอยุติการบรรยาย