แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันเวลาที่สมมติกันว่า ปีใหม่ เวียนมาถึงเข้าอีกแล้วในวันนี้ ขอท่านทั้งหลายจงรู้หน้าที่ ของตน ๆ ในการที่จะต้อนรับปีใหม่ให้ดี ๆ ถ้ามิฉะนั้นมันจะกัดเอา ขอใช้คำว่า กัดเอา มันเป็นการกัด กัดที่ร้ายแรงยิ่งกว่า การขบกัดของสัตว์ร้าย เช่น เสือสาง เป็นต้น ไปเสียอีก ทั้งนี้เพราะว่ามันกัดถึงหัวใจ แล้วมันจะลามปามออกไปถึงคนข้างเคียง ยังจะไปถึงทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง นี่ถ้าหากว่าเราไม่ต้อนรับให้ดี ๆ มันจะกัดเอามากใน ถึงลักษณะอย่างนี้ มาทำความเข้าใจกันให้ดี ๆ เพื่อการต้อนรับปีใหม่กันเถิด
ทีนี้ก็มาถึงคำว่า ปีใหม่ ๆ คืออะไร ปีใหม่โดยสมมติ ก็คือเราสมมติกันขึ้นเอง เรียกว่า ปีใหม่ หรือวันปีใหม่ ตามความรู้สึกที่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันแปลกหรือใหม่ เปลี่ยนไปตามฤดูกาล นี้เรียกว่าโดยสมมติ ถ้าโดยธรรมชาติ มันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเก่า ไม่มีอะไรใหม่ เป็นแต่การเปลี่ยนไปแห่งเวลา ๆ เหมือนที่เปลี่ยนแล้วแต่ดึกดำบรรพ์จนบัดนี้ นี่ตามธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ได้สมมติ มันก็คือ การเปลี่ยนไปแห่งเวลาติดต่อกัน อย่างที่เราเคยเห็นกันมาแต่โบราณโน้น ทว่าโดยหน้าที่ ปีใหม่โดยหน้าที่ นี้แหละสำคัญ คือมันมีสิ่งที่ต้องทำให้ดีกว่าปีเก่า เพื่อให้เกิดกระแสแห่งวิวัฒนาการ คือความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า น่าปรารถนายิ่งขึ้นไปตามลำดับ ทั้งนี้ก็เพื่อมีวิวัฒนาการ ถ้าไม่เช่นนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นวินาศนาการ ๆ จะเป็นในทางเสื่อมเสีย กระทั่งวินาศไปในที่สุด วิวัฒนาการนี้เป็นที่หวังของมนุษย์ ของคน แม้กระทั่งของสัตว์ ก็เชื่อว่า คงจะมีความหวังที่จะมีอะไรดี หรือสบายดี ยิ่งกว่าปีเก่า ที่จริงมีความหวังในการที่จะวิวัฒนาการ มีวิวัฒนาการให้ดีกว่าปีเก่า ถ้ามันไม่มีอะไรดีกว่าปีเก่า มันก็เลวกว่า หัวเผือกหัวมัน ที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งมันดีกว่าปีเก่า จำนวนหัวมันก็เพิ่มขึ้น ขนาดก็เพิ่มขึ้น คุณสมบัติก็ดีขึ้น นี่เรียกว่า หัวเผือกหัวมันแท้ ๆ มันยังรู้จักทำให้ดีกว่าปีเก่า แล้วคนไม่ทำให้ดีกว่าปีเก่า มันก็น่าละอาย แก่หัวเผือกหัวมัน นี้บางคนคงจะเอือมระอาเต็มทีแล้วว่า พอถึงปีก็คอยจะเตือนว่าอย่าให้เลวกว่าหัวเผือกหัวมัน ไม่เป็นไรจะต้องพูดกันเรื่อยไป จะต้องเตือนกันด้วยข้อนี้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ายังมีเวลาหรือโอกาสสำหรับพูดอยู่ ก็จะพูดว่าปีใหม่อย่าให้เลวกว่าหัวเผือกหัวมัน อยู่นั่นเอง และจะพูดอย่างนี้ทุกปีไป
เอาล่ะ, มาดูกันถึงคำว่า ใหม่ ๆ โดยเฉพาะ คำว่าใหม่ มันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่า มันแปลกออกไปกว่าเก่า ถ้ามันไม่มีอะไรแปลกออกไปกว่าเก่า มันก็ใหม่ไม่ได้ ใหม่ไปไม่ได้ ทีนี้แปลกก็เหมือนกันแหละ เพราะมันมีแปลกหลาย ๆ อย่าง หลายชนิด หลายทิศหลายทาง ในที่นี้ อยากจะแปลกอย่างประเสริฐ คือแปลกไปทางที่จะมีสันติภาพ หรือสันติสุข มากกว่าปีเก่า โดยเฉพาะปีนี้ อยากจะใช้คำว่า ปีใหม่แห่งอตัมมยตา อตัมมยตา บางคนคงจะว่า ไม่รู้อะไร ๆ ฟังดูก็ ไม่น่าฟัง และก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ขอบอกให้ทราบว่า นี่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะสร้างสรรค์สันติภาพ สันติสุข ที่มันมากกว่าปีเก่า ขอให้อดทนฟัง อดทนฟังหน่อย อดทนจดจำหน่อย ชื่อมันก็แปลว่า อตัมมยตา ๆ ใจความก็คือว่า มีจิตชนิดที่อะไรมาปรุงแต่ง ให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ ไม่ได้ คงจะยังฟังไม่ถูกอยู่นั่นแหละ ภาวะของจิตชนิดคงที่ ที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ให้ผิดไปจากความถูกต้องหรือทำนองคลองธรรม ตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ ซึ่งมีทั้งภายในและภายนอก ปัจจัยภายนอกคือสิ่งที่เราได้รับจากภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แล้วก็มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเอง ทำให้จิตใจหวั่นไหวไปในทางบวกบ้าง ลบบ้าง นี้เรียกว่า ปัจจัยภายนอก ทีนี้ปัจจัยภายในก็คือความรู้สึกของเราเอง ที่มาปรุงแต่งให้ยินดีหรือยินร้ายด้วย อย่างเดียวกันแหละ แต่เป็นของภายในคือกิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ โดยเฉพาะทิฐินี่ ความคิด ความเห็น นี่มันปรุงแต่งมาก มีทิฐิ ความคิด ความเห็นอย่างไร ก็ปรุงแต่งจิตใจให้เป็นอย่างนั้น ตัณหา ความต้องการ หรือความอยากด้วยความโง่เขลา นี่มันก็ปรุงแต่งมาก ปรุงแต่งในทางดีจนบ้าดี เมาดี หลงดี วินาศไปเลยเพราะดี ๆ อีกทางหนึ่งก็ เมาชั่ว หลงชั่ว ชอบชั่ว ก็วินาศไปเลย ถ้ามันถูกต้องแล้วมันจะคงที่ มันต้องคงที่ มันไม่ต้องไปในทางบวกหรือไปในทางลบ ไปในทางบวกเช่น ดีใจ หัวเราะร่าไป ไปทางลบก็นั่งร้องไห้ งอ ๆ อยู่ บวกหรือลบเหมือนกันตรงที่ มันไม่ใช่ทางสงบ บวกก็ไม่สงบ ลบก็ไม่สงบ มันปรุงแต่งให้วุ่นวาย หัวเราะก็ไม่ไหว ร้องไห้ก็ไม่ไหว ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้นั่นแหละดี สบายกว่า หรือจะเปรียบเทียบกับอีกคู่หนึ่งก็ได้ คือว่า ความดีใจหรือ ความเสียใจ หลายคนหรือทุกคนก็ได้ ชอบดีใจ ไม่ชอบเสียใจ แต่เดี๋ยวนี้จะบอกให้รู้ว่า ความดีใจก็ไม่ใช่ความสงบระงับ มันเป็นการกระตุ้นให้ฟุ้งซ่าน ดีใจก็ใจเต้น ใจสั่นระรัว มีความรบกวนความสงบ ไม่ใช่ความสงบ ซึ่งดีใจก็ฟุ้งไปตามแบบดีใจ เสียใจก็ทุกข์ไปตามแบบของความเสียใจ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจนั้น มันมิใช่ความสงบ ดีใจมาก ๆ ก็กินข้าวไม่ลง ก็นอนไม่หลับ เสียใจมาก ๆ ก็กินข้าวไม่ลง ก็นอนไม่หลับ นี่ดูให้ดี อย่าลำเอียง ถ้าเผอิญว่าเกิดถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ขึ้นมา คงจะนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลงด้วยความตื่นเต้นดีใจ นี่ความดีใจก็มิใช่ความสงบ เป็นความวุ่นวาย เป็นความกระตุ้น แต่อย่าเอาไปปนกับคำว่า ใจดีนะ ถ้าใจดีไม่เป็นอะไรนะ ใจดีมันยังสงบนะ แต่ถ้าดีใจ นี่มันวุ่นวาย มันสั่นระรัวไปหมด ถ้าใจดี ใจดีคือใจปกติ ใจสงบ เยือกเย็น นี่เรียกว่าใจมันดี ใจดีกับดีใจมันต่างกันลิบ ระวังให้ดี ควบคุมให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ที่นี่ขอบอกว่า ดีใจก็ไม่ใช่ความสงบ เสียใจก็ไม่ใช่ความสงบ ถ้าสงบมันต้องอยู่ในระหว่างนั้น คือไม่ดีใจและไม่เสียใจ หรือถ้าให้ดียิ่งไปกว่านั้นอีก ก็ขึ้นอยู่ข้างบนเสียเลย อยู่เหนือ เหนือ ๆ ไปเสียเลย เหนือความดีใจ เหนือความเสียใจ นั่นแหละ คือ ความหยุด ความสงบ ความเป็นอิสระ เป็นการพักผ่อนอย่างยิ่ง ดีใจก็เหนื่อยเสียใจก็เหนื่อย ถ้าไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มันไม่เหนื่อย และเป็นความพักผ่อนอย่างยิ่ง
ที่นี้เรามาดูกันสิว่า ทำไมเราจึงอยู่เหนือความดีใจ หรือความเสียใจ ไม่ได้ อยู่เหนือความเป็นบวก หรือความเป็นลบ ไม่ได้ นั่นแหละ คือการที่มันขาดสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา ๆ ขาดสิ่งที่คุณไม่รู้ว่าอะไรนั่นแหละ คือ อตัมมยตา แหละมันขาด พอขาด อตัมมยตา จิตใจนี้ก็จะถูกปรุงแต่งให้เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ที่เข้ามาแวดล้อม เหตุ ปัจจัย ที่เป็นทางบวก ก็เข้ามาปรุงแต่งให้เกิดตัวบวก ตนบวก กูบวก เป็นบวก ก็ฟุ้งซ่าน ร่าเริงไปตามความเป็นบวก ถ้าเหตุ ปัจจัยเป็นไปในทางลบ ก็ปรุงแต่งให้เป็นไปในทางลบ มานั่งเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ซบเซาอยู่ นี่ตัวบวก ก็บ้าไปแบบหนึ่ง ตัวลบก็บ้าไปอีกแบบหนึ่ง ถ้าไม่เป็นทั้งบวกทั้งลบนั่นแหละ คือความพอดี ความถูกต้อง ความอยู่ตรงกลาง หรือความอยู่เหนือบวกเหนือลบ เป็นความสงบเย็น อย่างนี้ ทุกคน ๆ ดูให้ดีว่า เวลาที่เราจะสบายใจที่สุดนั้น จิตใจต้องหยุดต้องสงบ ไม่ดีใจและไม่เสียใจ ขอให้ค้นข้อนี้ให้พบ อย่าหลงตาม ๆ กัน เหมือนอย่างที่แล้ว ๆ มา ชอบดีใจ ชอบหัวเราะร่า แล้วก็พอใจว่า เป็นความสุข เป็นความสงบ มันเป็นความสุขที่ฟุ้งซ่าน เป็นความสุขที่ไม่สงบ ขอให้ดูให้ดี นึก ตั้งอกตั้งใจ สังเกตดูให้ดีสักนิดว่า เวลาที่ไม่เสียใจ ไม่ดีใจนั้นเป็นอย่างไร มันละเอียด มันประณีต เข้าใจยาก ต้องฉลาดพอที่จะสังเกต จึงจะพบว่า ไม่ดีใจ ไม่เสียใจนี่ มันช่างประณีต สุขุม สงบ เยือกเย็น เป็นอิสระ ว่างจากสิ่งรบกวนโดยประการทั้งปวง ขอใช้คำ ว่าง ๆ นี่จะเป็นเครื่องสังเกตได้ง่ายหน่อย ถ้าว่าง ก็คือไม่มีอะไรมารบกวน ไม่มีหัวเราะ ไม่มีร้องไห้ ไม่มีความรัก ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความกลัว ไม่มีความตื่นเต้นอะไรมารบกวน ไม่วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา อะไรมารบกวน มันไม่มีอะไรมารบกวน มันเกลี้ยง จิตเกลี้ยง หรือจิตว่าง นั่นแหละจะสงบ เป็นอิสระและเยือกเย็น จิตที่ว่างไม่มีอะไรรบกวน นี่เป็นเพราะอำนาจของอตัมมยตา คือจิตมีอตัมมยตา ความที่อะไร ๆ ปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรไม่ได้ ต้องขอพูดว่า คนธรรมดาสามัญไม่มีอตัมมยตาหรอก เพราะฉะนั้นจึง เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ อะไรมาปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรก็ได้ ให้รัก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว ให้ตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง อะไรไปตามเรื่องของเขาแหละ เพราะมันไม่มีอตัมมยตาคุ้มครอง จิตจึงถูกปรุงแต่งให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ กัน ไม่มีการหยุดพัก และไม่มีการพักผ่อน เห็นได้ชัดว่ามันไม่เกลี้ยง มันไม่ว่าง มันไม่เป็นอิสระ มันไม่สงบเย็น ถ้ามีคุณธรรมอันประเสริฐนี้กำกับอยู่ในใจ อะไรก็จะมาปรุงแต่งจิตให้ผิดปกติ ไม่ได้ ให้หัวเราะ ก็ไม่ได้ ให้ร้องไห้ ก็ไม่ได้ นี่เพียงแต่อะไรนิดหน่อยก็หัวเราะร่า หรือว่าผิดหวังหน่อย ก็ร้องไห้ ไปดูอะไรก็ตื่นเต้น เนื้อเต้น แม้แต่จะฟังเพลง ไปดูกีฬา ไปดูอะไร ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นถึงขนาดคนบ้าก็มี กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ไปตามสิ่งที่เขาแสดง อย่างนี้ก็เรียกว่ามันมากเกินไป ไม่สามารถจะคงความปกติแห่งจิตใจไว้ได้ นี่คือ มันไม่มี อตัมมยตา ๆ ถ้ามีอตัมมยตา มันมีความสงบ ปกติ มั่นคง คงที่ มันก็ขับไล่สิ่งเหล่านั้นออกไปเสีย ไอ้สิ่งที่จะมาทำให้ตื่นเต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือซบเซาอย่างใดอย่างหนึ่ง ขับไล่ออกไปเสีย ในความรู้สึกว่า กูไม่เอากับมึงแล้ว กูไม่เอากับมึง ไป ๆ ๆ ๆ อย่ามาทำให้กูตื่นเต้นวุ่นวายอย่างนี้ นี่คำแปลง่าย ๆ สำหรับคนไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้บาลี ไม่รู้ภาษาอะไรมากนัก อตัมมยตาก็แปลว่า ความรู้สึกที่ทำให้เรารู้สึกว่า กูไม่เอากับมึงแล้ว อย่ามายุ่งกับกู อย่ามาเชิดกู อย่ามาหลอกลวงกู อย่ามาประเล้าประโลมกู กูไม่เอากับมึงแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่นับว่าพิเศษอยู่มาก คนธรรมดามาจี้สีข้างหน่อย ก็หัวเราะ หรือเล่าเรื่องน่ากลัวหน่อย ก็กลัว เล่าเรื่องสังเวชหน่อย ก็น้ำตาไหล นี่เรียกคนธรรมดา มันไม่มีอตัมมยตา มันจึงมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลงๆ บวก ๆ ลบ ๆ นี่เรียกว่าไม่ใช่ความสงบ ทุกคนมีอยู่เป็นประจำ มีอยู่เป็นนิสัย ถ้าอย่างไรขอให้ปีใหม่มันดีกว่าปีเก่า ตรงที่ว่ามันมีอตัมมยตา นี่มาเพิ่มขึ้น มีอตัมมยตามาเพิ่มขึ้น นี่มันจะดี ไอ้สิ่งที่มาทำให้หัวเราะ มันก็ลด ไม่หัวเราะ หรือว่า ทำให้ไม่ร้องไห้ ก็ไม่ร้องไห้ ทำให้กลัว ก็ไม่กลัว ทำให้ตื่นเต้น ก็ไม่ตื่นเต้น ขอให้ทุกคนสังเกตดูให้ดีว่า เรามันอยู่กับบวกกับลบ ขึ้น ๆลง ๆ ฟู ๆ แฟ่บ ๆ แบบนี้มานานหนักหนาแล้ว จนเคยชิน เป็นนิสัยไปแล้ว บางคนเห็นว่าไม่แปลก ไม่แปลกก็ดีแล้ว ก็ดีแล้วก็ได้ มันก็หัวหกก้นขวิด ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เรื่อยไป ไม่มีความสงบสุข ก็ไม่ดีกว่าปีเก่า เหมือนปีเก่า ก็น่าละอายหัวเผือกหัวมัน โว้ย มันควรจะ สงบเย็น เป็นอิสระ พักผ่อนมากกว่าปีเก่า ขอให้เราทุกคนสนใจ ความที่มีจิตมั่นคง เข้มแข็ง แจ่มใส สดใสดีกว่าปีเก่า เพราะอำนาจของธรรมะที่ชื่อว่า อตัมมยตา คงจะลืมอีกแล้วว่า อตัมมยตา คืออะไร มันแปลแล้วก็ฟังยาก สำหรับคนธรรมดา มันแปลว่า ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้น ๆ ปัจจัยที่ปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน่น ไม่ถูกปรุง หรือว่ามันปรุงไม่ได้ จิตมันไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง มันไม่ปรุงแต่งสิ่งใด และมันก็ไม่ถูกสิ่งใดปรุงแต่ง อย่างนี้เรียกว่า จิตนี้มีอิสระ มีเสรีภาพ มีความสงบเย็น ว่าง ว่างอย่างเรียกว่า มหาอำนาจ คือว่าไม่มีอะไรมาทำให้หวั่นไหวได้ ใครจะชอบหรือใครจะไม่ชอบ นี้ก็พูดยาก บางคนก็ไม่ชอบ บางคนชอบหัวเราะ ร้องไห้ ดีกว่าอยู่นิ่ง ๆ เสียด้วยซ้ำไป ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกัน เราจะพูดกันเฉพาะคนที่ไม่อยากจะเป็นบวก ไม่อยากจะเป็นลบ คือไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องมีความรู้สึกว่า ได้หรือว่าเสีย ว่าแพ้ หรือชนะ ว่ากำไร หรือขาดทุน ว่าได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ อย่างนี้ จะไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น จนเลยไปถึงกว่านั้น ก็คือว่า ไม่เอา สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา เอาว่าง ว่างจากสุข จากทุกข์ บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่เอา เพราะปรุงแต่งให้วุ่นวาย เวียนว่าย ไม่เอา ไม่เอาทั้งบุญไม่เอาทั้งบาป เอาว่าง อย่างนี้ นี่ ไม่มีใครเอา ๆ มาบอกให้ ก็จะหาว่า บ้า ๆ เสียอีก อย่างนี้ เรื่องๆ นี้จึงเป็นเรื่องที่สอนกันยาก เพราะว่าทุกคนไม่ต้องการความสงบ ต้องการความถูกกระตุ้น ให้ได้รู้สึกวุ่นวายไปตามสิ่งที่กระตุ้น ความเอร็ดอร่อยนั่น ชอบกันมาก แต่ดูให้ดี มันไม่ใช่ความสงบ ความไม่อร่อย มันก็ไม่ใช่ความสงบเหมือนกัน ถ้าไม่ต้องเป็นทั้ง๒ อย่าง ปกติดี นี่ดีกว่า แต่ว่าเรา รู้ได้ว่า นี่อร่อย นี่ไม่อร่อย รู้ได้ รู้สึกได้ ไม่ต้องกลัว รู้สึกได้ ไม่ใช่บ้าบอ ไม่ใช่เสียสติ ไม่ใช่เป็นอัมพาต ไม่ใช่ รู้ว่านี่อร่อย นี้ไม่อร่อย รู้สึกได้ แต่เราไม่เต้นไป ไม่กระโดดโลดเต้นไปตามความรู้สึก ที่เรียกว่า อร่อยหรือไม่อร่อย อร่อยเช่นนี้เอง จะทำอย่างไรกันบ้าง ก็ทำ ไม่ทำ ก็ไม่ทำ ไม่อร่อยก็เช่นนี้เอง จะทำอะไรกันบ้างก็ทำ ไม่ต้องทำก็ไม่ต้องทำ เลยไม่มีปัญหาทั้งที่จะประสบกับสิ่งที่อร่อยหรือไม่อร่อย จะประสบกับสิ่งสวยงาม หรือไม่สวยไม่งาม ก็อย่างเดียวกันแหละ ไม่หวั่นไหว จะประสบกับสิ่งที่ไพเราะ กับสิ่งที่ไม่ไพเราะ ก็อย่างเดียวกัน ก็ไม่หวั่นไหว หอมหรือเหม็น ก็ไม่หวั่นไหว นี่เรียกว่าอยู่เหนือความปรุงแต่ง เหนือการปรุงแต่ง ไม่เป็นผู้ปรุงแต่งสิ่งใด ๆ และไม่ถูกสิ่งใด ๆ ปรุงแต่ง และก็ไม่มีการปรุงแต่ง เรียกว่า ไม่มีการปรุงแต่ง ต้องอธิบายกันอย่างนี้ ถ้าพูดในภาษาธรรมะนักเขาไม่เข้าใจ ปรุงแต่งนี่เขาเรียก สังขาร ๆ สังขารการปรุงแต่ง ชาวบ้านรู้จักนิดเดียว สังขารคือร่างกาย มันถูกนิดเดียว ถูกที่เล็กก็ไม่ได้ คำว่า สังขาร ความหมายมันกว้างขวาง แปลว่า สิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งอื่น ก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่ถูกสิ่งอื่นปรุงแต่ง ก็สังขาร การปรุงแต่งก็สังขาร อย่ามีการปรุงแต่ง อย่าปรุงแต่งสิ่งใด อย่าถูกสิ่งใดปรุงแต่ง นี่เรียกว่าสังขาร นั่นแหละคือความไม่กระโดดโลดเต้นไปตามเหตุตามปัจจัยที่เต็มไปทั้งโลก เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวกาย และทางจิตใจเองนี่ ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง มากมายเกินกว่าที่จะกำหนดได้ว่ากี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นอย่าง มันก็เลยกระโดดโลดเต้นไปตามสิ่งเหล่านั้น ทุกอย่างทุกประการ หาความพักผ่อนไม่ได้ เดี๋ยวนี้มีความรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นอย่างนั้นเอง มันไม่เที่ยง และมันเปลี่ยนแปลง ไปยึดถือว่าเป็นตัวตนของตนเข้า มันก็กัดเอาและเป็นทุกข์ ให้มันเป็นไปตามเรื่องของมัน ถ้ามันมาเกี่ยวข้องกับเรา เราก็รู้ว่าควรจัดการกับมันอย่างไร ไม่ใช่ให้มันมาหลอกให้เราดีใจ หรือเสียใจ ให้หัวเราะหรือร้องไห้ คือวุ่นวายไปที่เขาเป็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไป อย่างนี้เรียกว่า ไม่ดีกว่าปีเก่า บางทีจะไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิดเสียด้วยซ้ำไป สัตว์เดรัจฉานบางชนิดไม่ค่อยหวั่นไหวไปตามอารมณ์เหมือนกับคน เพราะมันคิดไม่เป็น มันรู้สึกไม่เป็น มันยึดถือไม่เป็น ใครจะมายั่ว ให้หลงโกรธ หลงรัก หลงเกลียด หลงกลัว นี่มันทำไม่ได้ เพราะว่ามัน มันไม่ถึงขนาด ไม่มีสติปัญญา ไม่รับอารมณ์ ไม่อะไรต่าง ๆ สัตว์เดรัจฉานพวกนี้ มีความสงบ แต่เราก็ดูถูกว่ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราเป็นมนุษย์ เอาสิ มนุษย์ไม่อยากจะสงบ ก็วิ่งไปสิ ๆ ก็กระวนกระวาย กระโดดโลดเต้นไปสิ แล้วก็อย่ามานั่งร้องไห้ หรืออย่ามาหัวเราะ ทรมานตนอยู่อีกต่อไปเลย สัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้มีความรู้มากกว่าคน แต่บังเอิญมันคิดไม่เป็น มันยึดถือไม่ค่อยจะเป็น มันปรุงแต่งไปตามอารมณ์ไม่ค่อยจะเป็น มันจึงสงบกว่าคน เอ้า, ทีนี้อย่าหาว่าบ้าบอเลยนะ จะเปรียบเทียบกับต้นไม้ ยังสงบมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ต้นไม้มีความรู้สึกน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึก มันมีชีวิตและมันก็ต้องมีความรู้สึก แต่มันมีความรู้สึกน้อยกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก เพราะฉะนั้นจึงปกติมากไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทุก ๆ คน ก็เห็นได้ว่า ต้นไม้สงบเย็นไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน เอ้า, จะเปรียบเทียบต่อไปอีก อย่าหาว่าบ้าบอเลยนะ ก้อนหิน ก้อนหิน ๆ ยังสงบเย็นเป็นปกติยิ่งไปกว่าต้นไม้ ไปเสียอีก นั่นเพราะมันไม่มีจิตใจ มันไม่มีความรู้สึก มันก็เลยไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่อาจจะถูกปรุงแต่ง และก็ไม่ปรุงแต่งสิ่งใด ไม่มีการปรุงแต่งชนิดที่เหมือนกับมันมีแก่คน แก่สัตว์ เอาละ, เป็นอันว่า คนนี่มันเก่งที่สุด ที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ รัก โกรธ เกลียด กลัว สัตว์เดรัจฉาน มีน้อยไปกว่านั้น ดีกว่า ได้เปรียบกว่า ต้นไม้ยังมีน้อยไปกว่านั้นอีก มันจึงมีความทุกข์น้อยกว่า อย่างก้อนหินไม่มีความรู้สึกเลยถึงที่สุด เราไม่ได้พูดว่าก้อนหินดีกว่ามนุษย์ มนุษย์มันควรจะดีกว่าก้อนหิน แต่ว่าถ้าพูดถึงความสงบเย็นกันแล้ว ก้อนหินมันมีมากกว่า เพราะว่านั้นเป็นมนุษย์โง่ ขอใช้คำหยาบคายที่สุดว่า ไอ้ชาติโง่ มันดีแต่จะกระโดดโลดเต้นไปตามอารมณ์ หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ นั่นมันคือ มันโง่ บรมโง่ แต่มันกลับเห็นว่า ดี ๆ ๆ ได้หัวเราะนี้ดี ได้กระโดดโลดเต้นนี้ดี จะไปเปรียบเทียบกันอย่างไร เอาแล้ว เป็นอันว่าขอให้รู้จักว่า ถ้ามีอตัมมยตามากเท่าใด ก็จะไม่ถูกปรุงแต่งให้ ขึ้นลง ๆ มากอย่างนั้น มนุษย์มีสติปัญญา สามารถจะมี อตัมมยตา ดีกว่าสัตว์ ดีกว่าต้นไม้ หรือดีกว่าก้อนหิน มนุษย์ต้องมีอะไรดี ให้สมกับที่มันดี ที่มีความคิดดี มีสติปัญญาสูง มีอตัมมยตา มีสติปัญญาสำหรับที่จะไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ แล้วมนุษย์ก็จะดีกว่าสัตว์ ดีกว่าต้นไม้ ดีกว่าก้อนหิน เพราะว่ามีความสุขที่แท้จริงได้ และ มีประโยชน์ ๆ ทำประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง อยู่กันอย่างสันติสุข สันติภาพ ไม่เบียดเบียนกันเลย มนุษย์มีปัญญา แต่ว่าก็มีปัญหา มากเท่ากับมีปัญญามาก มีปัญญามากก็มีปัญหามาก แต่ก็ต้องแก้ข้อนี้ให้ได้ มีปัญญาแก้ปัญหาให้ได้ ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบกระแทก เข้ามาเชิด เข้ามายั่ว เข้ามาหลอก ต่อไปนี้ใครจะมาเชิดกูให้หัวเราะ ให้ร้องไห้ ไม่ได้อีกแล้ว ใครจะมาหลอกกู อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือมีอตัมมยตา ที่ควรจะมีให้มากกว่าปีเก่า มีมากยิ่ง ๆ ขึ้นทุกปี เป็นการไหว้พระนิพพาน คือความสงบเย็นอันเด็ดขาด ไม่มีหวั่นไหวอีกต่อไป
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงมีปีใหม่แห่งอตัมมยตา คือมีความที่จิตมั่นคง มีอะไรปรุงแต่งให้หวั่นไหวไม่ได้นี้ มากขึ้นกว่าปีเก่า ๆ ให้พูดได้ว่าดีกว่าหัวเผือกหัวมันที่อยู่ใต้ดิน ที่มันจะดีกว่าปีเก่า มนุษย์ก็มีวิธีของตน มีแบบของตนที่จะดีกว่าปีเก่า ไม่ให้แพ้หัวเผือกหัวมันที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้นอีกต่อไป นี่เวลาก็หมดแล้ว ก็ขอสรุปความว่า ขอให้ปีนี้เป็นปีใหม่ แห่งอตัมมยตา ปีที่มีจิตมั่นคง อะไรมาปรุงแต่งให้เป็นบวกเป็นลบ ไม่ได้ หรือว่าไม่ได้ง่าย ๆ จะไม่ได้ทีเดียว มันจะเป็นพระอรหันต์ไปเสียเลย เอาให้เป็นได้น้อยที่สุด ปรุงแต่งได้น้อยที่สุด เป็นปุถุชนชั้นดี เป็นกัลยาณชนชั้นดี แล้วค่อย ๆ เป็นพระอริยเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์กันต่อภายหลัง หวังว่าท่านทั้งหลาย ทุกคนจะมีจิตใจมั่นคงกว่าปีเก่า อะไรปรุงแต่งไม่ได้ มีความสงบเย็นมากขึ้นไปกว่าปีเก่า ด้วยกัน จงทุก ๆ คน เทอญ