แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:18] ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วาระอันเป็นอภิลักขิตสมัย กล่าวคือ วันวิสาขบูชา ได้เวียนมาถึงเข้าอีกแล้ว ควรที่เราทั้งหลายจะต้อนรับวันอันสำคัญนี้ ให้เหมาะสมแก่ความเป็นพุทธบริษัทของเรา คือเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรม และขอบพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ให้ถึงที่สุด ให้เป็นประโยชน์แก่เรา ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ของเรา ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติของเรา และให้เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง ข้อนี้เราจะทำกันอย่างไรดี อาตมาเห็นว่าเราจะต้องมาทำความรู้จักกันกับองค์พระพุทธเจ้าที่เราไม่รู้จัก หรือยังไม่รู้จัก
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เรียกว่าเป็นวันที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า ถัดไปเป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม เพราะได้ทรงเปิดเผยธรรมะสูงสุดในวันนั้น และอย่างน้อยที่สุดก็มีผู้รู้ธรรมนั้น ถึงหนึ่งองค์หรือหนึ่งบุคคล คือพระอัญญาโกณฑัญญะ ถัดไปอีกเป็นวันมาฆบูชา คือเป็นวันพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นปึกแผ่น พระพุทธองค์ประทับเป็นประธานสงฆ์ ประกาศคณะสงฆ์ลงไปเป็นปึกแผ่นมั่นคงในโลกนี้ นี่แหละขอให้ดูให้ดี วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ แต่ถ้าเราจะให้มีวันเดียว เพียงวันเดียวก็ได้เหมือนกัน คือเป็น วันพระธรรม พระธรรม
วันวิสาขบูชานั้นเป็นวันที่พระธรรมทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระธรรมสูงสุดถูกเปิดเผยออกมา วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระธรรมได้ทำให้เกิดพระสงฆ์หมู่ใหญ่ หรือมีผู้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง ถ้าเป็นวันเดียวก็เป็นวันพระธรรม เดี๋ยวนี้เรามี ๓ วัน คือวันพระพุทธ วันพระธรรม วันพระสงฆ์ ในวันพระพุทธคือวันวิสาขบูชานี้ เราจะต้องมาทำความรู้จักกับพระพุทธองค์ให้ถึงที่สุด ขออภัยที่จะต้องกล่าวว่ายังมีพระพุทธเจ้าที่เรายังไม่รู้จัก หรือไม่รู้จักกันเสียทีเดียวก็ได้
พระพุทธเจ้านั้นมีเป็น 3 ชั้น เรียกว่า 3 พระองค์ หรือ 3 ชนิดก็ได้ ชนิดที่ 1 พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เป็นบุคคลอย่างมนุษย์ธรรมดาในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นในโลก ดังที่รู้กันอยู่แล้ว นี่พระพุทธเจ้าอย่างบุคคล พระพุทธเจ้าอย่างที่ 2 คือ พระพุทธเจ้าโดยจิต โดยพระจิต จิตที่ได้ตรัสรู้ อย่างที่ 3 ชนิดที่ 3 นั้นคือ ธรรมธาตุ อันครอบงำจักรวาล อาศัยพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทชื่อว่าผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมก็เห็นเรา" การเห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นจึงจะชื่อว่าเห็นองค์พระพุทธเจ้าที่เป็นธรรม เป็นพระธรรม เป็นธรรมธาตุ
ถ้าจะดูกันทั้ง 3 ชนิดพร้อมกัน ก็ต้องดูดีๆ พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์นั้น มีการตรัสรู้ และมีการประสูติ มีการตรัสรู้ มีการปรินิพพาน เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ เกิดที่เมืองนั้นเกิดที่เมืองนี้ เมื่อวันนั้น เมื่อวันนี้ อย่างนี้ ล้วนแต่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลในประวัติศาสตร์ ถ้าเป็นอย่างจิต ก็เป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องมีการประสูติเหมือนอย่างบุคคล และก็ไม่ต้องมีการตรัสรู้อย่างบุคคล ไม่ต้องมีการปรินิพพานอย่างบุคคล แต่เป็นจิตที่ได้รู้ธรรมะ จิตของใครก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ที่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นจิต อย่างที่ 3 เป็นธรรมธาตุ อย่างที่กล่าวแล้วว่าเป็นปฏิจจสมุปบาท เป็นกฎของปฏิจจสมุปบาทเป็นภาวะของปฏิจจสมุปบาท ที่ครอบงำจักรวาลทั้งปวง มีอยู่ในที่ทั้งปวง ไม่มีการประสูติ ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการปรินิพพาน สำหรับพระพุทธเจ้าชนิดนี้ แต่เป็นอนันตกาล เป็นกฎที่เป็นอสังขตะ ของจักรวาล จึงไม่ต้องมีการประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน และกลายเป็นสิ่งที่ปกคลุม ครอบคลุม บังคับทั่วไปทั้งจักรวาล นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ซึ่งถ้ามีปัญญาแล้ว จะเห็นที่ไหน จะรู้ที่ไหน จะเข้าถึงที่ไหน เมื่อไรก็ได้
ข้อนี้มันมีอะไรบังอยู่ ก็มันมีม่านแห่งความโง่ของเราบังอยู่ ถ้าเราแหวกม่านแห่งความโง่ของเราออกไปเสียข้างๆ นิดหนึ่ง ก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ต้องไปหาที่อินเดีย ไม่ต้องไปหาที่ไหน มันอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของเรา แหวกม่านแห่งความโง่ของเราไปเสียนิดหนึ่งหน่อยหนึ่งเท่านั้น จะพบพระพุทธเจ้า นี่เป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ธรรมธาตุ เป็นกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท กล่าวสรุปพร้อมกันอีกครั้งหนึ่งว่า
พระพุทธเจ้าอย่างที่หนึ่งนั้นเป็นบุคคลอย่างในประวัติศาสตร์กล่าว
พระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 เป็นจิต เป็นนามธรรม เป็นจิตที่รู้เรื่องเกิดแห่งทุกข์ และดับแห่งทุกข์ นี้เป็นอย่างจิต
พระพุทธเจ้าอย่างที่ 3 เป็นกฎของจักรวาล เป็นภาวะแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่ครอบคลุมอยู่ทั่วจักรวาล
ดูเอาเอง พระพุทธเจ้าชนิดไหนไม่มีการ- พระพุทธเจ้าชนิดไหน ท่านมีการประสูติ มีการตรัสรู้ มีการปรินิพพาน พระพุทธเจ้าชนิดไหนไม่ต้องมีการประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่มีอยู่ตลอดอนันตกาล ดูให้ดีๆ พระพุทธเจ้าอย่างไหนที่เรายังไม่รู้จัก ที่เรารู้จักกันเกินไป ก็คือพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เขียนเป็นเรื่องเป็นราวให้เด็กศึกษาเล่าเรียนกันมากมายเหลือประมาณนี้ เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เหมือนคนทั่วไป เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้าอย่างนี้ลืมตาให้มากๆ ถึงจะเห็น ส่วนพระพุทธเจ้าที่มิได้เป็นบุคคลแต่เป็นนามธรรม หรือเป็นธรรมธาตุ ยิ่งหลับตาจึงจะเห็น หลับตาจิตเป็นสมาธิอย่างยิ่ง จึงจะเห็นพระพุทธเจ้าชนิดนี้ อย่างนั้นก็ได้เป็น 2 ประเภทว่า
มีอยู่เป็น 2 ชนิดนี้ พระพุทธเจ้าชนิดไหนที่รู้จักกันโดยมาก พระพุทธเจ้าชนิดไหนที่ยังไม่รู้จักกันโดยมากหรือไม่รู้จักเอาเสียเลย อาตมาหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ต้องหลับตาด้วยจิตเป็นสมาธิแล้วจึงจะมองเห็นนั่นแหละ จึงขอให้ฟังให้ดี ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ พระพุทธเจ้ามีอยู่ เป็น3 ชนิด หรือเป็น 2 ชนิด ดังที่กล่าวมาแล้ว เราจะยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าที่อยู่ทั่วจักรวาล พระพุทธเจ้าที่ยิ่งต้องหลับตาให้สนิทเป็นสมาธิอย่างยิ่ง จึงจะเห็น ต่างกันอย่างไร ขอให้ลองใคร่ครวญดู เราโดยมากเห็นแต่พระพุทธเจ้าชนิดไหนกัน ระวังที่จะไม่ได้เห็นองค์จริงเสียด้วย เห็นวัตถุแทน พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่เป็นเนื้อเป็นหนังร่างกายอย่างบุคคลเดินไปเดินมาอยู่ในประเทศอินเดียนั้น ก็ยังมิได้เห็น แต่เห็นวัตถุแทน เช่น พระพุทธรูป หรือพระสารีริกธาตุ เป็นต้น นี่ยังเห็นไกลออกมาอีก
ทีนี้มาดูกันในข้อนี้ว่าพระพุทธเจ้าชนิดไหนที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่าเป็นพระองค์จริง และพระพุทธเจ้าชนิดไหนที่ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือมิใช่เรา ก็ได้แก่พระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้เป็นหลักว่า
"ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ที่ไม่เห็นธรรม แม้จะจับจีวรของเราไว้ ถือเอาไว้ ไปไหนไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง นั้นไม่เห็นธรรม ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา"
การที่เห็นเนื้อหนังพระองค์จริง แม้องค์จริงครั้งกระโน้น แต่ถ้าไม่เห็นธรรมแล้วก็ไม่ได้เห็นพระองค์ พระพุทธเจ้าอย่างนี้คือพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่เดินไปเดินมาอยู่ในอินเดียที่ยินกัน มากมายนั้นคือพระพุทธเจ้าชนิดที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้าอันแท้จริง แต่เมื่อใดที่ได้เห็นธรรมะ เห็นธรรมะ คือทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร นั้นน่ะเห็นธรรมะนั้น จึงจะชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ดังนั้น จึงมีพระพุทธเจ้าชนิดที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ก็มี และมีพระพุทธเจ้าที่พระพุทธองค์ทรงยอมรับว่านี่เป็นพระพุทธเจ้า นี่เป็นพระเจ้าโดยแท้จริง นี่อย่างหนึ่ง เป็นสองชนิดอยู่ด้วยกัน
ดูพวกเราทั้งหลายจะรู้จักกันแต่พระพุทธเจ้าที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ นั้นน่ะเสียโดยมาก เพราะไม่ได้เห็นแม้แต่พระพุทธองค์ที่ทรงดำเนินไปมาในอินเดีย เห็นแต่วัตถุแทน เช่น พระธาตุ พระพุทธรูป เป็นต้น ไม่ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์ที่ทรงยอมรับได้อย่างไร เห็นแต่พระพุทธองค์ที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่ใช่กันเสียโดยมาก ดังนั้น ในโอกาสแห่งวันวิสาขบูชาเป็นพิเศษนี้ เราจงมารู้จักพระพุทธองค์ซึ่งพระพุทธองค์ทรงยอมรับว่านี่แหละ พระพุทธเจ้า นี่แหละเรา กันเสียให้ดีๆ ธรรมในใจแยบคาย ให้มองเห็นธรรม จะกระจ่างชัดด้วยปัญญาว่าธรรมนี้เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมว่านี้เป็นอย่างนี้อย่างนี้เป็นธรรมเครื่องดับทุกข์ ให้เห็นชัดลงไปที่ตรงนี้ก็จะเห็นสิ่งที่เรียกว่าธรรม ที่พระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธ แต่ทรงรับว่านี่แหละเรา นี่แหละ ที่จะเรียกว่าองค์พระพุทธเจ้า
ขอให้เราได้มองเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ให้จริงถึงที่สุด จนถึงกับว่ามีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราทุกขุมขน ไม่เพียงแต่ทั่วจักรวาล ฟังดูให้ดีๆ กฎปฏิจจสมุปบาท คือที่เกิดดับแห่งทุกข์ หรือภาวะแห่งปฏิจจสมุปบาท คือภาวะที่เกิดดับแห่งทุกข์ หรืออิทธิพลของกฎอันนี้ที่ครอบงำอยู่ ให้ไม่เกิดทุกข์และดับทุกข์ทั่วไปทั้งจักรวาลมันอยู่ที่ไหน ถ้าว่าทั่วจักรวาลหมายความว่าอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ทุกปรมาณู ทุกปรมาณู ทุกปรมาณู ในจักวาล เพราะว่ากฎปฏิจจสมุปบาทนั้นครอบงำอยู่ทั่วทุกปรมาณูในจักรวาล ปรมาณูไหนที่ไม่ถูกครอบงำอยู่ด้วยกฎปฏิจจสมุปบาท ทุกปรมาณูที่ประกอบขึ้นเป็นบุคคลบุคคลหนึ่ง เช่นเรานี่ ทุกปรมาณู ประกอบอยู่ด้วยกฎปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าที่เป็นกฎปฏิจจสมุปบาทนั้น ครอบงำเราอยู่ สิงสถิตอยู่ในเราทั่วทุกขุมขน พระพุทธเจ้ามีอยู่ในตัวเราทุกขุมขน ตาบอดกี่มากน้อยถ้าไม่เห็น ถ้าไม่มองเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่ทั่วทุกขุมขนแล้ว ยังไม่รู้จัก ยังไม่มองเห็น อันนี้จะขอเรียกว่าพระพุทธเจ้าที่เรายังไม่รู้จัก หรือไม่รู้จักเอาเสียทีเดียว ว่าพระพุทธเจ้าที่ครอบงำเราอยู่ ครอบคลุมเราอยู่ จะปกป้องเราอยู่ หรือจะอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ทุกขุมขนเสียทีเดียว มารู้จักพระพุทธองค์ชนิดนี้กันเถิด ว่ามีอยู่ในทุกๆ ปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล
กฎปฏิจจสมุปบาท สภาวะอาการของปฏิจจสมุปบาทที่มีอยู่ทั่วทุกจักรวาลนั้นแหละคือธรรม ธรรมะในที่นี้ ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เราจึงรู้จักพระพุทธเจ้าที่ยังไม่ค่อยจะรู้จักกันให้ดีๆ
ทีนี้มาถึงข้อที่ว่า เราจะบูชาพระพุทธองค์กันอย่างไร มันก็ต้องแบ่งได้เป็น 3 ชนิด 3 อาการ หรือ 3 ชั้น 3 ลำดับอีกนั่นเอง ถ้าหมายถึงพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เมื่อเป็นเด็กๆ ชื่อสิทธัตถะ เป็นโอรสพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางโคตรมี เหล่านี้ก็เป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เราจะต้องบูชาด้วยบูชาทางวัตถุ ทางกาย ทางวาจา แม้ทางใจก็เนื่องอยู่ด้วยวัตถุอย่างพิธีที่เรากำลังจะกระทำ ทางกาย มีวัตถุ ดอกไม้ ธูปเทียนบูชา เปล่งวาจา บูชา มีจิตใจน้อมไปเพื่อขอบพระคุณ นี่บูชาพระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างบุคคล ทีนี้พระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างจิตล่ะ คือ จิตที่รู้อริยสัจ รู้ธรรมะด้วยพระองค์เองนี่เราก็ต้องบูชา ด้วยการอบรมจิตตามพระองค์ไป ประกอบอธิจิต ในบทว่า อธิจิตตา อธิจิตตา จะอาโยโค นี่ประกอบอธิจิตอย่างยิ่ง ให้มีจิตอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า เราบูชาด้วยการพัฒนาจิตของเรา ทีนี้เป็นอย่างพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะ ธรรมธาตุ ธรรมชาติปกติ ปฏิจจสมุปบาทเล่า เราจะบูชาอย่างไร เราจะทำการบูชาพระพุทธเจ้าสูงสุดชนิดนี้ด้วย การทำให้ซึมซาบแก่ความรู้สึก ซึมซาบอยู่ในใจ ซึมซาบทั่วทุกขุมขน ดังที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ทั่วทุกปรมาณูในแต่ละคน หรือตลอดทั้งจักรวาล ให้รู้สึกซึมซาบในพระคุณอันนี้ ทั่วทุกขุมขน แล้วมันก็จะทั่วทั้งจักรวาลเองแหละ
บูชาด้วยการทำในใจ นึกถึงพระคุณ นึกถึงลักษณะถึงความจริงข้อที่ว่า ปฏิจจสมุปบาทคือพระธรรมที่เห็นแล้ว ก็คือเห็นพระพุทธองค์ ดูให้ชัดลงไปอีกก็ต้องว่า พระพุทธเจ้าอย่างบุคคลนั้น เราจะต้องขอพระมหากรุณาธิคุณ บูชาตามที่บูชากันอยู่เป็นประเพณี พระพุทธเจ้าที่เป็นจิตเป็นพระจิตนั้น เราจะต้องบูชาด้วยการพัฒนาจิต พัฒนาจิต ให้เป็นอย่างนั้นบ้าง ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าอย่างกฎธรรมชาตินั้น เราจะต้องทำให้ปรากฏออกมา และในที่สุดก็สรุปการบูชาด้วยการช่วยกันเผยแผ่พระธรรม ให้สำเร็จประโยชน์ ให้เกิดแสงสว่างแห่งจิตใจ อย่าให้กลายเป็นไสยศาสตร์มืดมิดไปเสียอีก
ไสยศาสตร์แปลว่าศาสตร์ของคนหลับ พุทธศาสตร์แปลว่าศาสตร์ของคนตื่น ที่เราจะทำให้จิตใจตื่นเบิกบาน รู้ประจักษ์ตามที่เป็นจริง
ในข้อที่ว่าความทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ความทุกข์ดับลงไปอย่างไร เราจะต้องทำอย่างไร วิธีใด ความทุกข์จึงจะดับไป และก็ช่วยกันเผยแผ่ความรู้ข้อนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนในโลก หรือในสากลจักรวาล นี่แหละคือสิ่งที่จะต้องทำ ให้เป็นการบูชา ทุกขั้นทุกลำดับ ตั้งแต่อย่างธรรมดาสามัญ ถึงอย่างสูงสุดให้เป็นทุกขั้นทุกตอน บูชาพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นบุคคลเป็นการทำอย่างนั้น อย่างนั้น บูชาพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นพระจิต ด้วยการทำอย่างนั้น อย่างนั้น บูชาพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นกฎธรรมชาติ เป็นพระธรรม เป็นกฎปฏิจจสมุปบาท ด้วยการทำอย่างนั้น อย่างนั้น ให้ครบทั้ง 3 ชั้นอย่างนี้แลจึงได้ชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุด คือเรารู้จักพระพุทธองค์ทุกชนิด ทุกชนิด ทุกลำดับ ทุกขั้น ชนิดที่เป็นบุคคลก็รู้จัก ชนิดที่เป็นจิตก็รู้จัก ชนิดที่เป็นธรรมธาตุ กฎของธรรมชาติก็รู้จัก พระพุทธเจ้าที่ต้องลืมตาบูชา ก็รู้จัก พระพุทธเจ้าที่ต้องยิ่งหลับตาบูชา ก็ยิ่งรู้จัก รู้จักไปหมดอย่างนี้จึงจะครบถ้วนและสมบูรณ์
อภิลักขิตสมัย คือวันวิสาขบูชา เวียนเข้ามาอีกรอบหนึ่ง เราจะต้องรู้จักดังที่ว่ามา และจะต้องประกอบกิจกรรมที่เป็นการบูชา ให้ครบถ้วนดังที่กล่าวแล้ว ก็จะไม่เสียทีที่เราเป็นพุทธบริษัท หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นที่สรณะ จนเราสามารถทำให้พระพุทธเจ้าปรากฏแก่เราในความรู้สึกของเรา ทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย เรียกภาษาชาวบ้านธรรมดาว่า ทุกขุมขน มีพระพุทธเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกขุมขน อะไรจะมากไปกว่านี้ลองคิดดู เอาล่ะเป็นอันว่าเราได้ทำอย่างนี้แล้ว เราได้รู้จักพระพุทธเจ้าที่เรายังไม่รู้จักแล้วบัดนี้ บัดนี้รู้จักชัดเจนแล้ว จงกระทำการบูชาด้วยการขอบพระมหากรุณาธิคุณ สนองพระคุณ ปฏิบัติตามพระพุทธประสงค์คือเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้รู้จริง จริง จริง จริง จริง จริง จริง จนสำเร็จประโยชน์ได้จริง นั่นแหละเป็นการบูชาที่สมควรกัน
หวังว่าท่านสาธุชนทั้งหลาย จะทำจิตใจให้เข้าถึงพระพุทธองค์ทุกขุมขน หรือทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายเราดังนี้ ด้วยกันทุกๆ คนแล้ว มีความผาสุกสวัสดียิ่งไปกว่าผาสุกสวัสดี ด้วยการมีพระพุทธเจ้าอย่างนี้อยู่กับพวกเราทุกขุมขน ตลอดทุกวินาทีทุกกระเบียดนิ้ว นี้ด้วยกันจงทุกๆ คนเถิด การบรรยายสมควรแก่เวลาแล้ว ขอแสดงความหวังว่า การกระทำวิสาขบูชาของเราจะมีความหมายถูกต้องลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป สมกับความเป็นพุทธบริษัทของเรา อยู่ทุกทิวาราตรี กาลเทอญ