แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันมาฆปุรณมี หรือจะเรียกว่าวันพระสงฆ์ ได้ผ่านมาถึงอีกแล้วในรอบปี แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตั้งอกตั้งใจต้อนรับวาระนี้ให้ถูกต้องที่สุด ให้สำเร็จประโยชน์ที่สุด จงด้วยกันทุกคน
ในข้อแรกก็ทราบว่า เป็นวันมาฆปุณณมี พระจันทร์เต็มดวงในมาฆฤกษ์ นั้นเป็นเรื่องปฏิทิน ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา แต่เหตุการณ์ในทางพุทธศาสนาได้เกิดขึ้นอย่างหนึ่งในวันนี้ วันนี้ก็เลยกลายเป็นวันสำคัญ จนเรียกกันว่าวันมาฆบูชาในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระอรหันตสาวกประชุมกัน ๑,๒๕๐ รูป มีพระพุทธองค์เป็นพระประมุข แล้วก็แสดงธรรมที่เป็นหลัก เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เหตุการณ์สำคัญถึงขนาดนี้ แล้วน่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่าไม่ได้นัดหมายกัน ก็มาพร้อมกันได้โดยบังเอิญ ทุกองค์เป็นพระอรหันต์ ชนิดอหิภิกขุอุปสัมปทา นี่น่าอัศจรรย์อย่างนี้ แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าวันนี้มันเป็นวันที่กล่าวได้ว่า เป็นวันพระสงฆ์ และยิ่งกว่านั้นไปอีก ก็คือว่าเป็นวันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาพร้อมกัน พระพุทธเจ้าก็อยู่ พระธรรมที่ทรงแสดงก็อยู่ พระสงฆ์ทั้งหมดก็อยู่ มันก็เลยกลายเป็นวันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปทีเดียว
ขอให้สังเกตดูให้ดี วันตรัสรู้ ก็อยู่แต่พระพุทธเจ้า ท่านแสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ก็มีพระธรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ปรากฏขึ้นครั้งแรกในโลก พระสงฆ์ก็ยังไม่ครบที่จะเรียกว่าคณะสงฆ์ องค์เดียวเท่านั้น ผู้เป็นผู้ได้ฟัง และได้รู้ตาม แต่วันนี้มีอยู่พร้อมหน้าทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ เป็นวันพิเศษสำคัญอย่างนี้ จะทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ได้อย่างไร ขอให้ท่านคิดดู ตามที่จะพูดให้ฟัง
มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระสงฆ์ครบหน้าอย่างนี้ เราก็จะมีหลักการ หลักเกณฑ์ที่จะถือเป็นหลักการว่า เราจะมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ จะมีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่
พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงธรรม เปิดเผยธรรม ทำให้ธรรมะเข้ามาสู่จิตใจของเรา เหมือนกับหยอดเชื้อธรรมะลงไปในจิตใจ แล้วคนธรรมดาสามัญก็ได้กลายเป็นมนุษย์ คือ มีธรรมะ เหมือนกับเกิดใหม่โดยพระธรรมนั่นเอง
มีพระธรรมเป็นแม่ ก็หมายความว่าอย่างนี้
ทีนี้มีพระสงฆ์เป็นพี่ ก็เพราะเกิดก่อน ได้ก่อน ได้สูงกว่า เราเกิดทีหลังเลยได้น้อยกว่า เหมือนกับเป็นน้องรอง ๆ ลงมา
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดความข้อนี้ไว้ให้ดี ๆ เถิด จะสำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง ขอให้ปฏิบัติได้ในลักษณะที่มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ แล้วก็มากมาย ทำตัวอย่าง พระสงฆ์ที่เป็นพี่ทำตัวอย่างแห่งความสำเร็จประโยชน์ คือ พิสูจน์ว่าธรรมะนี้ปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัย แล้วก็ทำตัวอย่างให้ดูว่าปฏิบัติอย่างไร และได้รับผลอย่างไร โดยการสอนให้บ้าง ทำตัวอย่างให้ดูบ้าง นี่เราก็ถือเอาตัวอย่างนั้น แล้วก็เดินเข้าไปสมทบในหมู่ใหญ่ ในสงฆ์หมู่ใหญ่นั้น ก็รวมอยู่ในสงฆ์หมู่ใหญ่นั้น เป็นสงฆ์หมู่ใหญ่ หมู่รวมเรียกว่า หมู่พุทธบริษัท นี่แหละอาการที่เรียกว่า มีพระพุทธเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่
ทีนี้ก็จะได้พูดกันถึงหัวข้อพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในวันนี้ ที่เราประพฤติตามแล้วจะสำเร็จประโยชน์ในข้อที่ว่า มีพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ได้โดยแท้จริง พระธรรมที่แสดงในวันนี้เรียกว่า ปาติโมกข์ คือ ประธานแห่งธรรมทั้งหลาย โอวาทปาติโมกข์ ประธานแห่งคำสอนทั้งหลาย แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกไม่ทำความชั่วทั้งปวง สัพพปปัสสะ อกรณัง ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ขั้นที่สองทำความดี หรือกุศลให้ถึงพร้อม กุลัสสูปสัมปทา ข้อที่สามทำจิตให้ผ่องแผ้ว ปราศจากสิ่งรบกวน หุ้มห่อพัวพันใด ๆ ให้เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ เรียกว่า สจิตตปริโยทปนัง ( สจิตฺตปริโยทปนํ ) เป็นอย่างนี้ สามอย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือ ผู้รู้ทั้งหลาย เอตัง พุทธานสาสนัง (เอตํ พุทฺธาน สาสนํ)
ดูให้ดี ฟังดูให้ดี มันมีความสำคัญเป็นพิเศษอยู่ในข้อที่สาม ที่ว่าทำใจให้ผ่องแผ้วนั่นน่ะ อย่าทำชั่วนี่เขาก็สอนกันมานมนานก่อนพระพุทธเจ้า ทำดีให้มากให้พร้อม เขาก็สอนกันอยู่มานมนานก่อนพระพุทธเจ้า นี่ว่าในหลักศาสนาไหนมันก็มี แต่ข้อที่ว่าทำใจให้ขาวรอบ ให้ผ่องแผ้วนี่ ในความหมายนี้ถึงจะมีแต่ในพระพุทธศาสนา หมายความว่าผ่องแผ้วจากการรบกวนของความชั่ว และความดี ไม่ใช่มาติดอยู่ที่ความดีเหมือนบางศาสนา ถือเอาความดีเป็นสิ่งสูงสุด มีความดีสูงสุดเป็นยอดของศาสนา หรือเป็นพระเจ้าไปเลย แต่เราไม่อย่างนั้น
พุทธบริษัทถือตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ทำจิตให้ผ่องแผ้วจากการผูกพัน จากอิทธิพลของความรู้สึกทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งดี ทั้งชั่วทั้งดี ทั้งบุญทั้งบาป ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งอะไรทุก ๆ อย่างที่มันเบียดเบียนหัวใจ ถ้าว่าจะเอากันเพียงดี ๆ อย่างนี้มันก็สอนกันอยู่แล้ว มันไม่พอ เพราะปรากฏว่ามันมีการบ้าดี หลงดี เมาดี จมปลักดี แล้วก็ได้บ้าจริง แม้บุญก็เหมือนกัน ระวังให้ดี ๆ มันมีบุญชนิดที่บ้าได้ เมาได้ หลงได้ จมอยู่ได้ ถ้าบ้าบุญชนิดนี้มันก็ไม่ใช่พุทธศาสนาแล้ว เพราะมันมีความบ้าเสียแล้ว มันต้องเป็นบุญชนิดที่บ้าไม่ได้ ต้องเป็นความดีชนิดที่บ้าไม่ได้
นี่เราจึงมาจัดการกันตรงที่ว่าบ้าไม่ได้ คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ไม่บ้าดี ไม่หลงดี ไม่เมาดี ไม่จมดี แล้วมันก็จะดับทุกข์ได้จริง มิฉะนั้นมันจะมีความทุกข์อันใหม่เกิดขึ้นมา เพราะบ้าดี เพราะบ้าบุญ เพราะบ้าสุข หลงสุข สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลบีบคั้นจิตใจ ไม่มีความสงบสุข ขอให้ระวังสังวรกันเถิด โดยเฉพาะชาวเมืองสุราษฎร์ทั้งหลาย สุราษฎร์เมืองคนดี สุราษฎร์เมืองคนดี เป็นคนดีที่บ้าดี หลงดี เมาดีหรือเปล่า ถ้าบ้าดี เมาดี หลงดีแล้ว ไม่ใช่เมืองคนดีแล้ว มันเมืองคนบ้าแล้ว ขอให้ระวังสังวรข้อนี้ไว้ด้วยจงทุกคน เดี๋ยวจะเป็นบ้าไม่ทันรู้ตัว
ก็เห็นกันอยู่ง่าย ๆ ถ้ามันเป็นคนบ้าแล้วมันก็ไม่ใช่คนดี คนดีมันต้องไม่บ้า นั่นแหละต้องระวัง ไอ้ดีมีอยู่สองชนิด ดีที่บ้าได้เมาได้ก็มี ดีที่ไม่บ้าไม่เมาก็มี อย่าเอาความหมายแต่เพียงว่าดี ๆ แล้วบ้าดี ถ้ายึดถือความหมายของคำว่ากุศล ๆ มันก็ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะมันมีความหมายแห่งความฉลาด หรือสติปัญญา หรือวิชชา มันก็ไม่บ้า แต่ถ้าดีตามแบบธรรมดา ๆ ที่ชอบพูดกันนักนี่ มันก็มีพูดกันอยู่ว่าบ้าดี เมาดี หลงดี บ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ หมดเนื้อหมดตัว เพราะความบ้า
เอ้า, จะพูดถึงโทษของความบ้าดีนี่ให้ชัดขึ้นไปอีกสักหน่อย เพื่อจะไม่หลงติดในความดี จะทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดผ่องแผ้วจากความบ้าดี พอบ้าดี หลงดี เมาดี แล้วมันก็เริ่มวิปริต แล้วมันก็ค่อยลืมตัวๆๆ จนเป็นบ้าจริง ๆ บ้าชนิดที่ต้องส่งโรงพยาบาลบ้านั่นแหละ มันบ้าจะวิเศษอย่างนั้น จะเป็นคนรวยอย่างนั้น มันบ้าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี มันบ้าที่จะเป็นประธานาธิบดี มันบ้าไม่มีขอบเขตจำกัด แล้วในที่สุดมันก็ได้บ้าจริง นับตั้งแต่บ้าเงินบ้าทอง บ้าทรัพย์สมบัติ บ้าสิ่งของ บ้าเกียรติยศชื่อเสียง บ้าอำนาจวาสนา บ้าบุญ เลยเป็นบ้า ข้อนี้กล้าท้า กล้าท้าทายเลยว่าไปคิดดูเถอะ สำรวจดูเถอะ ไอ้คนบ้าที่มีอยู่ในโลกกี่ล้าน ๆ คนก็ตามใจเถอะ ทุกคนที่เป็นบ้านั่นมีมูลมาจากบ้าดีทั้งนั้นแหละ บ้าดีทั้งนั้นเลย แล้วมันก็คอยบ้าจริง บ้าจริง บ้าจริงขึ้นไปจนบ้าเลย แม้ที่สุดแต่ว่าไอ้พวกที่มันฆ่าตัวตายมากขึ้น มากขึ้นนี้ มันก็เป็นพวกบ้าดี มันบ้าดี มันบ้าดีจนทำไม่ถูก มันจึงเลยคิดว่าฆ่าตัวตายน่ะดี ทีนี้มันเลยเถิดไปว่า เอ้า, ลูกเมียฆ่าหมด ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าอะไรเสร็จแล้ว ฆ่าตัวเองตายไป มันก็เป็นคนบ้า มันจึงฆ่าตัวตาย
คนโบราณปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเรา มองเห็นความจริงข้อนี้นะ ฉลาดกว่าเรานะ อย่าดูถูกปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว เพราะเขาได้พูดไว้ว่า ทั้งบ้า ทั้งชั่วทั้งดี ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ไอ้ลูกหลานโง่ ๆ สมัยนี้มันฟังไม่ถูกหรอกว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์เป็นอย่างไร มันหมายถึงว่า มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มันยึดถือผิดมันก็ทำชั่ว ยึดถือถูกมันก็ ยึดถือดีมันก็ทำดี ยึดถือชั่วมันก็ทำชั่ว แล้วมันก็บ้า มันก็กัดเอา เพราะบ้าชั่วบ้าดี ไปยึดถือเข้าแล้วมันหนักอกหนักใจ ใจคอวิปริต ในที่สุดก็เป็นบ้า จึงสอนในทางที่ว่าไม่ต้องยึดถือ
ดีโดยไม่ต้องยึดถือ ถ้าไปยึดถือแล้ว แม้แต่ความดีนั้นมันจะกัดเอา ๆ เหมือนกับให้เป็นบ้าบ้าง หรือให้ทนทุกข์ทรมานนอนไม่หลับบ้าง เป็นโรคประสาทอยู่ด้วยกันเป็นอันมากนี่บ้าง มันกัดเอา ๆ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน เป็นของตน แล้วมันก็กัดเอา ๆ นั้นจึงว่าทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์
คำว่าอัปรีย์นี่ แปลว่าไม่น่ารัก ถ้าไปรัก คือ ไปยึดมั่นถือมั่นแล้วก็มันกัดเอา บ้าชั่วบ้าดี ดังนั้นอย่าบ้าชั่วบ้าดี ให้อยู่เหนือนั่น เหนือนั่น อย่าไปหลงกับมัน มีจิตใจบริสุทธิ์หมดจดผ่องแผ้ว ไม่มีความยึดถือใด ๆ มีจิตว่างจากตัวกูของกู ไม่มีเอาความรู้สึกว่าตัวกูของกูมาสุมอยู่ในใจ หันไปยึดถือหลักว่า ถูกต้องๆ พุทธศาสนาไม่ได้เน้นตรงที่ว่าดี ๆๆ แต่ไปเน้นที่คำว่าถูกต้อง ถูกต้อง คือ คำว่า สัมมา สัมมา
หลักที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ สัมมา สัมมาแปดประการ
เป็นสัมมา สัมมา แปดสัมมา เรียกว่าเป็นตัวพุทธศาสนาในส่วนเหตุ ครั้นแล้วก็เกิดผลขึ้นมาเป็น
สัมมาวิมุติ คือ หลุดพ้นอย่างถูกต้อง ถ้าหลุดพ้นอย่างไม่ถูกต้อง โดยเข้าใจว่าหลุดพ้นโดยมิจฉาทิฐินี้มันก็ยังมี ต้องหลุดพ้นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลุดพ้นจากสิ่งที่เหนียวแน่น คือ ความดี
คนดีๆๆ นี่ยังไม่หลุดพ้น เพราะมันหมายมั่นอยู่ในความดี มันต้องอยู่เหนือความหมายมั่นเหล่านั้น จึงจะเรียกว่าถูกต้อง แล้วก็ไม่บ้าดี ไม่อาจจะบ้าดี หลงดี เมาดี เพราะว่ามันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าทั้งชั่วทั้งดีนี่ล้วนแต่ไม่น่ารัก ไม่น่าไปหลง ไม่น่าไปมัวเมาพอใจอะไร ขึ้นมาอยู่เหนือความดี ความชั่วความดี อยู่เหนือความชั่วความดีเป็นปลอดภัย
ที่พูดว่าอยู่ในระหว่างความชั่วความดีนี้ก็ยังไม่แน่ ยังไม่ปลอดภัย อยู่เหนือดีกว่า อยู่ระหว่างความชั่วความดีนี่เดี๋ยวก็หันไปหาชั่ว หรือดีก็ไม่ทันรู้ อยู่เหนือชั่วเหนือดีนี่มันเป็นนิพพาน นิพพานที่นั่นแหละ เย็นใจ เย็นใจ
นิพพาน แปลว่า เย็น ขอร้องท่านทั้งหลายว่า เข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย เพราะว่าเมื่อเป็นเด็กนักเรียน ครูอาจจะสอนมาว่า นิพพาน แปลว่าตายของพระอรหันต์ นั่นมันคำสอน มันเข้าใจผิด สะเพร่าอะไรก็ไม่รู้ นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย
นิพพานแปลว่าเย็น ชีวิตเย็น เยือกเย็น ไม่ร้อนเลยได้ในปัจจุบันนี้ คือ ไม่ต้องตาย ยังไม่ทันจะตายแต่เย็น ๆๆ
ไม่มีไฟ คือ กิเลสรบกวนนั่น คือ นิพพาน
ถ้าตายเขามีคำพูดอีกคำว่าปรินิพพาน เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่าปรินิพพานจักมีสามเดือนต่อจากนี้ หรือตถาคตจักปรินิพพานสามเดือนต่อจากนี้ อย่างนี้เป็นต้น นั้นมันคำว่าปรินิพพาน หมายถึงที่เราตามธรรมดาเรียกกันว่าตาย ๆ
ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักชีวิตที่เย็น ๆ พ้นจากการบีบคั้นของความชั่ว และความดี ความชั่วบีบคั้นอย่างเจ็บปวด ความดีบีบคั้นอย่างไม่ค่อยรู้สึกตัว แต่แล้วก็นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาทกันเป็นอันมาก เพราะความดีนั่นแหละมันบีบคั้น ขอให้รู้จักความถูกต้อง ๆๆ ไม่หลงชั่วหลงดี ไม่บ้าชั่วบ้าดี ไม่เมาชั่วไม่เมาดี ขึ้นอยู่เหนือความชั่วและความดี
และรู้ด้วยว่าถ้าเป็นดีจริงแล้วก็ไม่ต้องอวด ถ้ามันอวดดี มันก็ คือ บ้าดีนั่นแหละ ไปสังเกตดูใครมันอวดดี คนนั้นบ้าดีทั้งนั้นแหละ มันหลงดีเมาดีทั้งนั้น มันจึงอวดดี แล้วมันก็อวดจนหมดดี จนไม่มีเหลือสักนิดหนึ่งแหละ นี่เพราะมันบ้าดี มันบ้าจะดี บ้าจะเป็นคนดี บ้าจะเป็นคนเด่น บ้าจะเป็นคนดัง อย่างนี้แล้วมันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าว่ามันเป็นดีจริง บุญจริง มันบ้าไม่ได้ ถ้าเป็นดีจริง บุญจริงแล้วมันกำจัดชั่ว มันกำจัดบาป ดีกำจัดชั่ว แล้วก็บุญก็กำจัดบาป แล้วก็ไม่มาหยุดอยู่แค่ดี หรือแค่บุญ ไม่มามัวเมาอยู่ที่นี่ จะมัวเมาดูสักพักก็ได้ พอเป็นสวรรค์กันสักพักหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไปเสียให้พ้น ให้เป็นพระนิพพาน ว่างจากตัวตน ว่างจากความชั่ว ว่างจากความดี ว่างจากบุญ ว่างจากอาบัติ
นิพพานเป็นของเย็น เพราะว่างจากความชั่ว และความดี ว่างจากการปรุงแต่งทุกอย่างทุกประการ ถ้ายังมีการปรุงแต่ง มันก็มีการบีบคั้นผลักไสครอบงำผูกพันอะไรต่าง ๆ อยู่ ต้องว่างจากการปรุงแต่ง ไม่มีกิเลสเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดการปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่มีอวิชชา ความไม่รู้
ความไม่รู้นั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดการปรุงแต่ง คือ โง่ ไม่รู้ว่าการปรุงแต่งนี้เป็นเรื่องทุกข์ เป็นเรื่องยุ่ง มันก็ปรุงแต่งกันใหญ่ ส่งเสริมกันใหญ่ ส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้ส่งเสริมธรรมะเลย เช่น กินอร่อย แต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยงาม เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นวิมาน ยานพาหนะให้แข่งกับเทวดานี่อย่างนี้มันเรียกว่าการปรุงแต่ง โดยไม่รู้สึกตัวว่ามันไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ต้องเป็นอย่างนั้นก็ได้ เอาความสงบเป็นความหยุดความเย็น เป็นอิสระจากกิเลสดีกว่า
ขอให้สนใจคำว่าเหนือดีเหนือชั่ว คือว่าเหนืออิทธิพลของความดี และความชั่ว ความชั่ว และความดีอย่ามาครอบงำบังคับจิตใจเราเลย เราจะมีจิตอิสระ ว่าง ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ มันก็สงบเย็นเป็นนิพพาน สงบเย็นเป็นนิพพาน เวลาที่จิตไม่วุ่นวาย ไม่ต้องการอะไร ว่างจากความปรารถนาใด ๆ ไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเอง
เดี๋ยวนี้คนเรามันไม่เป็นอย่างนั้น อะไรเข้ามาทางตา มันก็กระดุกกระดิก ชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา อะไรเข้ามาทางหู มันก็กระดุกกระดิก ชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา เข้ามาทางจมูกก็เหมือนกัน มันก็ชอบหรือไม่ชอบ ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็เหมือนกัน นั่นเป็นความที่ไม่เป็นอิสระ มันต้องเป็นไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบ เลยเป็นทาส เป็นขี้ข้าของสิ่งที่เข้ามากระทบ ต้องหวั่นไหว ต้องโยกโคลงไปตามสิ่งนั้น ไม่อิสระ อย่างนี้เรียกว่าอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งนั้น จิตมันจึงไม่ผ่องแผ้ว จิตมันจึงไม่ขาวรอบ
ขอให้ระลึกนึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทำความชั่วทุกอย่าง ทำความดีให้ครบถ้วน ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ตัวหนังสือว่า ปริโยทปนํ แปลว่าขาวรอบ ผ่องแผ้วไม่มีจุดดำ ไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องเศร้าหมอง นี่เราไม่ค่อยสนใจ เรามันชอบไม่ผ่องแผ้ว ชอบอร่อย ชอบสนุกสนาน ชอบล้มลุกคลุกคลาน ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงนั่นมันไม่มีกิเลสรบกวน ไม่ล้มลุกคลุกคลาน มันพอใจ เพราะถูกต้อง ไม่ได้พอใจ เพราะดี เพราะเด่น เพราะดัง เพราะอะไรหรอก มันพอใจ เพราะถูกต้อง
จงทำหน้าที่การงานให้ถูกต้องทั้งสามประการ หรือว่าจะแบ่งเป็นว่า หน้าที่การงานเพื่อความรอดทางกายก็ได้ ความรอดทางจิตด้วยเป็นสองอย่าง ความรอดทางกายนี้มี ๓ แขนง คือว่าทำหน้าที่เพื่อหาเลี้ยงชีวิตให้ถูกต้อง ทำหน้าที่บริหารชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง ทำหน้าที่คบหาสมาคม สังคมกับเพื่อนมนุษย์ให้ถูกต้อง ๆๆ ไม่ต้องว่าดี ว่าให้ถูกต้อง เพราะถ้าดี เดี๋ยวมันบ้าดีเข้ามาอีก ถ้ามันถูกต้อง คือมันไม่เกิดความทุกข์แก่ผู้ใด จะมีความสุขแก่ทุกฝ่าย ไม่เป็นอันตรายกับฝ่ายใด และมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย นี่คือถูกต้อง ๆ และก็ไม่เมา เมาไม่ได้ นี่อุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพให้ถูกต้องทุกขณะ พอใจ ๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ชาวนาก็ไถนา ชาวสวนก็ทำสวน พ่อค้าก็ค้าขาย ข้าราชการก็ทำราชการ กรรมกรก็ทำกรรมกร แม้ที่สุดแต่คนเป็นคนขอทาน ก็เป็นคนขอทานให้ถูกต้อง เลยไปมันถูกต้องกันทั้งหมดทั้งโลกแล้วก็ โลกนี้จะไม่มีสิ่งที่เป็นปัญหา หรือเป็นความทุกข์เลย หมูหมากาไก่ก็ทำหน้าที่ถูกต้อง หมาก็เห่าให้ถูกต้องตามเวลา แมวก็จับหนูให้ถูกต้องอย่าบกพร่อง ไก่ก็ขันให้ถูกต้องตามเวลา ให้มันถูกต้อง ถูกต้องกันทั้งคนทั้งสัตว์ กระทั่งทั้งทั่วไป ต้นไม้ต้นไร่นี่ก็ถูกต้อง เจริญงอกงามดี อย่างนี้มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
นี่เรียกว่าความถูกต้องทางกาย ๓ ชนิด ๓ แขนง ถูกต้องในการหาเลี้ยงชีวิต ถูกต้องในการบริหารร่างกาย ถูกต้องในการสมาคม การบริหารร่างกายนั่นแหละจะทำให้ได้รับความสุขความพอใจแท้จริงได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่เหนื่อยอะไรอีก เพราะทำอยู่แล้ว ที่ว่าตื่นนอนขึ้นมาล้างหน้าถูฟันให้ดีถูกต้อง และพอใจ อิ่มใจตลอดเวลา ไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะทำให้ถูกต้อง ๆ เป็นที่พอใจ เป็นสุขตลอดเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้อง ๆ พอใจ ๆๆ จะไปอาบน้ำก็เหมือนกันแหละ ทุกขั้นตอนของการอาบน้ำถูกต้อง และพอใจ ไปกินอาหาร จะเข้าไปในห้องอาหาร ไปจับจาน ไปจับช้อนตักเข้าปากเคี้ยวกลืนอะไรก็ตาม ให้มันมีความบอกได้ว่าถูกต้อง ๆ จะล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน ก็พอใจ ๆ ถูกต้อง ถ้าจะต้องล้างส้วมก็ยิ่งดี จะได้ทำความพอใจหนักขึ้นไปได้อีก เพราะว่าคนเขาไม่ค่อยชอบทำกัน มีสมาธิในการที่ความสะอาด ความสกปรกมันค่อย ๆ หลุดไป ค่อย ๆ หลุดไป ค่อย ๆ หลุดไป นั่นแหละเป็นสมาธิ แล้วก็พอใจที่มันหลุดออกไป หลุดออกไป แล้วก็เป็นสุขพอใจ เพราะมีความถูกต้อง มีผลดีที่ควรปรารถนา มันก็เป็นความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์เดียว
แต่ขออภัยที่ต้องพูดว่า คนโง่ทั้งหลายทำไม่ได้ ทำไม่เป็น คนโง่มันไปคิดว่าความเพลิดเพลินนู่นเป็นความสุข เอาเงินไปซื้อหาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงว่าเป็นความสุข ที่จริงมันเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง อย่าไปเอากะมันเลย เอาความถูกต้องที่หน้าที่การงานเหล่านี้แหละ และไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม ไม่ต้องเพิ่มงาน งานทำอยู่แล้ว แต่ทำทุกชิ้นทุกเรื่อง ทุกกระเบียดนิ้วให้มันถูกต้อง พอใจ ๆ
ส่วนทางจิตใจนั้นเป็นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ศึกษาเป็นพิเศษ ทำเป็นพิเศษ และก็รอดในทางจิตใจ เป็นอันว่าเราทำหน้าที่ให้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ก็จะมีความรอดทั้งทางกาย และทั้งทางจิตใจในลักษณะอย่างนี้
วันนี้เป็นวันของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์ ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ขอให้หมายมั่น ตั้งใจมั่นในการที่จะปฏิบัติอย่างนี้ ให้สมกับที่ว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ แล้วก็จะเอาตัวรอดได้โดยประการทั้งปวง วันนี้เป็นวันมาฆบูชา ระลึกถึงการทำจิตให้ผ่องแผ้วเป็นเบื้องหน้ากันด้วยกันจงทุก ๆ คนเถิด อย่ามามัวบ้าดี เมาดี หลงดี จมดีกันอยู่เลย จงเป็นอิสระหลุดพ้นจากความมัวเมาเหล่านี้ ไปวัด ไปเวียนเทียน ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ด้วยจิตที่ผ่องแผ้ว ทำจิตให้ผ่องแผ้ว แล้วจะมีการรวมเข้าไปในพระสงฆ์ที่เป็นพี่อย่างแนบสนิท เป็นพระสงฆ์ เป็นพระสงฆ์อยู่ในกลุ่มแห่งพระสงฆ์ มากหรือน้อยตามสถานะแห่งตน แห่งตน
ให้สมกับว่าเราเป็นคนเมืองสุราษฎร์ เมืองคนดี ไม่บ้าดี ไม่หลงดี ไม่เมาดี และก็ดีจริง เป็นคนดีของจังหวัดนี้ และก็เป็นคนดีของประเทศชาติ และก็เป็นคนดีของโลกได้ในที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลย ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงมีความเข้าใจถูกต้องดังนี้ แล้วดำรงตนให้สมกับการที่วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่ครบถ้วนแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจงปฏิบัติตนให้สมตามนั้นว่า มีพระพุทธเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่แล้ว ประสบความสุขสวัสดีทั้งทางกาย ทั้งทางใจ เยือกเย็นเป็นนิพพานอยู่ด้วยกันจงทุก ๆ ท่านทุก ๆ คนเทอญ