แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ ปรารภวันขึ้นปีใหม่ เราจะต้องมีการกระทำชนิดที่ให้เรามี ปีใหม่กันจริงๆ จึงจะเป็นสิ่งที่มีความหมายไม่ละเมอเพ้อฝัน ปีใหม่ก็ต้องหมายความว่า ดีกว่าปีเก่า ผิดจากปีเก่าไปในทางที่ดีกว่า ไม่ใช่ไปในทางที่เลวกว่า ต่ำกว่า แต่จะต้องเป็นไปในทางที่สูงกว่า น่าพอใจกว่า จึงจะเรียกว่า ปีใหม่
ปีใหม่นี้ต้องดีกว่าปีเก่า จึงจะเข้ากันได้กับธรรมชาติ ธรรมชาติมีฤดูกาลเป็นฤดู ๆ แล้วก็มีอะไรที่ดีกว่าฤดูที่แล้วมา ของปีที่แล้วมา ด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ว่าพืชพรรณที่มีหัวอยู่ใต้ดิน พอถึงปีใหม่มันมีหัวโตกว่าเก่า ดีกว่าเก่า มากกว่าเก่า ต้นไม้ต้นไร่ ก็เหมือนกัน เมื่อผ่านฤดูฝนไปฤดูหนึ่งแล้ว มันก็ดีกว่าปีที่แล้วมา แม้แต่สัตว์มีชีวิตทั่วไปก็มีอะไรที่ก้าวหน้ามากกว่าปีที่แล้วมา รวมความว่าปีใหม่ต้องมีอะไรที่ดีกว่าปีเก่า
สำหรับชาวเราทั่วไปในโอกาสนี้ ขอชักชวนให้เพ่งมองไปยังปีใหม่ของเรา อันเป็นปีที่มีกลิ่นไออวลอบด้วยทศพิธราชธรรม เรากำลังพูดกันถึงเรื่องนี้ เรากำลังปฏิบัติกันในเรื่องนี้ และเราก็พยายามที่จะให้ได้รับผลในเรื่องนี้ กันอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เป็นปีที่มีกลิ่นไออวลอบไปด้วยทศพิธราชธรรม เป็นปีที่เราบุกเบิกออกไปในท่ามกลางแห่งทศพิธราชธรรม เป็นปีใหม่เพื่อประเทศชาติเพื่อพระศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์ มีความรุ่งเรือง และมีความก้าวหน้าสืบต่อไปไม่มีหยุด เราจึงมีปีใหม่กันทุกปี นี่เป็นสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจในเบื้องต้น ให้เข้าใจดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยละเอียด ดังจะได้บรรยายไปตามสมควรแก่เวลา เป็นต้นว่า ปีใหม่คืออะไร ๆ
ปีใหม่เป็นเวลาที่เราจัดขึ้น เพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือต้อนรับการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลง มีอยู่ในหลายลักษณะ จะเรียกว่า ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติก็มี ความเปลี่ยนแปลงตามที่มนุษย์เราจัดขึ้นมาก็มี ความเปลี่ยนแปลงตามประเพณี หรือสักว่าเป็นไปตามประเพณี ดังนี้ ก็มี ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ก็ว่าต้องดีกว่า มากกว่า อะไรก็ดีกว่า เป็นการเลื่อนชั้น เลื่อนวัยไปตามลำดับ นี่เรียกว่าตามธรรมชาติ ทีนี้ตามที่มนุษย์เราจัดขึ้นมา ก็ต้องจัด จัดให้เหมาะที่จะจัด หรือชวนให้จัด มันก็เพื่อให้จัดนั่นเอง เป็นเวลาที่มีไว้เพื่อให้เราจัด ซึ่งเราจะต้องจัดให้มีอะไรใหม่ขึ้นมา นี้เรียกว่า ตามที่เราจะต้องจัด ทีนี้ก็ตามประเพณี นี่มันง่ายที่จะจัด จัดตามประเพณี ประเพณีง่าย ๆ ประเพณีที่ตรงตามความประสงค์ของประชาชนอยู่แล้ว จัดกันคราวหนึ่ง ๆ มันก็เป็นการพักผ่อนไปในตัว ประเพณีทั้งหลายย่อมนำมาซึ่งความสนุกสนาน รื่นเริง พอใจ กำจัดความหม่นหมอง เฉพาะบุคคล เฉพาะสังคมได้ ด้วยการจัดที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องระวัง เพราะว่าประเพณีที่พ้นสมัย ประเพณีที่งมงาย มันก็มีอยู่เหมือนกัน จะต้องรักษาไว้ซึ่งประเพณีที่ถูกต้องและควรรักษา รวมความว่าปีใหม่คือเวลาที่เราจะต้องจัดให้เกิดความถูกต้อง ตามความเปลี่ยนแปลงซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติบ้าง ตามที่เราจัดขึ้นมาบ้าง ตามประเพณีที่ถือกันเป็นหลักทั่ว ๆ ไป โดยไม่ต้องคิดลึกอะไรบ้าง นี่แหละคือเรื่องปีใหม่
ทีนี้ถ้าจะถามว่า เมื่อไร ข้อนี้ก็แล้วแต่ความนิยม หรือเหตุผล ที่มีอยู่ ตามประเพณีก็มี หรือว่าตามความคิดนึกที่แยบคายก็มี บางทีก็เอาเดือนอ้าย หรือเดือนมกรา เป็นปีใหม่ก็มี แต่พุทธบริษัทชอบใจที่จะเอาวันวิสาขบูชา เดือนวิสาขะ แห่งเดือนวิสาขะนั่นแหละ เป็นวันปีใหม่ บางพวกเอาสงกรานต์ ฤดูร้อนเป็นวันปีใหม่ แม้แต่เราจะเอาวันเข้าพรรษา ออกพรรษา เป็นวันปีใหม่สำหรับเฉพาะเราเป็นคน ๆ ไป เราก็ยังทำได้ โดยที่ไม่ขัดแย้งกับใคร ตามธรรมดาก็เอาธรรมชาติ เอาการหมุนเวียน ของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์ ของฤดูกาล หรือว่าตามเรื่องราวที่สำคัญในพระศาสนา มาเป็นหลักสำหรับยึดถือว่า เป็นปีใหม่ แล้วก็จัดอะไรให้มันใหม่ นี้ก็แล้วแต่จะพอใจ ถ้ามองในแง่การเมือง มันก็มีเหตุผลไปอย่าง มองไปในแง่ศาสนา ก็มีเหตุผลไปอย่าง มองในแง่ของธรรมชาติ ก็มีเหตุผลไปอย่าง ดังนั้นเราจึงคล้าย ๆ กับว่า มีวันปีใหม่ได้หลาย ๆ หน ในรอบปีหนึ่งตามความพอใจ
ทีนี้ก็จะดูกันต่อไปว่าเพราะเหตุอะไร จึงต้องมีวันปีใหม่ หรือการจัดการกระทำให้เหมาะสมกับวันปีใหม่ เห็นกันได้ง่าย ๆ ว่า เพราะความอยากจะก้าวหน้า อยากจะให้สมบูรณ์ นั่นแหละ มันจึงมีความจำเป็นบังคับ ให้เราต้องจัด ให้เราต้องทำให้ถูกต้องตามจังหวะ หรือจังหวะที่เราจัดขึ้นมา ก็จัดขึ้นมาให้ถูกต้องตามสิ่งที่เราต้องการ ความอยากจะรู้หรือจะวัดผลงานของเรา ที่เราได้ต่อสู้กันกับเวลาที่ กินเรามา ๆ ทุกระยะ ๆ เราอยากจะรู้ผลงานของตนเอง เราก็ต้องกำหนดเวลาว่าเมื่อไหร่ จะใช้เป็นเวลาวัดผลงาน มันก็ตรงเวลาที่เราสมมติกันว่าปีเก่าต่อกับปีใหม่นั่นเอง วัดผลงานส่งท้ายปีเก่า แล้วก็มีแผนการสำหรับต้อนรับปีใหม่ จึงได้ประโยชน์จากการที่เรากำหนดเวลา มันเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการเฉื่อยชาต่อหน้าที่การงาน ต่อการพัฒนาชีวิต พอเราชะเง้อหาของใหม่ เราก็เฉื่อยชาอยู่ไม่ได้ ก็มีการพัฒนาที่ก้าวหน้า การมีปีใหม่ที่กำหนดไว้อย่างนี้ มันก็เป็นการดี ไว้บังคับคนขี้เกียจไม่ให้เหลวไหลในการที่จะเปลี่ยนแปลง แม้ที่สุดแต่การจัดบ้านเรือน การทำงาน การปรับปรุงชีวิต การยกสถานะของตน คนขี้เกียจมันเฉื่อยชา หรือบางทีมันก็ไม่สนใจ ถ้ามีวันปีใหม่ที่กำหนดไว้ มันก็จะได้กระตือรือร้น มีการก้าวหน้า ให้เกิดของใหม่ขึ้นมา ยกสถานะของตนขึ้นทุก ๆ ปี ทุก ๆ ปี เป็นการง่ายดี ดีกว่าที่จะปล่อยไว้โดยไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์อะไรกันเสียเลย
ทีนี้ก็อยากจะมองดูอีกต่อไปว่า ใครเล่าที่จะเป็นคนดีกว่าปีเก่า พวกไหนที่จะเป็นพวกดีกว่าปีเก่า อยากจะระบุในข้อแรกว่า เด็ก ๆ ของเรา เด็ก ๆ ของเรา เด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานอนุชนอะไรของเรา นี่จะต้องเป็นผู้ที่ดีกว่าปีเก่าขึ้นมาทุก ๆ ปี ให้เขาได้เป็นเด็กที่ดี คือเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนของเขา เป็นพลเมืองที่ดีของชาติในอนาคต เป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา จนกระทั่งว่าเขาเป็นมนุษย์ที่เต็ม เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด นี่เด็กของเรานี่จะเป็นผู้ที่ ดีกว่าปีเก่า ๆ ทีนี้ไม่เฉพาะแต่เด็กของเราหรอก ครูบาอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน จะต้องดีกว่าปีเก่า อย่าให้มีคนเขาเอาไปค่อนแคะได้ อย่างนั้นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเขาเคยโพนทะนาว่า ครูบาอาจารย์บางคนสนใจต่อไก่ชนมากกว่าที่จะสนใจต่อลูกศิษย์ลูกหา อย่างนี้ก็ยังมี ฟังดูก็ไม่น่าเชื่อ แต่เขายืนยันว่ามันมี ๆ เพราะฉะนั้น แม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ก็ยังจะต้องดีกว่าปีเก่า เป็นผู้ที่ดีกว่าปีเก่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลายทั้งปวง เจ้าหน้าที่ ข้าราชการประจำ หรือหน้าที่ฝ่ายบริหารทั้งหลาย เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งถึงสมาชิกรัฐสภา กระทั่งถึงพวกนักการเมืองทั้งหลาย แม้กระทั่งคนทั้งเมือง ใช้คำว่าคนทั้งเมือง นี่จะต้องดีกว่าปีเก่า เดี๋ยวนี้ยังมีข้อที่เขาค่อนคอดได้ว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ไม่น่า ๆ จะเป็น หรือไม่ควรจะเป็น ดูได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขาค่อนคอดสมาชิกรัฐสภาอย่างไร ค่อนคอดนักการเมืองอย่างไร ค่อนคอดเจ้าหน้าที่บริหารอย่างไร สิ่งเหล่านี้ควรจะหมดไป ไม่ต้องมีเหลือ ชนเหล่านี้แหละจะต้องเป็นผู้ที่ดีกว่าปีเก่า เด็กของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา เจ้าหน้าที่ของเรา ข้าราชการประจำของเรา ข้าราชการฝ่ายบริหารทั้งหลาย สมาชิกรัฐสภา นักการเมือง และ คนทั้งเมือง ๆ คือทั้งประเทศ ที่แท้ควรจะพูดว่าทั้งโลก ทั้งโลกแหละ มันควรจะดีกว่าปีเก่า
เอ้า, ดูกันต่อไปในแง่ว่า นี้มันเพื่ออะไรกัน จัดปีใหม่นี้มันเพื่อประโยชน์อะไรกัน ตอบได้อย่างกำปั้นทุบดินว่า เพื่อมีวัฒนธรรมก้าวหน้า และมีความก้าวหน้าในทุกแง่ทุกมุม ทุกทิศทุกทาง คนธรรมดาก็ก้าวหน้า คนป่าคนดอยก็ก้าวหน้า สัตว์เดรัจฉานก็ก้าวหน้า พืชพรรณธัญญาหาร ต้นไม้ต้นไร่ พฤกษาชาติทั้งปวง ก็ต้องก้าวหน้า ซึ่งที่จริงตามธรรมชาติ มันก็ก้าวหน้า แต่ว่ามันมักจะก้าวหน้าไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง จึงต้องจำกัดความหมายลงไปว่า จะต้องมีการก้าวหน้าในทิศทางที่ถูกต้อง จะได้เป็นเครื่องจูงใจ ไม่ขี้เกียจในการที่จะปรับปรุงตัวเอง แต่จะสนุกเป็นสุขในการปรับปรุงตัวเอง เราจะได้ประเพณีที่ดีเพื่อสุขภาพจิต มิฉะนั้นโรคประสาทจะรบกวนคนในโลกมากกว่านี้ เพื่อให้มีความถูกต้องที่มนุษย์จะเข้ากันได้กับธรรมชาติ หรือกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ ที่เราต้องการเดี๋ยวนี้ก็คือว่า แผ่นดินทองจะได้เกิดขึ้นเร็ว ๆ ทุกคนทำงานเป็นสุข ทุกคนมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา มีความรักเพื่อนมนุษย์กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย สามารถที่จะเป็นอยู่ด้วยความรู้อันถูกต้อง ที่เรียกว่าพุทธศาสตร์ของบุคคลผู้ตื่นอยู่ ไม่หลับไหล เว้นไกลจากสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์ คือศาสตร์ของบุคคลผู้นอนหลับอยู่ ทั้งที่วิ่งได้เดินได้ หลับอยู่ทั้งที่วิ่งได้ เดินได้ ก็คือมีความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่ออะไรที่มันไม่ถูกต้อง ตามที่ควรจะเป็น ทั้งหมดนี้เป็นความเจริญงอกงามไปตามคลองธรรม งอกงาม ๆ ไปตามลำดับ มีพระนิพพานในปัจจุบัน คือมีเวลาที่กิเลสไม่เกิดขึ้นเผาผลาญ เยือกเย็นเป็นสุขอยู่ด้วยพระนิพพานในปัจจุบัน แม้จะชั่วขณะเล็กน้อยก็สามารถขยับขยายให้กว้างออกไป ไกลออกไป ยาวอออกไปจนเป็นพระนิพพานที่แท้จริง และถาวรเป็นอันดับสุดท้าย ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบกับพุทธศาสนา คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถึงแม้ในทางวัตถุก็ควรจะถูกต้องหรือดีกว่าเก่า จึงจะเรียกว่าเป็นการพัฒนาขึ้นมาอย่างมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรม เครื่องทำความเจริญ อย่างน้อยเราก็จะมีป่าไม้ที่เขียวกว่า มีน้ำทำนาที่มากกว่า ลดมลภาวะในที่ทั่วไปได้มากกว่า จะมีความสะอาดตา สะอาดกาย สบายใจที่มากกว่า นี่เพื่อผลอย่างนี้ ถ้าเราจัด เราทำ เราปรับปรุงกิจกกรรมอันเกี่ยวกับการขึ้นปีใหม่ให้ถูกต้องแล้ว ก็จะอยู่ในความหวังได้
เราจะทำโดยวิธีใด ตั้งปัญหาต่อไปว่าเราจะทำได้โดยวิธีใด ขอสรุปสั้น ๆ ว่า โดยการเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเคารพ เดี๋ยวนี้เราเคารพพระพุทธเจ้ากันแต่ปาก คือไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ใหม่ ๆ ท่านฉงน ท่านถาม ๆ ตัวเองว่า ต่อไปนี้จะเคารพใคร ใคร่ครวญไปในที่สุดก็พบว่า เคารพธรรมะ ๆ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือหน้าที่ หน้าของใคร หน้าที่ของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ช่วยตัวเองได้แล้ว ก็ช่วยผู้อื่นต่อไป ให้รอดด้วย หน้าที่นั้นต้องมีเพื่อความรอด ถ้าไม่ถูกต้องมันไม่รอด หน้าที่จึงต้องถูกต้อง มันจึงจะเป็นไปเพื่อความรอด
ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ชีวิตก็รอด ปัจจัยแห่งชีวิตก็ถูกต้องและสมบูรณ์ สำนึกในหน้าที่ แล้วก็เลื่อนหน้าที่ให้สูงขึ้นไป รักษาหน้าที่คงอยู่ ซื่อตรงต่อหน้าที่ บูชาหน้าที่ ไม่ขบถต่อหน้าที่ ไม่คดโกงในหน้าที่ ถ้าจะสรุปกันอีกทีก็ว่า ยึดถือหลักทศพิธราชธรรม ที่กำลังระบือลือชา สั่งสอนชี้แจงกันอยู่ทั่ว ๆ ไปในเวลานี้ ให้รับผลแห่งทศพิธราชธรรมนั้น ให้มีการให้ทานที่สร้างความรัก ความผูกพัน กตัญญู สวามิภักดิ์ ให้มีศีลที่สร้างความไว้วางใจ เคารพ ฝากกายถวายชีวิตได้ ให้มีบริจาค คือสร้างความไม่เห็นแก่ตัว มีความอยากที่จะเสียสละความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัวกันทุกคน อาชชวะ มีความซื่อตรง ประสานสังคมให้ดิ่งตรงสู่จุดหมาย บูชากันได้ ไว้ใจกันได้ สวามิภักดิ์ในสิ่งที่ควรสวามิภักดิ์ได้ มัททวะ ไม่กระด้าง ไม่มีการกระด้างในทิศทางใด แม้ที่สุดแต่ในทางการเมือง ก็ดำเนินวิถีทางการเมืองโดยไม่มีความกระด้าง ทำให้เกิดความเคารพรักโดยรอบด้าน ตโป หรือ ตปะ มีความเกรงขามแก่กันและกันได้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา นำให้เกิดความสามัคคี อักโกธะ ไม่ผลุนผลันในทุกทิศทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมือง ต้องไม่มีความผลุนผลัน โกรธแค้น ทำไปด้วยความผลุนผลัน ไม่ก่อการทะเลาะวิวาทขัดแย้งใด ๆ อวิหิงสา ไม่มีการกระทบกระทั่งรอบด้าน ทั้งภายนอกและภายใน ขันตี ไม่มีความผลุนผลัน อดกลั้นได้ จนเกิดความสมควรที่จะได้รับผลแห่งการกระทำ นำมาซึ่งความเคารพรักใคร่ ไว้วางใจกัน ข้อสุดท้าย ๆ อวิรุทธ์, อวิโรธนะ, อวิรุทธ์ ไม่มีอะไรที่เป็นการผิดพลาด ไร้สติปัญญา ทำให้รักษาความเข้าใจในระหว่างกันและกันไว้ได้โดยทุก ๆ ประการ โดยวิธีอย่างนี้แหละที่จะทำให้เกิดใหม่ขึ้นมา ในการกระทำ และผลของการกระทำ นักปกครองก็คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งในลักษณะที่จะเป็นฝา ทั้งในลักษณะที่จะเป็นตัว ผู้ปกครองต้องรับภาระถึงอย่างนี้ ผู้อยู่ภายใต้การปกครองมีหน้าที่จะรักษาความเป็นตัว จนกว่าจะมีหน้าที่ที่จะเป็นฝา
เอาละ, ทีนี้มาดูกันอย่างละเอียดลึกซึ้งบ้างว่า เวลา ๆ ปีใหม่ ๆ เป็นเวลา เวลานี่คืออะไร สำหรับเด็ก ๆ เวลาก็คือว่านาฬิกามันเดิน โลกมันหมุนแล้วก็คือเวลา มันความรู้อย่างเด็ก ๆ คนทั่วไปก็จะรู้สึกว่า เวลานั้นเป็นสิ่ง รบกวนประสาท ๆ ทำให้รำคาญ ทำให้ต้องนอนสะดุ้ง ไม่เป็นผาสุก นั่นแหละคือเวลา แต่ถ้าโดยธรรมะอันลึก โดยปรมัตถธรรม โดยอริยวินัยเป็นต้นแล้ว เวลานั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ลม ๆ แล้ง ๆ คือ อำนาจหรืออิทธิพลอะไรอันใดอันหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นและมีอยู่ระหว่าง ความอยากกับความได้สมอยาก พอเรามีความอยากใดๆ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งที่เรียกว่าเวลาก็มีความหมาย นาฬิกาก็ไม่เดินเฉย ๆ แล้ว โลกก็ไม่หมุนเฉย ๆ แล้ว มันมีความหมาย เพราะมันมีความอยาก อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วก็ต้องอดรนทนทำไป จนกว่าจะได้รับผลสมตามความอยาก มันมีจุดระยะยาวอันหนึ่งระหว่างความอยาก กับการได้ผลตามที่ตนอยาก นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลาอย่างนี้กัดกินหัวใจของคน แม้นาฬิกาจะหยุดหมุน แม้โลกจะหยุดหมุน ดวงดาวอะไรต่าง ๆ จะหยุดหมุน เวลาก็ยังคงมี คือความอยากของคนมันยังมี และมันก็ยังจะต้องถูกกัด ด้วยสิ่งที่เรียกว่าเวลา จงรู้จักเวลาในฐานะเป็นสิ่งที่มันกัดหัวใจคน ที่ยังมีความต้องการ เวลากินเรา กัดกินเราอย่างนี้ เราจะตอบสนองหรือแก้ลำมันได้โดยวิธีใด ก็โดยที่ว่าเราหยุดความอยากด้วยความโง่เสีย มีแต่ความต้องการด้วยสติปัญญา อย่าอยากด้วยความโง่ ถ้าอยากด้วยความโง่ มันก็เกิดเวลาชนิดที่กัดกินหัวใจ แต่ถ้ามีความต้องการปรารถนาอย่างถูกต้องด้วยสติปัญญา กระทำไปตามหลักเกณฑ์แห่งอิทัปปัจจยตา หรือความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวงแล้ว ไม่เดือดร้อนด้วยเวลา เวลาไม่กัดกินหัวใจ เวลากัดกินหัวใจปุถุชนคนทั้งหลาย แต่เวลาไม่สามารถจะกัดกินหัวใจของพระอรหันต์ ท่านไม่ยินดีไม่ยินร้าย มีจิตอิสระปกติ เพราะเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง มีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งอยู่เหนือบวกเหนือลบ หรือที่เรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า เหนือ Positivism เหนือ Negativism ไม่มีอะไรมาทำให้ยินดียินร้ายได้ นี่คือผู้ที่กัดกินเวลา เวลาไม่กัดกินเรา ขอให้เราทุกคนรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลา ร้ายกาจยิ่งกว่ายักษ์มารใด ๆ มันกัดกินหัวใจ มันทำความทรมาน ตลอดเวลาที่เรายังทำผิดต่อเวลา ยังโง่ต่อเวลา ยังไม่สามารถจะควบคุมเวลา หรือกัดกินเวลา เราจะอยู่เหนือเวลาได้ทันที ในเมื่อเราไม่ทำอะไรด้วยความอยาก ความโง่หรืออวิชชา แต่ว่ากระทำไปด้วยสติปัญญา รู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รู้จักกฎเกณฑ์แห่งอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรที่เข้ามาทำให้จิตใจหวั่นไหวไปในทางบวกหรือในทางลบ คนทั่วไปเขามักจะพูดว่า เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ยอมเชื่อ ดีแต่พูดด้วยปากอย่างนี้ ไม่ยอมเชื่อ เขาไม่ยอมเชื่อ ก็ตามใจเขา แต่สิ่งนี้มันมีอยู่จริง ชีวิตชนิดที่อยู่เหนืออิทธิพลของเวลา เพราะว่าไม่ต้องการอะไรด้วยอวิชชา ไม่ยินดี เมื่อได้ดี ไม่ยินร้าย เมื่อได้ร้าย เป็นกลางปกติอยู่เสมอ นี่อยู่เหนือบวก เหนือลบ ขอให้คิดดูให้ดีเถอะว่า ดีใจเกินไป ก็กินข้าวไม่อร่อย เสียใจเกินไป ก็กินข้าวไม่อร่อย ดีใจก็นอนไม่หลับ เสียใจก็นอนไม่หลับ ถ้ามันเกินไป ถ้าไม่ทั้ง ๒ อย่าง คืออย่าดีใจอย่าเสียใจ ปกติคงที่แล้วก็นอนหลับสบาย กินข้าวก็อร่อย นี่เป็นตัวอย่างน้อย ๆ ของการที่จิตอยู่เหนืออำนาจของบวก ของลบ คือไม่ตกอยู่ภายใต้กระแสแห่งเวลาอันร้ายกาจ เป็นผู้กินเวลา เป็นผู้ชนะ เวลา มันเหนือปัญหาด้วยประการทั้งปวง ไม่ยินดียินร้าย ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่ล่องลอยไปตามกระแสกรรม แต่อยู่เหนืออำนาจของกรรม เพราะว่าไม่มีตัวตนที่จะเป็นไปตามอำนาจของกรรม เรียกว่าอยู่เหนือเวลาได้ด้วยอาการอย่างนี้
สรุปความว่า ขอให้เราทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท เกิดมาเป็นมนุษย์ พบกับพุทธศาสนาเรียกว่าพุทธบริษัท จงได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลา และจงเป็นผู้ดำรงตนอยู่เหนืออำนาจของเวลา อย่าให้เวลากัดกินเราได้ มีแต่เรากัดกินเวลา คือใช้เวลาให้เป็นบ่าวเป็นทาส ให้สำเร็จประโยชน์ตามที่สติปัญญามันต้องการ อย่างนี้แหละ จึงจะเรียกว่าใหม่ มิฉะนั้นแล้วขออภัยที่จะพูดว่ามันโง่เท่าเดิม มันมีอยู่เท่าเดิม มันไม่มีอะไรใหม่ ขอให้ทุกคนสนใจในการที่จะมีอะไรใหม่ อย่างน้อยที่สุดก็มีจิตใจที่ สูงขึ้นไป ๆ เหนืออำนาจเวลา เวลาไม่กัดกินมากเหมือนแต่ก่อนเก่าแล้ว จงมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ