แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:56] ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย เทศกาลอาสาฬหบูชาได้เวียนผ่านมาถึงเข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว เราทั้งหลายตั้งใจต้อนรับเทศกาลอันสำคัญนี้ ด้วยการทำในใจให้ถูกต้องกับเรื่องราว อาตมาขอชี้แจง เรื่องราวอันเกี่ยวกับเทศกาลอาสาฬหบูชา ให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแก่ท่านทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนกว่าจะสมควรแก่เวลา ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่จัดขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก แก่วันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่ประกาศชัยชนะของมนุษย์ ต่อมารร้าย คือ ความทุกข์ทั้งปวง ที่เรียกกันว่า อริยสัจ รู้แล้วปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นวันอาสาฬหบูชา ก็คือ วันประกาศชัยชนะของมนุษย์ ต่อข้าศึกของมนุษย์นั่นเอง ข้าศึกของมนุษย์นั้นก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นอะไรเป็นตัวตน เป็นของตน อย่างยึดมั่นเป็นตัวกูเป็นของกูอย่างยิ่ง ขอท่านทั้งหลายจงสังเกตดูให้ดี ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลายเป็นศัตรูของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีความหมายประหลาดอยู่ ที่จริงเห็นแก่ตัวมันน่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัว มันกลับกลายเป็นศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์ พูดได้อย่างน่าขันที่สุดก็คือว่า ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู
เมื่อใดความคิดนึกมันเกิดขึ้นมาเป็นตัวกูเป็นของกู ความคิดนึกอันนั้นมันก็จะขบกัดตัวผู้คิดผู้นึกนั่นเอง นี่แหละมันน่าขันที่ว่า ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั้นแหละ เป็นข้าศึกแก่ตัวของมนุษย์ นั้นแหละคือศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์ คือข้าศึกของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในวันนี้ เพื่อกำจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำให้มนุษย์ชนะศัตรูอันร้ายกาจนี้ได้ ขอให้จำไว้ให้ดีว่า ตัวกูนั้นแหละ คือข้าศึกของกู
ดูต่อไปให้ละเอียดในพระธรรมเทศนานั้นก็จะเห็นได้ชัดว่า พระองค์ได้ตรัสว่า ความทุกข์ทุกชนิด จะมีอยู่กี่ชนิดก็ตาม เมื่อสรุปความโดยสั้น ๆ แล้วมันรวมอยู่ในคำว่า ปัญจุปาทานขันธ์ ยังบาลีว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา (สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา) จะเป็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ ความโศก โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ปรารถนาอันใดแล้วไม่ได้ตามใจหวัง เหล่านี้มันเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นเลย ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนแล้ว มันก็เป็นทุกข์ใด ๆ ไม่ได้ เมื่อยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็มีความทุกข์เกิดขึ้นมา ก็คือยึดมั่นถือมั่นขันธ์ทั้ง ๕ โดยความเป็นตัวตน
[05:54] นี่ขอให้สังเกตเรื่องนี้กันให้มาก คือเรื่องที่ไม่ค่อยจะสนใจ และเรื่องที่พากันเห็นว่าครึคละ เอามาล้อเล่นกันเสีย คือเรื่อง ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ชีวิตของมนุษย์นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าขันธ์ทั้ง ๕ คือ
คนเราไม่มีอะไรมากไปกว่าขันธ์ทั้ง ๕ ทำหน้าที่ตามธรรมชาติของขันธ์ แต่คนก็เข้าใจผิดเสียว่าตัวกูต่างหาก มีตัวกูต่างหากเป็นผู้ทำหน้าที่อย่างนั้น ๆ ทั้ง ๕ ขันธ์ เช่น
เรียกว่าทั้ง ๕ ขันธ์นั่นแหละเอามาเป็นกู ทุกขันธ์ตามลำดับ ตามวาระ ตามโอกาส อย่างนี้เรียกว่าทำให้กูเกิดขึ้นมา แล้วก็อะไร ๆ เป็นของกู แล้วมันก็มาหนักอยู่ที่กู มาทรมานอยู่ที่กู ถ้าได้มาอย่างถูกอกถูกใจก็กระโดดโลดเต้น เหน็ดเหนื่อยไปตามแบบของการได้ ถ้าเสียไปก็เศร้าโศรกโทมนัส ขัดใจเป็นทุกข์ไปตามแบบของการเสียไป นี่เรียกว่าได้มาก็วุ่นวายไปอย่างหนึ่ง เสียไปก็วุ่นวายไปอย่างหนึ่ง ก็ไปยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องของตัวกู เป็นเรื่องของ ๆ กู คิดดูให้ดี คิดดูให้ดี เพราะว่ามีตัวกู มีความรู้สึกว่าตัวกู มันจึงได้เกิดปัญหาทุกอย่างทุกประการขึ้นมา อย่างที่จะต้องเรียกด้วยคำหยาบหน่อยว่า สมน้ำหน้าแล้วที่มันอยากจะมีตัวกู
[11:07] ทีนี้ก็ขอคิดดูต่อไปใหม่ ต่อไปใหม่ว่า ถ้าอย่ามีตัวกู ถ้าว่างเสียจากความคิดว่ากู คือไม่มีตัวกูแล้ว พญามารที่ไหนจะมาทำอะไรได้ มารมันก็กลับเก้อไป เพราะมันไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ถูกกระทำ แต่นี่คนโง่ มันมีตัวกู ตัวกูคอยรับอยู่ พญามารก็มีโอกาสที่จะกระทำให้แก่ตัวกู มันก็เลยได้รับการถูกกระทำเจ็บปวดทนทุกข์เวทนา เพราะว่ามันมีตัวกูตั้งอยู่ คอยรับการกระทำของพญามารนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้กูก็ได้รับอะไรหมด ได้รับความทุกข์ ได้รับอุปสรรคนา ๆ ได้รับการด่า การติฉินนินทาทุกอย่าง แล้วก็เห็นได้ว่าไอ้ตัวกูนั่นแหละคือเป็นตัวมาร เป็นตัวพญามารเสียเอง เพราะว่ามีตัวกูมันจึงเกิดมารขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีตัวกูมันก็ไม่อาจจะเกิดมารขึ้นมาได้
ดังนั้นไอ้ตัวกู ๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่เรียกว่ามาร นี่ดูให้ดี ๆ ดูให้ดี ๆ ว่ามันคอยแต่จะมีตัวกู มีตัวกูขึ้นไว้คอยรับไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่มันจะเกิดขึ้น มีตัวกูไว้ให้เค้าด่า ถ้าอย่ามีตัวกู ใครมันจะด่าใครได้ มันจะด่าใครถูก ถ้ามันไม่มีตัวกูออกรับคำด่า เดี๋ยวนี้เพราะมีตัวกูออกรับคำด่า คำด่ามันก็มีได้ ก็มีได้ เพราะมันมีตัวกูรับเอา ถ้าไม่มีตัวกู มันก็ด่าไม่ถูกอะไร มันก็เหมือนเท่ากับว่าไม่มีการด่า หรือการด่ามันมีไม่ได้ ถ้าไม่มีตัวกูของฝ่ายนั้นออกรับ หรือแม้ที่สุดแต่ว่าการนินทา มันจะนินทาใครได้ถ้าว่ามันไม่มีตัวกู แต่นี่มันมีตัวกูคอยรับคำนินทาว่าร้าย คำนินทาว่าร้ายมันก็มีความหมายขึ้นมา สมน้ำหน้าที่มันมีตัวกู
อย่ามีตัวกู มันก็ไม่มีการรับคำด่า ไม่มีการรับคำนินทา หรือแม้ที่สุดแต่ว่าการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อย่ามีตัวออกรับ มันก็ไม่มีการเบียดเบียน ถ้ามีการออกรับ มีตัวตนออกรับ มันก็เกิดการเบียดเบียน ดังนั้นไอ้ตัวกูนั้นแหละมันเป็นผู้เบียดเบียนตัวกู แม้ที่สุดแต่ความเจ็บไข้ เจ็บไข้ชนิดไหนก็ตาม ที่มันเจ็บ ๆ ไข้ ๆ กันอยู่หลายสิบอย่างนั้น ถ้าอย่ามีตัวกู ความเจ็บไข้ก็ไม่มีความหมาย แต่นี่มันมีตัวกูออกรับเอาความเจ็บไข้มาเป็นของกู แล้วกูมันก็จะตาย แล้วมันก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ เพราะความเจ็บไข้ อย่ารับเอามาเป็นตัวกู มันก็ไม่ต้องรับความเจ็บปวดรวดร้าวทรมานอะไรจากความไข้ หรือถ้ามันมีความเจ็บปวดรวดร้าวทรมานอะไร ก็เป็นของธรรมชาติ เป็นของระบบประสาท อย่ามีตัวกูออกรับ นั่งหัวเราะอยู่ว่ามันเป็นเรื่องของระบบประสาท รู้ รู้สึกเป็นความเจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ไปตามธรรมดาของระบบประสาท ขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นความจริงข้อนี้เถิด จะช่วยได้มาก
แม้ที่สุดแต่ความตาย กลัวกันนัก ก่อนตายก็กลัว กำลังตายก็กลัว นี่เพราะว่ามันมีตัวกูออกมารับว่า กูจะตาย ตาย ความตายของกู มันจึงมีความทุกข์ทรมานใจ เพราะความตายนั้น ๆ ถ้าอย่ามีตัวกู มันก็ไม่มีผู้ตาย มันมีแต่สังขารทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของสังขารทั้งหลาย ไม่มีความตายที่ตรงไหน มีแต่ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มันไปเอาความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู มันก็เกิดความทุกข์ คือความกลัวตาย ความที่ไม่อยากตายแล้วก็ดิ้นรนจนเป็นทุกข์มันมีความสงบอยู่ไม่ได้ เพราะมันมีตัวกู ตัวกูที่จะตาย ตัวกูมันก็เลยทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ตัวกูเกิดขึ้นมาแล้วมันก็รับเอาสิ่งต่าง ๆ เข้ามาเป็นของกู มันจึงเหมือนกับว่ามาสุมอยู่บนจิตใจ หรือบนศีรษะของตัวกู นี่เรียกว่าสมน้ำหน้ามัน เพราะมันอยากมีตัวกู ขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ความเข้าใจว่า ไอ้ตัวกูนั้นแหละ คือข้าศึกของตัวกู รู้กันไว้อย่างนี้เสียเถิด ก็จะมีความเข้าใจต่อไป จนถึงกับจะเอาชนะความทุกข์ทั้งหลายได้
[18:07] ทีนี้ก็จะได้ดูกันต่อไป เรื่องตัวกู เมื่อมีความรู้สึกว่าตัวตน หรือของตนเกิดขึ้นแล้ว เป็นตัวกูอย่างนี้ มันก็มีความรู้สึกเขยิบต่อไปอีกจนเป็น ความเห็นแก่ตน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนของกู มันก็มีความรู้สึกเห็นแก่ตนของกู เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มีคนพูดกันมากเรื่องความเห็นแก่ตัว แต่แล้วก็ไม่รู้จักมันว่าเป็นศัตรูอันร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นี้มันมาจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน สัญชาตญาณแห่งความมีตัวตนนั้นมันจำเป็นจะต้องมี เพราะว่ามันจะได้มีหลักเป็นที่ยึดว่ามีเป็นตัวตน สำหรับจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะดิ้นรน เพื่อมีชีวิตอยู่ แต่เดี๋ยวนี้มันเลยนั้นไป อวิชชาความโง่ ความหลงมันมีมากไปกว่านั้น มันก็เลยเกิดความรู้สึกรุนแรงไปจนถึงกับเห็นแก่ตน
เด็ก ๆ คลอดออกมาไม่กี่เวลามันก็รู้จักความเห็นแก่ตน เพราะใคร ๆ ก็แวดล้อมให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าเป็นตัวเอง เป็นตัวแก เป็นของแก มันก็มีความเห็นแก่ตนเพิ่มขึ้นตามลำดับ มนุษย์เราก็มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นตามที่ได้พบกันกับความรู้สึกสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินตามการแวดล้อมของสิ่งที่เข้ามาแวดล้อมมากขึ้น ๆ ตามสมัยที่ว่าเจริญไปด้วยวัตถุสำหรับบำรุงส่งเสริม เราก็มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องรู้สึกตัว มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เกิดหนักอกหนักใจ วิตกกังวล ระแวงหวาดกลัวเมื่อเห็นแก่ตัว จนนอนไม่ค่อยจะหลับ ไม่ได้ดีอย่างที่ตัวคิดนึก มันก็โกรธแค้น แล้วมันก็บ้าหลงในความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งเป็นโรคประสาทวิกลจริต เป็นบ้าฆ่าตัวตาย ก็เพราะล้วนแต่ความเห็นแก่ตัว นี่แหละ คือมันเป็นโทษอันใหญ่หลวงว่าเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว ถ้าไปเกี่ยวข้องกันกับผู้อื่น มันก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง คือเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ แล้วมันก็เบียดเบียนกันกลับไปกลับมา ไม่เท่าไหร่มันก็จะวินาศด้วยกันทั้งนั้น นี่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้เกิดขึ้น แล้วก็มากขึ้นตามความเจริญ
ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ส่งเสริมความสุขสนุกสนานสะดวกสบายขึ้นมาเท่าไร ความเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งเกิดขึ้นมาเท่านั้น
เกิดขึ้นมาเท่านั้น ขอให้คิดดูให้ดี โลกเรานี้กำลังเจริญด้วยสิ่งที่บำรุงบำเรอความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยเฉพาะทางกามารมณ์ ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ๆ แทนที่จะหยุดอยู่ หรือถอยหลัง จนกระทั่งว่าโลกทั้งโลกนี้มันเป็นทาสของวัตถุที่ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ในที่สุดมันก็มีผู้เห็นแก่ตัว ถึงระดับที่เรียกว่า มีพวกผูกขาดการเห็นแก่ตัวเป็นพวกนายทุนขึ้นมา เป็นพวกต่อสู้คือเป็นชนกรรมาชีพขึ้นมา หรือที่เรียกว่าพวกคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดนายทุนที่เห็นแก่ตัว ไอ้คอมมิวนิสต์มันก็ไม่เกิด
เดี๋ยวนี้ก็เกิดนายทุนที่เห็นแก่ตัว มันก็เกิดคอมมิวนิสต์ที่เห็นแก่ตัว ก็ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ก็เลยรบราฆ่าฟันกันอย่างยิ่ง จะแย่งกันครองโลก พูดจาตกลงอะไรกันไม่ได้ในเรื่องอันเกี่ยวกับสันติภาพของโลก จึงสร้างอาวุธที่จะล้างผลานกัน ตามที่เขาทราบกัน รู้กันอยู่ว่าเดี๋ยวนี้มีระเบิด ที่เรียกว่าระเบิดนิวเคลียร์ ทำลายล้างกันอย่างมหาศาลนั้นนะ มากกว่าห้าหมื่นหัว ห้าหมื่นหัวรบนิวเคลียร์ กำลังเตรียมพร้อมที่จะถูกใช้เมื่อไรก็ได้ ถ้ามันอดกลั้นความโมโหโทโสไม่ได้เมื่อไร มันก็ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ห้าหมื่นหัวนี้ขึ้นมา คำนวณกันว่าไอ้ระเบิดนิวเคลียร์ห้าหมื่นหัวนี้ ทำให้โลกนี้ทั้งโลกวินาศไปได้สักสองสามหน ไม่ใช่เพียงหนเดียว ถ้าเขาใช้อาวุธเลวร้ายอันนี้ขึ้นมาเมื่อไร โลกก็สามารถที่จะวินาศไปได้ หมดเกลี้ยงสักสองสามหน ลองคิดดูเถิด
[24:23] เดี๋ยวนี้ผู้นิยมลัทธินายทุนก็ต้องการครองโลก ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ต้องการครองโลก ต่างฝ่ายก็ต่างสร้างเครื่องมือที่จะทำลายอีกฝ่ายหนึ่งให้วินาศราบเรียบไป แต่มันหารู้ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งมันก็มีเหมือนกัน ถ้าต่างฝ่ายต่างใช้กันแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ คือมันจะแพ้เรียบราบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือมันเกลี้ยงโลก นี่แหละจงดูโทษอันเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว แล้วมันก็โง่มากถึงขนาดนี้ที่คิดว่าจะครองโลก จะใช้อาวุธอันร้ายกาจทำลายฝ่ายอื่น โดยหารู้ไม่ว่าฝ่ายอื่นมันก็มี ต่างฝ่ายต่างใช้กันเมื่อไร ไอ้โลกนี้มันก็วินาศ ขอให้ทุกคนมองเห็นโทษอันเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว อันมาจากความรู้สึกว่าคิดว่ามีตัว มีตัว มีตัวกู มีของกูนี่นำมาสู่ความเห็นแก่ตัว แล้วก็นำไปสู่การคิดทำลายผู้อื่น คิดทำลายฝ่ายอื่นเพื่อจะครองโลกแต่ผู้เดียว เมื่อมันรู้ทันกัน มันก็มีการแข่งขันต่อสู้ต้านทานพร้อมที่จะทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วก็เกิดมีอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาในโลก
ดังนั้นก็ขอให้เราทั้งหลาย มารู้จักโทษของความเห็นแก่ตัว เห็นเบญจขันธ์ตามธรรมชาติว่าเป็นตัว แล้วก็รุนแรงขึ้นไปจนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกู ไม่ต้องเห็นแก่ใคร ต้องการจะให้ได้มาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวกูฝ่ายเดียว นี่ความเห็นแก่ตัว ความเดือดร้อนก็มีไปกันทั้งโลก อย่างที่กล่าวแล้วว่า นอนเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว พอไปเบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นทุกข์ออกไปถึงผู้อื่น พอมากเข้าจนถึงกับจะแย่งกันครองโลก มันก็คืออันตรายแก่โลกทั้งโลก ทุกโลกด้วยซ้ำไป ถ้าเกิดใช้อาวุธมหาประลัยอันร้ายกาจนี้ขึ้นมา
เพราะฉะนั้นขอให้เราทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตการณ์เลวร้ายทั้งหลายที่กำลังประสบอยู่เดี่ยวนี้ มีปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ ปัญหาส่วนตัวก็มี ปัญหาในครอบครัวก็มีเพราะความเห็นแก่ตัว จงสังเกตดูครอบครัวที่เห็นแก่ตัว มันมีความทุกข์เท่าไร จงสังเกตดูบ้านเมืองที่ประชาชนเห็นแก่ตัว มีความทุกข์เดือดร้อนเท่าไร ในประเทศทั้งประเทศ ถ้าเห็นแก่ตัวก็จะสู้รบกันไปไม่มีที่สิ้นสุดในภายในนั้นเอง แม้ที่สุดแต่ว่าจะระหว่างรัฐบาล กับ สส.ผู้แทนประชาชน มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าหัว ว่ารบกันเอง ระหว่างรัฐบาลกับผู้แทนประชาชน ถ้ามีความเห็นแก่ตัว แล้วก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวที่มันมากขึ้น นี่ดูเถอะว่าไอ้สันติสุขของแต่ละคน ๆ มันก็สูญสิ้นไป สันติภาพของสังคมทั้งโลกมันก็สูญสิ้นไป
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามกำจัดความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นความเลวร้ายอันนี้ให้หมดไป สันติสุขของแต่ละคนก็จะกลับมา สันติภาพของสังคมทั้งโลกก็จะกลับมา ข้อนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก (อัพยาปัชชัง สุขัง โลเก) ความไม่เบียดเบียนกันนั้นเป็นสุขในโลก ความเบียดเบียนกันมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวไม่มีแล้ว การเบียดเบียนกันมันก็ไม่มี มันก็ไม่มีการเบียดเบียนกัน แล้วมันก็จะมีความสุขสวัสดีอยู่ในโลกเป็นพื้นฐาน จะมีนิพพานของสังคม อาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้ก็ได้ อาตมาจะกล่าวให้ได้ยินว่า นิพพานของสังคม คือ ความอยู่เย็นเป็นสุขของสังคม เรียกว่า นิพพานของสังคม ถ้านิพพานของปัจเจกชนมันมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่นี้เรามามุ่งหมายเอานิพพานของสังคม คือ คนทั้งโลกจะอยู่เย็นเป็นสุขกันได้อย่างไร ไม่มีความทุกข์ร้อน นี่เป็นนิพพานของสังคม ของสังคมโลก นิพพานของสังคมก็จะกลับมา มาเป็นนิพพานของสังคม เป็นที่น่าชื่นใจ เป็นที่น่าพอใจ ไม่มีอะไรจะน่าพอใจยิ่งไปกว่านี้แล้ว
[30:08] ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงมองดูให้ดี ๆ ว่า ความเห็นแก่ตัวทำให้เกิดวิกฤตการณ์เลวร้าย เป็นความทุกทรมานด้วยกันทุกฝ่ายวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ไม่ดับไปได้ ไม่พ้นไปได้ ไม่สิ้นสุดลงไปได้ เป็นความวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ตลอดเวลา นี่มีไฟเข้าไปเผาไหม้จิตใจของคนในโลก เป็นเหมือนกับว่ามีนรกชนิดหนึ่ง อยู่ตลอดเวลา มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว หวาดกลัวไปเสียทุกอย่าง แม้แต่ว่าหวาดกลัวว่าโลกนี้มันจะทำลายล้างกันขึ้นมาด้วยอาวุธมหาภัยนั้น นี่ก็กลัว แม้แต่เรื่องส่วนตัวก็กลัว กลัวเกิด กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวความวิบัติ กลัวความยุ่งยากหลายสิ่งหลายอย่างหลายประการ ก็ล้วนแต่กลัว ก็มีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวหาความสุขสงบไม่ได้ จงทำลายความเห็นแก่ตัว ด้วยการเลิกเข้าใจผิดว่า มีตัว อย่ามีความคิดนึกเป็นตัวกูของกูขึ้นมาแต่ประการใดเลย รู้จักชัดว่า ชีวิตมิใช่ตัว เพราะว่ารูปก็มิใช่ตัว เวทนาก็มิใช่ตัว สัญญาก็มิใช่ตัว สังขารก็มิใช่ตัว วิญญาณก็มิใช่ตัว เป็นเพียงการปรุงแต่งของธรรมชาติเข้ามากระทบกับจิต แล้วจิตก็คิดนึกรู้สึกไปอย่างนั้น ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่ได้มีตัวอะไรที่ไหน เป็นเรื่องปรุงแต่งไปตามธรรมชาติ เพราะความไม่รู้ เพราะจิตมันโง่ มันมีอวิชชา มันไม่รู้ ถ้ามันรู้ มันมีวิชชา มันก็จะไม่คิดปรุงแต่งไปในทางทำนองนั้น แล้วมันก็จะไม่รู้สึกว่ามีตัว แล้วมันก็จะไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีแต่ความสงบเย็นเป็นนิพพาน ส่วนบุคคลก็เป็นนิพพานสูงสุดไปเลย อย่างน้อยก็เป็นนิพพานของสังคม เพียงแต่อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ก็มีค่าเหลือที่จะกล่าวแล้ว
หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะรู้จักวันอาสาฬหบูชานี้ว่า เป็นวันชนะของมนุษย์ มนุษย์มีชัยชนะเหนือความทุกข์ทั้งปวง ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศไว้ แล้วก็พยายามทำตน ให้ปฏิบัติตนให้ตรงตามพระพุทธประสงค์นั้น เอาชนะความทุกข์ได้ เป็นมนุษย์ที่เอาชนะความทุกข์ได้ ความทุกข์ครอบงำเรามานานแล้ว บัดนี้เราเอาชนะได้ ก็จะมีความปิติปราโมทย์ มีความสุขที่แท้จริง ที่ควรจะได้รับกันอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
22 มิถุนายน 2530 ช่อง 7 สุราษฎร์ธานี