แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันสำคัญที่สุดของพุทธบริษัท คือ วันมาฆบูชา ได้เวียนมาถึงเข้าอีกครั้งหนึ่งในรอบปีนี้ เป็นวันที่เราจะต้องทำอะไรให้เต็มที่ ให้สมกับที่ว่าเป็นวันมาฆบูชา ในข้อแรกก็จะได้พูดกันถึงคำว่า วันมาฆบูชา คือวันอะไร โดยทั่วไปต้องถือว่าวันมาฆะชาเป็นวันพระสงฆ์ นับเนื่องกันไปกับวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันพระพุทธเจ้า แล้วก็ถึงวันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันของพระธรรม รวมความว่าเรามีวันสำหรับพระพุทธ สำหรับพระธรรม สำหรับพระสงฆ์ วันมาฆบูชาเป็นวันสำหรับพระสงฆ์ เป็นวันที่มนุษย์จะต้องรับรู้ ถ้าเขาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เขาจะต้องรับรู้ความสำคัญของวันนี้ เพราะว่าเป็นวันของยอดมนุษย์ ยอดมนุษย์ คืออะไร ยอดมนุษย์ คือ พระอรหันต์ ในบรรดามนุษย์แล้วมีความสูงสุดอยู่ที่พระอรหันต์ ดังนั้นเราก็จะต้องดูกันต่อไปอีกว่า พระอรหันต์นั้น คือใคร อาจจะแจกแจงได้เป็นหลาย ๆ ข้อ แต่ข้อสำคัญจะมีดังต่อไปนี้
[02:58] พระอรหันต์ คือ มนุษย์ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์
ฟังดูก็ชอบกลอยู่ ไม่ใช่ว่าคนเราเกิดมาก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ หรือเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม จะต้องประกอบไปด้วยคุณธรรมหลายอย่างหลายประการจนกว่าจะถึงขั้นที่เรียกว่า เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ คำว่ามนุษย์ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าหมายถึงความมีจิตใจสูง คำว่าสูงก็หมายถึงว่าไม่มีกิเลสครอบงำ ไม่มีความทุกข์ครอบงำ อยู่เหนืออำนาจของสิ่งเหล่านั้น จึงเรียกว่าสูง เมื่อมีจิตใจสูงถึงขนาดนั้นก็เรียกว่ามีความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ อีกอย่างหนึ่งก็กล่าวว่า ผู้ถึงสุดยอดของความเป็นมนุษย์ ความเต็มเปี่ยมก็หมายความอย่างหนึ่ง ความถึงที่สุดยอดก็หมายความอย่างหนึ่ง พอจะเข้าใจกันได้ไม่ยากนัก คำว่าสุดยอด หมายความว่าคุณธรรมใด ๆ ที่มนุษย์จะเป็นไปได้ถึงที่สุด หรือสูงสุดนั้นมันไปสุดอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์ มันเนื่องกับคนทั่วไปทุกคนซึ่งยังต่ำอยู่ ต่ำอยู่ แล้วค่อยสูงขึ้น ๆ จนกระทั่งถึงระดับที่สูงสุด สูงอีกไม่ได้แล้ว นั่นแหละคือยอดสุดของความเป็นมนุษย์ ก็ได้แก่บุคคลที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ คนทั่วไปไม่เข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ เลยจัดให้พระอรหันต์เป็นคนลึกลับ เป็นคนที่เข้าใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ว่า มนุษย์นี่เมื่อมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นอย่างถูกต้อง มันก็ไปสุดยอดอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง ขอให้กำหนดพิจารณาดูให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่แหละ ไม่ใช่ลึกลับ ไม่ต้องเป็นเรื่องขลัง ไม่ต้องเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องเป็นเรื่องผิดแปลกไปกว่าธรรมชาติธรรมดา หากแต่ว่ามันเป็นไปในทางสูง แล้วเมื่อถึงยอดสุดที่มนุษย์จะเป็นไปได้ ก็เรียกว่าถึงความเป็นพระอรหันต์
ทีนี้อีกนัยหนึ่งก็ว่า มนุษย์ผู้ดับไฟกิเลส ดับไฟทุกข์ได้สิ้นเชิง พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับไฟกิเลส ดับไฟทุกข์ได้สิ้นเชิง คนธรรมดาสามัญเหมือนกับอยู่ในกองไฟสองกองนั้น ไฟกิเลส คือ การกระทำผิดในทางจิตใจ คือ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วก็เผาจิตใจให้เร่าร้อน ไฟทุกข์มีผลต่อมาจากกิเลส เป็นการกระทำทุกอย่างทุกประการที่ไม่ถูกต้อง แม้แต่จะคิดก็คิดไม่ถูกต้อง จะพูดก็พูดไม่ถูกต้อง จะกระทำก็ทำไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องได้รับโทษ คือ ความทุกข์ มีความหมายว่าทนทรมานอย่างยิ่ง และยังมีความหมายว่าดูแล้วมันน่าเกลียด เพราะฉะนั้นจะไม่มุ่งหมายเฉพาะว่าทนทรมานเจ็บปวดอย่างเดียว จะมีความหมายถึงว่าเมื่อพิจารณาดูแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุด ในการที่ทำผิดไปจากแนวทางที่ควรจะกระทำ รู้จักไฟสองกองนี้ว่าไฟกิเลสนั้นคือ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นเมื่อไรก็เผาจิตใจเมื่อนั้น ไฟทุกข์ก็คือผลที่เกิดมาจากการกระทำ คิดผิด พูดผิด ทำผิด อะไรก็ตามซึ่งล้วนแต่เป็นความผิด มันก็ก่อให้เกิดปัญหาไม่ใช่เป็นทุกข์แต่ผู้ทำส่วนเดียว แม้ผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องถึงกันก็พลอยเป็นทุกข์ ถึงกับว่าเป็นทุกข์กันได้ทั้งหมด ทั้งบ้านทั้งเมือง หรือทั้งโลก เมื่อเอามารวม ๆ กันดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า โลกทั้งโลกนี่ ตามปกตินี่ยังจมอยู่ในกองไฟทั้งสองนี้ คือ ไฟกิเลส และไฟทุกข์ ส่วนพระอรหันต์นั้นดับไฟทั้งสองนี้ได้สนิท คือ เป็นผู้มีความรู้จริง ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็เลยเกิดผลเป็นผลขึ้นมา คือ ป้องกันกิเลสก็ได้ ดับกิเลสเสียก็ได้ จึงปราศจากไฟทั้งสองกองนี้ นี่แหละเรียกว่าพระอรหันต์ คือ ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ถึงยอดสุดของความเป็นมนุษย์ พระอรหันต์คือผู้ดับไฟกิเลส ดับไฟทุกข์ได้สิ้นเชิง
ทีนี้ก็จะมาดูต่อไปถึงสิ่งที่เรียกว่า วันของพระอรหันต์ หรือวันพระอรหันต์ หรือวันมาฆบูชานี่แหละ ว่ามีความสำคัญอย่างไร วันมาฆบูชา หรือวันพระอรหันต์นี่มีความสำคัญอย่างไร ใครเป็นพุทธบริษัทแล้วยังไม่รู้เรื่องนี้ ก็นับว่าเสียที คือจะยังไม่เป็นพุทธบริษัท มีความสำคัญอย่างไรวันนี้ พอที่จะดูได้เป็นสามประการอย่างน้อย วันมาฆบูชา เป็นวันที่ยืนยันในข้อที่มนุษย์สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ และไม่เหลือวิสัย วันที่ยืนยัน หรือแสดงให้เห็นปรากฏอยู่เป็นหลักฐานว่ามนุษย์นั้นสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ หรือว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้ ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย หรือจะพูดให้มันง่ายกว่านั้นก็ว่า ความเป็นพระอรหันต์นั้นก็มิใช่สิ่งที่เหลือวิสัย เพราะได้เกิดมีพระอรหันต์จำนวนมากขึ้นมาในโลก ที่ประชุมกันในวันมาฆปุณมี การมีวันนี้อยู่ในโลกก็เป็นการยืนยันให้โลกรู้ว่า มนุษย์สามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ ไม่เหลือวิสัยนี่อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็เป็นการยืนยันให้เห็นว่า มนุษย์ได้เอาชนะความทุกข์ได้แล้วในประวัติศาสตร์อันยืดยาวของมนุษย์ มนุษย์จะมีมาตั้งแต่กี่หมื่นปี แสนปีจนกระทั่งทุกวันนี้ ในประวัติศาสตร์อันยืดยาวนี้ ได้มีปรากฏการณ์อันแสดงชัดอยู่แล้วว่าได้มีมนุษย์ที่เอาชนะความทุกข์ได้แล้ว มันเป็นการยืนยันซ้ำกับในข้อแรกที่ว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้ แล้วก็ยืนยันลงไปอีกครั้งหนึ่งว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้เอาชนะได้แล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ทีนี้ดูต่อไปก็จะเห็นว่าวันสำคัญนี้ จะไม่รู้จักหรือลืมเสีย เพิกเฉยเสียก็เฉพาะคนโง่ วันสำคัญนี้จะไม่เป็นที่รู้จัก หรือรู้จักแล้วก็ลืมเสียนี่ จะเป็นอย่างนี้ได้เฉพาะมนุษย์ที่ไม่รู้สำนึกในค่าของความเป็นมนุษย์ แม้ของตนเอง ถ้าเขารู้ว่าวันนี้เป็นวันที่มีค่ามาก ที่ระลึกแก่พระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์สูงสุด และเอาชนะความทุกข์ทั้งปวงได้ในนามของมนุษย์ เขาก็จะมีจิตใจตื่นเต้นยินดีศรัทธา ปสาทะในความเป็นพระอรหันต์ พอวันสำคัญเช่นวันนั้นมาถึงเข้า เขาก็มีปิติปราโมทย์รื่นเริงบันเทิง ฉลองเหมือนกับฉลองชัยชนะของคนที่ไปรบพุ่งแล้วในสงครามแล้วชนะกลับมา คนที่ไม่รู้จักไม่เอาใจใส่วันมาฆบูชา ก็คือคนที่ไม่รู้จักค่าของความเป็นพระอรหันต์ หรือว่ามันรู้จักน้อยเกินไป พอถึงวันนั้นมันยังแกล้งทำลืมเสียได้ มันทำลืมเสียได้ ไม่สนใจจะทำอะไรให้ดีที่สุด หรือสุดความสามารถของตน ตามที่ควรจะมี นี่แหละสรุปความว่า
[15:15] วันพระอรหันต์ หรือวันมาฆบูชานั้นมีความสำคัญ คือ เป็นเครื่องยืนยันแล้วแน่ใจว่ามนุษย์สามารถเอาชนะความทุกข์ได้ หนึ่ง แล้วก็ยืนยันให้เราทราบว่าชัยชนะนั้น มนุษย์ได้เอาชนะได้แล้ว หนึ่ง แล้วว่าเป็นวันที่จะลืม หรือไม่รู้จัก หรือจะลืมเสียก็เฉพาะคนโง่ที่ไม่รู้จักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ นี่อีกหนึ่ง รวมเป็นสามประการ
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า เราจะมีการรับรู้ และมีการฉลองชัยชนะแห่งวันนี้กันอย่างไร เมื่อวันมาฆบูชา หรือวันพระอรหันต์เป็นวันสำคัญดังที่กล่าวมาแล้ว ก็มาถึงปัญหาที่ว่าเราจะรับรู้วันนี้กันอย่างไร จะฉลองวันนี้กันอย่างไรให้สมกับความเป็นพุทธบริษัทของเรา และให้สมกับความที่พระอรหันต์เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐถึงที่สุด หรือเป็นยอดของมนุษย์ ข้อนี้ขอจำแนกออกเป็นสามประการ เราจะฉลองหรือจะรับรู้กันโดยสามประการ คือ โดยใจ โดยวาจา และโดยกาย พูดกลับจากที่เขาพูด ๆ กัน เขาพูดกันว่าโดยกาย วาจา ใจ เราจะพูดว่าโดยใจโดยวาจา และโดยกาย ที่พูดถึงใจก่อน เพราะมันเป็นต้นเหตุ เป็นเงื่อนต้นที่จะทำให้เกิดการกระทำทางวาจา หรือทางกาย เราจะรับรู้ และฉลองวันนี้กันโดยทางใจ คือ ระลึกนึกถึงด้วยจิตใจทั้งหมดว่าเป็นวันสำคัญดังที่กล่าวแล้ว แล้วก็มีจิตใจบูชาสักการะด้วยความรู้สึก เป็นปฏิบัติบูชาอยู่ในใจ เรียกว่าบูชาพระอรหันต์ แล้วก็มีใจที่รู้สึกกตัญญูต่อคุณของพระอรหันต์ พระอรหันต์มีอยู่ในโลก เพื่อทำให้โลกนี้เย็นไม่เป็นไฟ เพียงแต่ท่านอยู่ให้ดูเท่านั้นแหละไม่ต้องทำอะไรก็มีพระคุณเหลือหลาย ท่านอยู่ให้ดูว่าอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ไม่มีความทุกข์ เพียงเท่านี้ก็เป็นพระคุณเหลือหลาย เราก็รู้ในพระคุณนั้นแล้วก็กตัญญูอย่างยิ่ง นี่ตอบแทน แล้วมีใจที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะดำเนินตามปฏิปทา ร่องรอยของพระอรหันต์มีอยู่อย่างไร เราก็ตั้งใจที่จะดำเนินตาม หรือทำตามรอยของพระอรหันต์ นี่แหละโดยส่วนใจ เราจะต้องระลึกนึกถึงท่าน บูชาคุณของท่าน มีความกตัญญูในพระคุณของท่าน และตั้งใจจะเดินตามท่าน นี่โดยจิตใจ
ทีนี้โดยวาจา แล้วเราก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยวาจา ซึ่งก็มาจากใจนั่นแหละ เมื่อจิตใจเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็แสดงออกมาทางวาจา สรรเสริญพระคุณของท่าน สวดสรรเสริญพระคุณของพระอรหันต์ หรือพูดจา หรือบรรยาย หรืออภิปรายทุกอย่างด้วยวาจาในพระคุณของพระอรหันต์ นี่เรียกว่าสรรเสริญพระคุณของท่านด้วยวาจา แล้วก็กล่าววาจาปฏิญญาว่าจะทำตามท่าน จะเดินตามรอยของพระอรหันต์นี้ด้วยวาจา แล้วก็ใช้ปากนั่นแหละสารภาพบาปที่ได้ทำผิด ที่เคยโง่ เคยหลง แล้วเคยพูดจ้วงจาบพระอรหันต์ ปากนี้ก็จะต้องสารภาพผิดขอโทษเพื่อความสำรวมระวังในการต่อไป นี่เรียกว่าทำด้วยวาจา คือสรรเสริญพระคุณของท่าน ปฏิญญาจะเดินตามท่าน แล้วก็สารภาพผิดที่ได้ล่วงเกินพลั้งพลาด แม้ต่อไปข้างหน้าก็ยังไม่แน่ว่ามันจะไม่มี มันยังเป็นคนธรรมดาสามัญอยู่ มันก็ยังแสดงอาการลบหลู่พระอรหันต์อยู่ ไม่ต้องอะไรล่ะ ถ้ายังกินเหล้า ถ้ายังเล่นไพ่อยู่ นี่ก็คือคนร้องเยาะเย้ย ท้าทายเยาะเย้ยพระอรหันต์ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่กินเหล้าอยู่ เล่นไพ่อยู่ หรืออะไร ๆ ทุกอย่างที่มันคล้ายกัน เพียงแต่ทำเท่านั้นเป็นการเยาะเย้ยท้าทายพระอรหันต์ ซึ่งท่านสอนไปอย่างตรงกันข้าม นี่วาจา โดยวาจาสารภาพบาปล่วงเกินที่ล่วงเกิน แล้วตั้งใจต้องระวังไม่ให้มีอีกต่อไป
ทีนี้ด้วยกาย มาถึงทางกาย เราจะประพฤติธรรมมะตามครรลองคลองธรรมสำหรับพระอรหันต์ที่สอนกันไว้อย่างไร ซึ่งมีมากมายหลายสิบหลายร้อยหลายพันประการ แต่จะขอสรุปใจความสั้น ๆ ว่า เราจะทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ดีที่สุด ให้สุดยอด ให้สุดเหวี่ยงทีเดียว เพราะพระอรหันต์เป็นยอดมนุษย์ เราก็จะประพฤติตามท่านในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องให้ถึงยอดของความเป็นมนุษย์ โดยการกระทำทางกาย รวมความว่าทางใจก็ทำ ทางวาจาก็ทำ ทางกายก็ทำ เพื่อให้ทุกอย่างคล้อยไปตามคุณภาพ คุณธรรมของพระอรหันต์
ทีนี้ก็จะมาดูต่อไปถึงโอวาทปาฏิโมกข์ คือ คำสอนสำคัญที่พระพุทธองค์ได้ตรัสในวันมาฆบูชา เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศในท่ามกลางที่ประชุมของพระอรหันต์ เป็นการประดิษฐานแนวทางที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ และประกาศไปในท่ามกลางที่ประชุมพระอรหันต์ เป็นการประมวลหลักแห่งมนุษยธรรม สำหรับความดับทุกข์ทุกชนิด สำหรับความดับทุกข์ทุกชนิด ขอให้ฟังให้ดีว่าดับทุกข์ทุกชนิด นี่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ มีอยู่สามข้อ
ข้อหนึ่ง เว้นจากบาปทั้งปวง บาปทั้งปวง บาปทั้งปวง คำนี้มีใจความกว้างขวางมาก บางคนไม่รู้ หรือไม่รู้สักกี่มากน้อย อยากจะระบุไปตั้งแต่ชั้นต้น ชั้นต่ำที่สุด ก็คือการไม่กระทำหน้าที่ที่ควรจะกระทำ นี่ฟังดูให้ดีว่าไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะกระทำนั่นแหละตัวบาป ตัวบาปอย่างยิ่งแหละ หน้าที่ที่ต้องกระทำเพื่อความเป็นมนุษย์ก็ดี เพื่อตัวเองก็ดี เพื่อผู้อื่นก็ดี นั่นเรียกว่าหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่นั้นเรียกว่าเป็นคนบาป เพราะไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะกระทำ มนุษย์จะต้องทำอะไรบ้าง ก็ต้องทำ เมื่อการทำหน้าที่มีอยู่ ก็เรียกว่าประพฤติธรรม ประพฤติธรรม ดังนั้นการเกียจคร้านจึงเป็นบาปอย่างยิ่งอยู่ในตัว การแกล้งเฉยเมยไม่รู้ไม่ชี้ในหน้าที่ของมนุษย์นี่เป็นบาปอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าบาปใด ๆ เพราะว่ามันไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำต่อไป ไปฆ่าเขาไปขโมยเขาไปล่วงเกินของรักเขาอะไรก็ตาม เพราะมันไม่ทำหน้าที่ที่ควรกระทำ มันก็ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นี่เรียกว่าบาป ดังนั้นขอให้เว้นบาปทุกชนิด แม้ที่สุดแต่บาปในการที่ขี้เกียจในหน้าที่ของมนุษย์
ทีนี้ข้อสอง ทำดีทุกอย่างทุกประการ มีความถูกต้องอยู่ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอิริยาบถ ช่วยจำคำสามคำนี้ไว้ให้ดีเถอะว่าทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอิรียาบท เมื่อกล่าวถึงเวลา ก็ทุกวินาที เมื่อกล่าวถึงพื้นที่ ก็ทุกกระเบียดนิ้ว และเมื่อกล่าวถึงอาการ ก็คือทุก ๆ อิริยาบถ เราจะต้องทำความดี คือ ความถูกต้องของความเป็นมนุษย์อยู่ทุกนาที ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอิริยาบถ นับตั้งแต่ว่าตื่นนอนขึ้นมา มีการกระทำถูกต้องหมดในการที่จะล้างหน้าล้างตา จะอาบน้ำ จะกินข้าว จะถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ จะไปทำงาน ทำงานตลอดเวลากลับมา จะต้องกินข้าวกินปลาจะต้องอาบน้ำอาบท่าอะไรอีก จนกว่าจะเข้านอน มีแต่ความถูกต้องทั้งนั้น นี่ความดีทุกอย่าง ทำทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที ทุกอิริยาบถ อย่าเข้าใจว่าต้องไปทำที่วัด หรือทำเฉพาะที่วัด หรือทำอย่างที่เขาเรียกกันว่าดี เพราะคนเหล่านั้นมันไม่รู้ว่าดีอยู่ที่ตรงไหน ขอให้จำไว้อย่างเด็ดขาดว่า ที่ว่าดี ๆ มันอยู่ที่หน้าที่ เมื่อทำหน้าที่แล้วก็ดี แม้จะเป็นขอทาน ขอทานให้ดี ไม่เท่าไหร่ก็พ้นจากความเป็นคนขอทาน แม้คนขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็เรียกว่านั่งทำความดีได้ถ้าเขาทำอย่างถูกต้อง
ข้อสาม มีจิตสะอาด ปราศจากกิเลศ คือ ฉลาดพอที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกชั่วร้ายขึ้นมาในใจ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มีอวิชชาเป็นมูล แล้วก็หลงรัก มีอวิชชาเป็นมูล แล้วก็หลงเกลียด หลงโกรธ หลงกลัว นี่เรียกว่ามันมีกิเลส กิเลสคำนี้แปลว่าของสกปรก แต่มองถึงจิตใจ มองในด้านจิตใจเป็นของสกปรกแก่จิตใจ เป็นราคะ โทสะ โมหะ เป็นของสกปรก กิเลสที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้วุ่นวายกันทั้งโลกนั้น คือ ความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตัว ความโง่ ความหลง รู้จักแต่ความสนุกสนานของตัว เห็นแก่ตัว จนถึงกับทำการปล้นจี้ฆ่าผู้อื่นเอาทรัพย์สมบัติเขามาเพื่อแสวงหาความสุขแก่ตัว นี่อย่างเลวร้ายที่สุด อย่างเลวร้ายที่สุด ความเห็นแก่ตัวใด ๆ ที่เรารู้จักกันในนามว่าความเห็นแก่ตัวแล้ว จงเลิกเสียเถิด เป็นการทำจิตให้สะอาดปราศจากความเศร้าหมองเป็นสามประการ ว่าเว้นเสียซึ่งความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ครบถ้วนทุกอย่าง แล้วทำจิตให้สะอาดปราศจากกิเลสอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นประมวลมนุษยธรรม เป็นมนุษยธรรมที่ประมวลได้เป็นสามข้อ หรือสามอย่างดังนี้
ทีนี้ก็ดูกันในที่สุดว่าวันมาฆบูชานี่เป็นวันพระสงฆ์ คือ เป็นวันของพระอรหันต์ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์ ผู้ถึงยอดสุดของความเป็นมนุษย์ ผู้ดับไฟทุกข์ไฟกิเลสเสียได้ วันนี้มีความสำคัญที่ยืนยันให้มนุษย์ได้ภาคภูมิใจว่าได้ชนะกิเลสได้ และมีตัวอย่างของผู้ชนะกิเลสได้ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย จะมีกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นองค์ก็ตามใจ เป็นวันที่ลืมเสียไม่ได้ ถ้าลืม หรือแกล้งลืม หรือไม่รู้จักนี่ก็เป็นคนโง่ ไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ว่ามันดีอยู่ที่ตรงนี้ ทีนี้จะต้องตอบสนองความสำคัญของวันนี้ด้วยใจ ด้วยกาย ด้วยใจ ด้วยวาจา ด้วยกาย ใจระลึกนึกถึงบูชากตัญญูตั้งใจจะเดินตามพระอรหันต์ วาจาสรรเสริญคุณของพระอรหันต์อยู่ ปฏิญญาว่าจะทำตาม แล้วก็สารภาพบาปที่ได้พลั้งพลาดทำผิดไปในลักษณะเป็นการจ้วงจาบพระอรหันต์ ส่วนด้วยกาย คือ ประพฤติธรรม ทำหน้าที่ทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุด สำหรับความเป็นมนุษย์
ทีนี้จะเป็นหัวข้ออีกทางหนึ่งเรียกว่า ประธานแห่งโอวาท โอวาทปาฏิโมกข์ ประธานแห่งโอวาท โอวาททั้งหลาย ทั้งหลายที่มีแปดหมื่นสี่พันข้อ คือ เท่าไรก็ตามใจ ประมวลลงมาได้เป็นใจความสั้น ๆ ในหลักปฏิบัติว่า เว้นบาปทั้งปวง ทำดีทุกอย่าง ทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่ารู้จักวันสำคัญ หากความสำคัญของวันมาฆบูชา และรู้จักยอดมนุษย์ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย รู้จักชัยชนะของมนุษย์ เป็นวันที่มนุษย์ชนะกิเลสมาร และรู้ว่ามีหน้าที่ที่จะต้องสืบสนองชัยชนะนั้น เราอย่าเป็นคนโง่ เราอย่าเป็นคนพาล เราอย่าเป็นคนหลง แต่เราจะทำสืบทอดการกระทำอย่างที่พระอรหันต์ท่านได้กระทำ ให้เกิดผลเป็นความสุขขึ้นแก่มวลมนุษย์ ขอให้ท่านสาธุชนทั้งหลาย จงได้เข้าใจเรื่องราวของพระอรหันต์ และวันพระอรหันต์ในลักษณะที่กล่าวมา แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติตามหน้าที่ของพุทธบริษัท ที่จะต้องรับสนองรับรู้รับปฏิบัติตามให้สมควรแก่กัน และกันแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีการเทอญ