แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสแห่งวิสาขบูชาได้เวียนมาถึงอีกแล้ว ขอให้เราทั้งหลายจงตั้งใจประกอบพิธีวิสาขบูชาให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมายแห่งความเป็นพุทธบริษัทของเราเถิด พิธีวิสาขบูชาคือพิธีที่พุทธบริษัทประกอบขึ้นเป็นที่ระลึกถึง และบูชาแก่พระพุทธองค์ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และช่วยผู้อื่นให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้อีกด้วย เป็นเครื่องระลึกถึงและบูชาแก่การตรัสรู้ของพระองค์ คือการเกิดขึ้นแห่งแสงสว่างในโลก และเป็นที่ระลึกถึง บูชาแก่สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ รู้ธรรมะ รู้สูตร คือกฏของธรรมชาติ อันเป็นเครื่องดับทุกข์ได้ หมายถึงธรรมะที่เรียกกันในชั้นหลังนี้ว่า “อิทัปปัจจยตา” และขอให้เราได้ประกอบพิธีนี้เป็นเครื่องระลึกถึงและบูชา เป็นการฉลองชัยชนะของมนุษย์ที่มีต่อข้าศึกของมนุษย์ที่เราเรียกกันว่า”มาร” วันนี้ประกอบพิธีกันอย่างนี้ รวมกันแล้วเรียกว่าประกอบพิธีในวันพระพุทธเจ้าคู่กันกับวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันพระธรรม และวันมาฆบูชาซึ่งเป็นวันพระสงฆ์ ทีนี้ก็จะได้พิจารณากันถึงเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในวันนี้ ขอให้ทราบว่าการตรัสรู้นั่นแหละเป็นใจความสำคัญของวันนี้ ที่พูดกันว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้และนิพพาน สามเหตุการณ์รวมกันอยู่ เหตุการณ์ทั้งสามนี้ถ้ากล่าวโดยภาษาคน ก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวเป็นภาษาธรรมก็เป็นอีกอย่างหนี่ง โดยภาษาคนคือมีสามเหตุการณ์ ประสูตร แล้วก็ต่อมาอีก ๓๕ ปีจึงตรัสรู้ ต่อมาอีก ๔๕ ปีจึงจะปรินิพพาน นี่เรียกว่ากล่าวโดยภาษาคน ถ้ากล่าวโดยภาษาธรรมแล้วกลายเป็นสิ่งเดียวกันมีพร้อมกันในวันนั้นดังจะได้วินิจฉัยให้ฟังว่า การตรัสรู้นั้นเป็นใจความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะว่าการตรัสรู้นั้นทำให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา การตรัสรู้นั้นทำให้มีการดับไปแห่งกิเลส การตรัสรู้อย่างเดียวเป็นเหตุให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นเหตุให้กิเลสดับสิ้นไปที่เรียกว่านิพพาน ทั้งสามอย่างมีพร้อมกันเหมือนกับว่าเราจุดไฟขึ้นพรึบไฟลุกก็ให้แสงสว่าง และกำจัดความมืดพร้อมกันไปในตัวในคร่าวเดียวกัน เหมือนกับว่าสิ่งเดียวประกอบอยู่ด้วยองค์สามประการ ฉะนั้นที่ว่าตรัสรู้นั้น ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าโดยวิธีโอปปาติกะ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะลับหายไป หรือจะเรียกว่าเจ้าชายสิทธัตถะตายไป แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เรียกว่านิพพาน เจ้าชายสิทธัตถะหายไปพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแทนด้วยการตรัสรู้นั้น การเกิดอย่างนี้แหละที่เรียกว่าเป็นโอปปาติกะ เป็นการอุบัติขึ้นซึ่งเราได้ยินได้ฟังกันอยู่ทั่วไปว่า พระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ก็คือการเกิดแห่งอย่างนี้ การตรัสรู้ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าอย่างนี้ และทำให้กิเลสดับไปไม่มีเหลือซึ่งเรียกว่า “ปรินิพพาน” การปรินิพพานก็มีในขณะแห่งการตรัสรู้การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็มีในขณะแห่งการตรัสรู้จึงเป็นสิ่งเดียวกันในสามความหมายคือว่า ตรัสรู้ทำให้เกิดพระพุทธเจ้า และทำให้กิเลสนิพพานไป นี่เรียกว่าการตรัสรู้ที่แท้จริงที่มีความหมายสมบูรณ์ ข้อที่จะกล่าวต่อไปก็คือว่าท่านทั้งหลายอย่าได้เข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานไม่ได้ กิเลสต่างหากที่ปรินิพพานไป แม้คนเขาจะพูดกันว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นภาษาที่กำกวมหรือใช่ไม่ได้ คนไม่รู้มันพูด ถ้าคนรู้ก็จะต้องพูดว่าขันธ์ของพระองค์ดับไปด้วยนิพพานธาตุ ก็เรียกว่าปรินิพพานแห่งขันธ์ กิเลสดับไปโดยนิพพานธาตุก็พูดว่ากิเลสดับไปโดยปรินิพพานธาตุ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นดับไม่ได้ นิพพานก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้ายังอยู่ ยังอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้และอยู่กับเรา กิเลสหรือความทุกข์หรือเบญจขันธ์จะดับไปก็ตามใจ ตัวตนคือกิเลสดับไปก็ตามใจนั้นเรียกว่านิพพาน แต่พระพุทธเจ้าดับไม่ได้ นิพพานไม่ได้คือจะต้องอยู่กับเราจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อยากจะขอถามว่าพวกเราจะมีพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานแล้ว หรือจะมีพระพุทธเจ้าที่ยังอยู่กับเราเดี๋ยวนี้กันดี อันไหนดี ระวังจะให้คนต่างชาติต่างศาสนาเขาหัวเราะเยาะว่าพุทธบริษัทนี้มีพระศาสดาที่ปรินิพพานแล้วแต่เขามีพระเจ้าหรือพระศาสดาที่ยังอยู่ นี่ระวังให้ดีอย่าให้พุทธบริษัทตกเป็นผู้ที่น่าหัวเราะเยาะอย่างนี้ กิเลสดับไป ความทุกข์ดับไป ร่างกายดับไปนั้นก็เรียกว่านิพพาน แต่องค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ใช้เปลือกชนิดนั้นๆต้องยังอยู่ พระองค์จะต้องอยู่กับเราตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายชอบแขวนพระเครื่องที่คออยู่ตลอดเวลาก็ขอให้เป็นว่า พระพุทธเจ้ายังอยู่กับเราตลอดเวลาเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านอยู่กับเราตลอดเวลาอย่างไร เมื่อไร ที่ไหน ก็ขอให้ใคร่ครวญสักนิดหนึ่งว่า ท่านอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรามีปัญญาในการดับทุกข์ ดับทุกข์ได้ทุกชนิดไม่ว่าความทุกข์ชนิดไหนมีปัญญาดับทุกข์ได้ ทุกเวลาไม่ว่าเวลาไหน และทุกสถานที่ไม่จำกัดว่าที่ไหน การดับทุกข์มีได้ทุกชนิดทุกเวลา ทุกสถานที่ ถ้าเรามีปัญญาชนิดนี้ นี่เรียกว่ามีปัญญานี้อยู่กับตัวก็คือมีพระพุทธเจ้าอยู่กับตัว ขอให้เรามองและเห็นพระพุทธเจ้ากันในลักษณะนี้เถิด จะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท หรือจะกล่าวอย่างหนึ่งก็ว่า เมื่อเรามีสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้อยู่กับเราตลอดเวลาอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นคือตรัสรู้กฏอิทัปปัจจยตา ท่านตรัสรู้แล้วก็ทรงถือเอาเป็นสิ่งที่เคารพของพระองค์และพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีกฏอิทัปปัจยตาเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องเป็นที่เคารพของพุทธบริษัททั้งหลายด้วย เรามีสิ่งที่ท่านตรัสรู้และเคารพนั่นแหละอยู่กับเราตลอดเวลา เรารู้เรื่องอิทัปปัจยตาคือว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร และความดับทุกข์มันดับไปอย่างไร ถ้ารู้สิ่งนี้ปฏิบัติตามสิ่งนี้มีผลอยู่อย่างนี้เรียกว่า มีสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้และเคารพนั้นอยู่กับเรา เราปฏิบัติกฏอิทัปปัจยตาโดยสมบูรณ์ก็คือว่ามีสติ ไม่ประพฤติผิด ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ คือเมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อย่างไร เมื่อไร เกิดวิญญาณมีผัสสะขึ้นมาแล้วอย่าทำผิด คืออย่าเผลอสติ อย่าขาดสติในขณะผัสสะ ควบคุมผัสสะไว้ให้ได้ อย่าให้โง่ อย่าให้กลายเป็นผัสสะของอวิชชา มันก็ไม่ปรุงเวทนาที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ไม่ปรุงตัณหาให้เกิดความอยาก แล้วก็ไม่ปรุงให้เกิดอุปปาทาน ดังนั้นจึงไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น ปฏิบัติอย่างนี้คือ ปฏิบัติหัวใจของพระพุทธศาสนา ขอให้สนใจเป็นพิเศษนิดเดียวเท่านั้นแหละว่าอย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ แล้วก็จะไม่มีความทุกข์เลย อะไรมากระทบตาก็อย่าเข้าใจผิดและกระทำผิด อะไรมากระทบหูก็อย่าเข้าใจผิดและกระทำผิด อย่างนี้ทั้งหกอายตนะ และเราก็จะมีจิตปกติ ขอให้สนใจเป็นพิเศษในคำนี้ที่ว่า”จิตปกติ” ขอให้มีจิตปกติคือ จิตไม่ถูกปรุงแต่งจนเกิดกิเลสและเกิดทุกข์ จิตอยู่ในสภาพที่ไม่ถูกปรุงแต่งให้เกิดกิเลสและเกิดทุกข์นี้เรียกว่า “ปกติ” เป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตหลุดพ้นจากความทุกข์ไม่มีปัญหาใดๆ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานว่าตัวกู ว่าของกูในสิ่งใด อย่างนี้เรียกว่ามีจิตปกติ จิตปกติฟังให้ดีๆเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มาดูกันถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า จิตปกติ คือจิตไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิมเมื่อยังไม่มีกิเลส ก็หมายความว่ายังไม่มีกิเลสยังมีลักษณะเป็นประภัสสร คือเป็นแดนซ่านออกแห่งรัศมีเพราะไม่มีกิเลส จึงไม่ปรุงแต่งความทุกข์ใดๆ ขึ้นมา คือไม่ได้ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ คือความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหึงหวง อะไรต่างๆ นานาอีกมากมายหลายชื่อ อย่าได้เกิดกิเลสเหล่านี้ขึ้นมา จึงจะเรียกว่าจิตปกติ ถ้าจิตเป็นปกติแล้วก็จะไม่เกิดความผิดปกติทางกาย คือกายก็จะปกติ ถ้าจิตผิดปกติ กายก็จะผิดปกติ เหมือนอย่างว่าเสียใจมาก หรือโกรธมาก ก็กินข้าวไม่ลง ขืนกินเข้าไปเวลานั้นจะต้องตาย เพราะว่าจิตผิดปกติจนถึงกับรักมาก โกรธมาก เกลียดมากนั้น ร่างกายมันก็ผิดปกติถึงกับสร้างสารเคมีที่ทำความผิดปกติให้แก่ร่างกายเกิดขึ้นในลำไส้ ในกระเพาะ หรือทุกๆระบบของร่างกายมันจึงกินข้าวไม่ลง มันจึงเวียนหัวเวียนตา คลื่นไส้อาเจียนกันไปตามเรื่องนั่น เพราะจิตผิดปกติและร่างกายก็ผิดปกติ ถ้าควบคุมจิตให้ปกติไว้ได้จริงๆ ร่างกายก็ไม่ผิดปกติ คือไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ ดังนั้นพวกโยคีจึงกินยาพิษได้ คำว่าพวกโยคีในที่นี่หมายถึง ผู้ที่บังคับจิตได้สูงสุดไม่ผิดปกติแต่ประการใด ถ้ามีจิตปกติกินยาพิษเข้าไป จิตปกตินั่นควบคุมความปกติของร่างกาย ของลำไส้ ของกระเพาะ ของทุกส่วนไม่ให้ผิดปกติ ยาพิษมันก็เป็นหมันไป ไม่ได้ออกฤทธิ์ ไม่ได้มีฤทธิ์แก่ร่างกายส่วนนั้น โยคีชนิดนี้จึงกินยาพิษได้และไม่ต้องตาย นั่นแหละขอให้สังเกตดูว่า ความมีจิตปกตินั่นมีคุณค่าอย่างไร เราถ้ามีจิตปกติ ก็ไม่เกิดความรู้สึกคิดนึกที่เป็นทุกข์แล้วร่างกายก็จะสบายดี ขอให้พุทธบริษัทมีจิตปกติสมแก่ความเป็นพุทธบริษัทของตน นี่เราจะดูกันต่อไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ วิสาขบูชา พิธีประกอบขึ้นนี้เพื่อฉลองชัยชนะของมนุษย์โดยที่มีพระองค์เป็นผู้นำ ก่อนนี้มนุษย์มีแต่ความพ่ายแพ้ พ่ายแพ้แก่กิเลส เป็นทุกข์กันเต็มที่เลย พอพระองค์ตรัสรู้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลกก็มีการชนะกิเลสเด็ดขาดเป็นครั้งแรก กิเลสที่เรียกกันว่ามาร พญามารอะไรก็ตามนั่นนะมันถูกกำจัดไปโดยการตรัสรู้ของพระองค์ เรียกว่าพระองค์ชนะมารเป็นครั้งแรก นี้มันในนามของมนุษย์เพราะพระองค์ก็เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นชัยชนะที่เกิดขึ้นแก่พระองค์ คือพระองค์ได้กระทำให้มีขึ้นก็เป็นชัยชนะของมนุษย์ทั้งปวง เราจึงถือว่าวันนี้เป็นวันที่มนุษย์มีชัยชนะต่อสิ่งที่เราเคยพ่ายแพ้มาตลอดเวลา นี่พระองค์เป็นผู้ทำให้เกิดชัยชนะขึ้นในหมู่มนุษย์ต่อข้าศึกศัตรูคือพญามาร ยิ่งกว่านั้นการตรัสรู้ของพระองค์ได้ทำให้พระองค์ ทำให้เรามนุษย์เนี่ยรู้เรื่องสิ่งต่างๆที่มีอยู่ก่อนหน้านั่นดีกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนเราแพ้แก่พญามาร แก่กิเลส เดี๋ยวนี้เราก็ชนะ แต่มันไม่มีเพียงเท่านั้นมันยังมีเรื่องอื่นอีก คือได้รู้เรื่องที่ควรรู้มากขึ้น ดีขึ้น ก่อนนี้เขารู้เรื่องนรก สวรรค์ เทวดากันอย่างไร ก็รู้เท่านั้น คือรู้ว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า เทวดาก็อยู่ที่โลกเทวดา นี่เขาพูดกันอยู่อย่างนี้ เขาสอนกันอยู่อย่างนี้ เขาเชื่อกันอยู่อย่างนี้ ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ท่านก็ไม่คัดค้าน ไม่ไปทะเลาะให้คนพวกนั้น ท่านกลับเสริมให้เต็มไปอีกว่าถ้าอยากจะให้เป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทวดาที่ดี ไม่ตกนรกกันแล้วต้องทำอย่างนี้ๆ ก็จะได้สวรรค์สมตามที่แกต้องการ ไม่ตกนรกตามที่แกต้องการ แต่ว่ายังมีนรก สวรรค์อย่างอื่นอีก ที่สำคัญกว่านั้นที่จำเป็นกว่านั้น คือนรกที่เป็นไปทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระองค์ตรัสว่านรกที่เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันเห็นแล้ว สวรรค์ที่เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันเห็นแล้ว พระองค์ตรัสว่าฉันเห็นแล้ว ก็หมายความว่า ฉันเห็นแปลกไปจากที่ท่านทั้งหลายได้เคยเห็นกันมาแต่ก่อน ชี้ว่าเมื่อทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นไฟเป็นทุกข์เกิดขึ้นมาที่นั่น เนี่ยรุนแรงกว่า สำคัญกว่า จำเป็นกว่า อยู่ใกล้ตัวหรือชิดตัวกว่าแหล่ะ เดี๋ยวนี้เองไม่ใช่ต้องรอต่อตายแล้ว ฉะนั้นอย่าทำผิดในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีผัสสะก็จะไม่ตกนรก แล้วก็ว่าทำให้ถูกต้องเมื่อมีผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะเป็นสวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ พออาตมานำเรื่องนี้ในพระคัมภีร์มาบอกมากล่าวกัน อาตมาต้องรับบาป เขาด่าว่าสอนเรื่องอะไรก็ไม่รู้นอกคัมภีร์ว่าเอาเองเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ก็ยังมีคนด่าอยู่ทุกวัน ว่าเอาเรื่องที่ไม่ใช่พุทธศาสนมาสอน และยังแถมหาว่าเป็นกว่านั้นว่าอาตมายกเลิกไอ้นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า นั่นน่ะคนบ้ามันพูด จะต้องไปยกเลิกทำไมเล่า เขามีกันอยู่ก่อนอย่างไรก็เชื่อกันไป แต่เราจะบอกให้รู้สิ่งที่จำเป็นกว่า รีบด่วนกว่า อันตรายกว่า และอยู่ในเงื้อมมือที่เราจะแก้ไขได้ ถ้ามันอยู่ใต้ดิน หรืออยู่บนฟ้า แล้วจะถึงกันต่อตายแล้วนั้นจะไปจัดการอะไรได้ เดี๋ยวนี้มันอยู่ในอำนาจที่เราจะจัดการได้ เพราะมันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็ควบคุมนรกได้ เราก็ทำให้มีสวรรค์ได้ เนี่ยพระพุทธเจ้าท่านได้ชี้แนะให้เห็นไอ้สิ่งที่ดีกว่า จำเป็นกว่า ด่วนกว่า อันตรายกว่า หรือว่ามีประโยชน์กว่า คือสิ่งที่เป็นไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสันทิฏฐิโกคือเห็นได้ด้วยตนเอง และควบคุมได้ด้วยการควบคุมจิด และเป็นอกาลิโกไม่ต้องรอ ไม่ต้องคอย ทำผิดก็ตกนรกกันเดี๋ยวนี้ ทำถูกก็เป็นสวรรค์กันเดี๋ยวนี้ นี่แหละของที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และนำมาสอนมาเพิ่มเติมให้แก่พวกเรา แปลกไปจากที่เขารู้กันอยู่ก่อนพระองค์เกิด ท่านสอนให้รู้สิ่งสูงสุดอย่างนี้ ดับทุกข์ได้อย่างนี้คือ พระนิพพาน(เสียงขาดๆ หายๆ) ว่าไฟแห่งกิเลส.......ข้อนี้มีใจความสำคัญคือว่างจากการยึดถือ หากไปยึดถือสิ่งใด..........ถ้าถามว่า เป็นตัวกูว่าเป็นของกูจิตที่ยึดถืออย่างนี้เป็นจิตไม่ว่าง.....ถ้าจิตยึดถือสิ่งใด ว่างจากความยึดถืออยู่ก็ไม่เกิดกิเลส (นาทีที่ 0:24:24-0:25:17) ... .......ก็ไม่เกิดความทุกข์ นี่คือนิพพานว่าในบทว่า นิพพานว่างอย่างยิ่ง คือว่างอย่างที่ว่ามา นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่มีความทุกข์เลย นิพพานเป็นบรมธรรม คือเป็นธรรมะสูงสุด ไม่มีธรรมะใดจะยิ่งไปกว่าธรรมะนี้ พระองค์ได้เปิดเผยแจกแจงสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ที่พระองค์ทรงค้นพบในวันที่ตรัสรู้นั้นเองให้แก่พวกเราสืบมาจนกระทั้งบัดนี้ ทำให้รู้หลายสิ่งที่ไม่เคยรู้มาแต่ก่อน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นสิ่งเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะรู้ เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็เลยรู้สิ่งเหล่านี้นี่เรียกว่า เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้แก่เรา ขอให้เราทุกคนจงต้อนรับวันนี้ คือวันวิสาขปุณณมี เพ็ญเดือนวิสาขะนี้ในลักษณะเป็นวันสำคัญที่สุด คือมีการตรัสรู้ของพระสิทธัตถะ พอพระสิทธัตถะตรัสรู้แล้ว พระสิทธัตถะก็ตายไปทันที พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดขึ้น นี้เรียกว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นวันที่ตรัสรู้นั่นเอง ไม่ใช่เมื่อ ๓๕ ปีก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะคลอดจากท้องมารดา นั้นมันเรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ใช่การเกิดของพระพุทธเจ้าเป็นการเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่วันนี้เป็นวันเกิด การเกิดของพระพุทธเจ้าคือเกิดพระพุทธเจ้า เกิดเพราะการตรัสรู้ เพราะมีการตรัสรู้ กิเลสก็นิพพาน ด้วยนิพพานธาตุ การยึดถือว่าตัวตนก็ดับ ก็คือการนิพพาน นิพพานแห่งตัวตน นิพพานแห่งกิเลส นิพพานธาตุอันนี้จะยังอยู่ และอยู่ต่อไปจนถึงวาระสุดท้าย คือดับขันธ์ ดับขันธ์ ขันธ์ดับด้วยนิพพานธาตุ แต่พระพุทธเจ้าไม่ดับ พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระพุทธเจ้าไม่นิพพานนี่ เราพูดกันให้ถูกต้องต้องพูดอย่างนี้ ถ้ามองเห็นความจริงก็ต้องพูดอย่างนี้ว่าพระพุทธเจ้านั้นนิพพานไม่ได้ จึงอยู่กับเราอยู่ตลอดเวลาจนถึงวันนี้ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับไปอย่างไรโดยชัดแจ้งนั่นแหละ เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นการเกิดทุกข์ และเห็นการดับแห่งทุกข์ นี่คือเห็นธรรม คือเห็นพระองค์ สิ่งนี้ยังอยู่จนกระทั่งวันนี้และจะอยู่ต่อไปตลอดกาลนิรันดร มันมีอยู่แต่ว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็นเท่านั่น สิ่งนี้จะยังคงอยู่ ขอให้เราต้อนรับวันวิสาขบูชานี้ ให้มีส่วนได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในวันนี้ มีการเกิดในชีวิตใหม่เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าเกิด เหมือนอย่างเจ้าชายสิทธัตถะตายไปแล้วก็เกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้พวกเราคนโง่ๆ ก็จงตายไปแล้วก็เกิดชิวิตใหม่ คือเป็นคนฉลาด รู้ว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับไปอย่างไร เกิดกับพระองค์ก็มีที่เคารพคือ ธรรมะอันสูงสุดนั้นร่วมกันกับพระองค์ ฉะนั้นก็จะได้ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ไปตามลำดับจนกว่าจะหมดสิ้น เป็นชิวิตที่เยือกเย็นทั้งหลับและตื่น อยู่เป็นสุขทุกทิพาราตรี ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงรู้จักจะทำวันนี้ให้เป็นวันสำคัญที่สุด