แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย บัดนี้คาบสมัยแห่งวิสาขบูชาได้เวียนมาถึงเข้าอีกรอบหนึ่งแล้ว เป็นคาบสมัยที่มีความสำคัญที่สุดที่ควรจะเอามากระทำไว้ในใจ แล้วมีการกระทำตอบในลักษณะที่สมควรกันแก่โอกาสเช่นนี้ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ เราควรจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “วิสาขบูชา” นี้กันให้แจ่มแจ้งเสียก่อน
คำอธิบายก็มีอยู่ในชื่อนั้นแล้ว คือชื่อว่า “วิสาขบูชา” แปลว่า การทำการบูชาในคาบสมัยแห่งวิสาขฤกษ์ เป็นระเบียบสำหรับการนับเดือน เดือนที่พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ เขาเรียกว่า “วิสาขมาส” อย่างนี้เป็นต้น การบูชาในที่นี้หมายถึงการกระทำที่เป็นการแสดงความเคารพ เป็นการให้ความสนใจมากที่สุด ให้เกียรติมากที่สุด กระทั่งว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดด้วย นี่ขอให้เราทำในใจว่าเราจะกระทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้สุดความสามารถ หรือให้เต็มกำลังแห่งความรู้สึกในจิตใจของเรา เช่น ศรัทธา เป็นต้น และมีการกระทำอย่างนั้นเพื่ออุทิศถวายพระพุทธองค์ผู้ทรงกระทำหน้าที่ของพระองค์ในคาบสมัยที่เราเรียกกันว่า “วิสาขะ” ดังที่กล่าวแล้ว
วิสาขมาส เดือนวิสาขะ วิสาขปุรณมี วันเพ็ญเดือนวิสาขะนี่กำหนดไว้เป็นอภิลักขิตกาล อภิลักขิตกาลคือเวลาที่ควรกำหนดไว้ในใจโดยเฉพาะ มีความสำคัญอย่างไรจึงควรที่จะกำหนดไว้ในใจโดยเฉพาะ มันก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วเป็นส่วนมากว่า วันนี้เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระองค์ เรานับถือพระองค์เป็นพระบรมศาสดาสูงสุด วันเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานของพระองค์จึงเป็นวันที่มีความหมายสูงสุดสำหรับการทำไว้ในใจและทำการบูชา แต่เนื่องจากว่าความหมายของคำว่าวิสาขบูชานี้แบ่งออกเป็นได้หลายๆความหมาย อย่างน้อยสัก ๓ ความหมายที่อาตมาจะได้วิสัชนาสืบต่อไปตามลำดับ
ความหมายแรกเป็นความหมายสำหรับคำพูดในภาษาคน แล้วก็เกี่ยวกับพระสิทธัตถะกุมารเสียมากกว่า เขาพูดกันในภาษาคนธรรมดาพูด ประสูติก็หมายถึงพระสิทธัตถะกุมารประสูติ ตรัสรู้ก็หมายถึงพระสิทธัตถะที่ผนวชแล้วน่ะตรัสรู้ นิพพานก็หมายถึงพระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั้นนิพพาน นิพพาน ที่เรียกว่าพูดอย่างภาษาคนทั้งนั้นเลยในความหมายภาษาคน ซึ่งมีความหมายธรรมดาหรือเรียกว่าเป็นภาษาที่ตื้นอย่างภาษาคน แม้กระนั้นก็มีความหมายซึ่งเราจะต้องได้พิจารณากัน
อย่างที่กล่าวแล้วว่ามันเป็นภาษาคน มุ่งไปทางเรื่องกาย เรื่องฝ่ายกายของพระสิทธัตถะกุมาร คือพระสิทธัตถะกุมารประสูติจากพระครรภ์มารดาในวิสาขปุรณมีนี่ นี้ส่วนการเกิด ทีนี้ต่อมาได้ออกผนวช แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เขาพูดกันอย่างบุคคลว่า พระสิทธัตถะกุมารนั่นเองบวชแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ภาษาคนธรรมดาเขาพูดกันอย่างนี้ ขอให้กำหนดไว้ให้ดีๆสำหรับจะไปเปรียบเทียบกันกับภาษาธรรมที่เป็นภาษาทางจิตใจ พูดถึงจิตใจ ทีนี้ลอ ต่อมาตรัสรู้แล้วก็ทรงสั่งสอนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว คือ ๔๕ ปี แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งความหมายของคนทั่วไปก็ว่า พระพุทธเจ้านั้นนิพพานได้ ดับไปได้ ดับไปได้ นั่นน่ะภาษาคนระวังไว้ให้ดี เพราะว่าถ้าพูดอย่างภาษาธรรมแล้วพระพุทธเจ้านั้นน่ะปรินิพพานไม่ได้ ดับไม่ได้ ยังอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวนี้เราพูดกันอย่างภาษาคนธรรมดาก็ว่า พระพุทธเจ้าหรือพระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเที่ยวสั่งสอนมนุษย์อยู่โดยสมควรแล้วก็ดับขันธ์ ที่เรียกว่าปรินิพพาน นี้ความหมายในภาษาคน ต่างกันโดยที่ อ่า, ต่างจากภาษาธรรมโดยที่ภาษาคนนี้เอาเนื้อหนังร่างกายเป็นเครื่องกำหนด ท่านจึงมีการประสูติทางร่างกาย ท่านอยู่ไปจนอายุ ๓๕ พรรษาจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าน่ะ ที่สมมติเรียกกันว่าพระพุทธเจ้า แล้วท่านเที่ยวสอนคนอยู่ต่ออีกๆต่อไปถึง ๔๕ พรรษา ท่านจึงดับขันธปรินิพพาน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การประสูตินั้นก็คราวหนึ่ง การตรัสรู้นั้นก็อีกคราวหนึ่ง การปรินิพพานก็อีกคราวหนึ่ง แล้วห่างกันเป็นสิบๆปี นี่มันห่างกันเป็นสิบๆปี เมื่อเขต เหตุการณ์ทางร่างกายของบุคคลหนึ่งเป็นหลัก นี้เรียกว่าประสูติ ตรัสรู้ นิพพานตามแบบนี้ คือแบบภาษาคน นี่ความหมายที่ ๑
ทีนี้ความหมายที่ ๒ เป็นความหมายที่กล่าวโดยภาษาธรรม ภาษาธรรม ภาษาธรรมนี้เพ่งไปยังจิตใจ เอาจิตใจเป็นหลัก ไม่ได้เอาร่างกายเป็นหลัก ภาษาคนเป็นเรื่องทางกายของพระพุทธเจ้า ภาษาธรรมเป็นเรื่องทางจิตของพระพุทธเจ้า ทีนี้มันก็มีความหมายต่างกันนี่เพราะเอาเรื่องทางจิตมาเป็นหลัก ในขณะที่ตรัสรู้ ในขณะที่ตรัสรู้นั้นเองทำให้เกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดจากพระครรภ์มารดาเหมือนพระสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าเกิดจากการตรัสรู้ของพระองค์เอง เมื่อตรัสรู้ธรรมทั้งปวงแล้วตัดกิเลสได้นั้นน่ะทำให้เกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดผลุงขึ้นมาในขณะที่ตรัสรู้น่ะ ในเวลาเดียวกัน ในการกระทำอันเดียวกันกับการตรัสรู้ ได้มีการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
ทีนี้การปรินิพพานก็คือการดับไฟแห่งกิเลสและความทุกข์ ก็มีในขณะเดียวกันกับที่ตรัสรู้ เมื่อตรัสรู้ก็มีการดับไฟแห่งกิเลสและความทุกข์ นี้เรียกว่า ปรินิพพาน ดังนั้นจึงมีในขณะเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้ง ๓ เหตุการณ์ ประสูติเป็นพระพุทธเจ้าก็เมื่อตรัสรู้ ตรัสรู้ก็เมื่อตรัสรู้ แล้วปรินิพพานก็เมื่อตรัสรู้ เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมมันก็เลยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน มีในเวลาเดียวกัน อันมีความหมายลึกซึ้งแยบคายกว่ากันอย่างนี้
ทบทวนอีกทีหนึ่งว่า ถ้ากล่าวโดยภาษาคน พระพุทธเจ้าเกิด อ่า, ยังไม่มี ยังมีแต่พระสิทธัตถะคลอดออกมาจากพระครรภ์มารดา อยู่ต่อมาอีก ๓๐ ปีจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อยู่ต่อมาอีก ๔๕ ปีจึงปรินิพพาน แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมะแล้วมันเป็นขณะเดียวกัน ขณะที่เรียกว่าตรัสรู้นั่นแหละทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงดับไปเรียกว่าการปรินิพพาน ๓ เหตุการณ์มีในขณะเดียวกัน จนไม่อ่าน ไม่อาจจะแบ่งแยกเป็น ๓ เหตุการณ์ ๓ เวลา ห่างกันเป็นสิบๆปีดังที่กล่าวแล้ว
การเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดเพราะการตรัสรู้ พอมีการตรัสรู้ก็หมายความว่าพระสิทธัตถะก็ตายไป เกิดเป็นพระพุทธเจ้าผลุงขึ้นมาในลักษณะที่เรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด คือเกิดอย่างอุบัติขึ้นมาโดยจิตใจ ไม่ต้องเกิดจากท้องแม่ ไม่ต้องเกิดเป็นเด็กก่อนแล้วจึงเติบโตแล้วจึงเป็นผู้ใหญ่ นั้นมันยังเกิดทางเนื้อหนังธรรมดา แต่การอุบัติบังเกิดของพระพุทธเจ้านั้นเกิดผลุงขึ้นมาทีเดียวก็เป็นพระพุทธเจ้า พอขณะตรัสรู้มันก็มีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าเกิดทางจิต เกิดเป็นโอปปาติกะกำเนิด เกิดผลุงขึ้นมาเป็นอย่างนั้นเลย อันนี้เป็นใจความสำคัญที่เราจะต้องรู้กันไว้ให้ดีว่า โอกาสวิสาขบูชานี้มีการเกิดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการตรัสรู้และเป็นการปรินิพพานด้วยในคราวเดียวกัน นี้เป็นความหมายที่ ๒
ทีนี้ความหมายที่ ๓ ต้องขอให้นึกดูด้วย เป็นเรื่องที่ควรจะนึก ความหมายที่ ๓ วันวิสาขบูชานั้น เป็นเรื่องชัยชนะของมนุษย์เป็นครั้งแรก เรียกว่าเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ก็ได้ ว่าโลกนี้ก่อนนี้มีแต่ความพ่ายแพ้แก่กิเลส พ่ายแพ้แก่พญามารเป็นทุกข์ทนทรมานอยู่ พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ทำลายกิเลส ทำลายพญามาร ชนะมารโดยสิ้นเชิง เรียกว่าทำไปในนามของมนุษยชาติทั้งปวง มนุษยชาติทั้งปวงที่เคยพ่ายแพ้แก่กิเลสหรือมารนั้นน่ะ เดี๋ยวนี้ได้เกิดมีผู้ชนะกิเลสหรือมารนั้นในนามของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันเครื่องหมาย เป็นวันแห่งเครื่องหมายที่แสดงว่ามนุษย์ได้เริ่มมีชัยชนะต่อกิเลสและมาร ควรที่มนุษย์ทั้งหลายจะร่าเริงยินดี แล้วก็ประกอบพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งให้สมกำ กันกับที่เป็นวันสำคัญของมนุษย์ในลักษณะเช่นนี้ นี้เป็นความหมายที่ ๓
ทีนี้เราก็จะได้ดูกันต่อไป เมื่อเรารู้กันแล้วว่าวิสาขบูชามีความหมายเป็น ๓ อย่างอย่างนี้ คือเมื่อกล่าวโดยภาษาคนก็เป็นเรื่องของพระสิทธัตถะประสูติ ตรัสรู้ และนิพพาน ถ้ากล่าวโดยภาษาธรรมก็เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพียงขณะเดียวก็มีการประสูติเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า มีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีการปรินิพพานของๆพระพุทธเจ้า และความหมายในทางประวัติศาสตร์ก็เป็นการบอกว่า ในประวัติศาสตร์นั้นได้มีมนุษย์ที่สามารถเอาชละ เอาชนะไอ้มาร ชนะกิเลสได้เป็นครั้งแรกแล้ว เป็นวันแรก ครั้งแรกที่มนุษย์ได้ชนะมารในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ นี้เป็นความหมายที่ ๓
ทีนี้ก็จะขอร้องให้ดูต่อไปถึงเรื่องที่ควรจะรู้ควรจะทราบ และที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า การอุบัติบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีความหมายมาก เราจะพูดกันและในความหมายที่มีประโยชน์หรือจำเป็นที่ควรจะทราบ คำว่าอุบัติบังเกิดของพระพุทธเจ้านั้นบังเกิดโดยจิตใจ พอแว่บเดียวก็เกิดอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็เป็นเรื่องทางจิตใจ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้าไม่ต้องเกิดเป็นเด็กก่อน ไม่ต้องโตๆขึ้นมา ไม่ต้องมีบิดามารดา ๒ ฝ่ายทำให้เกิดการเกิด เพราะการเกิดเป็นการเกิดโดยจิตใจเป็นการตรัสรู้
ความหมายของคำว่า โอปปาติกะ นี้ ท่านทั้งหลายจงรู้จักให้ดีแล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ เพราะว่าคนเราทุกคนก็ล้วนแต่สามารถที่จะเกิดโดยกำเนิดชนิดนี้ได้ด้วยกันทั้งนั้น จะพูดตัวอย่างง่ายๆก็เช่นว่า เมื่อเกิดเป็นคนดี มันก็เกิดโดยโอปปาติกะกำเนิด คนชั่วกลายเป็นคนดี คนชั่วตายลงไปเกิดเป็นคนดีขึ้นมา การเกิดของคนดีนี้ไม่ต้องเกิดจากท้องแม่ ไม่ต้องเกิดอย่างเป็นเด็กแล้วโตขึ้นมา มันเกิดอย่างเปลี่ยนกะทันหันนี่ เรียกว่าเกิดโดยทางจิตใจ จึงมีได้มากมายหลายอย่าง มันแล้วแต่จิตจะเป็นอย่างไร จิตเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพอย่างไรก็เรียกว่าเกิดเป็นสภาพอย่างนั้น พอคนมันคิดอย่างคนพาล มันก็เกิดเป็นคนพาลแวบขึ้นมา พอคนมันคิดอย่างบัณฑิต มันก็เกิดเป็นบัณฑิตแวบขึ้นมา พอมันคิดอย่างโจร คิดเป็นโจร มันก็เกิดเป็นโจรแวบขึ้นมา พอคิดอย่างคนเลวร้ายอย่างใดก็ตามเถอะ แม้แต่ว่ามันเกิดเป็นคนหิวกระหายอย่างเปรต มันก็เกิดเป็นเปรตขึ้นมา เมื่อใดมันคิดอย่างสัตว์เดรัจฉาน มันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแวบขึ้นมา คือมีความโง่ เมื่อใดมันมีความขี้ขลาดเหลือประมาณ มันก็เกิดเป็นอสุรกายขึ้นมา เมื่อใดมันร้อนใจเหมือนไฟเข้าไปเผาอยู่ในอก มันก็เกิดเป็นสัตว์นรกขึ้นมาได้ทุกคน ทุกเวลา ทุกสถานที่ เกิดโดยการเปลี่ยนแปลงแห่งจิตใจชนิดนี้เรียกว่า เกิดโดยโอปปาติกะกำเนิด คือเกิดอุบัติผลุงขึ้นมาในทางจิตใจไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายนี้ ร่างกายยังอยู่ในสภาพอย่างนี้แหละที่เรียกกันว่า คน คน หรืออะไรก็ตามนี่ มันก็มีร่างกายอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายในจิตใจนี่มันเกิดได้มากอย่าง เกิดได้หลายอย่าง เป็นคนดีก็ได้ เป็นคนชั่วก็ได้ ทำคิดนึกอย่างพระก็เกิดเป็นพระ คิดนึกอย่างฆราวาสก็เกิดเป็นฆราวาส มันเกิดได้มากมาย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เราอยากจะเกิดเป็นอะไรก็เป็นสิ่งที่ทำได้ คือเราคิดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น ในสภาพอย่างนั้นก็เกิดอย่างนั้น นั้นดังนั้นเราจะเกิดเป็นคนดีที่สุด หรือเกิดตามอย่างพระพุทธเจ้าก็ได้ คือเราศึกษาเรื่องของพระพุทธเจ้า คุณธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านคิดนึกอย่างไรกิเลสจึงลดลงไปจนสิ้นกิเลสนี่เราคิดนึกอย่างนั้น เราก็มีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้แม้ว่าไม่ได้ตรัสรู้เอง ไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เกิดได้เป็นพุทธบุคคลตามธรรมดา คือมีความรู้อย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านตรัสรู้เองและครบถ้วนบริบูรณ์สิ้นเชิงเรียกว่า สัมมาสัมพุทธะ เมื่อเราตรัสรู้เองไม่ได้ต้องศึกษาคำของท่านมา ศึกษาจนรู้แล้วก็ไม่สมบูรณ์สิ้นเชิงถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ว่ารู้จักดับทุกข์ได้ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ รู้จักทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ก็เรียกว่าเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆ บางทีก็เรียกว่า “อนุพุทธ” คือเป็นพุทธะที่เกิดตามพระสัมมาสัมพุทธะ นี่ทุกคนเกิดโดยโอปปาติกะกำเนิด เป็นพุทธะ เป็นพุทธบุคคลก็ได้น่ะ ขอให้ท่านสนใจให้ดี โอกาสมันมีมากถึงอย่างนี้ โอกาสที่เราจะเกิดเป็นอะไรก็ได้ เกิดอย่างเลวอย่างตกต่ำเป็นอบาย เป็นนรก เป็นเดรัจฉานก็ได้ จะเกิดดีเป็นบัณฑิต เป็นพระอริยเจ้า กระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าแบบที่เรียกกันว่า “อนุพุทธะ” เป็นพระพุทธะตามธรรมดานี้ก็ได้ นี่คือโอกาสมันมีถึงอย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้จักเราก็ไม่ได้ใช้ ก็ไม่ได้เอามาใช้ มันก็ไม่มีประโยชน์จากการเกิดชนิดนี้
วันนี้จึงขอเตือนว่า ท่านทั้งหลายนั่นมีโอกาสที่จะเกิดเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่การกระทำของท่านทั้งหลาย แล้วแต่ผู้ใดจะกระทำในใจอย่างไรน่ะ ในสภาพอย่างไรซึ่งบัญญัติว่าอย่างไร มันก็เกิดเป็นอย่างนั้น คิดอย่างสัตว์ก็เกิดเป็นสัตว์ คิดอย่างคนก็เกิดเป็นคน คิดอย่างเทวดาก็เกิดเป็นเทวดา คิดอย่างพรหมก็เกิดเป็นพรหม นี่มันก็จะหมดอยู่แล้ว คือเราสามารถจะเกิดได้ทุกอย่างทุกระดับเท่าที่สัตว์มีชีวิต มีจิตรู้สึกคิดนึกได้มันจะเกิดได้ เพราะมันเป็นเกิดทางจิตใจ เมื่อมีจิตใจแล้วมันก็เกิดได้ทั้งนั้นเพราะมันเป็นการเกิดทางจิตใจ ระวังให้ดี นั่งอยู่ที่นี่มันจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ถ้ามันเกิดไปคิดอย่างสัตว์เดรัจฉานในร่างกายนี้ เป็นคนเลวที่สุดก็ได้ เป็นอันธพาลที่สุดก็ได้พอไปคิดอย่างอันธพาล ยิ่งไปมีการพูดการทำอย่างอันธพาลเข้าด้วยแล้วก็ยิ่งสมบูรณ์ที่สุด เพียงแต่คิดอย่างอันธพาลมันก็เกิดเป็นอัน อันธพาลเสียแล้วในภายในใจ ถ้าภายนอกกายทำเข้าไปด้วยมันก็ยิ่งสมบูรณ์ว่าได้เกิดเป็นอันธพาล
นี่คิดอย่างอันธพาลก็เกิดเป็นอันธพาล คิดอย่างบัณฑิตก็เกิดเป็นบัณฑิต คิดอย่างพระอริยเจ้าก็เกิดเป็นพระอริยเจ้า หรือกระทำให้กิเลสหมดสิ้นไปจากนิสัยสันดานมันก็เกิดเป็นพุทธะ เป็นพุทธบุคคล คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างบทที่เราสวดกันอยู่เป็นประจำว่า พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้คือรู้อะไรตามที่เป็นจริงที่ควรจะรู้ ผู้ตื่นคือตื่นจากหลับ หลับคือกิเลส คือความโง่ คืออวิชชา ความไม่รู้อะไรนั่นเปรียบด้วยความหลับ ฉะนั้นเราก็ตื่นเสียจากความหลับ คือออกมาเสียจากความโง่ เรียกว่าผู้ตื่น ทีนี้ก็เป็นผู้เบิกบาน เบิกบานเหมือนดอกไม้บาน ดอกไม้เริ่มบานสวยสดงดงามเยือกเย็นสดใสอย่างไรนี่ก็เรียกว่าผู้เบิกบาน
คำว่าพุทธะ พุทธะ มีความหมาย ๓ ประการอย่างที่กล่าวนี้ คือเป็นผู้รู้ ครั้นรู้แล้วก็ตื่นจากหลับ ตื่นจากหลับแล้วก็เบิกบานเหมือนดอกไม้บาน นี้เป็นการเกิดทางใจที่ทำให้มีได้ด้วยการกระทำทางจิตใจ เราจงรู้จักกระทำในทางจิตทางใจให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือวิวัฒนาการสูงขึ้นไปในลักษณะอย่างนี้
ประเดี๋ยวนี้ไม่เป็นผู้รู้ก็เป็นผู้โง่ เกิดเป็นสัตว์โง่ พอทำให้เป็นผู้รู้ก็กลายเป็นผู้รู้ เป็นสัตว์ที่รู้ ถ้าเดี๋ยวนี้มันๆหลับด้วยอวิชชา เขาเรียกว่าหลับด้วยกิเลส หลับด้วยอวิชชา เขาทำลายกิเลสได้ก็ตื่นจากหลับคือกิเลส มันก็เกิดใหม่เป็นผู้ตื่นแล้วจากหลับคือกิเลส เป็นผู้ไม่หลับ ตายจากผู้หลับมาเกิดเป็นผู้ไม่หลับ คือตื่นเสียแล้วจากความหลับด้วยอำนาจของกิเลสนั้น ทีนี้ก็ตายเสียจากเป็นผู้หดเหี่ยวหุบหู่ไม่เบิกบาน มากลายเป็นผู้เบิกบาน มีจิตใจเบิกบาน ในข้อนี้หมายถึงความงดงาม จิตใจที่เป็นอย่างนี้หมายถึงความงดงาม จึงเปรียบกันกับความเบิกบานของดอกไม้
ถ้ารวมความทั้งหมดก็ว่ามันรู้ตามที่ควรจะรู้ แล้วมันก็ตื่นจากความโง่ ความไม่รู้ แล้วก็มาเป็นผู้เบิกบานงดงามสดใสเหมือนกับดอกไม้บาน โอกาสมันเป็นได้ถึงอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ความเข้าใจ แล้วทำตนให้มีการเกิดใหม่โดยวิธีนี้ตามที่ควรจะปรารถนาด้วยกันทุกคน นี้คือสิ่งที่เราควรจะเอามาทำในใจในคาบสมัยแห่งวิสาขบูชา ว่าเราระลึกนึกถึงเรื่องของพระศาสดา รู้ความหมายของวิสาขบูชา ทั้งในทางภาษาคน และทั้งในทางภาษาธรรม และความหมายของวิสาขบูชาในฐานะที่เป็นวันประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติน่ะ มนุษยชาติ ไม่ได้จำกัดว่าประเทศไหนภาษาไหน ของมนุษยชาติทั้งหมดที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของมารน่ะ บัดนี้ได้มีบุคคลคนหนึ่งชนะมารเป็นคนแรกในนามของมนุษยชาติ
หน้าที่ต่อไปเราก็คือ เราควรจะประพฤติตนให้คล้อยตาม ให้สมคล้อยต่อความหมายของคำว่าวิสาขบูชา คือประพฤติตามธรรม ถูกต้องตามธรรม คล้อยตามความหมายของการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานนั้นเอง คือทำตนให้มีชีวิตซึ่งมีความถูกต้องกำกับอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถทุกหนทุกแห่ง เรียกสั้นๆก็ว่ามีชีวิตที่สะอาด สว่าง และสงบ สะอาดคือไม่มีของสกปรกของกิเลสนั้นมาแปดเปื้อน สว่างคือมีความรู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่ต้องรู้อย่างยิ่ง ครั้นรู้แล้วก็เรียกว่ามีความสว่าง ครั้นสว่างอย่างนี้แล้วมันก็ดับทุกข์ได้ ความทุกข์ก็ดับไป เรียกว่าความสงบ ไม่มีความทุกข์มารบกวนให้วุ่นวายก็เรียกว่ามีความสงบ
เราทุกคนจงดำรงตนให้มีชีวิตซึ่งประกอบอยู่ด้วยความสะอาด ความสว่าง และความสงบ โดยนัยยะดังที่กล่าวมานี้ก็จะชื่อว่าได้ดำรงตนสมควรแก่ความหมายของวิสาขบูชา หรือว่าสมแก่ความเป็นสาวกของพระบรมศาสดา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ใช้ประโยชน์แห่งวิสาขบูชานี้ เป็นเครื่องระลึกนึกถึงคุณธรรมอันสูงสุดของพระพุทธเจ้า แล้วเอามาใช้เป็นเครื่องขัดเกลานิสัยสันดานของตนให้มีความสะอาด ให้มีความสว่าง ให้มีความสงบ อนุวัตตามรอยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้มีความสุขโดยสมควรแก่ความเป็นพุทธบริษัทของตนอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.