แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสนี้เป็นโอกาสเนื่องด้วยอาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้ว เป็นโอกาสที่ควรจะทำความเข้าใจ ความรู้สึกในใจ ความระลึกถึงเหตุการณ์อันสำคัญนี้ให้สมควรกัน อาตมาจะขอกล่าวคำปราศรัยแก่ท่านทั้งหลายในโอกาสนี้ ซึ่งจะเรียกว่า ของขวัญในวันอาสาฬหบูชาก็ได้ จะเรียกว่าพรในโอกาสอาสาฬหบูชาก็ได้ หรือจะเรียกให้ไกลไปกว่านั้นอย่างที่เขาชอบเรียกกันว่ามันเป็นขุมทรัพย์ที่ค้นพบในวันอาสาฬหบูชานี่ก็มี เป็นเพชร เป็นพลอย เป็นสมบัติก็ได้ กระทั่งว่าเป็นบ่อขุดทองก็ได้ มันขึ้นอยู่กับข้อที่ว่าท่านทั้งหลายจะสามารถกระทำหรือไม่เท่านั้น ถ้ามีความสามารถกระทำก็จะสำเร็จประโยชน์ดังที่กล่าวเป็นอุปมานั้นได้จริง
ทีนี้จะดูกันถึงข้อที่ว่า อาสาฬหบูชานี้เป็นวันเนื่องด้วยอะไร เป็นวันที่เนื่องด้วยการแสดงธรรมจักร เรียกกันว่า ธัมมจักกัปปวัตนะ คือการยังธรรมจักรให้เป็นไป เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงประกาศอาณาจักรใหม่ขึ้นมาเพื่อความรอดของมหาชนในโลก มันอยู่กันในอาณาจักรของมารมาตลอดกาลนาน บัดนี้จะได้มาอยู่ในอาณาจักรใหม่ของพระพุทธองค์ซึ่งอยู่นอกอำนาจของมาร
ทำไมจึงเรียกว่าอาณาจักร คำว่าอาณาจักรหมายความว่า ขอบเขตของอำนาจที่ถ้าใครตกเข้าไปอยู่ใต้อำนาจหรือขอบเขตอันนั้นแล้วจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอาณาจักรนั้นๆ ถ้าตกอยู่ใต้อาณาจักรของมารก็ต้องเป็นลูกน้องของมาร จะต้องประพฤติตามมาร ถ้าอยู่ในอา อาณาจักรของพระพุทธเจ้าก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นไปตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า นี้จึงได้เรียกว่า อาณาจักร
ทีนี้ดูกันถึงอาณาจักรของมารกันก่อนว่า คนในโลกได้ตกอยู่ในอาณาจักรของมารมาตั้งแต่เมื่อไรนี้มันบอกไม่ได้ แปลว่าเมื่อไม่รู้ธรรมะมันก็ตกอยู่ในอาณาจักรของมาร ก่อนแต่การเกิดขึ้นแห่งธรรมะ คนเราก็อยู่ใต้อาณาจักรของมารและอยู่มาเรื่อยๆ เรียกว่าโบราณกาล อาณาจักรที่จะต้องสนใจเปรียบเทียบกันก็คือ อาณาจักรของมารหรืออาณาจักรของพระพุทธเจ้า ดังกล่าวแล้ว
อาณาจักรของมารมีลักษณะอาการเป็นความผิดพลาด มีแต่ความผิดพลาดอยู่ในอาณาจักรนั้น จะเรียกอย่างภาษาสมัยใหม่ก็ได้ คือว่ามันมีแต่พวกซ้ายจัดหรือขวาจัด ซ้ายจัดมันก็คือเป็นไปในทางตามใจตัว เป็นกามารมณ์ ถ้าขวาจัดมันก็เป็นความเครียดที่ตรงกันข้ามด้วยความงมงายบ้าบออะไรชนิดหนึ่ง อย่างซ้ายจัดเรียกในบาลีว่า กามสุขัลลิกานุโยค นั่นก็คือประกอบตนพัวพันอยู่ในความสุขอันเนื่องมาจากกาม บางทีก็เรียกว่า ปฏิปทาที่เปียกชุ่มอยู่ในกาม คืออาคาฬหปฏิปทา บูชากามสุดเหวี่ยงจนไม่มีศีลธรรมในสภาวะเช่นนั้น
อีกทางหนึ่งตรงกันข้าม งมงายในการที่จะทรมานตนให้ลำบากโดยคิดว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้กิเลสหมดไปหรือเป็นการประชดกาม อย่างนี้มีมากในสมัยโบราณ แม้ในครั้งพุทธกาลก็มีมาก หากแต่ว่าเดี๋ยวนี้มันหายไป เพราะโลกมันสมัครที่จะบูชากามกันไปเสียทั้งหมด การที่จะประชดกามหรือจะทรมานกามมันก็ไม่ๆมีหรือไม่ค่อยจะมี
บัดนี้ ปัจจุบันนี้มันเหลืออยู่แต่อาณาจักรของมารชนิดซ้ายจัด คือการจมอยู่ในกามคุณหรือกามสุข บูชาการกินดีอยู่ดีกันทั่วโลก ไม่บูชาการกินอยู่แต่พอดี มาถึงสมัยก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ใช้วิทยาศาสตร์นั้นส่งเสริมการกินดีอยู่ดี เรียกว่าการส่งเสริมกามนั่นเอง มันก็ยิ่งก้าวหน้าๆในทางนี้จนไม่มีมาตรฐานว่าอย่างไรพอดี มันมีแต่ยิ่งๆขึ้นไป มันยิ่งเกินขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งถือว่าพอดี เอาความเกินนั้นเป็นความถูกต้อง ความก้าวหน้าในทางวัตถุจึงไม่มีขอบเขตอันจำกัด ไม่มีคำว่าเกินสำหรับผู้ที่เป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ถือเอาการฟุ่มเฟือยทุกระดับน่ะว่าเป็นความพอดี ถ้าเลื่อนความฟุ่มเฟือยขึ้นไปอีกก็ช่วยกันสมมติว่านั่นน่ะพอดี มันก็ยังมีความถูกต้องอยู่ที่ความเกิน ฉะนั้นคนก็บูชาไอ้ความลุ่มหลงในความเกินนั่นแหละว่าเป็นความเจริญ
ดูให้ดีเถิดที่ว่าความเจริญๆสมัยนี้ก็คือการลุ่มหลงอยู่ในความเกิน ความเจริญชนิดนี้คือความหลงผิดอย่างยิ่ง กำลังให้เกิดวิกฤตการณ์ในโลกอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เป็นความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นทุกทิศทุกทางทุกอย่างทุกประการ นี่อาณาจักรของมารซึ่งเรียกว่าอาณาจักรแห่งกามก็ได้ พระเจ้ากามเป็นผู้ครอบครองอาณาจักร ไอ้สัตว์ทั้งหลายก็เป็นไปตามอำนาจแห่งกาม อยากจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อาณาจักรแห่งกาม
อาณาจักรแห่งกามแห่งโลกปัจจุบันนี้เป็นไปมากเข้าก็สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมาอีก คืออาณาจักรแห่งความกลัว และอาณาจักรแห่งความโศกเศร้า คนที่หลงกามเท่านั้นแหละที่จะมีความกลัวเพราะว่าเขากลัวจะตาย ไม่ได้เสวยกาม หรือว่ากลัวว่ากามจะหลุดหายไป ความกลัวทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับของ ๒ สิ่งนี้ เดี๋ยวนี้มีแต่ความกลัวตายก็เพราะว่ากลัวจะไม่ได้อยู่เสวยกาม กลัวโรคภัยไข้เจ็บ ไม่สามารถจะเสวยกาม มันกลัวมีมูลมันมาจากสงครามหรือเศรษฐกิจทั้งหลาย มันก็มีความหมายเนื่องมาจากกลัวการที่จะไม่ได้บริโภคกาม
แล้วทีนี้ก็มีอาณาจักรแห่งความโศก เพราะว่ามันมีกามมากเท่าไรก็จะมีความพลัดพรากจากกามมากขึ้นเท่านั้น พลัดพรากจากกามทีไรมันก็มีความโศกเกิดขึ้น คนในโลกนี้จึงมีความโศกมากขึ้นจนจะเรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งความโศกก็ได้
ขอให้ดู พิจารณาดู ใคร่ครวญดูทั่วทั้งโลกว่า เรากำลังมีความกลัวเพิ่มขึ้นในจิตใจอย่างไร มีความโศกเกิดขึ้นในจิตใจอย่างไรในโลกยุคนี้ นี่อาณาจักรแห่งความโศกและความกลัว ปรารถนาจะได้กามแล้วก็แย่งชิงกามซึ่งกันและกัน ก็เกิดอาณาจักรใหม่ต่อไปอีก คืออาณาจักรแห่งการประหัตประหาร ทำลายชีวิตกันอย่างยิ่ง จนเรียกว่ามีอยู่ตลอดกาล คือสงครามนั่นเอง ถ้าไม่มีสงครามโดยเปิดเผยก็มีสงครามอันเร้นลับหรือโดยอ้อม ซึ่งเราเรียกกันว่าสงครามบนดินก็มี สงครามใต้ดินก็มี ตลอดแห่งเวลาที่เป็นสงครามมันก็เป็นการประหัตประหารทั้งนั้น นี่แหละอาณาจักรแห่งการประหัตประหาร คือโลกปัจจุบัน
ครั้นแล้วก็เกิดอาณาจักรใหม่ต่อไปอีก คืออาณาจักรแห่งความไร้ศีลธรรม ไม่มีศีลธรรมเหลืออยู่ในอาณาจักรนั้นเพราะเป็นทาสของกามกันไปเสียหมด ความไร้ศีลธรรมทำให้เกิดพระเจ้าเงินตรา ถือเงินเป็นใหญ่ เกิดพระเจ้าอาวุธยุทธปัจจัย บูชาการมีกำลังอำนาจอาวุธ นี่พระเจ้านี้ก็กำลังครองโลก คือว่าโลกกำลังลุ่มหลงอยู่แต่ที่จะแสวงหาเงินตราและอาวุธอันเป็นปัจจัยแห่งการประหัตประหาร นี้เรียกว่าทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มีแต่การประหัตประหาร แม้การเศรษฐกิจก็ใช้เพื่อประหัตประหารผู้อื่น ใครมีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่าก็ทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้ามได้ มีแต่สงครามเศรษฐกิจเร้นลับ อย่างเร้นลับ และมีสงครามฆ่าฟันประหัตประหารกันเป็นสงครามที่เปิดเผย โลกกำลังมีอย่างนี้ จะเป็นอาณาจักรแห่งมารโดยสมบูรณ์
ทีนี้ก็จะมาดูกันถึงหนทางออก ออกไปจากอาณาจักรนี้ หนทางออกไปจากอาณาจักรของมาร ก็มีแต่ทางเดียวเท่านั้นคือการกลับเข้าไปสู่อาณาจักรของธรรม อาณาจักรของพระพุทธเจ้า อาณาจักรแห่งความมีศีลธรรม จะเรียกว่าอาณาจักรแห่งเมตตาก็ได้ มีความรักเพื่อนมนุษย์ในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันอยู่เป็นหลักสำคัญ ในอาณาจักรนั้นมีแต่ความเมตตา ความเมตตานั้นเป็นตัวศีลธรรม เราจึงเรียกว่าอาณาจักรแห่งศีลธรรมหรืออาณาจักรแห่งความเมตตา ซึ่งได้อยู่ในอาณาจักรชนิดนี้แล้วก็มีความรอด ดังนั้นเราจะได้พิจารณากันถึงอาณาจักรศีลธรรม
ดูความหมายของคำว่าศีลธรรม ศีลธรรม ศีละแปลว่าปกติ ศีลธรรมก็แปลว่าสิ่งที่ให้เกิดความปรกติ หรือเหตุให้เกิดความปรกติ สภาพดั้งเดิมตามธรรมชาติเมื่อไม่มีอะไรมารบกวนมันก็ปรกติ ปรกติตามธรรมชาติ ครั้นมีอะไรมาแทรกแซง ปรุงแต่ง รบกวน มันก็เปลี่ยนเป็นวุ่นวาย ฉะนั้นยิ่งมีสิ่งปรุงแต่งก้าวหน้าเท่าไร มันก็สูญเสียธรรมชาติเดิมมากขึ้นเท่านั้น เราดูว่าในโลกเรานี้ เมื่อก่อนลุกเป็นดวงไฟแล้วเย็นลงเป็นก้อนหินแข็งๆ ไม่มีอะไร สงบเงียบเรียบร้อย ต่อมาในโลกนี้มันได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นมีน้ำ มีอากาศ มีอะไรชนิดที่ทำให้มีชีวิต มันก็เกิดชีวิต มันก็รกไปด้วยต้นไม้ ต่อมามันก็เกิดสัตว์ ต่อมามันก็เกิดคน แต่ยังไม่ก้าวหน้าอะไรมาก มันก็ยังมีความปกติตามธรรมชาติเหลืออยู่มาก วุ่นวายน้อย
ครั้นเจริญมาเป็นมนุษย์ที่รู้จักทำนั่นทำนี่ให้ก้าวหน้าทางวัตถุมากขึ้น มันก็มีความวุ่นวายมากขึ้นเพราะมันไปรู้จักของอร่อยเข้า มันติดในรสของอร่อยแล้วมันก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตนเป็นของตน มันก็ได้แย่งชิงกันด้วยความเห็นแก่ตัว ดูอีกทางก็ว่าทารกอยู่ในครรภ์ ไม่รู้จักอร่อยหรือไม่อร่อย เหมือนกับนอนหลับ ดังนั้นมันก็ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ไม่ต้องได้รับโทษจากความอร่อย แล้วไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดที่จะแย่งชิงใคร ครั้นทารกออกมาจากครรภ์ อายตนะของเขาทำหน้าที่จนรู้จักอร่อย ไม่รู้จัก อ่า, รู้ไม่อร่อย เป็นต้น มันก็หลงในความอร่อย มันก็เกิดความเห็นแก่ตัว มีตัวกู มีของกู เพื่อจะยึดครองความอร่อยนั้น
ดูเห็นได้ว่าไอ้ความ วิกฤตการณ์ยุ่งยาก ลำบาก ระส่ำระสายนั้นมันมาจากการก้าวหน้าในการที่มีอะไรมากระตุ้นมากขึ้นนั่นเอง คนไทยเราสมัยก่อนโน้นเมื่อยังไม่ เรียกว่าไม่ทันสมัย กินอยู่นุ่งห่มใช้สอยอย่างไม่ๆทันสมัยน่ะ เขามีความปกติสุขมากกว่า ครั้นเดี๋ยวนี้ไปตามพวกที่ทันสมัย มีแต่ความฟุ่มเฟือย เฟ้อเกินจำเป็น หาความสงบสุขไม่ได้ เมื่อเราไม่รู้จักใช้สบู่ถูตัวเรามีความสงบสุขมากกว่านี้ เมื่อเรายังเปิบข้าวด้วยมือไม่มีช้อนส้อมใช้ เราก็ยังมีความสงบเงียบมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มีอะไรๆสารพัดอย่างจนยุ่งไปหมด นี้เรียกว่ามันเสียความปรกติ
แล้วมิใช่แต่อย่างนั้น มันเพิ่มโรคภัยไข้เจ็บเป็นอันมากขึ้นมา มนุษย์เปลี่ยนแปลงมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่เปลี่ยนแปลง มันมีภัย โรคภัยไข้เจ็บเท่าเดิม มนุษย์มีความเปลี่ยนแปลงมาก ก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมากมาย จนกล่าวได้ว่าน่าละอายสัตว์เดรัจฉานที่ว่าคนเรามีโรคภัยไข้เจ็บยุ่งยากลำบากมากมายกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราต้องสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพร้อมกันนั้นเราก็จะต้องสร้างเรือนจำเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีที่สุด ดูแล้วมันเกินส่วน เช่นว่าคนเพิ่มมากขึ้นเท่านี้ควรจะสร้างโรงพยาบาลเพียงเท่านี้ แต่มันต้องสร้างเพิ่มขึ้นเกินส่วน เพราะว่าไอ้ความเฟ้อหรือความเกินนั้นมันมากเกินไป เรามีเรือนจำเกินส่วน มีโรงพยาบาลเกินส่วน เพราะว่าความเจริญก้าวหน้านั้นมันมากและมันเร็วเกินไป ฉะนั้นเมื่อไรคนทั้งโลกจะได้มานั่งพูดจาปรึกษาหารือปรับทุกข์กันในเรื่องนี้ว่า เราละภาวะแห่งศีลธรรมกันมาไกลถึงขนาดนี้ ไม่มีความปกติ มีแต่ความวุ่นวาย ภาวะศีลธรรมคือภาวะปกติ เหตุแห่งศีลธรรมคือเราประพฤติสิ่งที่จะให้เกิดความปรกติ มีผลออกมาเป็นความปกติ อันนี้เรียกว่าถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่ามีความปรกติแล้วมันจะเป็นอย่างไร
เอ้า, ทีนี้มาดูถึงคนกันบ้าง คนที่มีศีลธรรมนั่นเป็นอย่างไร คนที่มีศีลธรรมก็คือไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่มีกิเลสมาบีบบังคับให้ทำอย่างฝืนศีลธรรม เห็นได้ง่ายๆว่าเขาไม่หลงเอร็ดอร่อย ไม่หลงในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เขารักษาความเป็นธรรม ความถูกต้องไว้เสมอ มันก็ไม่มีอะไรที่จะผิดพลาดไปในทางที่จะเป็นทาสของกิเลสแล้วเกิดความทุกข์
คนที่มีศีลธรรมนั้นรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว เขามีความรู้ว่าเราไม่อาจจะอยู่คนเดียวในโลกได้ หรือว่าแม้เขาจะยกโลกทั้งหมดให้เราคนเดียว เราก็อยู่ไม่ได้อยู่นั่นเอง เราต้องอยู่ด้วยกันกับเพื่อนมนุษย์ อยู่ด้วยกันมากๆ มีความจำเป็นอย่างนี้ เราต้องอยู่กันด้วยความรัก ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็รักกันไม่ได้ เมื่อรักกันได้มันก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว ดังนั้นผู้ที่มีศีลธรรมจึงไม่เห็นแก่ตัวแต่มีความรักผู้อื่น มีความรักผู้อื่นแล้วก็ฆ่าใครไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วก็ขโมยของใครไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วก็ล่วงกาเมใครไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วโกหกหลอกลวงไม่ได้ จะทำ ดื่มน้ำเมาหรือทำไม่ดีให้คนอื่นรำคาญ เพียงแต่คนอื่นรำคาญก็ทำไม่ได้ นี่เพราะความรักผู้อื่น
ฉะนั้นเขารู้จักหน้าที่ในการที่จะรักผู้อื่น ไม่รักตัวข้างเดียว แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่จัดการเพื่อความสุข สันติสุขของตน มันก็ต้องทำพร้อมกันไป อย่างที่หลักธรรมะมีอยู่ว่า เห็นแก่ประโยชน์ตนและแก่ประโยชน์ผู้อื่น คือเห็นแก่ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเพราะว่ามันเนื่องกัน จึงทำหน้าที่นี้อย่างยิ่ง ทำหน้าที่ช่วยตน ช่วยผู้อื่น หรือช่วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นคนมีศีลธรรมจึงทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เพราะเขาทำงานเพื่อเห็นแก่ธรรม ไม่ ธรรมะน่ะ ไม่ได้เห็นแก่กิเลส
ทำงานด้วยการเห็นแก่ความถูกต้องคือธรรมะ มีธรรมะแล้วก็พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง เพราะมีธรรมะมันก็เลยทำให้ทำงานสนุก มันก็ทำได้มาก แล้วก็เป็นสุขเสียแล้วเมื่อทำการงาน ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อหาปัจจัยแห่งความสนุกสนานสำราญอะไรเพราะมันมีความสุขเสียแล้วเมื่อทำการงาน ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหาความสุขที่ไหนอีกเพราะมันมีความสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำงาน พูดอย่างนี้คนธรรมดาไม่เชื่อและไม่ยอมเชื่อเพราะเขาไม่รู้จักทำจิตใจให้สนุกเมื่อทำการงานและไม่เคยเป็นสุขเมื่อทำการงาน ครั้นแล้วมันเหนื่อยมันลำบาก ไปขโมยดีกว่า ไปโกงดีกว่า ไปคอรัปชั่นกันดีกว่า นี้เรียกว่าทำงานไม่สนุกและไม่เป็นสุขเมื่อทำการงาน
ส่วนคนมีศีลธรรมนั้นทำงานสนุก คนมีศีลธรรมย่อมทำงานสนุก คนไม่มีศีลธรรมทำงานไม่สนุกเพราะมันเหนื่อย เขาคิดว่าไปขโมยดีกว่า แล้วก็ไปขโมย นี่มันต่างกันอย่างนี้ คนทำ อ่า, มีศีลธรรมทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อทำการงาน ไม่ต้องใช้เงินซื้อหาปัจจัยแห่งความสำราญ เงินมันก็เหลือมาก ยิ่งกว่านั้นคนที่มีศีลธรรมนั้นทำงานได้มาก มีผลงานมากแล้วก็กินแต่พอดี เก็บไว้แต่พอดี มันก็มีเหลือ มันก็เหลือว่ามีสำหรับจะช่วยผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงอาจจะช่วยผู้อื่น เขามีความพอใจเมื่อทำงาน เป็นสุขเมื่อทำงาน เขามีความพอใจเมื่อช่วยเหลือผู้อื่น เขามีความสุขเมื่อช่วยเหลือผู้อื่น เขามีสวรรค์เมื่อมีความพอใจในตัวเอง ไม่ๆมีนรกคือความยุ่งยากลำบากใจ
ขอให้จำไว้ว่าสวรรค์นั้นคือความรู้สึกที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกนั้นความรู้สึกที่รู้สึกขยะแขยงต่อตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง สวรรค์คือความนับถือตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ นรกนั้นคือความขยะแขยงต่อตัวเองจนยกมือไหว้ไม่ลง ขอให้ช่วยจำไว้ดีๆ คนมีศีลธรรมมีความสุขแท้จริงชนิดที่ไม่ต้องใช้เงิน แล้วเขาเกลียดความสุขปลอมคือความสำเริม สำเริงสำราญของกิเลสนั้นเป็นความสุขปลอม ไม่ใช่ความสุขเป็นแต่ความเพลิดเพลิน เขาจึงอยู่ด้วยความสงบสุขมาก คือว่าเวลาที่ไม่มีกิเลสนั้นมีมาก อย่างนี้เราเรียกว่าเขาอยู่กับนิพพานมากกว่าอยู่กับกิเลส คนธรรมดาอยู่กับกิเลสมากกว่าอยู่กับนิพพาน คนธรรมดาจึงน่าละอายแมว น่าละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งเขามีความทุกข์น้อยกว่าคนชนิดที่อยู่กับกิเลส เต็มไปด้วยความทุกข์
คนมีศีลธรรมมีชีวิตสดชื่นรื่นเริงบันเทิง ถ้าจะเปรียบก็เปรียบเหมือนกับว่าผีเสื้อสวยๆบินไปบินมา แสวงหาน้ำหวานจากดอกไม้อันสวยงาม ไม่มีความทุกข์เลย อัปมะ อุปมาเพียงเท่านี้ว่า อุปมาของคนที่อยู่ในโลกนี้ด้วยความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินทำงานเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น
สิ่งสุดท้ายที่จะพูดก็คือว่า ทำอย่างไรเล่าจึงจะมีศีลธรรม อยากจะพูดว่ารู้จักละอายแมวละอายสุนัขกันเสียบ้างสิ มันมีความสุขสงบมากกว่าคน ถ้าเรารู้จักละอายแมว ละอายสุนัขกันเสียบ้าง มันก็จะหันกลับมาหาศีลธรรม ตีค่าของความเป็นมนุษย์กันเสียใหม่ให้ถูกต้องว่ามนุษย์นั้นมันต้องดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่ามัน มนุษย์แปลว่ามีใจสูง สูงเหนือปัญหาเหนือความทุกข์ จึงดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จงสงสารสภาพความเป็นมนุษย์ในปัจจุบันของตนกันให้มาก ว่ามันน่าสงสาร พยายามให้เกิดวันนี้ เกิดเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูง อย่ามีจิตใจต่ำเลย สมัครเข้าเป็นสมาชิกสมาคมของพระอริยเจ้ากันเถิด คือเป็นสาวกของพระอริยเจ้า เป็นวิธีที่จะทำให้มีศีลธรรม ให้ศึกษาพระนิพพานให้แจ่มแจ้ง ทำพระนิพพานให้แจ่มแจ้ง อย่าโง่หลงว่าอีกร้อยชาติหมื่นชาติแสนชาติจึงจะนิพพาน ต้องนิพพานกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือเมื่อใดว่างจากกิเลสเมื่อนั้นเป็นนิพพาน รู้จักเวลาที่จิตใจว่างจากกิเลสกันเสียบ้างแล้วมีความพอใจในนิพพานนั้น และให้รู้ว่าความที่ว่างจากกิเลสอยู่เป็นคราวๆนี่แหละช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเราให้รอดอยู่ได้ ถ้าเรามีกิเลสตลอดเวลาทั้ง ๒๔ ชั่วโมง เราต้องตายแล้วเพราะความบีบคั้นของกิเลส
เดี๋ยวนี้เวลาที่เราว่างจากกิเลสเป็นนิพพานนั้นมันมีมากกว่า เราจึงรอดชีวิตอยู่ได้ นี่คือพระคุณของพระนิพพาน จงรู้จักพระคุณของพระนิพพาน อย่าได้เนรคุณของพระ เอ่อ, คุณของพระนิพพานต่อไปอีกเลย รู้เห็นว่าพระนิพพานมีพระคุณในการหล่อเลี้ยงชีวิตไว้ ถนอมชีวิตไว้ คุ้มครองชีวิตไว้ ไม่ให้ต้องตาย ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคนอนไม่หลับ เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก
พระนิพพานคือภาวะที่ว่างจากกิเลสรบกวน เมื่อไรไม่มีกิเลสรบกวนเมื่อนั้นเรียกว่าอยู่กับนิพพาน เมื่อมองเห็นอย่างนี้ก็รักพระนิพพาน จิตใจก็จะน้อมไปเพื่อความมีศีลธรรม จะเสียสละทุกอย่างทุกประการเพื่อความมีศีลธรรม เข้าเป็นสมาชิกของพระอริยเจ้า มีความเกิดเป็นมนุษย์ดีที่สุด ไม่เสียทีที่ได้เกิดมา เพราะว่าสงสารสภาพของมนุษย์ที่มันน่าละอายสัตว์ เพราะตีค่าของมนุษย์ต่ำเกินไปจึงไม่รู้จักละอายสัตว์
ขอให้คนเหล่านี้ตีค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของตนให้ถูกต้องจนรู้จักละอายสัตว์ แล้วก็ปรับปรุงกันเสียใหม่ให้มีศีลธรรม ไม่เป็นทาสของกิเลสต่อไป รักผู้อื่นแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตเป็นความสุขเป็นความสนุกอยู่ในตัว คือทำงานสนุกและมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน มีผลงานก็กินเก็บแต่พอดี เหลือก็มีช่วยผู้อื่น มีความพอใจตลอดเวลา ยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลาก็คือมีสวรรค์อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องตกนรก
นี่แหละท่านคิดดูเถิดว่า นี้เป็นของขวัญอันประเสริฐที่เราควรจะนึกถึงในโอกาสแห่งอาสาฬหบูชา เป็นบ่อทองที่จะขุดทองได้ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสมบัติอย่างสูงสุดคือนิพพาน มีธรรมะเป็นสมบัติ มีนิพพานเป็นสมบัติ ควรจะเรียกว่ามันเป็นเพชรพลอย ซึ่งเป็นคำสมมติสำหรับสิ่งที่ถือกันว่ามีค่าที่สุด เป็นที่พอใจที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายถือเอาได้แห่งของขวัญในวันอาสาฬหบูชา โดยนัยยะดังกล่าวมาแล้ว มีความเป็นสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.