แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่แล้ว วันนี้เป็นวันที่พุทธบริษัทควรจะได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้เป็นที่ระลึกแก่วันอันพิเศษนี้ ข้อนี้เราจะต้องทราบกันให้เป็นที่แน่นอนเสียก่อนว่า วันอาสาฬหบูชานี้เป็นวันที่มีความหมายอย่างไร เหตุคือเป็นวันที่มีความหมายอย่างตรงวัน อาสาฬหปุรณมีวันหนึ่งในครั้งพุทธกาล ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงประทานของขวัญอันประเสริฐแก่มนุษโลกเราเป็นอย่างชั้นพิเศษ ในวันนั้นพระองค์ได้ทรงประทานอะไรกันเล่า คือพระองค์ได้ทรงประทานสิ่งสูงสุดที่ได้ทรงค้นพบ สิ่งสูงสุดอันได้ทรงค้นพบนั้นเราเรียกกันว่าพระธรรม พระธรรมนี้เป็นธรรมที่ดับทุกข์ได้ พระองค์ได้ตรัสรู้พระธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสวงหาสิ่งซึ่งจะเป็นที่เคารพสำหรับพระองค์ หาอย่างไรก็ไม่พบสิ่งอื่นนอกไปจากพระธรรมที่ตรัสรู้นั้นเอง ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั่นเอง พระองค์ทรงเคารพเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับพระองค์คือทรงเคารพ เราควรจะถือเป็นหลักได้หรือไม่ว่า สิ่งซึ่งแม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพนี้จะเป็นสิ่งสูงสุดสักเท่าไร อาตมาอยากจะกล่าวว่าเป็นสิ่งสูงสุดในลักษณะที่เราเรียกกันว่าพระเจ้า หรือพระเป็นเจ้า เพราะว่าสิ่งนั้นสูงสุดเหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวงให้กับโลกได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อันนี้ พูดอย่างบุคลาธิษฐานกันสักหน่อยก็ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบพระเป็นเจ้าในวันตรัสรู้ และก็ทรงเคารพพระเป็นเจ้านั้นทันทีในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ครั้นแล้วพระองค์ก็ได้ทรงนำมาจำแนกแจกแจงเปิดเผย ให้เป็นที่รู้จักแก่พวกเรา และได้ทำเช่นนั้นเป็นครั้งแรกในวันที่เรียกกันว่า วันอาสาฬหปุรณมี คือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหในปีที่ตรัสรู้ พวกเราจะต้อนรับวันนี้ที่เวียนมาถึงเข้าอีกในวันนี้ในลักษณะอย่างไรกัน เราจะต้องต้อนรับด้วยสติปัญญาด้วยความรู้อันถูกต้องไม่ใช่ด้วยความงมงาย โลกนี้เป็นอยู่ด้วยความงมงายกันมามากแล้ว จะต้องตื่นจากความงมงายกันเสียที ความงมงายเป็นที่ตั้งแห่งความผิดพลาด และจะต้องเป็นต้องกระทำให้เป็นความรู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนตามที่เป็นจริง ว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ได้ เพื่อเข้าใจในเรื่องนี้ดีขึ้น อยากจะให้ทุกคนระลึกถึงปัญหาแห่งยุคปัจจุบัน ว่าเดี๋ยวนี้คนเรามีปัญหาคือความยากจน ไม่ค่อยมีจะกินจะใช้กันอยู่เป็นส่วนมาก แล้วก็มีปัญหาอาชญากรรมอันธพาลเลวร้ายเบียดเบียนข่มเหงอยู่ทั่วไป แล้วก็มีปัญหาคอรัปชั่นของคนที่มีโอกาสที่จะโกงกินได้ แล้วก็มีปัญหาเรื่องยาเสพติด ในที่สุดก็มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์คือตัวความงมงายนั่นเอง เรายากจนเพราะเหตุอะไร เขาว่าเศรษฐกิจมันไม่ดีอาตมาว่าเรายากจนเพราะเราไม่มีศีลธรรม คนมีศีลธรรมนั้นเขารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เขาพยายามทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตในฐานะเป็นการปฏิบัติธรรม เมื่อเขารู้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเขาก็มีปีติปราโมทย์ เขาก็ทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันจึงได้ผลงานมากแล้วก็ไม่ยากจน นี่แก้ความยากจนด้วยความมีธรรมะ เรื่องอาชญากรรมเลวร้ายทั่วไปทุกหัวระแหงนั้น แสดงอยู่ในตัวแล้วว่ามันไม่มีศีลธรรมอันธพาลเหล่านั้นไม่มีศีลธรรมจึงประกอบอาชญากรรมให้คนเขาเดือนร้อน ถ้ามีศีลธรรมแล้วก็ไม่มีใครประกอบอาชญากรรมให้ผู้อื่นเดือนร้อน ทีนี้ก็คอรัปชั่น จะเป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นผู้มีโอกาส อย่างไหนก็ตามมีโอกาสแล้วก็คดโกงขูดรีดนี่ก็เพราะไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมแล้วจะทำอย่างนั้นอย่างไรได้ ขอให้พิจารณาดูให้ดี ทีนี้ก็มาถึงยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก น่าสงสารโลกทั้งโลกที่ให้การศึกษาอย่างไรกันที่ทำให้ยาเสพติดเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาในโลก เมื่อการศึกษาไม่ค่อยเจริญ ไม่ค่อยได้ยินปัญหาเรื่องยาเสพติด เดี๋ยวนี้พูดว่าในโลกเจริญด้วยการศึกษากลับมีปัญหายาเสพติด อย่างนี้มันน่าละอายแมว มันน่าละอายสุนัข ที่ความเจริญของมนุษย์มันเจริญไปในทางให้เกิดปัญหายาเสพติด นี่มนุษย์มันจะดีกว่าสัตว์ไปได้อย่างไรในเมื่อสัตว์มันไม่มีปัญหาอย่างนี้ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาไสยศาสตร์คือความงมงายมีความงมงายก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไร เช่นว่าจะแก้ความยากจนเป็นต้น ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม กลับไปเห็นเสียว่าเราไปนั่งบนบานผีสางเทวดาแล้วเราก็จะหายยากจน นี้ความเชื่อในไสยศาสตร์ทำให้กระทำผิด พ้นทางที่ควรจะทำ คือแทนที่จะขยันทำการทำงาน กลับไปงอมืองอเท้ารอการช่วยเหลือของผีสางเทวดา หรือแม้แต่พระเป็นเจ้า นี้เรียกว่าคนเขาถือไสยศาสตร์ไม่ถือพุทธศาสนา ถ้าถือพุทธศาสนาจะรู้ว่าเราต้องขยันขันแข็งในการทำการงาน เพราะการงานคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ ทำการงานก็คือการปฏิบัติธรรมะ เขาก็สนุกในการทำหน้าที่ไม่ต้องหวังให้ผีสางเทวดาที่ไหนมาช่วย นี่ปัญหาที่มีอยู่จริงขอให้พิจารณาดูด้วยกันทุกท่านเถิด เรามีปัญหาความยากจนของประชาชน มีปัญหาอาชญากรรมเลวร้าย มีปัญหายาเสพติด มีปัญหาคอรัปชั่น มีปัญหาไสยศาสตร์ เรียกว่าโลกกำลังมีปัญหา ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปได้โดยวิธีใด ถ้าจะให้หมดไปได้โดยวิธีที่แท้จริงแล้วก็ต้องมีธรรมะเข้ามา ธรรมะสำหรับความดับทุกข์ สำหรับความดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าค้นพบในวันตรัสรู้นั่นแหละ มีความหมายกว้างขวาง จะดับทุกข์ชนิดไหนก็ได้ ดับทุกข์ตามธรรมชาติของกิเลสตัณหาก็ดับได้ ดับทุกข์ของชาวบ้านชาวเมืองในขั้นธรรมดาสามัญนี่ก็ดับได้ ท่านตรัสรู้ว่าความทุกข์นั้นมันมาจากอวิชชา คือความโง่ของคนนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปมาจากการกระทำผิดต่อความจริงของธรรมชาติหรือมันมีกิเลสมาก กิเลสก็เผาให้เร่าร้อนเหมือนกับนั่งอยู่ในกองไฟ นี้มันก็คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะอำนาจของกิเลส หรือแม้ที่สุดแต่ว่ามันเกิดแก่เจ็บตายไปตามธรรมชาติก็จะดับทุกข์ได้ด้วยอำนาจของธรรมะนั้นเหมือนกัน การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็คือ ตรัสรู้ธรรมะที่จะดับทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง ฉะนั้นคนเขารู้ทั่วไปจะรู้ว่าพระองค์ตรัสรู้จตุราริยสัจอย่างนี้ก็มี พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมะที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท อย่างนี้ก็มี ที่แท้มันเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อแจงเรื่องความทุกข์ของอริยสัจออกไปโดยละเอียดแล้วมันก็เรื่องปฏิจจสมุปบาทฝ่ายให้เกิดทุกข์ และเมื่อแจกความดับทุกข์ของอริยสัจออกไปให้ละเอียดแล้ว มันก็คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ ที่มันเป็นไปตามกฎอันสำคัญที่สุดคือกฎแห่งเหตุผลอันเรียกว่า อิทัปปัจจยตา หมายความว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี สิ่งนี้ก็มี มี เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ มันแสดงเหตุผลของการเกิดขึ้นและการดับ ถ้าเรารู้เรื่องนี้ดี เราก็สามารถที่จะทำให้สิ่งพึงปรารถนาให้เกิดขึ้น และทำให้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาดับไป ในเรื่องจตุราริยสัจนั้น ความทุกข์เกิดมาจากความโง่ ปฏิบัติผิดในเมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา เมื่ออารมณ์เข้ามากระทบจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตนั้นมันโง่ มันก็ปรุงแต่งไปในลักษณะที่ผิดๆ จนเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ถ้าจิตนั้นมันไม่โง่ แม้จะมีอะไรเข้ามากระทบจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตนั้นก็ดำรงตนเองไว้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดไม่เกิดกิเลสไม่เกิดความทุกข์ ส่วนใหญ่มันจึงขึ้นอยู่กับวิชชา ความรู้เท่านั้นแหละที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ และขึ้นอยู่กับความไม่รู้เท่านั้นแหละที่จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา เราจะต้องมีความรู้เรื่องนี้ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้วสอนให้รวบรวมเรียกว่าเรื่องอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาท เมื่อพระพุทธเจ้าเที่ยวค้นหาธรรมะนั้น ก็ค้นหาในลักษณะปฏิจจสมุปบาทว่าความทุกข์เกิดมาจากอะไรหนอ ในคืนที่จะใกล้ ใกลัวันตรัสรู้ หรือในคืนที่เป็นวันตรัสรู้ ก็ค้นหาว่าทุกข์นี้เกิดมาจากอะไรหนอ จนรู้ว่าทุกข์เกิดมาจากชาติ ความเกิดขึ้นแห่งตัวตน ชาติเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากภพคือการปรุงแต่งทางจิตที่สมบูรณ์ที่จะมีความรู้สึกว่าตัวตน ภพ มาจากอะไร มาจากอุปาทานความยึดถือสิ่งที่เข้ามากระทบในฐานะเป็นตัวตนก็มี เป็นของตนก็มี อุปาทานเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากตัณหาคือความอยากด้วยอำนาจของความโง่ ไม่รู้ว่าอะไรควรอยากอะไรไม่ควรอยาก ตัณหาความอยากนี้เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากเวทนาที่มีอำนาจรุนแรง มีรสชาติรุนแรง เวทนาสุขก็ทำให้เกิดอยากได้เวทนาทุกข์ก็ทำให้เกิดอยากจะทำลายเสียคือ ความยินดียินร้ายนั่นเอง เวทนานี้เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากผัสสะคือการกระทบระหว่างอายตนะ เช่นตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส ผิวหนังกับสิ่งที่มากระทบผิวหนัง และความรู้สึกที่มากระทบจิต มีการกระทบอย่างนี้เรียกว่าผัสสะ นั่นแหล่ะเป็นโอกาสที่จะเกิดทุกข์หรือไม่เกิดทุกข์ คือในขณะแห่งผัสสะนั้นเราเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาด ถ้าในขณะแห่งผัสสะเราเป็นคนฉลาด ก็รู้จักดำรงจิตไว้อย่างถูกต้องไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราเป็นคนโง่เราก็ไม่สามารถจะดำรงจิตให้ถูกต้องได้ในขณะแห่งผัสสะ จิตก็ปรุงไปอย่างโง่เขลาด้วยอวิชชามันก็ต้องเกิดทุกข์ ท่านทั้งหลายจงสังเกตดูให้ดี ทุกวันเรามีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มากมาย ถ้าเราทำผิดต่อผัสสะเราก็ต้องได้เกิดทุกข์ทรมานใจ ถ้าเราควบคุมผัสสะไว้ได้ มีจิตที่ตั้งไว้ถูกต้องแล้วก็ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นเลย เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งหกทาง เนื้อเรื่องที่จะเข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็มีมากมายในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่ามันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า และมีอยู่ทั่วไปอย่างมากมายทีเดียว เตรียมตัวไว้ให้พร้อมสำหรับจะต้อนรับผัสสะเหล่านั้น หรือจะควบคุมผัสสะเหล่านั้น หรือจะจัดการกับผัสสะเหล่านั้นให้เป็นไปในทางที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ นี่ละพระพุทธองค์ทรงพบว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่เกิดทุกข์ ทีนี้ถ้าว่าเรามีความรู้อย่างถูกต้อง ก็จะดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง มีความปรุงแต่งจิตอย่างถูกต้อง จิตหรือวิญญาณก็เป็นไปอย่างถูกต้อง กายใจของเราดำรงอยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ถูกควบคุมไว้อย่างถูกต้อง ผัสสะก็เป็นสิ่งที่ควบคุมไว้อย่างถูกต้อง เวทนาก็ถูกควบคุมไว้อยู่ในอำนาจของเราสำหรับจะไม่ให้เป็นเวทนาโง่ หรือเป็นเวทนาที่มีสติปัญญาควบคุมอยู่ อย่าให้มันเกิดตัณหา ตัณหาคือความอยากที่โง่เขลา อยากด้วยอำนาจของอวิชชา อย่าให้มันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันจะมีความต้องการก็ให้ต้องการด้วยอำนาจของวิชชา ปัญญา แสงสว่าง ถ้าต้องการด้วยปัญญาอย่าไปเรียกมันว่าตัณหาเลย ใครเขาจะเรียกอะไรก็ตามใจเขา ความอยากด้วยอวิชชาจึงจะเรียกว่าตัณหา ถ้าความอยากความต้องการหรือความประสงค์ที่ทำด้วยปัญญา ด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ นี้ไม่ใช่ตัณหา ถ้ามีสติสัมปชัญญะในขณะแห่งเวทนา ก็ไม่เกิดตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาก็ไม่มีความอุปาทาน ไม่มีภพ ไม่มีชาติ ที่จะเกิดทุกข์ ความทุกข์ก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายให้เกิดทุกข์ก็มีอยู่ ฝ่ายดับทุกข์ก็มีอยู่ทั้งสองฝ่ายนี้พระพุทธองค์ทรงค้นพบในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาททุกชนิดนี้ถ้ารวมเรียกแล้วก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา คือกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้ง ซึ่งมีอยู่ว่าเมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิด สิ่งนี้จึงมี เพราะไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้ สิ่งนี้จึงไม่มี ก็เรียกว่าเพราะมันมีเหตุนั่นแหละมันจึงมีผล มีผลใน มีเหตุในทางไหนก็มีผลในทางนั้น ฉะนั้นรู้จักป้องกันจัดการที่ต้นเหตุแล้วผลที่ไม่พึงปรารถนาก็จะไม่เกิดขึ้น และผลที่ควรจะปรารถนาก็จะเกิดขึ้น เราก็อยู่กันอย่างไม่มีความทุกข์ กฏอิทัปปัจจยตาสูงสุด ศักดิ์สิทธิ์ ควบคุมอยู่ในทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลทั่วสากลจักวาลประกอบอยู่ด้วยปรมาณู ทุกปรมาณูประกอบอยู่ใต้อำนาจของกฎอิทัปปัจจยตาคือปฏิจจสมุปบาท เรารู้เรื่องนี้แล้วก็สามารถจะควบคุมให้ทุกๆ ปรมาณูที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของเราหรือเป็นจิตใจของเราตั้งอยู่ดำรงอยู่อย่างถูกต้อง แล้วเราก็ไม่เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ในวันที่เรียกกันว่า วันตรัสรู้ ในวันเพ็ญเดือนวิสาขที่เรียกว่าเดือนหก พอถึงวันเพ็ญเดือนแปดเดือนอาสาฬหนี้ ท่านก็บอกผู้อื่นเป็นครั้งแรก คือบอกแก่ปัญจวัคคีย์ที่เคยเป็นศิษย์ของท่านมาแต่ก่อนให้รู้เรื่องที่ได้ทรงค้นพบคือกฎของอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แยกออกเป็นอริยสัจสี่ก็ได้ เรียกรวมกันเรียกว่าตถตา คือความเป็นเช่นนั้น คือตถามันเป็นเช่นนั้น ตถตาความเป็นเช่นนั้น อวิตถตาไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตาไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น ธัมมัฎฐิตตาตั้งอยู่โดยความเป็นของธรรมดา ธัมมนิยามตาเป็นกฎตายตัวของธรรมดา อิทัปปจจยตา คือความที่เมี่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นกฎที่ครองจักรวาลเป็นกฎที่ควบคุมอยู่ในทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลควรจะได้นามว่าพระเจ้าคือสิ่งสูงสุดที่สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ดับสิ่งทั้งปวงในลักษณะที่เรียกว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป โดยมากกฎอิทัปปัจจยตาที่ควบคุมอยู่ทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล ขอให้ท่านทั้งหลายรู้เถิดว่าพุทธศาสนาเรามีอิทัปปจจยตานี่แหละเป็นพระเจ้าลัทธิอื่นศาสนาอื่น เขาก็มีพระเจ้าตามชื่อนั้น ๆ ตามลัทธิศาสนาของเขา และพูดไว้ในลักษณะเป็นบุคคลหรือเหมือนกับบุคคล ส่วนพระพุทธศาสนานี้มีพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดในลักษณะเป็นกฎของธรรมชาติ คือไม่ใช่บุคคลหรือไม่ใช่เหมือนอย่างบุคคล กฎของธรรมชาติสามารถแทรกซึมเข้าไปในทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล ถ้าพระเจ้าเป็นบุคคลไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้ ไม่อาจจะเข้าไปมีอำนาจแทรกซึมอยู่ทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล แต่ถ้าพระเป็นเจ้านั้นเป็นกฎของธรรมชาติก็สามารถจะเข้าไปควบคุมอยู่ทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลนี่แหละพระเป็นเจ้าของพุทธศาสนาหรือของพุทธบริษัทนี่มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดอย่างนี้ เราไม่มีทางที่หลีกพ้นไปจากอำนาจนี้ได้ มีแต่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ ซื่อตรงต่อพระเจ้าอิทัปปจจยตานี้ อ้อนวอนพระเจ้าอิทัปปจจยตาด้วยการพยายามประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามของกฎอิทัปปจจยตา อย่าให้ผิดกฎอิทัปปจจยตาก็จะไม่เกิดทุกข์ พุทธบริษัทมีพระเจ้า พุทธบริษัทมีการบูชา มีการอ้อนวอนพระเจ้า อย่าไปเชื่อคนบางคนที่พูดว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า และไม่มีการอ้อนวอน ขอให้ดูซะใหม่ให้ดีว่ากฎอิทัปปจจยตาเป็นพระเจ้า เราต้องบูชากฎอิทัปปจจยตาเพราะว่าแม้แต่พระพุทธองค์ก็บูชาก็เคารพกฎอิทัปปจจยตา ซึ่งได้ตรัสรู้มาหยกๆ ตรัสรู้มาหยกๆ ก็เคารพสิ่งนั้นก็น่าอัศจรรย์อยู่ เมื่อพระพุทธเจ้าก็ยังเคารพแล้ว นับประสาอะไรกับพวกเราที่จะไม่เคารพกฎนั้น เคารพกฎนั้นก็คือยินดีที่จะประพฤติตามกฎ อ้อนวอนพระเจ้านั้นด้วยการพยายามสุดความสามารถของตนที่จะประพฤติให้ตรงตามกฎ ไม่ใช่มานั่งขอร้องบ่นพิรี้พิไรรำพันอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนวิธีอ้อนวอนของคนบางพวก พุทธบริษัทมีวิธีอ้อนวอนพระเจ้าอิทัปปจจยตาด้วยการตั้งเจตนาสุดชีวิตจิตใจของตนเพื่อประพฤติให้ตรงตามกฎ วันนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานพระเจ้าอิทัปปจจยตาที่ทรงค้นพบและเคารพนั้นมาให้แก่มนุษย์เป็นครั้งแรก คือแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันให้สั่งสอนกันสืบไป แล้วพระองค์ก็ทรงสั่งสอนเรื่องนี้ในฐานะที่พระองค์ตรัสเรียกด้วยพระองค์เองว่าเป็นอาทิพรหมจรรย์เป็นเบื้องต้นของศาสนา เป็นตัวศาสนา เป็นทั้งหมดของศาสนาให้ช่วยกันศึกษาให้ประพฤติปฏิบัติ ให้สืบให้สอนสืบๆ กันไปว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับไปอย่างไร โดยกฎของอิทัปปจจยตานั้น ดังนั้นขอให้เราทุกคนในวันนี้ระลึกนึกถึงพระคุณของพระองค์ ที่ได้ประทานแสงสว่างอันนี้ให้มนุษย์โลกนี้รู้จักดับทุกข์ในโลก เพราะว่าโลกอยู่ใต้กฎอิทัปปจจยตา เราประพฤติให้ตรงตามกฎอิทัปปจจยตาแล้วก็ไม่มีความทุกข์เลย รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหาดูในเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ได้ ในเรื่องอริยสัจสี่ก็ได้ ในเรื่องอรยมรรคมีองค์ ๘ ก็ได้ โดยเฉพาะอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละคือวิธีที่จะปฏิบัติบูชาพระเจ้าอิทัปปจจยตาให้คุ้มครองสัตว์โลกทั้งโลกไม่ให้มีความทุกข์อีกต่อไป ตั้งอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ เถิด ปัญหาเรื่องความยากจนก็จะหมดไป ก็สนุกในการทำงาน ปัญหาอาชญากรรมก็จะหมดไป เพราะไม่มีคนอันธพาล ปัญหายาเสพติดก็จะหมดไปเพราะไม่มีใครชอบยาเสพติด ปัญหาคอรัปชั่นก็จะไม่มีในโลกนี้ เพราะว่าเขาเป็นคนดี มีศีลธรรม ปัญหาเรื่องไสยศาสตร์ทั้งหลายก็จะสูญหายไป เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เรื่องที่ควรจะรู้ เราเป็นคนปัญญาอ่อน เราก็ต้องพึ่งไสยศาสตร์จนกล่าวได้ว่าไสยศาสตร์เป็นศาสนาสำหรับคนปัญญาอ่อน พวกเราอย่าไปรวมอยู่ในกลุ่มนั้นเลย อย่าไปรวมอยู่ในกลุ่มคนปัญญาอ่อนเลย มาเป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าเป็นสาวกของพระศาสดา เรียกว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปัญหาก็จะหมดไป วันที่พระองค์ทรงประทานของขวัญอันประเสริฐแก่มนุษย์คือวันอาสาฬหปุรณมี เวียนมาถึงเข้าอีกในวันนี้ ขอให้เราประพฤติกระทำดังที่กล่าวมานี้ ก็จะสมกับที่เป็นพุทธบริษัทเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนามีความเจริญงอกงามตามทางของพุทธศาสนาด้วยการประพฤติปฏิบัตินั้นไม่ต้องมีใครมาให้พร ไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์สากลที่ไหนมาช่วย กฎอิทัปปจจยตาหรือพระเจ้าองค์นี้ที่เราประพฤติอยู่กับเนื้อกับตัวในทุกๆปรมาณูแห่งร่างกายนั้นแหละช่วยๆอย่างแท้จริง ช่วยอย่างไม่งมงาย ให้มีความสุขสวัสดี เจริญงอกงามในหน้าที่การงานการเป็นอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายนี้ไว้เพียงเท่านี้