แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วว่าเป็นวันสำคัญ แต่จะมีความสำคัญอย่างไร อาจจะไม่ทราบหรือทราบน้อยไปก็ได้ แล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์จากความสำคัญนั้น นี่แหละเป็นเรื่องที่จะต้องพูดกัน จะต้องรู้จักความสำคัญและใช้ความสำคัญนั้นให้เป็นประโยชน์อย่างสมกับที่เป็นวันสำคัญ
วันวิสาขบูชาโดยความหมายอันลึกก็มี โดยความหมายตื้นๆก็มี คือเป็นวันที่มาเวียนเทียนกันอย่างสนุกสนานอย่างนี้ ใครๆก็ทราบ แต่ในความหมายอันลึกซึ้งนั้น ขอให้ทราบว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงชนะกิเลสมาร หรือชนะความทุกข์เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ หรือในนามของมนุษย์ ก็กล่าวได้ เพราะว่ามนุษย์ยังไม่เคยเอาชนะกิเลสได้จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์ ท่านเอาชนะกิเลสมารและความทุกข์ได้ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เราจึงถือว่าท่านชนะมารในนามของมนุษย์ คือในนามของเราหมดด้วยกันทั้งโลก ขอให้มองให้ลึกถึงขนาดนี้ แล้วก็มองให้ระลึกถึงขนาดที่ว่า การตรัสรู้ คือรู้พระธรรมถึงที่สุด นั่นแหละเป็นการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แต่ในขณะนั้นเองกิเลสทั้งหลายของพระองค์ก็ดับสิ้นเป็นกิเลสพระนิพพาน การตรัสรู้กับการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า และการนิพพานลงไปแห่งกิเลสนั้น จึงเป็นสิ่งเดียวกัน สิ่งเดียวกันก็ย่อมมีในขณะเดียวกันขอให้เข้าใจอย่างนั้น เรารู้ความสำคัญหรือความหมายอันสำคัญของวันวิสาขบูชาว่าเป็นวันที่พระองค์ทรงชนะกิเลสมารในนามของมนุษย์ การตรัสรู้ของพระองค์ ก็คือการเกิดขึ้นแห่งพระองค์ ก็คือการนิพพานลงแห่งกิเลสทั้งหมดทั้งปวง นี่ความหมายสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ คือว่ามนุษย์เริ่มเอาชนะกิเลสได้เป็นครั้งแรก แล้วก็ใช้ความรู้อันนี้ให้เป็นประโยชน์สืบต่อมา ประโยชน์อันสำคัญก็คือว่าทำให้โลกนี้มีแสงสว่าง ก่อนหน้านี้อยู่กันด้วยความมืดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้จักความทุกข์ ไม่รู้จักเหตุแห่งความทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ และหนทางที่จะดับทุกข์ได้ นี้เรียกว่ามืด เดี๋ยวนี้มีแสงสว่าง รู้จักสิ่งเหล่านี้และถือเอาประโยชน์ได้ จากการดับทุกข์จึงอยู่เย็นเป็นสุข พวกเราจึงรู้จักทำชีวิตนี้ให้เยือกเย็น ให้มีชีวิตอย่างเยือกเย็น มีค่าสมกับที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ชีวิตที่แท้จริงต้องเยือกเย็นต้องสดชื่นไม่ใช่เหี่ยวแห้ง เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งแม้ยังไม่ตายแต่มีความเหี่ยวแห้งอยู่ ก็เรียกว่ามีชีวิตไม่สมบูรณ์ และไม่เรียกว่ามีชีวิตจะดีกว่า มีชีวิตแท้จริงต้องสดชื่นและเยือกเย็น ต้องรู้จักดับทุกข์ของตนได้
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีชีวิตสูงยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ มนุษย์มีจิตใจสูง ตัวหนังสือก็แปลว่า เป็นเหล่ากอของผู้ที่มีจิตใจสูง แต่ดูให้ดี มนุษย์จะสูงจริงหรือไม่ โดยเฉพาะมนุษย์สมัยนี้มีจิตใจสูงจริงหรือไม่ ถ้ายังมัวเมาอยู่ด้วยกิเลสมันก็สูงไปไม่ได้ แม้จะวัดดูด้วยผลที่ปรากฏอยู่จริง ก็ยิ่งจะน่าสงสัยว่ามนุษย์สมัยนี้ ทำไมจึงนอนไม่หลับกันโดยมาก จึงปวดศีรษะกันโดยมาก จึงเป็นโรคประสาทกันโดยมาก เป็นโรคจิตกันโดยมาก ตามสถิติที่หมอเขาประกาศออกมาว่าในประเทศไทยเรานี้ มีคนเป็นโรคประสาทเป็นแสนๆ เป็นโรคจิตโดยสมบูรณ์แล้วเป็นหมื่นๆอาตมาเข้าใจว่าคงจะมากกว่านั้น คือที่ยังไม่ทราบไม่ได้เอามาประกาศนั้นก็ยังมี คงจะเป็นโรคประสาทกันเป็นล้านแล้วก็ได้เป็น มีโรคจิตกันเป็นแสนแล้วก็ได้ ทีนี้ถ้าจะดูให้กว้างออกไปทุกประเทศในโลกรวมกันแล้วก็จะน่าใจหายทีเดียว ทั้งประเทศก็เพียงเท่านี้ ถ้าทั้งโลกมันก็มากกว่านี้มาก เข้าใจว่าทั้งโลกนั้นจะต้องกินยานอนหลับ แก้ปวดหัว หรือแก้โรคประสาทกันเป็นตันๆ ต่อ ๑วัน คิดดูแล้วก็น่าใจหาย นี่มนุษย์มีจิตใจสูงอย่างไรกัน มันก็น่าละอายแมว แมวสักตัวหนึ่งก็ไม่เคยปวดหัว ไม่เคยนอนไม่หลับ ไม่เคยมีแมวที่เป็นโรคประสาท หรือเป็นโรคจิต ทั้งที่แมวไม่ได้กินยาแม้แต่สักเม็ดเดียว มนุษย์กินยากันทั้งโลกวันหนึ่งเป็นตันๆ และก็เต็มไปด้วยคนที่เป็นโรคประสาท และก็เป็นโรคจิต ยิ่งประเทศที่เจริญมากเป็นมหาอำนาจก้าวหน้าทางวัตถุอย่างสมัยใหม่ด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นกันมาก ดูเอาเองก็แล้วกัน อ่านข่าวเอาเองก็แล้วกันไม่ใช่เรื่องแกล้งว่า แกล้งสบประมาทว่าทั้งโลกประเทศไหนยิ่งเจริญประเทศนั้นยิ่งมีโรคประสาทมากมีโรคจิตมาก นี้มันก็ยิ่งน่าละอายแมว เราไม่ได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงต้องเป็นโรคจิต เป็นโรคประสาทกันมากมายถึงอย่างนี้ ทีนี้ก็ดูต่อไปให้ถึงความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุก้าวหน้าสมัยใหม่นี้มันช่วยมนุษย์ได้อย่างไร ช่วยได้หรือไม่ได้ก็ลองคิดดูเถิด เราดูประเทศที่เขาเป็นประเทศเจริญแล้ว และเขาเรียกเราว่าประเทศด้อยพัฒนา ประเทศที่เขาเจริญแล้วนั่นแหละมันเป็นอย่างไรบ้าง เขาเจริญก้าวหน้าจนเราไปตามก้นเขา ในเรื่องการศึกษาเราก็ไปเรียนจากเขา การเมืองการเศรษฐกิจอะไรเราก็ยังไปเรียนศึกษามาจากเขา ถือว่าเขามีวัฒนธรรมเหนือกว่า แต่แล้วประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง ประเทศเหล่านั้นก็ยังเต็มไปด้วยอาชญกรรม เป็นประเทศที่สร้างสงครามขึ้นมาในโลก วัดกันง่ายๆว่ายังต้องกินยาปวดหัวให้ละอายแมวยิ่งกว่าประเทศไทยเล็กๆนี้เสียอีก เรายังไม่ได้รับความสงบสุข มีชีวิตที่เยือกเย็นเป็นสุข สมกับคำว่ามนุษย์ที่มีใจสูง แต่มันกลับยิ่งร้อน ยิ่งเจริญด้วยวัตถุส่งเสริมความรู้สึกของกิเลสแล้ว มันก็ยิ่งร้อน เพราะว่ากิเลสมันยิ่งมากมันก็ยิ่งร้อน เพราะมันเป็นเรื่องวัตถุเพียงด้านเดียว คือเป็นเรื่องทางร่างกายเพียงด้านเดียวไม่มีเรื่องจิตใจ เรื่องกายด้านเดียวมันก็เฟ้อมันก็เกินยิ่งขึ้นไปในการสนองกิเลส ยิ่งเจริญทางวัตถุหรือทางกายนี้มันก็ยิ่งร้อนเพราะมันเป็นเรื่องวัตถุด้านเดียว ไม่มีเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ ไม่มีความรู้ในการที่จะทำให้จิตวิญญาณนี้สงบเย็น ท่านทั้งหลายมองเห็นได้ด้วยกันทุกคนอย่างง่ายๆว่า ยิ่งมีสุขทางเนื้อหนังร่างกายเท่าไรมันก็ยิ่งเร่าร้อนด้วยกิเลสมากขึ้นเพียงนั้น ยิ่งมีความสุขทางเนื้อทางหนังมากขึ้นเท่าไร คนมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น มันร้อนเพราะกิเลสเนื่องด้วยเหยื่อของกิเลสคือวัตถุที่สนับสนุนกิเลสนั้นเจริญก้าวหน้าเหลือประมาณในโลกนี้ เขาผลิตกันอย่างอุตสาหกรรมใหญ่ของโลกขายไปทั่วโลก คนโง่เหล่านั้นก็ซื้อไปส่งเสริมกิเลสของตน มันก็ยิ่งมีปัญหาทางเศรษฐกิจหรือปัญหาอื่นๆตามมา แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เคยมีแก่มนุษย์ มันก็มามีแก่มนุษย์ นี่เรียกว่าส่วนตัวมันก็ยิ่งเร่าร้อน มันยิ่งหลงใหลในวัตถุหรือในความสุขจากวัตถุนี้มากขึ้นเท่าใดมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบผู้อื่น มันก็เบียดเบียนผู้อื่น มันก็เกิดการวิวาทส่วนบุคคลส่วนสังคมกระทั่งนำไปสู่สงครามในที่สุด ข้อนี้ก็เป็นการกล่าวได้ว่ายิ่งเจริญมันยิ่งยุ่ง ดูให้ดียิ่งเจริญคือยิ่งยุ่ง หรือยิ่งยุ่งยากยิ่งสับสนไปด้วยความยุ่งยาก นี่คือการเจริญแต่ในทางวัตถุด้านเดียวซึ่งมนุษย์กำลังหลงใหลกันอยู่
ที่นี้ก็จะได้พิจารณากันถึงสิ่งที่จะช่วยแก้ไขสิ่งเลวร้ายอันนี้ สิ่งนั้นไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ศีลธรรม ศีลธรรมคำนี้แปลว่าอะไร แปลว่าสิ่งที่จะทำให้เกิดความปกติ ศีลแปลว่าปกติ ธรรม ธรรมะนี้ แปลว่าเหตุก็ได้ แปลว่าภาวะก็ได้ คือสิ่งเฉยๆก็ได้ สิ่งที่ทำให้เกิดความปกติ เมื่อปกติแล้วคนเราก็จะเยือกเย็น เมื่อไม่มีกิเลสเป็นเครื่องชักจูงแล้วคนเราก็จะไม่เห็นแก่ตัว แต่อาจที่จะรักผู้อื่นได้ด้วย ศีลธรรม สิ่งที่ทำความปกติ นี้คือการประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ตามที่ธรรมชาติมีกฎอยู่ว่าอย่างไรสำหรับการที่จะอยู่กันเป็นผาสุก ปกติแห่งมนุษย์ก็คือมนุษย์มีใจสูงอยู่เหนือกิเลสได้แล้วก็ปกติ ไม่มีกิเลสชักจูงไปทำในสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนตนเองและเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ที่ว่าเมื่อปกติแล้วก็เย็นนี้หมายความว่ามันตรงกันข้ามจากความเร่าร้อนของกิเลสซึ่งบังคับให้วุ่น ให้วุ่นวาย ให้วิ่งเต้น ให้แสวงหาตามอำนาจของกิเลส แต่ถ้าระงับสิ่งเหล่านั้นเสียได้มันก็ปกติ พอปกติมันก็เป็นความเยือกเย็นเป็นสุข ทุกเวลาเป็นสุข ทุกหนแห่งเป็นสุข และทุกอิริยาบทก็เป็นสุข ท่านผู้ฟังคงจะไม่เชื่อว่าจะทำให้เยือกเย็นเป็นสุขทุกเวลาทุกสถานที่ทุกอิริยาบทได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณากันอย่างยิ่งว่าศีลธรรมนั้นคืออะไรกันแน่และจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะมีศีลธรรมชนิดนั้น ศีลธรรมคือธรรมะในความหมายที่ ๓ แห่งธรรมะ ๔ ความหมาย ขอโอกาสพูดเรื่องนี้ซ้ำอีกทีว่า
ธรรมชาติ คือสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ เป็นดินน้ำลมไฟเป็นอากาศเป็นวิญญาณเป็นอะไรก็ตามที่เป็นอยู่เองตามธรรมชาติ และมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ในสิ่งเหล่านั้น มันจะต้องเป็นไปตามกฎนั้นๆ ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ที่จะทำให้ถูกต้องตามกฏธรรมชาติ มิฉะนั้นเราจะต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นคำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฎิบัติให้ถูกต้องแก่ตัวเขา แก่วิวัฒนาการของเขาทุกขั้นทุกตอน อย่าให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาได้ นั่นน่ะคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือศีลธรรมในที่นี้ ย้ำอีกทีว่าการประพฤติปฎิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเขาทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการนับตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องมารดา จนกว่าจะเน่าเข้าโลงไปมีความถูกต้องทุกอย่างทุกประการในกระแสแห่งวิวัฒนาการนั้นๆ นี้เรียกว่าธรรมะ หรือศีลธรรมในที่นี้เป็นความหมายที่๓ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติจึงเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ ธรรมะในพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ ไม่เป็นปรัชญาใช้เหตุผลเพ้อเจ้อ และก็ไม่เป็นไสยศาสตร์เชื่อสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ไม่ต้องเชื่ออย่างงมงาย ไม่ต้องเชื่อล่วงหน้าอย่างงมงาย หากแต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจแจ่มแจ้ง ได้รับผลแล้วจึงค่อยเชื่อ วิทยาศาสตร์นี้มีได้ทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตทางวิญญาณ คนโดยมากเมื่อพูดว่าวิทยาศาสตร์ก็จะหมายถึงแต่ทางวัตถุ ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ว่า วิทยาศาสตร์นั้นมีเรื่องทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณด้วยก็ได้ และมีความหมายว่าเป็นสิ่งที่ต้องมองเห็นเองมอง
เห็นอยู่ในขณะนั้นอย่างถูกต้อง ไม่ต้องคาดคะเน ไม่ต้องเชื่ออย่างงมงาย นี่เรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์
ทำไมจึงพูดว่ามีศีลธรรมแล้วจะเยือกเย็น ข้อนี้ก็เพราะว่าประพฤติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่ต้องทะเลาะกับธรรมชาติ แต่อนุโลมตามกฎของธรรมชาติ ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ จึงมีการกระทำอันถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อกระทำถูกต้องก็ประสบความสำเร็จ เมื่อประสบความสำเร็จก็พอใจ ก็พอใจ คำว่าพอใจนี้สำคัญมาก เรียกอย่างบาลีว่า ปีติ ปีติ พอใจ เมื่อประสบความสำเร็จ เพราะการกระทำอันถูกต้อง เมื่อรู้สึกว่าตัวมีความถูกต้องอยู่ตลอดเวลาก็พอใจ ถ้าว่าไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เสียใจเพราะว่ามันมาสอนให้ฉลาดกว่าเดิม ดังนั้นคนเราไม่ต้องเป็นทุกข์ เมื่อประสบความสำเร็จก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็อย่าไปเสียใจให้เป็นทุกข์ให้ถือเอาประโยชน์ว่ามันมาสอนให้เราฉลาดกว่าเดิม แล้วก็มีความฉลาดกว่าเดิม อาจจะทำให้ถูกต้องกว่าเดิม ถูกต้องไปทั้งหมด จนมีแต่ความถูกต้องตลอดชีวิตทุกวันทุกเดือนทุกปี มองดูตัวเองแล้วก็มีแต่ความถูกต้อง มีปีติพอใจอันเกิดมาจากความถูกต้อง นี้เรียกว่ามีธรรมะปีติ ปีติเกิดจากธรรมะ ปีติของธรรมะ ปีติชนิดนี้ทำให้ชีวิตนี้เยือกเย็น เยือกเย็นแล้วก็เป็นสุข เมื่อเป็นสุขใจคอเป็นสุขก็ทำงานได้ดี มีความสนุกอยู่ในการงาน ทำการงานได้ดีมีความสนุกเป็นสุขอยู่ในการงาน ไม่ต้องไปหาความสุขที่อื่นเพราะมันมีความสุขในขณะที่ทำการงานอยู่อย่างเพียงพอเสียแล้ว ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการงาน ไม่เหม็นเบื่อในการงาน แต่รู้สึกยิ้มกริ่มเยือกเย็นอยู่ในใจในขณะที่ทำการงาน นี้เรียกว่าชีวิตเยือกเย็น คำว่าเย็นคือคำว่านิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น เรามีนิพพานน้อยๆอยู่ตลอดเวลา ทุกหนทุกแห่ง ทุกอิริยาบถ คำว่านิพพานยังอยู่ข้างหน้าไกล เป็นกัปกัปนั่นเขาว่า ส่วนเรานี่มีอยู่ ไม่ต้องว่า คือมันเย็นอยู่ที่นี่เย็นอยู่เดี๋ยวนี้ เย็นใจเพราะว่ามองที่ไรก็เห็นแต่ความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวของตน เมื่อทำการงานก็มีความพอใจ เมื่อพักผ่อนก็มีความพอใจ เมื่อทำงานอดิเรกก็พอใจ จะยกตัวอย่างให้ฟังว่าจะรับประทานอาหารก็ไม่ได้รับประทานด้วยกิเลส แต่รับประทานด้วยความรู้สึกว่าตัวมีความถูกต้องเป็นธรรมปีติ ก็รับประทานอย่างผู้มีธรรมะ จะอาบน้ำก็มีความเย็นใจว่ามีความถูกต้อง จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ไม่รีบร้อนด้วยกิเลส มีความเย็นใจในการกระทำ จะถูพื้นเรือนบ้างก็เย็นใจ จะกวาดบ้านบ้างก็เย็นใจ เพราะรู้ว่า เป็นหน้าที่อย่างถูกต้องของมนุษย์ เราได้ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง เราก็เย็นใจ แม้ว่าเราจะไปถูพื้นจะไปกวาดบ้านจะไปล้างจานกระทั่งจะไปล้างส้วม คนไม่เคยคิดว่าเราจะมีความเย็นอกเย็นใจได้เมื่อทำงานอย่างนี้ เขาคิดว่าต้องไปสนองกิเลสที่สถานกามารมณ์จึงจะเป็นสุข นั้นมันเรื่องของคนโง่ เรื่องของคนมีกิเลส เรื่องของคนหลับตา ถ้ามีสติปัญญาอย่างถูกต้องแล้ว เขาจะรู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าของมนุษย์อย่างถูกต้อง ต่ำที่สุดแม้ว่าล้างจาน ล้างส้วม เขาก็ถือเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องกระทำ และกระทำให้ถูกต้อง เมื่อกระทำอย่างถูกต้องก็พอใจ พอใจ คือปีติ ปีตินี้มีอยู่ 2 ชนิด
ปีติของธรรมะเป็นปีติเย็น ปีติให้เกิดสุข สุขก็พลอยมี 2 ชนิดไปด้วย สุขเย็นก็มีสุขร้อนก็มีไปดูเอาเอง สุขเย็นเกิดมาจากธรรมะ สุขร้อนเกิดมาจากกิเลส สุขสะอาดก็มี สุขสกปรกก็มี สุขมาจากธรรมะก็สะอาด สุขมาจากกิเลสก็สกปรก สุขหลอกลวงก็มี สุขแท้จริงก็มี แล้วแต่ว่าเกิดมาจากธรรมะหรือเกิดมาจากกิเลส คนเป็นอันมากกำลังหลงใหลในความสุขที่หลอกลวงหลงใหลในอบายมุข เป็นความสุขจากกิเลส ความสุขทางเนื้อหนัง ความสุขทางกามารมณ์ ชนิดที่ไม่มีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเอาเสียเลย จงดูบัญชีรายจ่ายของคนเราในโลกปัจจุบัน เขาจ่ายเงินเพื่ออะไรเป็นส่วนใหญ่ส่วนมาก ส่วนมากจ่ายเงินไปเพื่อเลี้ยงกิเลส เลี้ยงความสุขที่จะได้จากกิเลส แสวงหาความสุขจากกิเลส มันจึงมีรายจ่ายมากจนเงินเดือนไม่พอใช้ มันบังคับให้เราซื้อหาสิ่งของที่รู้สึกว่าแพง มันแพง แต่ก็ยังตัดใจซื้อ เพราะคนนั้นมันเป็นทาสของกิเลส เรื่องอาหารการกินก็เป็นอย่างนั้น เรื่องนุ่งห่มก็เป็นอย่างนั้น ที่อยู่อาศัยใช้สอยก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่จะเป็นวัตถุเพื่อส่งเสริมสุขภาพก็ยังเป็นอย่างนั้น คือทำให้มันเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียหมด ไม่กินอาหารเพียงให้สบาย แต่กินอาหารเพื่อกามารมณ์ ไม่นุ่งห่มเพียงเพื่อสบาย แต่นุ่งห่มเพื่อกามารมณ์ วัตถุใช้สอยมันก็จะขยับขึ้นไปเป็นเรื่องกามารมณ์ รถยนต์ราคาหมื่นๆใช้ไม่ได้ต้องใช้รถยนต์ราคาล้านๆ ก็มันก็โง่เท่ากับที่มันเพิ่มขึ้นไปเป็นล้านๆนั่นเอง เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่ากิเลสมันต้องการ นี่แหละเรียกว่ามีปีติ พอใจในธรรมะแล้วก็เป็นสุขอย่างธรรมะเป็นสุขเย็น ที่นี้จะดูปรากฏการณ์ภายนอกว่าคนมีธรรมะหรือมีศีลธรรมนี้เป็นอย่างไร คนมีศีลธรรมนั้นสนุกอยู่ในการงานอย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะเขารู้จักธรรมะอย่างถูกต้อง เห็นการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติว่าเป็นธรรมะ เขาก็พอใจประพฤติธรรมะ คือการทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง พอใจแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็ยิ่งมีความสุขยิ่งขึ้นไป เขามีความสนุกในการทำงาน เพราะเห็นว่าการงานเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วเขาก็สนุกในการที่จะกินจะใช้จะเก็บไว้แต่พอดี เพราะเขาสนุกในการทำงานเขาทำได้มาก แต่เมื่อได้ผลมามากเขาก็กินก็ใช้หรือเก็บไว้แต่พอดี แล้วเขาก็ได้มีโอกาสสนุกในการที่เอาส่วนที่เหลือนั้นไปให้ผู้อื่น ไปช่วยผู้อื่น ไปช่วยสังคมไปช่วยโลกก็ยิ่งสนุกใหญ่ ขอย้ำอีกทีว่า สนุกในการทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรม แล้วสนุกในการที่จะกินจะใช้จะเก็บไว้แต่พอดี แล้วก็สนุกในการจะใช้ส่วนที่เหลือนั้นไปช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นี่แหละการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในวันวิสาขบูชาเช่นนี้มีความหมายว่าจะทำโลกนี้ให้มีแสงสว่าง มีศีลธรรม สามารถดำรงชีวิตให้เยือกเย็นเป็นสุขอยู่ทุกสถานที่ทุกเวลาและทุกอิริยาบถ ตลอดเวลาที่เรายังไม่ได้รับประโยชน์จากศีลธรรมก็แปลว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นยังเป็นหมันแก่เรา เราควรจะละอายอย่างยิ่งที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า วิสาขบูชาก็ยังไม่มีแก่บุคคลชนิดนี้ ไม่มีแสงสว่างแก่บุคคลชนิดนี้ บุคคลนั้นจะต้องเป็นทุกข์ทรมานสืบต่อไป ราวกับว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังเกิดขึ้นในโลกนี้ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้สำหรับบุคคลที่สามารถรู้และเข้าใจและปฏิบัติศีลธรรม สำหรับผู้ไม่มีศีลธรรมนั้นก็เท่ากับว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังเกิดขึ้นสำหรับเขา การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายังเป็นหมันสำหรับเขา ดังนั้นจึงขอร้องวิงวอนท่านทั้งหลายทุกคน รีบปรับปรุงการศึกษาการประพฤติปฏิบัติของตนของตนให้เหมาะกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของสมเด็จพระบรมศาสดา มีชีวิตก้าวหน้าไปในทางของพระนิพพาน คือเยือกเย็นเป็นสุขยิ่งๆขึ้นไปอยู่ทุกทิพพาราตรีกาล ข้อความที่ปรารภกันในวันวิสาขบูชานี้พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในโอกาสแห่งวิสาขบูชายิ่งยิ่งขึ้นไปทุกๆท่านเทอญ