แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย เรื่องว่าพระอรหันต์คือใครเป็นเรื่องที่ต้องพูดกันในวันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันของพระอรหันต์ แต่เรามาเรียกกันว่าวันมาฆบูชา ขอให้ท่านทราบถึงความข้อนี้ไว้ด้วยว่า วันมาฆบูชานี้เป็นวันของพระอรหันต์ วันนี้ก็เวียนมาถึงเข้าตามระยะเวลารอบปี ตามกฎของความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าอนิจจังก็ได้ วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ แต่ว่าวันพระสงฆ์นั้นโดยเนื้อแท้ก็คือวันของพระอรหันต์ เพราะกำหนดเอาวันที่พระอรหันต์ประชุมกันเป็นพิเศษ ในวันที่มีความเป็นปึกแผ่นของพระอรหันต์ในโลก ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า พันกว่าองค์ประชุมกันในลักษณะที่น่าอัศจรรย์ คือไม่ได้นัดหมาย ทำไมเราจะต้องมีวันพระอรหันต์ มีความสำคัญเป็นพิเศษซึ่งไม่ค่อยมีใครคิดใครนึก ผู้ที่ไม่ชอบเรื่องพระอรหันต์อาจจะเตรียมปิดวิทยุ ปิดทีวีกันบ้างแล้วก็ได้ เพราะไม่สนใจจะฟัง อาตมาอยากจะขอร้องว่าอย่างเพิ่งปิด ขอให้ทนฟังแม้ว่าจะไม่สนใจในครั้งแรก วันมาฆบูชานั้นเราจะต้องมีเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระอรหันต์ เป็นอนุสติในทางใจ คือใจจะได้ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ซึ่งมีคุณธรรมสำหรับโลก โลกเราจะต้องมีคุณธรรมที่เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ เป็นความหมายของพระนิพพาน เพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เราจะต้องรู้ว่าพระอรหันต์นั้นคือใคร การที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาสรุปความได้ว่าถ้าจะให้พูดกันสั้นๆที่สุดแล้ว พระอรหันต์ก็คือ คนเต็ม มนุษย์ที่เต็ม มนุษย์ที่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีความเต็มแห่งคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ ทุกคนจะต้องมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์อยู่ในเบื้องหน้า ในอนาคต มีจุดหมายปลายทางที่ว่าเราจะต้องมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้ถ้าใครบอกว่าท่านเป็นคนไม่เต็ม ท่านก็จะโกรธ แต่โดยที่จริงแล้วเราก็ยังไม่เต็ม ไม่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งเรียกกันว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์เต็มด้วยอะไร เต็มอยู่ด้วยคุณธรรมอะไร พระอรหันต์เต็มอยู่ด้วยคุณธรรมอย่างน้อยก็ ๓ ประการ คือ ความสะอาด ความสว่าง และความสงบ มีความสะอาดแห่งอะไร ก็ความสะอาดแห่งความเป็นมนุษย์นั่นเอง พูดอย่างสมัยนี้ก็ว่า สะอาดแห่งชีวิต สงบ สว่างแห่งชีวิต สงบแห่งชีวิต อาตมาอยากจะพูดว่า สะอาดแห่งความเป็นคน สว่างแห่งความเป็นคน สงบแห่งความเป็นคน ที่ว่าสะอาดก็คือหมดกิเลส กิเลสคือความเศร้าหมอง ความชั่ว หรือสิ่งที่ต้องปกปิด ไม่มีกิเลสก็สะอาด ความสว่างนั้นคือสว่างเพราะหมดอวิชชา อวิชชาคือ ความมืด ความโง่ ความเขลา ความหลง ความไม่รู้ อวิชชาหมดไปก็เป็นความสว่าง ทีนี้ก็มาถึงความสงบ สงบนี้สงบแห่งความร้อน ถ้ามีความร้อนก็เดือด ก็พลุ่ง ก็ร้อน เราจึงต้องการความสงบ คือไม่ร้อน หมดทุกข์หมดร้อน สะอาดคือหมดกิเลส สว่างคือหมดอวิชชา สงบคือหมดความร้อน ท่านลองคิดดูว่ามันจะเป็นคุณธรรมที่ประเสริฐสักกี่มากน้อย และเหมาะสมสำหรับพระอรหันต์หรือผู้ที่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์อย่างไร เมื่อพูดถึงความสะอาด ท่านก็เป็นผู้สะอาดที่สุด หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ไม่มีความชั่ว ไม่มีความลับอะไรที่จะต้องปิดบัง ท่านเต็มไปด้วยความสว่างคือความรู้ ไม่ต้องเข้าโรงเรียนไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยอย่างคนสมัยนี้ แต่ท่านก็มีความรู้ในสิ่งที่ต้องรู้ รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความดับทุกข์ อะไรเป็นทางถึงความดับทุกข์ สิ่งเหล่านี้ปรากฏแก่จิตใจของท่าน ไม่ใช่ว่าจะไปท่องจำมาจากใคร หรือจะจดไว้ในสมุด ท่านรู้สึกต่อความทุกข์ที่ตัวความทุกข์ รู้สึกเหตุแห่งความทุกข์ที่ติดอยู่กับตัวความทุกข์ รู้ความดับของความทุกข์เพราะท่านดับมันได้ และก็ได้เป็นอยู่มาอย่างถูกต้องจนความทุกข์นั้นดับไป ท่านจึงเป็นผู้มีความสว่าง คือรู้ทุกสิ่งที่ควรจะรู้ เมื่อพูดถึงความสงบ ก็หมายถึงกิเลสสงบ ความปรุงแต่งทุกๆ ชนิดไม่มี ความปรุงแต่งนั้นหมายถึงว่า คนไม่เข้าใจไม่รู้ในสิ่งใด ความคิดก็ปรุงแต่งไปตามความไม่รู้ จนกระทั่งเกิดทุกข์ ท่านจึงถือว่ามีการปรุงแต่งก็ต้องมีความทุกข์ ถึงกับกล่าวว่าสังขารคือการปรุงแต่งนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ความร้อนเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีการปรุงแต่งแห่งเหตุปัจจัยของความร้อน เช่นไฟจะต้องประกอบด้วยอะไรบ้างปรุงขึ้นมาเป็นไฟ แล้วก็ร้อนอย่างไร นี่ขอให้คิดดู พระอรหันต์คือผู้ที่เต็มไปด้วย ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ จะเรียกเป็นบาลีสักหน่อยก็ได้ คือมีสุทธิ มีสัมโพธิ มีสันติ มีสุทธิก็คือสะอาด สัมโพธิก็คือสว่าง สันติก็คือสงบ เราชอบใช้คำที่จำง่ายๆ ว่า ๓ ส. ๓ ส. คือ ส. สะอาด ส. สว่าง ส. สงบ หรือว่า ส. สุทธิ ส. สัมโพธิ ส. สันติ นี่ก็ ๓ ส. เหมือนกัน แต่คนละภาษา ทีนี้ก็จะดูต่อไปว่า เป็นพระอรหันต์มีความสะอาด สว่าง สงบนั้น เป็นได้อย่างไร หรือมีลักษณะอย่างไร เป็นพระอรหันต์เพราะว่า ท่านถึงซึ่งคุณธรรมเช่นนั้นเพราะการเห็น หรือการถึงซึ่งความจริงอันสูงสุด ที่เรียกว่า ตถา ตถา คือความเป็นอย่างนั้นเองของทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีความเป็นอย่างนั้นเอง ที่เป็นทุกข์ก็มีความเป็นอย่างนั้นเองของความทุกข์ ที่ดับทุกข์ก็เป็นความอย่างนั้นเองของความดับทุกข์ อะไรๆ ทุกอย่างมีความเป็นเช่นนั้นเองของมันเพื่อความเป็นอย่างนั้น เรียกว่ามันมีความจริงคือความเป็นอย่างนั้น พวกที่มีสิ่งปรุงแต่งก็เป็นไปตามความปรุงแต่ง ที่ไม่มีความปรุงแต่งก็ไม่มีความปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามความปรุงแต่ง ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจคำนี้ให้มากเป็นพิเศษ คือคำว่า เช่นนั้นเอง ๓ พยางค์ เช่น-นั้น-เอง บาลีก็ ๓ พยางค์ว่า ตะ-ถา-ตา ความเป็นเช่นนั้น ฟังดูแล้วน่าหัวเราะ แต่ท่านก็คงนึกอย่างนั้นเมื่ออาตมาจะบอกว่า เช่นนั้นเองเป็นหัวใจของพระศาสนาทั้งหมด พุทธศาสนาทั้งหมดสอนความเป็นเช่นนั้นเอง ให้รู้ความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง สอนเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมกันแล้วเป็น สุญญตา นั่นคือความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวง เรียกว่าเป็นหัวใจของพระศาสนา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เป็นหัวใจของธรรม เป็นหัวใจของธรรมชาติ ธรรมชาติก็ดี กฎของธรรมชาติก็ดี ล้วนแต่มีความเป็นเช่นนั้นเอง ธรรมชาติทั้งหลายมีความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นเอง ผลจะเกิดขึ้นอย่างไรท่านลองคิดดู เมื่อเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ก็ไม่รัก หรือเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเองก็ไม่โกรธ ก็ไม่เกลียด ก็ไม่กลัว ก็ไม่วิตกกังวล ก็ไม่อาลัยอาวรณ์ นี่เรียกว่ามันเห็นเช่นนั้นเอง ตถาก็เช่นนั้นเอง ผู้ถึงเช่นนั้นเองเรียกว่า ตถาคต คำว่าตถาคตแปลว่าผู้ถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้นเอง คำนี้เชื่อได้ว่ามีก่อนพุทธกาล คนเขาเดา เขาสันนิษฐาน มีความเป็นเช่นนั้นเองตายตัวและใครถึงสิ่งนั้นก็เรียกว่าตถาคต แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นเองที่ถึงที่สุด ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์จึงจะถึงเช่นนั้นเองถึงที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ในฐานะเป็นจอมของพระอรหันต์ ท่านเห็นเช่นนั้นเอง เมื่อท่านจะเรียกชื่อตัวท่านเอง ท่านก็เรียกว่า ตถาคต ท่านใช้คำว่าตถาคตเป็นคำ ชื่อเรียกท่าน เราเรียกท่านอย่างอื่นด้วยคำอย่างอื่น แต่ท่านเรียกพระองค์ท่านเองว่าตถาคต คือผู้ถึงซึ่งตถา ความข้อนี้เป็นที่สนใจกันในประเทศจีนมาก เมื่อพุทธศาสนาไปถึงประเทศจีน นักปราชญ์ นักศึกษาสนใจคำนี้ รับเอาคำว่าตถา ไปแปลเป็นภาษาจีนว่า ยู่สี(นาทีที่ 14.53) ยู่สีก็แปลว่ามันเช่นนั้นเอง ผู้ใดถึงซึ่งเช่นนั้นเอง ผู้นั้นเป็นยู่ไล้ คำว่ายู่ไล้ก็คือตถาคต ยู่สีก็คือตถา ถึงตถาก็คือตถาคต ได้รับประโยชน์จากการเห็นเช่นนั้นเอง คือเป็นทุกข์ไม่ได้อีกต่อไปถ้าเห็นเช่นนั้นเองแล้ว พระอรหันต์เป็นผู้เห็นเช่นนั้นเอง ความหมายของคำว่าพระอรหันต์นี่มีหลายอย่างเช่นว่า ตาที(นาทีที่ 15.28) ตาที แปลว่าคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ก็คือพระอรหันต์ คำว่า เกพลี (0:15:34) แปลว่าได้รับผลทั้งหมดที่ควรจะได้รับ อีกคำว่า อะทะสี (นาทีที่ 15.44) ไม่มีเงื่อนต่อ สำหรับว่าจะเกิด หรือจะเป็น หรือจะวนเวียนอีกต่อไป ไม่มีเงื่อนทิ้งไว้สำหรับจะวนเวียนจะสืบต่ออีกต่อไป โดยมากเรียกว่า ฐีนาสพ (นาทีที่ 16.01) คือสิ้นอาสวะ กิเลสที่สะสมอยู่ในสันดานหมดสิ้นไป ดังนั้นท่านจึงไม่มีความรู้สึกอะไรๆ ที่เป็นตัวกู หรือเป็นของกู มมังการ ก็ทำความรู้สึกว่าเรา อหังการ ทำความรู้สึกว่าเรา มมังการ ทำความรู้สึกว่าของเรา ไอ้เราหรือของเรานี้พอมันเดือดจัดขึ้นมา เราเรียกกันว่าตัวกูว่าของกู ความรู้สึกชนิดนี้จะมีไม่ได้แก่พระอรหันต์เพราะท่านเห็นเช่นนั้นเองซะแล้ว ไม่มีอะไรประหลาดที่จะเอามาเป็นตัวกูได้ มันเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ไม่มีอะไรน่าประหลาดที่จะมาเอาเป็นของกูได้ เพราะมันเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ท่านจึงไม่มีความรู้สึกที่คนทั่วไปรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู ดังนั้นท่านจึงไม่แบกของหนัก ไม่มีภาระหนักแห่งจิต คือความยึดถือว่าตัวกูของกู ความยึดถือว่าตัวกูของกูเป็นที่ตั้งของกิเลส เห็นแก่ตัวกูมันก็โลภบ้าง เห็นแก่ตัวกูมันก็โกรธบ้าง เห็นแก่ตัวกูมันก็หลงใหลบ้าง ถ้าไม่มีตัวกูของกูก็ไม่มีกิเลส จิตของท่านจึงเกลี้ยง จิตเกลี้ยงคำนี้ฟังดูมันจะไม่ค่อยมีใครสนใจ คำว่าเกลี้ยงนี่ คือมันเกลี้ยงจากสิ่งรบกวน เกลี้ยงจากสิ่งปรุงแต่ง ไม่มีอะไรมาแปดเปื้อนเหมือนที่ของไม่เกลี้ยง ขอให้จำคำว่าเกลี้ยงไว้ สำหรับศึกษาภาวะของจิต เมื่อใดจิตเกลี้ยง เมื่อนั้นไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรรบกวน จิตนี้มันวางคือไม่ยึดถือสิ่งใดไว้โดยความเป็นของตน จิตนี้มันว่าง มันไม่ได้ยึดถือสิ่งใดไว้โดยความเป็นของตน จิตนี้มันก็วางลง วางคือไม่มีอะไรหุ้มห่อ กีดกัน ครอบงำ มันเวิ้งว้างอย่างอิสระ นี่เราเรียกว่าจิตมันเกลี้ยง ไม่ปรุงแต่งด้วยความโง่ มันก็หยุด มันก็เย็น ต้นเหตุของการปรุงแต่งคืออวิชชา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็คิดมากไปตามอวิชชา มันจึงไปหลงรักไอ้สิ่งที่ยั่วให้รัก หลงเกลียดสิ่งที่ยั่วให้เกลียด หลงโกรธสิ่งที่ยั่วให้โกรธ เป็นต้น ทีนี้ท่านมีจิตเกลี้ยงเพราะได้ประพฤติปฏิบัติกระทำต่อจิตนั้นมาอย่างครบถ้วนและถูกต้องเป็นจิตเกลี้ยง จนอยู่เหนือการรบกวนของสิ่งทั้งปวง คำว่าเกลี้ยงมันดีอย่างนี้ คำว่าไม่เกลี้ยงนี่มันเต็มไปด้วยสิ่งรบกวน พวกเราจะเอาอย่างท่านได้ก็คือการทำจิตให้เกลี้ยง พระอรหันต์ท่านไม่ใช้อายตนะของท่านเพื่อความเป็นทาสอายตนะนั้นๆเหมือนพวกเรา พวกเรามีตาเพื่อหาความอร่อยทางตา พวกเรามีหูเพื่อหาความอร่อยทางหู พวกเรามีจมูกเพื่อหาความอร่อยทางจมูก มีลิ้นหาความอร่อยทางลิ้น มีผิวหนังหาความอร่อยทางผิวหนัง มีใจหาความอร่อยทางใจ นี่พวกเรา แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น เราเป็นทาสของอายตนะจนเงินเดือนไม่พอใช้ ไปดูเถิด คนที่เงินเดือนไม่พอใช้น่ะ เพราะมันเป็นทาสของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งนั้น เอาอย่างพระอรหันต์กันเสียบ้าง อย่าไปเป็นทาสของอายตนะเหล่านั้น เพียงแต่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์เพื่อความสงบสุข เป็นทาสนั้นหมายถึงหาเหยื่อให้แก่กิเลสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนกระทั่งเงินเดือนไม่พอใช้ นึกถึงพระอรหันต์ไว้ประจำใจ มันก็จะป้องกันอันตรายในข้อนี้ได้ ทีนี้เมื่อเรารู้จักพระอรหันต์กันพอสมควรแล้ว ก็จะรู้จักค่าของวันมาฆบูชาว่าเป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เราจะต้องกระทำมาฆบูชาให้สำเร็จประโยชน์ ให้ได้รับประโยชน์จากมาฆบูชา เป็นอานิสงค์ที่เกินค่า เกินที่จะกล่าวได้ มีคุณธรรมของพระอรหันต์ คือความปล่อยวางอย่างที่ว่ามานี้แล้ว เห็นเช่นนั้นเองแล้ว ไม่ตกเป็นทาสของอะไรๆแล้ว ก็จะอยู่กันเป็นผาสุข จะยกตัวอย่างเช่นว่า จะไม่ต้องเป็นโรคประสาทกันเป็นแสนๆ รายงานทางแพทย์ว่าคนเป็นโรคประสาทกันเป็นแสนๆ เพราะมีชีวิตอย่างซังกะตาย คนมีโรคประสาทติดตัวมีชีวิตอย่างซังกะตายไปวันหนึ่งๆ มีคนต้องกินยานอนหลับ คือนอนไม่หลับต้องกินยานอนหลับกันอย่างน่าละอายแมว แมวไม่ต้องกินยานอนหลับสักเม็ดเดียว มันก็นอนหลับ ขออภัยที่จะพูดลงไปถึงสุนัข ทุกชนิดแหล่ะ มันไม่ต้องกินยานอนหลับแต่คนต้องกินยานอนหลับให้ละอายแมว ถ้าเห็นเช่นนั้นเองเหมือนพระอรหันต์แล้ว มันก็นอนหลับ ไม่ต้องกินยาช่วยนอนหลับให้ละอายแมว เดี๋ยวนี้มีอันธพาล มีอาชญากรรมเลวร้ายทั่วไปทุกหัวระแหง คนอันธพาลเกิดขึ้นเพราะไม่มีคุณธรรมอย่างพระอรหันต์มี เขาเห็นแก่ตัวกูของกูมากจัดเกินไป จึงตกอยู่ใต้อำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เป็นอันธพาล รบกวนสังคมให้เดือนร้อน ทำโลกนี้ไม่ให้น่าอยู่ นี่คือคนอันธพาล ถ้ามีคุณธรรมของพระอรหันต์แล้วมันก็เป็นอันธพาลไม่ได้ ขอให้ทุกคนเอาคุณธรรมของพระอรหันต์มาทำไว้ในใจ ไม่ต้องมีความเป็นอันธพาล เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาหลายอย่างหลายประการ เพราะทำไปตามอำนาจของกิเลส ปัญหาเกิดขึ้นเพราะทุกคนไม่ซื่อตรงต่อความเป็นมนุษย์ของตน ความไม่ซื่อตรงต่อความเป็นมนุษย์ของตน เขาจะเรียกว่าคอรัปชั่น มีทุกชนิดทุกแขนง ทุกบุคคลที่ไม่ประกอบไปด้วยคุณธรรมของพระอรหันต์ จึงต้องเต็มไปด้วยคอรัปชั่น คำว่าคอรัปชั่นนี่มีความหมายกว้างมาก คือมันไม่ตรงต่อความจริง ไม่ตรงต่อความถูกต้อง ก็เรียกว่าคอรัปชั่นได้ทั้งนั้น ต่อตัวเองก็ยังทำได้ ต่อสังคมก็ทำได้ เราไม่รู้จักคุณธรรมของพระอรหันต์ ตกเป็นเหยื่อของกิเลส กิเลสก็บังคับให้ทำคอรรัปชั่น ข้อที่ต้องพูดอันสุดท้ายก็คือว่า เราไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล แต่ละคนก็ไม่มีสันติสุข รวมกันก็ไม่มีสันติภาพ บุคคลไม่มีสันติสุข สังคมโลกไม่มีสันติภาพ ก็เพราะว่าไม่มีคุณธรรมอย่างพระอรหันต์เป็นเครื่องคุ้มครอง เราไม่รู้จักทำชีวิตนี้ให้เย็นคือดับไฟร้อนของกิเลสเสียได้ เราก็ไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล เป็นทาสของกิเลสต้องเที่ยวหาเหยื่อให้กิเลสตลอดวัน ตลอดคืน ไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล คือเมื่อแต่ละคนมันไม่มีความสุข อยู่ด้วยความเดือนร้อนอย่างนี้แล้วรวมกันเป็นโลกนี้ โลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ เพราะมันประกอบขึ้นด้วยบุคคุลที่เร่าร้อน เร่าร้อนส่วนตัวไม่พอ มันก็เบียดเบียนผู้อื่น มันก็ไม่มีสันติภาพ ขอให้เราดูกันให้ดีว่าที่โลกไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล ไม่มีสันติภาพส่วนสังคมนั้น ก็เพราะว่าขาดคุณธรรมอย่างที่พระอรหันต์ท่านมี เราเป็นคนพร่อง เราเป็นคนกลวง เรายังไม่มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เรายังไม่เต็มความเป็นมนุษย์ ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่เต็มเหมือนพระอรหันต์ เราจึงต้องประสบอยู่ด้วยความทนทุกข์ทรมานทั้งโดยส่วนตัว และโดยส่วนสังคมอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้มองความหมายแห่งคำว่าพระอรหันต์ในฐานะที่เป็นคนเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เต็มด้วยอะไร เต็มด้วยความสะอาด เต็มด้วยความสว่าง เต็มด้วยความสงบ มีความเต็มอย่างนี้ได้ด้วยอะไร ก็ด้วยเห็นความเป็นจริงอันสูงสุดของธรรมชาติทั้งปวง ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง อย่าไปหลงรักที่ยั่วให้รัก อย่าไปหลงโกรธที่ยั่วให้โกรธ อย่าไปหลงเกลียดที่ยั่วให้เกลียด อย่าไปหลงกลัวที่ยั่วให้กลัว อย่าไปอาลัยอาวรณ์จนเป็นโรคประสาทนอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับให้ละอายแมว เป็นได้อย่างนี้ เห็นเช่นนั้นเองแล้ว ไม่อาจจะเกิดกิเลส ไม่เห็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งปวงแล้วก็จะต้องเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เกี่ยวกับสิ่งทั้งปวง ทำในใจถึงคุณของพระอรหันต์ไว้เป็นประจำเถิด ก็จะป้องกันความเลวร้ายอันนี้ได้ เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่ใช่คำพูดเล่น ไม่ใช่พูดให้รำคาญ แต่บอกความจริงของสิ่งทั้งปวง เป็นความจริงของหัวใจของสิ่งทั้งปวงว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่หลงรัก ไม่หลงโกรธ ไม่หลงทุกๆอย่างในสิ่งทั้งปวง เมื่อเราเห็นสิ่งที่ทำให้บริสุทธิอย่างพระอรหันต์ได้ ก็มีความบริสุทธิ์ มีความสงบสุขส่วนบุคคล มีสันติภาพเป็นส่วนรวม นี่แหล่ะคือคุณธรรมแห่งความเป็นพระอรหันต์ วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เราจงมามีมาฆบูชา จงมาทำมาฆบูชา ทำมาฆบูชาให้มีมาฆบูชา บูชาคุณของพระอรหันต์ด้วยการเอาคุณของพระอรหันต์มากระทำไว้ในใจ มีมาฆบูชากันให้สมกับความที่เป็นมนุษย์ เป็นพุทธบริษัท วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องชื่นชมต่อพระอรหันต์ คือมนุษย์ผู้มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีความหยุด หยุดปรุงแต่งให้มีความทุกข์ เป็นผู้มีความเย็น ไม่มีการปรุงแต่งที่เป็นความร้อน ชีวิตก็จะไม่เป็นของตึงเครียดเหมือนที่เขาเป็นกันอยู่ทั่วไป จะเป็นชีวิตที่หย่อน ที่หลวม ที่สบาย ที่คล่องแคล่ว และเป็นชีวิตที่ยินยอมกันได้ ไม่ขึงตึงต่อกันยินยอมกันไม่ได้ ขึ้นมึงขึ้นกูอย่างที่ยินยอมกันไม่ได้แล้วก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย นึกถึงพระอรหันต์แล้ว เราก็จะเป็นผู้มีความหยุด มีความเย็น แล้วก็จะยอมซึ่งกันและกันได้ สิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปอย่างสบายไม่ตึงเครียด ขอให้ทุกคนได้ประสบคุณอันนี้ เพราะปฏิบัติตามแนวแห่งพระอรหันต์สมกับที่วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันสำหรับพระสงฆ์ ซึ่งหมายถึงพระอรหันต์ทั้งปวง ขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลาย ผู้กระทำในใจถึงคุณของพระอรหันต์อยู่ จงได้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางแห่งคุณธรรมของพระอรหันต์นั้นๆ แล้วท่านก็จะมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล ขอยุติคำบรรยายเกี่ยวกับมาฆบูชาไว้เพียงเท่านี้