แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้ เอ่อ, เป็นวันอาสาฬหบูชาประจำปีพระพุทธศักราช ๒๕๒๔ เราควรจะทำความเข้าใจกันถึงความสำคัญของวันอาสาฬหบูชาเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับประกอบพิธีอาสาฬหบูชาให้เป็นผลดีที่สุด เราได้ยินกันว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นต้นนี้ เป็นวันสำคัญของพระศาสนา อาตมาคิดว่าควรจะเข้าใจกันเสียใหม่ ถ้าเป็นวันสำคัญของพระศาสนาเดี๋ยวก็จะไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา ซึ่งเป็นมนุษย์เราควรจะเข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญของมนุษย์ สำหรับมนุษย์ ควรจะสนใจ เอ่อ, กันให้มากเป็นพิเศษ วันนี้เป็นวันเพื่อให้มนุษย์ได้รอดจาก เอ่อ, ความทุกข์ทั้งทางกาย และทางวาจา ใจ เอ่อ, ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทางจิตใจ วันวิสาขบูชา เป็นวันพระพุทธเจ้า เป็นวันที่มนุษย์ชนะมารในนามของมนุษย์ คือพระพุทธองค์เป็นผู้ชนะมารในนามของมนุษย์ ต่อมา ๒ เดือนเป็นวันอาสาฬหบูชาเป็นวันพระธรรม คือเป็นวันที่มนุษย์ได้รับแจกเครื่องมือกำจัดมารร้ายของมนุษย์จากพระพุทธองค์ ต่อมาอีก ๗ เดือน เป็นวันมาฆบูชา นี้เรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ เป็นวันที่มนุษย์ผู้ชนะมารแล้ว ประชุมกันแสดงความเป็นปึกแผ่นของมนุษย์ผู้ชนะมาร เอ่อ, คือพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ และวันอาสาฬหบูชา มีใจความสำคัญตรงที่ว่า วันนี้มนุษย์ได้รับแจกเครื่องมือขจัดมารคือความทุกข์จากพระพุทธองค์ ซึ่งใครๆก็ทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่า วันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือทรงแสดงเป็นครั้งแรกสำหรับสิ่งซึ่งพระองค์ได้ตรัสรู้มาซึ่งเราเรียกกันว่า อริยสัจทั้ง ๔ เป็นธรรมะซึ่งเป็นความรู้เป็นเครื่องมือขจัดมาร จึงขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าวันนี้มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ ของมนุษย์ตรงที่ว่าเป็นวันที่มนุษย์ได้รับแจกเครื่องมือสำหรับกำจัดมารร้ายของมนุษย์
ทีนี้ก็จะได้พูดกันถึงเครื่องมือขจัดมาร เครื่องมือขจัดมารนี้คือความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุด จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ คือความรู้เรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ไม่มีเหลือ และเรื่องหนทางให้ถึงความดับทุกข์ไม่มีเหลือ เป็น ๔ เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือเรื่องความทุกข์นี่ เมื่อเข้าใจแล้วจะมองเห็นว่าตามธรรมดาชีวิตที่ปราศจากความรู้นั้น เป็นชีวิตที่ร้อน ร้อนในที่นี้ก็เพราะว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์นี้ เอ่อ, ทุกข์อยู่ตามธรรมชาติ เอ่อ, เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ก็มี ทุกข์เพราะว่าไฟกิเลสเผา คือราคะ โทสะ โมหะ เผา ดังนี้ก็มี แต่ถ้าสรุปความโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นทุกข์เพราะคนมันโง่ด้วยอวิชชา ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในตัวหรือนอกตัว ว่าเป็นตัวตนหรือว่าเป็นของตน ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็เกิดความหนักและเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น นี้ขอให้เราทุกคน เอ่อ, เข้าใจเรื่องความทุกข์ตามธรรมชาติก็มี ทุกข์เพราะกิเลสภายในเผาก็มี ในที่สุดทำให้ชีวิตนี้เป็นของร้อน จึงต้องทนทรมานอยู่ในกองทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรจะรู้ให้ชัดแจ้งว่า ชีวิตที่เป็นไปตามบุญตามกรรมนั้นมันร้อน
เรื่องที่ ๒ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์นี้ ท่านแสดงไว้โดยย่อว่าตัณหาคือความอยากด้วยความโง่เขลา มันเกิดขึ้นมาอย่างไรพึงมองให้เห็นว่ามันตั้งตนที่ผัสสะ เช่น ตากระทบกับรูป หูกระทบกับเสียง จมูกกระทบกับกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส ผิวหนังของ เอ้อ, กระทบกับสิ่งที่มากระทบผิวหนัง ใจกระทบกับสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นในใจนี้เรียกว่าผัสสะ มีอยู่เป็นคู่ๆ ในขณะแห่งผัสสะนั่นแหละ ถ้ามันโง่คือไม่มีความรู้อยู่ในขณะนั้น ผัสสะนั้นเป็นของโง่ ผัสสะสิ่งต่างๆด้วยความโง่ ผลจากผัสสะก็เกิดขึ้นมาเป็นเวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุข ไม่ทุกข์บ้าง ก็พลอยเป็นเวทนาโง่ เพราะมันมาจากสัมผัสที่โง่ คือเวทนาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา มันไปเกิดความอยากอย่างโง่ ซึ่งเรียกว่าตัณหา อยากอย่างรุนแรง แล้วก็ปรุงเป็นความรู้สึกถัดไปคือ ความรู้สึกมีตัวกูผู้อยาก นี่เรียกว่าอุปาทาน มันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะว่าไปยึดมั่นถือมั่นเอามาไว้เป็นตัวตนของตน มันก็หนักอยู่ที่ใจ มันก็แผดเผาใจ รวมความแล้วก็ว่าเพราะว่ามันโง่ มันไปผัสสะโง่ มีเวทนาโง่ มีความอยากอย่างโง่ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ตัวอยาก นี่เรียกว่าเหตุให้เกิดทุกข์
เรื่องที่ ๓ เรื่องความดับทุกข์นี้ ต้องเป็นผัสสะที่ฉลาด ผัสสะในสิ่งใด มีสติปัญญาทันควันรู้ว่ามันเป็นอะไร เวทนาที่เกิดขึ้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ หรือว่าทุกข์ก็มาสุข ก็ถูกควบคุมไว้ด้วยสติปัญญา เวทนาชนิดนี้จึงไม่ปรุงให้เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ แม้ว่าความทุกข์จะเกิดอยู่แล้ว ถ้าสติปัญญามามันก็ระงับตัณหา อุปาทานเสียได้ มันก็ดับทุกข์ได้ด้วยเหมือนกัน
นี้เรื่องที่ ๔ เรื่องหนทางให้ถึงความดับทุกข์ นี้ความคือความถูกต้องในชีวิต ๘ ประการ ถูกต้อง เอ่อ, คือถูกต้องในความคิดเห็น ถูกต้องในการในความประสงค์หรือความต้องการ ถูกต้องในการพูดจา ถูกต้องในการกระทำ ถูกต้องในการเลื้ยงชีวิต ถูกต้องในการพากเพียร ถูกต้องในความมีสติ และถูกต้องในความมีจิตตั้งมั่น ถูกต้อง ๘ ประการนี้ ก็เรียกว่าอริยมรรค คือหนทางอันประเสริฐ นี้เรียกว่า เอ่อ, ความถูกต้องที่ประพฤติแล้ว จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่อาจจะเกิดกิเลส ตัณหา แม้จะมีผัสสะ มากระทบก็รู้เท่าทัน มันก็เลยไม่มีความทุกข์ นี้่เรียกว่า อ่า, ความรู้ในเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องหนทางให้ถึงความดับทุกข์ เป็นความรู้ที่สามารถกำจัดมาร ทีนี้ เอ่อ, ยังอยากจะชี้ให้เห็นว่าความรู้แจ้งที่กำจัดมารได้ยังมีอย่างอื่นอีก เช่นความรู้แจ้งในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้กระทั่งเลยไปถึง สุญญตา แต่ทั้งหมดนี้อาจจะสรุปรวมเป็นคำเดียวกันด้วยกันว่า ตถาตา อนิจจัง คือรู้เรื่องความไม่เที่ยง ทุกสิ่งมีเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย มันจึงไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์คือน่าเกลียดน่าชัง ไปยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ก็เป็นทุกข์อยู่ในตัวความไม่เที่ยงนั้นเอง ความเป็นอย่างนี้่เรียกว่าอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่ใช่ตัวตนของมันเอง เพราะมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย รวมหมดด้วยกันเรียกว่ามันว่างจากความเป็นตัวตน หรือความเป็นของตน นี้เรียกว่าสุญญตา ทั้งหมดนี้สรุปรวมเรียกว่าตถาตา คือความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนั้น ช่วยจำคำนี้ไว้ให้แม่นยำว่าความเป็นอย่างนั้นเองไม่เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นความจริงสูงสุดของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ใครเข้าถึงตถาตาแล้วผู้นั้นเรียกว่า ตถาคต เพราะตถาคตคือผู้ที่เข้าถึง หรือตรัสรู้ หรือรู้แจ้ง ซึ่งตถาตา นี้ก็เป็นเครื่องมือขจัดมาร ผู้ที่ถึง ตถาต ามีความรู้เรื่องตถาตาแล้วไม่มีมารอันใดเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งควรจะได้พิจารณา อ่า, กันต่อไป
ตถาตาในฐานะที่เป็นหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาของเรามีหัวใจเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็ได้ เป็นเรื่องอริยสัจ ๔ ก็ได้ เป็นเรื่องลักษณะ ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นก็ได้ แต่ทั้งหมดนั้นมันรวมความอยู่ที่คำว่า ตถาตา คือเป็นอย่างนั้นเอง ไม่เป็นอย่างอื่น ปฏิจจสมุปบาทแสดงว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่้งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี้มันเป็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ เรื่องอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้มันก็เป็นอย่างนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นอย่างนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่จึงเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มองอีกเหลี่ยมหนึ่ง ตถาตา ในฐานะที่เป็นสัจจะ คือความจริง อ่า, ของสิ่งทุกสิ่ง จะเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ดี ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ดี แม้ที่สุดจะเรื่องสุขก็ดี เรื่องทุกข์ก็ดี มันเป็นเช่นนั้นเอง คือไปตามกฎของธรรมชาติเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความสุขก็เช่นนั้นเอง ตามแบบของความสุข ความทุกข์ก็เช่นนั้นเอง ตามแบบของความทุกข์ เราต้องการอะไร เอ่อ, เราจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ ดูต่อไป ตถาต าขออภัยมันเป็นคำหยาบสักหน่อยว่า ตถาตาเป็นวัคซีนกันบ้าแก้ บ้าของมนุษย์ เอ่อ, เพื่อไม่ให้มนุษย์ต้องละอายแมว ไม่มีความรู้ว่าเช่นนั้นเอง แล้วมันก็หลงรัก หลงเกลียด หลงกลัว อ่า, โศกเศร้า หลงวิตกกังวล คนเราไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ก็เอามารัก มาโกรธ มาเกลียด มากลัว จนวิตกกังวล จนเป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง สถิติทางการแพทย์บอกว่าคนในเมืองไทยนี้เป็นโรคประสาทกันเป็นแสนๆ เป็นโรคจิตกันเป็นหมื่นๆ เพราะมันไม่รู้จักมองเห็นเช่นนั้นเอง อ่า, ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตน มันวิตกกังวลจนเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว เพราะว่าแมวไม่เคยเป็นประสาท มันก็วิตกกังวลมากจนเป็นโรคจิต มันก็ต้องละอายแมว เพราะไม่เคยมีแมวเป็นโรคประสาท คนแต่ละคนกินยานอนหลับกินยาระงับ แมวไม่ต้องกินสักเม็ดเดียว นี้ช่วยกันนึกช่วยกันคิดว่าอย่าละอายแมวกันต่อไปอีกเลย มีความรู้เรื่อง ตถาตามาเป็นเครื่องแก้ หรือเป็นเครื่องกันโรคชนิดนี้ ที่จะทำให้คนต้องละอายแมว เหลี่ยมอื่นให้มองดูว่าตถาตา ในฐานะเป็นไม้กวาด กวาดกิเลส กวาดความทุกข์ออกไปเสียจากมนุษย์ กิเลสเกิดขึ้นเพราะไม่เห็นตถาตา อ่า, จึงชอบใจเป็นความโลภ จึงโกรธ เป็นโทสะ จึงโง่เป็นโมหะ ถ้า ตถาต ามาทำให้เห็นว่า อย่างนี้เอง อย่างนี้เอง ก็ไม่เกิดความโลภ ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความหลง หรือว่าถ้าความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเกิดขึ้นแล้ว มองเห็นว่า อ้าว, มันก็เช่นนั้นเอง ไอ้ความเกิดก็มันเช่นนี้เองตามธรรมชาติ กระทั่งถึงความตายมก็เช่นนี้เองตามธรรมชาติ ก็กวาดไอ้ความรู้สึกหวาดกลัวต่อเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเสียได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า คนมีความเกิดเป็นธรรมดา ความแก่เป็นธรรมดา ความเจ็บเป็นธรรมดา ความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้ นี้บอกไว้ตอนแรก แต่ในตอนหลังท่านบอกว่า ถ้าคนเหล่านั้นได้อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความเกิดได้ ที่มีความแก่เป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความแก่ได้ ที่มีความตายเป็นธรรมดา ก็จะพ้นจากความตายได้ดังนี้ นี้จึงถือว่า ความรู้เรื่อง ตถาตา จึงแปลว่าเช่นนั้นเอง เป็นเหมือนไม้กวาด กวาดกิเลส และกวาดความทุกข์ให้ออกไป
ในเหลี่ยมอื่นจะมองดู อ่า, กันว่า ตถาตา ในฐานะเป็นเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องอยู่กับเนื้อกับตัวเสมอ หลายคนแขวนพระเครื่องห้อยคออยู่เสมอตลอดเวลา มันไม่รู้ว่าพระเครื่องนั้นเป็นสัญญลักษณ์ตัวแทนของอะไร ตัวแทนของพระพุทธเจ้า ตัวแทนของพระธรรม ก็คือความรู้เรื่องตถาตา ความรู้เรื่อง ตถาตามีอยู่แล้ว มันจะไล่กิเลสและความทุกข์ออกไป ไม่มีการกระทำผิดพลาดไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนโดยประการใดๆ จงมีความรู้แจ้งเรื่อง ตถาต า อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับพระเครื่อง อ่า, ที่แขวนคอ หรือว่าถ้าใครแขวนพระเครื่องอยู่แล้ว ก็จงรู้ให้แจ้งยิ่งขึ้นไปว่านั่นแหละเป็นเครื่องเตือนสติให้ระลึกนึกถึง ตถาตา หัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสั่งสอน
ดูอีกเหลี่ยมอื่น ตถาตา ในฐานะเป็นเครื่องนำมาซึ่งทรัพย์ ทั้งโลกียทรัพย์และโลกุตตระทรัพย์ ให้เกิดความพอใจได้ในแง่ของโลกียะชาวบ้าน และโลกุตตระคือพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ ในที่สุดนี้ตถาตานั้นจะทำให้เกิดมีชีวิตที่เยือกเย็น ชีวิตเย็นเรียกว่า พระนิพพานก็ได้ พระนิพพานมีความหมายว่าเย็น น้อยก็เป็นนิพพานน้อยๆ สั้นก็เป็นนิพพานสั้นๆ สมบูรณ์ก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ ความรู้เรื่องมันเช่นนั้นเองนี่ ทำให้ไม่ต้องร้อน ไม่ต้องร้อนด้วยโลภะ โทสะ โมหะ จึงทำให้ชีวิตนี้เย็น ตถาตา เป็นความรู้รวบยอดของทั้งหมดในพระพุทธศาสนา บรรพบุรุษ ปู่ ยา ตา ยาย ของเราเคยใช้เป็นประโยชน์มาแล้ว คนแก่ๆ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เขามองเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าดูถูกบรรพบุรุษ คนแก่ๆ เขาใช้ตถาตามาอย่างชำชอง เป็นของประจำบ้านทีเดียว เด็กๆ นั่งร้องไห้อยู่ คุณย่า คุณทวด ก็บอก อ้าว, จะร้องไห้ไปทำไม มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่น ของตก ของหาย หรือว่า เอ่อ, ผู้หญิงสามีเขาทิ้งไปจะมานั่งร้องไห้จะเตรียมจะไปโดดน้ำตาย คนแก่ๆ บอก อ้าว,มันเช่นนั้นเอง นี้ถ้าว่า อ้า,ผู้ชายมีภรรยาเป็นชู้ ก็ไม่ต้องบ้าเหมือนคนสมัยนี้ ไปฆ่าเมียตาย ฆ่าลูกตาย ฆ่าแม่ยายตาย แล้วฆ่าตัวเองตาย เอ่อ, มันเป็นคนบ้า แล้วคนโบราณเขาจะบอก อ้าว, มันเช่นนั้นเอง ไม่ต้องทำอย่างนั้น นั่นบรรพบุรุษเขาได้ใช้มาอย่างช่ำชอง มีประโยชน์ที่สุดแล้ว
เดี๋ยวนี้โลกนี้ไม่มีความรู้ธรรมะตถาตา จึงไม่สามารถสร้างสันติภาพ มันพูดกันแต่ปากว่าสร้างสันติภาพ แล้วก็ไม่สร้างสันติภาพอะไรเลย โลกนี้ยิ่งเจริญ ยิ่งมากด้วยปัญหา ยิ่งทนทุกข์ ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้ว อาตมาไม่ต้องเอามาพูดให้เสียเวลา โลกปัจจุบันนี้ อ่า, ไม่อาจจะสร้างสันติภาพ มีการศึกษาก็ไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ มีการศึกษาบ้าๆบอๆ อะไรก็ไม่รู้ ยิ่งรู้มาก ยิ่งยากนาน ยิ่งรู้มาก ยิ่งยากนาน มีปปริญญากันมากมายต่างๆ นานา ทุกปริญญานั้นมันเตะฝุ่นก็ไม่เป็น นี้เรียกว่ามันไม่สามารถจะสร้างสันติภาพ มีวิชาเทคโนโลยีทุกแขนง จำไม่หวาดไหวว่ามีสักกี่แขนง มันก็ไม่สร้างสันติภาพ มีแต่เหมือนกับว่าทำให้มนุษย์นี่มันจมลงอยู่ใต้วัตถุนิยม เป็นนรกชนิดหนึ่ง คือนรกที่หลงใหลในวัตถุ วิชาเทคโนโลยีทั้งหลาย ช่วยให้มนุษย์จมอยู่ใต้วัตถุนิยมอย่างนี้ เรื่องอวกาศก็เหมือนกัน ไปโลกพระจันทร์ให้เหมือนว่าเล่น แล้วมันก็ไม่สร้างสันติภาพ มันยิ่งสร้างสิ่่งที่น่ากลัว ไร้ประโยชน์ การ เอ่อ, อวกาศจึงเหมือนกับการขี่ไอพ่นไล่จับตั๊กแตน มันบ้ากี่มากน้อย คนโบราณเพียงแต่ขี่ช้างจับตั๊กแตน เขาก็ว่าบ้าเต็มทีแล้ว คนเดี๋ยวนี้ขี่ไอพ่นไล่จับตั๊กแตน มันจะบ้ากี่มากน้อย คือมันไม่สร้างสันติภาพ มันยิ่งไม่สร้างสันติภาพ ความรู้เรื่องปรมาณูก็เหมือนกัน ไม่สร้างสันติภาพ ทำระเบิดปรมาณูได้แรงงานปรมาณูได้อะไรๆ ได้ มันก็ไม่สร้างสันติภาพ เพราะฉะนั้นกิจกรรมปรมาณูมันก็เหมือนกับต่อโลงไว้ใส่โลกในอนาคต โลกทั้งหลายเตรียมตัวไว้ให้ดีจะได้นอนในโลงของความรู้เรื่องปรมาณู ไม่สร้างสันติภาพ ขอให้โลกรีบรู้จัก เอ่อ, ความล้มเหลวของตัวเอง ความไร้สาระ ความก้าวหน้าในโลกนี้ ซึ่งมันไม่สร้างสันติภาพ ขอให้ระลึกนึกถึงพระองค์ว่า วันนี้พระองค์ประทานเครื่องกำจัดมาร เครื่องกำจัดความทุกข์ทำโลกให้มีสันติภาพ คืออัตถังชิตะมะ (นาทีที่ 0:24:11.8) ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
อ้าว, ทีนี้ก็มาพูดเป็นสิ่งสุดท้าย คือการกระทำพิธีอาสาฬหบูชา ทุกๆท่านจงเตรียมให้พร้อมที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา ทำอย่างไร วันนี้ก็มานั่งทำความรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้เราในวันนี้ให้ถึงที่สุดว่า ความรู้นี้จะดับทุกข์ได้อย่างไร ความรู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องดับสนิทแห่งทุกข์ ทางถึงความดับทุกข์ นี่ดับทุกข์ได้อย่างไร แล้วสำนึกถึงพระคุณของพระองค์ และขอบพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ให้สมกัน นี้ก็เป็นการเตรียมทำพิธีอาสาฬหบูชา ทีนี้จะพูดถึงการเวียนเทียน ถือเทียนเดินเวียนแล้วเป็นคนโง่ มันไม่สมกันเลย ถือเทียนแล้วเป็นคนโง่ ถือเทียนขึ้นถือไว้ก็ต้องเป็นคนฉลาด ต้องรู้จักแสงสว่าง แล้วก็รู้จักใช้แสงสว่างนั้นให้เป็นประโยชน์ คือพระธรรมที่พระองค์ทรงมอบให้ในวันนี้ที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นแสงสว่างกำจัดอวิชชา ความมืด กำจัดความทุกข์ได้ ถือเทียนแล้วอย่าโง่ ถือเทียนแล้วก็มีความสว่าง มีแสงสว่าง ทีนี้ก็จะเดินเวียนประทักษิณ ถือเทียนแล้วเดินเวียนเทียน เดินเวียนประทักษิณ คือเวียนไปข้างขวา คำว่าขวาหมายถึง ถูกต้อง เราจะรับธรรมะนี้ถือไว้อย่างถูกต้องด้วยชีวิตจิตใจ อย่างสุดชีวิตจิตใจ จะประพฤติธรรมะนี้ด้วยชีวิตจิตใจ ขอให้มันถูกต้อง ก็เรียกว่าเวียนไปข้างขวาคือเวียนประทักษิณ ขอให้เตรียมตัวเวียนประทักษิณให้มีความหมายอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงการสวดพระพุทธคุณในขณะเดินเวียน นี้เป็นการชมเชย เชยชม รื่นรมย์ ร่าเริง ยินดีต่อพระธรรม สรรเสริญพระธรรม สรรเสริญพระคุณของพระธรรม สรรเสริญเครื่องกำจัดมารที่พระพุทธเจ้าท่านได้มอบให้พวกเราทั้งหลายในวันนี้ เราก็ชนะมารด้วยการกำจัดมาร เราก็ชมเชยความชนะมาร นี่เป็นการสวดพระพุทธคุณ ทีนี้ เอ่อ, คืนนี้ตามธรรมดาก็ฟังเทศน์ตลอดคืน พิธีวิสาขบูชาก็ดี อาสาฬหบูชาก็ดี มาฆบูชาก็ดี มีเทศน์ตลอดคืน แล้วฟังกันตลอดคืน เป็นที่น่ายินดี ที่หลาย ๑๐ คน บางทีก็หลาย ๑๐๐ คน ในที่บางแห่ง นั่งฟังเทศน์ นั่งสนทนาธรรมกันได้ตลอดคืน ส่วนคนที่ไม่กตัญญูต่อพระพุทธองค์ มันหนีไปนอนเสียแล้ว แต่ถ้าให้ไปเล่นไพ่ตลอดคืน มันอยู่ได้ หรือมันไปเล่นหัวอย่างอื่น กินเหล้าตลอดคืน มันก็ยังอยู่ได้ แต่พอให้อยู่ฟังเทศน์ตลอดคืน มันว่าอยู่ไม่ได้ นี่เพราะว่ามันไม่มีความกตัญญูต่อพระพุทธองค์ถึงที่สุดจริงๆ นั้นฟังเทศน์ตลอดคืนนี้คือการเสียสละอย่างยิ่ง เพราะอำนาจของความกตัญญู กตเวทิตา คือรู้พระคุณของสมเด็จพระบรมศาสดาแล้ว กระทำตอบแทนด้วยปฏิปฏิบูชาคือบูชาด้วยการปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ไม่เพียงแต่บูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน อย่างเดียว ซึ่งเป็นอามิสบูชา มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งยังไม่สมบูรณ์ ต้องบูชาด้วยปฏิปฏิบูชา คือการกระทำทางกาย ทางวาจา ที่เสียสละอย่างยิ่ง นี่แหละวันนี้นึกถึงพระคุณของพระธรรม ของ เอ้อ, เครื่องกำจัดมาร สำนึกในพระคุณของผู้ให้เครื่องกำจัดมารคือพระพุทธองค์ ถือเทียนแล้วอย่าโง่ เวียนประทักษิณ แล้วก็ประพฤติให้ถูกต้องด้วยชีวิต สวดพระพุทธคุณ สรรเสริญชัยชนะ ยินดีในชัยชนะ ฟังเทศน์ตลอดคืน เป็นการบูชาคุณของพระบรมศาสดาพระองค์นั้น
สรุปความว่าวันนี้เป็นวันของพระธรรม มนุษย์ได้รับแจกเครื่องมือกำจัดมาร พระธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดมาร ได้รับมาแล้วก็ใช้กำจัดงาน อ่า, กำจัดมาร วันนี้พระธรรมปรากฎออกมาในโลก มนุษย์ได้รับของขวัญอันสูงสุดจากพระพุทธองค์ จึงเป็นวันที่เราต้องจะสำนึกในพระคุณของพระองค์ เราจะต้องเป็นมนุษย์มีความกตัญญู ยอดกตัญญู สมกับที่พระองค์มีพระคุณอย่างใหญ่หลวง ไม่มีพระคุณอันใดจะเปรียบเทียบได้ สำนึกอย่างนี้แล้วก็จะเป็นการบูชาในโอกาสแห่งอาสาฬหบูชาเป็นอย่างยิ่ง สำนึกว่าพวกเรามนุษย์ทั้งหลายจะไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดอย่างทนทรมานอีกต่อไป ทั้งหมดนี้คือความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา เพื่อให้รู้ว่ามีอย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร มีเหตุผลอย่างไร และเราจะต้องสนองการบรรจบรอบของวันอาสาฬหบูชานี้อย่างไร ประพฤติให้ถูกต้องให้ครบถ้วนด้วยกันจงทุกๆคนเถิด โอกาสแห่งการบรรยายสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
สำเร็จไหม ๓๐ นาที ไม่โกง นี่ ๓๐ นาทีเป๊ะ