แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจ ในธรรมทั้งหลาย รายการปาฐกถาธรรมนำสุข ในครั้งนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า เตรียมตัวมีศีลธรรมที่ยิ่งกว่าเก่า มันก็เนื่องจาก การที่จะสิ้นปีเก่าจะขึ้นปีใหม่ ข้อที่ควรระวังสังวรเป็นอย่างยิ่งนี่ก็คือสิ่งที่จะให้เกิดความสงบสุข ในสังคมมนุษย์ต่อไปในอนาคต สิ่งนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม เราทุกคนในวันนี้ควรจะมองเห็นความเสื่อมของศีลธรรมและผลร้ายอันเกิดขึ้นเพราะเหตุนั้น เพียงแต่อ่านหนังสือพิมพ์ดูวันละฉบับ ก็จะเห็นได้โดยทั่วไปทั้งประเทศ หรือทั้งโลก ว่าเต็มไปด้วยความเลวร้ายที่เป็นผลเกิดมาจากการเสื่อมเสียศีลธรรมนั้น แล้วก็ไม่มีใครสนใจ ที่จะเรียกร้องมาซึ่งศีลธรรม นี่เพราะว่าไม่มอง เพราะว่าไม่มอง หรือมองก็มองอย่างเหม่อ ๆ ไม่ได้มองให้เข้าใจ ว่าผลร้ายหรือวิกฤตการณ์ในโลกของเรานี้เป็นผลเกิดมาจากความเสื่อมเสีย หรือเสียหายในทางศีลธรรม ทุกคนชะเง้อมองหาแต่ ความเจริญทางวัตถุ ความก้าวหน้า ความเจริญทางวัตถุ ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย กระโดดโลดเต้น ไปตามทางของวัตถุ เรียกว่าความเจริญ ของวัตถุ หรือเรียกตามภาษาศาสนาว่าความสุขทางเนื้อหนัง ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นเรื่องที่รู้จักกันแต่ฝ่ายเนื้อหนัง ทุกคนชะเง้อมองหาแต่ความสุข ทางวัตถุ ไม่ได้มองหา ไม่ได้ต้องการ ไม่ได้ชะเง้อหาความสุข อันเกิดตามทางของธรรมะ ทั้งทาง อ่า, ของธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องของจิตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีความสุขทางจิตใจอย่างถูกต้อง มันก็ครอบงำมาเป็นความสุขอย่างถูกต้องทางกาย ทางวาจา หรือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้เหมือนกัน แต่มันเดินกันคนละทาง ทางหนึ่งมันเป็นทาสของกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อีกทางหนึ่งไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส มันต่างกันอย่างนี้ เรื่องที่ควรจะเอามาพูดกันบ้าง เป็นตัวอย่าง เช่นว่า หากประชาชนในชนบททั่วไป เมื่อ เมื่อถูกถามว่า คุณอยากได้อะไร หรือว่าเจ้าหน้าที่ทางพัฒนาการมาถามว่า ท่านอยากได้อะไร คนในชนบทเหล่านั้น ส่วนมากก็ต้อง ก็ตอบว่าต้องการจะได้ไฟฟ้า ต้องการให้ไฟฟ้ามาถึง ต้องการไฟฟ้า ไม่มีชาวชนบท เหล่านั้น ที่บอกว่าต้องการ การแก้ไขทางศีลธรรม ต้องการการปรับปรุงทางศีลธรรม เพื่อให้บ้าน หมู่บ้านนี้มีศีลธรรม เพราะต้องการให้หมู่บ้านนี้มีไฟฟ้าเข้ามาถึง ไม่ได้ต้องการให้หมู่บ้านนี้มีศีลธรรม หมู่บ้านนี้มันก็เลยไม่มีศีลธรรม ที่ดีขึ้น ไม่มีความสงบสุข ก็ได้ไฟฟ้ามาก็สนุกกันใหญ่ เล่นหัวต่าง ๆ นานา ด้วยเครื่องเล่นที่ใช้ไฟฟ้า แม้แต่ว่าจะหุงข้าว ก็ยังจะหุงด้วยหม้อไฟฟ้า ตามบ้านคนธรรมดาที่ไฟฟ้าไปถึง มันก็หุงข้าวด้วยไฟฟ้า และก็มีเสาอากาศ โทรทัศน์ ทีวี มีเครื่องเล่น ทางเสียง ทางภาพ อะไรมากขึ้น มากขึ้น นี่เขาต้องการไฟฟ้า ไม่ต้องการความก้าวหน้าในทางศีลธรรม หรือบางที เขาอาจจะตอบว่า ต้องการโรงงานกลั่นสุรา มากกว่าต้องการโบสถ์วิหารหรือสถานที่สั่งสอนศีลธรรม คนพวกนี้ส่วนใหญ่บูชาสุรา เห็นสุรา เป็นพระเจ้า คล้าย ๆ กับในโลกนี้ไม่มีอะไรดีกว่าสุรา คนเหล่านี้จึงต้องการโรงงานกลั่นสุรา มากกว่าที่ต้องการโบสถ์วิหาร สำหรับอบรมสั่งสอนศีลธรรม นี่เป็นเรื่องของคนสมัยปัจจุบัน ถ้าเป็นเรื่องของคนสมัยปู่ย่าตายายที่ล่วงแล้วมา ไม่ต้องการแน่ ไม่ต้องการ โรงงานกลั่นสุรา แต่ต้องการ โบสถ์วิหาร ซึ่งเป็นที่อบรมศีลธรรม หรือถ้าจะถามกันเกี่ยวกับไฟฟ้า เขาก็ไม่ต้องการไฟฟ้า เขาต้องการ การจัด การทำ ที่ให้มีศีลธรรม เขาต้องการศีลธรรม ไม่ได้ต้องการไฟฟ้า เดี๋ยวนี้เรามันต้องการไอ้สิ่งที่อำนวยประโยชน์ สนุกสนานเพลิดเพลินในทางวัตถุ ในทางเนื้อทางหนัง เขาไม่ทราบความหมายของคำว่าศีลธรรม พวกนักเลงสุราหรือนักเลง ความสุขทางเนื้อหนังเหล่านี้ ไม่รู้ความหมายของคำว่าศีลธรรม พอได้ยินคำว่าศีลธรรม เขาก็กลัว กลัว กลัว กลัวเหมือนจะกลัวสิ่งที่จะมาทำอันตรายแก่ชีวิต เขาจึงไม่ต้องการศีลธรรม ไม่ต้องการพูดถึงศีลธรรม เขาเชื่อว่าอย่างน้อยมันก็ทำให้หมดความสนุก ถึงจะไม่เป็นอันตรายถึงตายก็ไม่สนุก ฉะนั้นจึงไม่ต้องการศีลธรรม เขายังต้องการความสนุกสนานอยู่ นี่แหละขอให้ นึกคิดกันเสียใหม่ ว่าทำอย่างไรพวกเราจะรู้จักสิ่งที่มีประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง กันเสียที คือสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ถ้าจะถามว่าศีลธรรมคืออะไร ก็ตอบได้ว่า ศีลธรรม คือสิ่งที่จะทำให้เกิดความปรกติ ปรกติ อยู่กันเป็นปรกติ สีล แปลว่าปรกติ ศีลธรรมแปลว่าเครื่องทำความปรกติ ถ้ามีศีลธรรม มันก็ทำความปรกติ และก็อยู่กันอย่างปรกติ ศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรช่วยกันทำให้มีขึ้นมาเร็ว ๆ ให้เต็ม ทีนี้อีกความหมายหนึ่งศีลธรรมก็คือสิ่งที่เป็นความปกตินั่นแหล่ะ สีล แปลว่าปรกติ ศีลธรรมแปลว่าธรรมะคือความปรกติ หรือภาวะแห่งความปรกติ จะหมายถึงเครื่องให้เกิดความปรกติก็ได้ หมายถึงตัวความปรกติก็ได้ เรียกว่า ศีลธรรม ควรจะช่วยกันสร้างขึ้น แม้ที่มันอยู่ตามธรรมชาติก็อย่าไปทำลายมัน ความปรกติตามธรรมชาตินั่นแหล่ะ อย่าไปทำลายมัน ทำลายป่าอันอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื่นให้กลายเป็นทะเลทรายเสีย อย่างนี้มันก็ทำลายความปรกติ ศีลธรรม คือ สิ่งที่ถ้าขาดเสียแล้วจะเกิดวิกฤติการณ์เลวร้ายไปทั้งโลก ถ้าโลกนี้ไม่มีศีลธรรมจะเกิดวิกฤติการณ์อันเลวร้ายทุกข์ทนกระวนกระวายระส่ำระสายเหมือนกับไฟลุกขึ้นมาทั้งโลก ศีลธรรมคือสิ่งที่ถ้าขาดเสียแล้ว จะเป็นวิกฤตการณ์กันทั้งโลก ศีลธรรมคือสิ่งที่ถ้าขาดเสียแล้ว บุตรอาจจะฆ่าได้แม้กระทั่งบิดามารดาของตัวเอง ลูกมันจะฆ่าพ่อแม่ของมันได้ถ้ามันขาดศีลธรรมเสียแล้ว พ่อแม่จะไม่ได้รับความเอื้อเฟื้ออะไรจากลูกของตนที่ขาดศีลธรรมแล้ว นี่ถ้าขาดศีลธรรมแล้ว เด็ก บุตรเหล่านั้น ศิษย์เหล่านั้น ก็จะฆ่าบิดามารดาของตนก็ได้ ฆ่าครูบาอาจารย์ก็ได้ กระทั่งฆ่าพระอรหันต์เสียก็ได้ เนี่ยขอให้เรารู้จัก ศีลธรรมว่ามันคืออะไร ศีลธรรมเป็นชีวิต ของโลก โลกมีชีวิตอยู่เพราะศีลธรรม โลกมีความหมายเป็นโลกของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่อย่างปรกติสุข ก็เพราะว่ามีศีลธรรม จะเรียกสั้น ๆ ว่า ธรรม พระธรรม ก็ได้ เป็นสิ่งที่ต้องคู่กันกับชีวิตนี้ ถ้าชีวิตนี้ขาดธรรม ขาดพระธรรม มันก็ไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง มันไปทำชั่วทำบาป ซึ่งจะทำลายชีวิตนี้ ให้พินาศไปโดยเร็ว เดี๋ยวนี้ที่ว่าชีวิตนี้มันยังรอดอยู่ได้ ก็เพราะมีการประพฤติอันถูกต้องทางธรรม หรือ ทางศีลธรรม มนุษย์ก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี ต้นไม้ต้นไร่ก็ดี ที่มันรอดชีวิตอยู่ได้นี้ ก็เพราะว่ามันมีความประพฤติที่ถูกต้อง ตามคลองของศีลธรรม หรือเป็นตัวธรรม พอไม่มีสิ่งที่เรียกว่าธรรม มันก็เกิดภาวะตรงกันข้าม แล้วมันก็จะต้องตายเอง โดยไม่ต้องมีใครมาฆ่า การไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ตามกฏของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น มันก็ย่อมจะทำลายชีวิตนั้น ดังนั้น ควรจะมองให้เห็นว่า ไอ้คู่ชีวิตนั้นคือธรรมะ ไอ้คู่ครองของคนที่เป็นคน ๆ นั้น ยังน้อยไปกว่า ยังเป็นคู่ชีวิตที่น้อยไปกว่า คือยังมีทะเลาะ วิวาท ยังมีขัดใจ มีหย่า มีร้าง มีอะไรกันให้วุ่นไปหมด แต่ถ้าเป็นตัวธรรมะแล้ว มันไม่มีทางที่จะกลายเป็นศัตรูหรือสร้างความวุ่นวาย สถานะที่ขัดแย้งอะไรขึ้นมาได้ จึงเห็นได้ว่า ธรรมนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ควรจะเรียกว่าคู่ชีวิต ของชีวิตทุก ๆ ชีวิตเลย ชีวิตจะต้องมีธรรมะมาเป็นคู่ชีวิต มีธรรมะก็คือมีความถูกต้อง ถูกต้องตามที่ควรจะมีจะเป็นอย่างไร ทุกขั้นทุกตอนแห่งความเจริญงอกงาม มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต อย่างนี้แล้ว มันก็เป็นความรอด ทางกาย ก็รอดจากความตาย ทางจิต ก็รอดจากความทุกข์ ทุกอย่าง ทุกประการ แปลว่า รอดจากตายด้วย รอดจากความทุกข์ทรมานใจทุกอย่างทุกประการด้วย จึงได้ถือว่าเป็นคู่ชีวิตโดยแท้จริงยิ่งกว่าสิ่งใด ผู้ที่ยังมีไม่ครบ ไม่ถ้วน ไม่เต็ม ก็ควรจะรีบทำให้ครบ ให้ถ้วน ให้เต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะกาลที่กำลังจะสิ้นปีเก่านี้ และจะขึ้นปีที่สมมุติว่าปีใหม่มาแล้วนี้ จงกระทำให้มากขึ้น กระทำให้มากขึ้น คือเพิ่มให้มากขึ้น ในการที่จะมีธรรมะ เป็นคู่ชีวิต ดังนั้นจึงได้กล่าวว่า โอกาสนี้ โอกาสที่จะสิ้นปีเก่านี้ ขอให้ได้เตรียมตัว เพื่อมีศีลธรรมที่มากกว่าหรือยิ่งกว่า สำหรับจะได้มีปีใหม่ที่เต็มไปด้วยศีลธรรม ที่มากกว่าหรือยิ่งกว่า ก็จะเป็นการได้รับสิ่งที่พึงปรารถนา นำมาซึ่งผลดี ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนสังคม หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พิจารณา พุทธธรรมนำสุข ในโอกาสที่จะสิ้นปีเก่านี้ ด้วยการรู้จักศีลธรรม ที่เป็นของจำเป็นแก่สิ่งที่มีชีวิต แล้วก็มีศีลธรรม ที่ยิ่งขึ้นไปกว่า ยิ่งขึ้นไปทุกที และมีความสุขสวัสดีอยู่ ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ