แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายปาฐกถาธรรมชุด พุทธธรรมนำสุขในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้ ขอได้โปรดคิดนึกให้มองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้กันเสียก่อน ดูจะยังๆ เป็นความลับแต่คนเป็นอันมาก ไม่มีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เติมอะไรลงไปได้ ที่พวก พวกที่เชื่อถือตามบุญ ตามกรรม ตามโชคชะตาราศีละก็ ไม่มีทางที่จะคิดว่าในชีวิตนี้เป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้ นั่นมันเป็นเหตุความจริงของธรรมชาติ ชีวิตเองก็เป็นธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติมันก็เนื่องอยู่กับชีวิต ชีวิตมันเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้ชีวิตในทางวัตถุ ทางสสารนี้ มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้ชีวิตในทางนามธรรม มันก็มีเหตุมีปัจจัยทางนามธรรมให้เป็นไปอย่างไร ให้รู้สึกอย่างไร เรียกว่าเป็นธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติ แต่ถ้ามองกันให้ละเอียดอีกทีหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่า มันมีธรรมชาติแห่งการพัฒนานั่นแหละอยู่ในตัวมันเอง ธรรมชาติแห่งการพัฒนาในที่นี้ก็หมายความว่า กฎของธรรมชาติมันมุ่งหมายที่จะให้ทุกสิ่งเจริญงอกงามดีขึ้นๆ จนกว่าจะถึงระดับสุดท้าย ถ้าไม่มีอำนาจอันนี้สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ก็ไม่มีทางที่จะดีขึ้นๆ อย่างที่เรียกว่ามันพัฒนาตัวเองจะเป็นต้นไม้ก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี เป็นมนุษย์ก็ดี จะมีการพัฒนาตัวเองอยู่โดยกฎของธรรมชาติ เรียกง่ายๆ ก็ว่ามันเหมือนกับมันมีความรู้สึกอยากดี แล้วก็มันเป็นไปตามความอยากดี พืชพันธุ์ไม้ที่มันแปลกๆ ออกไปสวยงามยิ่งขึ้นไป มีลูกผลดีอยู่ยิ่งขึ้นไป มันก็มีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งทำให้มันอยากอย่างนั้นแล้วมันก็เลยเป็นอย่างนั้น ของแปลกๆ ใหม่ๆ ในโลกนี้มันจึงเกิดขึ้น ดังนั้นแหละขอให้ถือเอาประโยชน์แห่งความจริงของธรรมชาติข้อนี้ให้ได้โดยผสมโรงกันไปในตัว เมื่อมันจะพัฒนา มันจะเปลี่ยนแปลงเราก็ถือโอกาสปรับปรุงให้ตรงตามความประสงค์ยิ่งขึ้น ทีนี้ก็อยากจะดูถึงหลักเกณฑ์อันหนึ่งซึ่งสำคัญในทางพุทธศาสนาคือ ข้อที่ได้ยินได้ฟังกันทั่วไปหมดอย่างซ้ำๆ ซากๆ ว่า สังขารไม่เที่ยง ใครที่ไม่ได้เคย ไม่เคยได้ยินคำนี้ดูจะหายาก สังขารไม่เที่ยง ไม่เที่ยงก็พูดกันอยู่ทั่วๆ ไป ถ้าเข้าใจ มันจะมองเห็นอะไรได้ลึกซึ้งมากกว่าที่จะเห็นเป็นโทษ เป็นภัย เป็นอันตรายโดยส่วนเดียว คำว่าสังขารนั้นหมายถึงทุกสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งคือเกิดเองไม่ได้ เป็นไปในลำพังตัวเองไม่ได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งๆๆ อยู่ตลอดเวลา เป็นทางวัตถุก็มี เป็นทางจิตก็มี เป็นทางการกระทำก็มี นี่เรียกว่าสังขารที่เป็นร่างกายเช่นเนื้อหนังที่มันเปลี่ยนแปลงมันไม่เที่ยง ที่เป็นทางจิตใจก็ความคิดนึกความจำ ความอะไรต่างๆ มันไม่เที่ยง เอาละเป็นอันว่า เป็นที่ฟังออกกันแล้วว่า สังขารไม่เที่ยง แต่ทีนี้ก็อยากจะบอกว่า มีประโยชน์การที่สังขารไม่เที่ยงนั่นแหละกลายเป็นมีประโยชน์ ถ้าสังขารมันเที่ยงเสียแล้ว มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ มันก็ตายเสีย ตายด้านชะงักงัน ก็ด้วยเหตุที่สังขารมันมีธรรมชาติเปลี่ยนอยู่เสมอ เหมือนกับว่าไหลอยู่เรื่อยเปลี่ยนตัวอยู่เรื่อย นั่นแหละจะมีประโยชน์ เพื่อให้เกิดของใหม่ๆ แล้วก็จะปรับปรุงให้เกิดของใหม่ๆ เมื่อผสมโรงกันกับความไม่เที่ยงของสังขารนั่นแหละก็จะสร้างอะไรขึ้นได้ อีกมาก อย่ามองแต่ในทางแง่ร้าย ว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันก็ทำให้เป็นสิ่งที่ตรงความประสงค์ หรือแม้มันไม่ตรงความประสงค์ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ คำโบราณมีพูดไว้ว่า ถ้าหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่ง นี่จะทำยังไงดี บางคนฟังไม่ถูก ว่าหนามยอกหนามบ่งนั้นอย่างไร มันไม่ใช่หนามเล่มที่ยอกอยู่ในเนื้อ แต่มันหนามอีกอันหนึ่งประเภทเดียวกันนะเขาเอามาใช้เพื่อบ่งเอาหนามที่อยู่ในเนื้อออกมา นี่ถ้าหนามมันยอก ก็เอาหนามนั่นแหละบ่งๆ หนามออกมามันก็สำเร็จประโยชน์ได้ในสิ่งนั้น เดี๋ยวนี้สังขารมันยอก สังขารมันเจ็บปวด มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เรียกว่าสังขารมันยอกก็ต้องเอาสังขารนั่นแหละบ่ง เผื่อความเปลี่ยนแปลงได้ของมัน และความที่มันต้องเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้ความเปลี่ยนแปลงของสังขารนั้นเป็นไปในทางที่มีประโยชน์ หรือควรปรารถนา ถ้าออกมา ถ้ามันออกมาเองในรูปที่ไม่น่าปรารถนา เราก็เปลี่ยนให้เป็นรูปที่มีประโยชน์ หรือไม่น่าจะรังเกียจอะไรไปได้ มีลักษณะเหมือนกับว่าหนามยอกแล้วก็ต้องเอาหนามบ่ง การพัฒนานั่นก็คือ การเปลี่ยนแปลง หรือถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั่นอีกก็ว่าไอ้ตัวการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละก็คือตัวการพัฒนา เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตามธรรมชาติของสังขารอยู่แล้วที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเป็นสิ่งที่มีจิตมีใจ มีรู้สึกคิดนึกได้ ไม่ใช่ก้อนหิน มันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ให้ดีขึ้นดีขึ้น อย่างที่ว่าเราก็จะได้เห็นการเกิดขึ้นของของใหม่ๆ ทั้งของต้นไม้พืชพันธุ์และของสัตว์ทั้งหลายเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นสัตว์สวยงามเต็มไปในโลก การที่เปลี่ยนแปลง เมื่อปล่อยไปตามธรรมชาติ มันก็จะเป็นไปในทางที่ดีกว่าเดิม อันนี้มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเครื่องของขลังอะไรอย่างหนึ่ง คือท่านกล่าวกันไว้ว่าจิตนี่ๆ เป็นของลึกลับ เป็นของกายสิทธิ์เป็นของเข้าใจไม่ได้เป็นต้นเหตุแห่งสิ่งทั้งปวงคือถ้าจิตมันคิดนึกได้รู้สึกได้แล้วมันจะไปคิดให้เลวลงทำไม จิตมันจึงต้องการจะดียิ่งขึ้นไปเสมอ โดยเฉพาะจิตของคน และก็ยิ่งต้องการดี ต้องการสวย ต้องการรวย เราเห็นเด็กๆ เกิดมารุ่นหลังนี่ น่าเอ็นดู สวยงามกว่าเด็กรุ่นปู่ย่าตาทวด ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนมันต้องการ ใครๆ มันก็ต้องการ พ่อแม่ของมันก็ต้องการ หรือจิตวิญญาณของมันก็ต้องการ ให้มันสวยนี่มันจึงเกิดคนที่สวยยิ่งขึ้นๆ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันแหละแม้แต่ต้นไม้ต้นไร่มันก็มีพันธุ์ที่แปลกใหม่ออกมา มีดอกดีกว่า มีใบสวยกว่า มีอะไรต่างๆ นี่ก็เป็นไปโดยธรรมชาติแท้ๆ ดังนั้นจึงกล่าวได้ ในที่สุดว่าการพัฒนานั่น คือการทำหน้าที่ตามธรรมชาติจะเจตนาอย่างไรก็สุดแท้แต่ ถ้ามีการทำหน้าที่ตามธรรมชาติแล้ว มันก็จะเป็นการพัฒนาอยู่ในตัว การทำหน้าที่ซึ่งเป็นการพัฒนาอยู่ในตัวนั่นแหละคือการเติมธรรมะลงไปในธรรมชาติ ธรรมชาติกับธรรมะก็เป็นสิ่งเดียวกัน เติมธรรมะลงไปในธรรมชาติซึ่งเป็นตัวการพัฒนาซึ่งมีมูลมาจากความต้องการของสิ่งที่มีจิตใจรู้สึกคิดนึกได้ และมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ การที่จะเติมธรรมะลงไปในชีวิตนั่นมันก็ทำได้อย่างที่เรียกว่าตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติไม่วิเศษวิโสผิดไปจากธรรมชาติอะไร ให้รู้ว่าธรรมชาติมันมีลักษณะอย่างนี้ มันไม่ คืออย่างน้อยมันเปลี่ยนแปลง แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของความรู้สึกคิดนึกของสิ่งที่มีการรู้สึกคิดนึกได้ ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นไม่โง่เขลางมงายเสียเองย่อมหวังในส่วนที่จะให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปก็เข้ารูปกันกับธรรมชาติพอดี แล้วมันก็จะเปลี่ยนไปๆ เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่าเติมธรรมะลงไปในชีวิต มันก็ต้องหมายความว่ารู้เรื่องชีวิตพอสมควร รู้เรื่องความลับของชีวิตตามสมควร รู้เรื่องธรรมชาติ หรือธรรมะนั้นตามสมควร โดยจัดให้ธรรมชาติได้มีโอกาสทำหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติก็เรียกกันอย่างวิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นการวัฒนาของวิวัฒนาการ ก็เป็นอันว่ามันก็เติมธรรมะลงไปในชีวิต ยิ่งเป็นชีวิตที่แตกฉานในเรื่องของธรรมะแล้ว มันก็ยิ่งเป็นไปได้ง่ายแม้ชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ เช่น ชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน ของต้นไม้ต้นไร่มันก็ยังรู้จักพัฒนา แล้วทำไมคนที่มีความคิดนึกขยันกว้างนี้จะพัฒนาไม่ได้ ขอให้ความรู้นี้นำ หรือชักนำท่านทั้งหลายให้กระทำอย่างนี้ ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรมนำสุขขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย และหวังว่าท่านทั้งหลายจะรู้จักใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ ในลักษณะหนามยอกเอาหนามบ่ง แล้วก็เป็นอยู่อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มีความสุขสงบอยู่ในชีวิตนั้นอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ