แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายปาถกฐาธรรมในชุด พุทธธรรมนำสุขในครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะประยุกต์สำหรับฆราวาสทั่วไป บางคนจะไม่เข้าใจคำว่าธรรมประยุกต์ ก็อยากจะขอให้พยายามทำความเข้าใจ มันก็เป็นคำธรรมดาๆ คำหนึ่ง คือ ทำสิ่งที่เป็นเพียงความรู้ ให้เกิดเป็นการปฏิบัติ และมีผลของการปฏิบัติขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าประยุกต์ หรือจะให้สั้นกว่านั้นก็พูดว่าเอาทำสิ่งที่ไม่มีค่าหรือยังไม่มีค่า ให้มันเกิดเป็นสิ่งที่มีค่าขึ้นมา อย่างนี้ก็เรียกว่าประยุกต์ นี้ธรรมประยุกต์ก็คือ วิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ เรื่องวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ ธรรมชาติมีการประยุกต์ในตัวธรรมชาติ เกิดผลขึ้นมาแปลกๆ ใหม่ๆ ตามธรรมชาติ แต่ถ้าสำหรับคนเรา ก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ เมื่อเรียนรู้อะไรแล้ว ก็ประยุกต์ไอ้ความรู้นั้น ให้เป็นการกระทำ ให้เกิดผลในทางวัตถุธรรมกันก่อน คือเป็นผลอย่างวัตถุกันก่อน แล้วจึงค่อยทำให้มันละเอียดลึกซึ้งลงไป กระทั่งมีผลในทางนามธรรม หรือแล้วแต่ว่าควรจะต้องการอย่างไร ขอให้สังเกตดูให้ดีดี มันเป็นการประยุกต์อยู่โดยธรรมชาติแล้วมิใช่น้อย ถ้ารู้จักผสมโรงกับธรรมชาติมันก็จะเป็นการประยุกต์มากขึ้น การที่เราทำงานเหน็ดเหนื่อย หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงชีวิต ของชาวบ้าน ชาวโลกนี้ก็ตาม มันก็เป็นการประยุกต์ ทีนี้การปฏิบัติกรรมฐานหลังจากเรียนรู้เรื่องธรรมะแล้วประพฤติปฏิบัติทางกรรมฐานเพื่อพระนิพพานก็ดี นี้มันก็เป็นเรื่องของการประยุกต์ สรุปความว่า ศึกษาแล้วประยุกต์อย่างนี้ก็ได้ หรือจะให้ศึกษารวมอยู่ในคำว่าประยุกต์มันก็ได้เหมือนกัน เพราะมันต้องศึกษาก่อน มันจึงประพฤติกระทำให้ถูกต้องได้ จะโดยวิธีการ โดยหลักการมันก็ต้องพูดว่าศึกษาแล้วประยุกต์ ให้มันได้ผลตามที่ศึกษามา ทีนี้อุบายสำหรับประยุกต์สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนทั่วๆไปนี่ อยากจะบอกให้รู้ว่าหน้าที่ๆที่ต้องกระทำนั่นแหละ คือสิ่งที่ต้องประยุกต์ หรือประยุกต์ คนเราไม่ได้รู้จักหน้าที่การงานว่าเป็นธรรมะประยุกต์มักจะเห็นเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยรังเกียจ ไม่อยากจะทำ แต่ก็อยากจะได้ผลของงาน คนทั่วไปคดโกงตัวเองอยู่อย่างนี้ว่าไม่ ไม่อยากจะทำงาน แต่อยากจะได้เงิน อยากทำงานแต่น้อย แล้วอยากจะได้เงินมากๆ อย่างนี้มันไม่ถูกกับเรื่องของการประยุกต์ ขอให้มองเห็นว่าหน้าที่การงานนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยเราได้ เหมือนพระเป็นเจ้าทีเดียว เราพอใจหน้าที่การงานในฐานะเป็นสิ่งที่มันช่วยเราได้ เอาเป็นที่พึ่งได้ ก็เอาหน้าที่การงานนั่นแหละเป็นพระเจ้าก็ได้ เป็นพระธรรมที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อคุณมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว มันก็เปลี่ยนทันที มันไม่เอาเปรียบการงาน มันอยากจะทำงานเต็มที่ ไม่ใช่ทำงานอย่างลิงหลอกเจ้า หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนที่ทำกันอยู่ทั่วๆ ไป อยากได้เงินมากแต่ไม่ต้องทำงาน หรืออยากจะทำงานนิดหน่อย อยากจะเอาเงินมากๆ ขอให้มองให้เห็นว่าไอ้หน้าที่การงานนั่นแหละคือธรรมะ หรือพระเจ้าที่จะช่วยได้ แล้วก็พอใจในหน้าที่การงาน ยินดีในหน้าที่การงาน รู้สึกชื่นชมในการที่ได้มีหน้าที่การงาน รู้สึกว่า มันเป็นโชคดีที่ได้ทำงานๆ แล้วมันมีเกียรติในทางธรรม เพราะว่า ไอ้งานมันคือธรรมะที่จะช่วยให้รอด เป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยจิตใจในระดับสูงสักหน่อย ไม่ใช่คนโง่จะทำได้ เมื่อได้รู้สึกว่า หน้าที่การงานคือธรรมะ หรือพระเจ้าที่จะช่วยให้รอดแล้ว ก็พอใจปฏิบัติธรรมะนั้นๆ เรียกว่า ยินดีพอใจปฏิบัติธรรมะนั้นๆในทุกกาละ เทศะ กาละคือเวลา เทศะคือพื้นที่ ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติธรรมะให้ถูกต้องทุกๆ วินาที นี่เรียกว่าฝ่ายกาละ และจะปฏิบัติให้มันมีความถูกต้องอยู่ทุกกระเบียดนิ้วนี่คือฝ่ายเทศะ มีความถูกต้องทุกกาละ ทุกเทศะพอใจตัวเองได้เสมอนี่เป็นประยุกต์อย่างยิ่ง สิ่งที่เขาเบื่อหน่ายเกลียดชังกัน กลายเป็นสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ น่าบูชา ไปเสียดังนี้ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่หลับจนตื่น มีแต่ความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของตนๆ ฟังดูแล้วก็ บางคนจะไม่เชื่อ และจะหาว่าทำไม่ได้ ดีแต่พูด หรือไว้สำหรับพูด ไม่ได้มีไว้สำหรับทำ แต่ที่จริงมันเป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าตั้งใจจะทำ อยากจะพูดว่าการปฏิบัติธรรมะในลักษณะอย่างนี้ ง่ายกว่าไอ้นักกีฬา ง่ายกว่านักกายกรรม นักอะไรต่างๆ ที่มันฝึกกันอย่างยากลำบาก แล้วมันยังฝึกได้ มันทนฝึกกันจนได้ เอาชีวิตเข้าแลก แต่ทีธรรมะที่จะช่วยให้เกิดผลในทางจิตใจ ไม่ค่อยเอา ไม่มีใครเอา มองดูแล้วก็สั่นหัวไปเสียหมด มันเลยไม่มีความถูกต้องๆ ขอให้ฟังดูให้ดีๆ มันไม่มีความถูกต้อง มันก็อยู่ด้วยความไม่ถูกต้อง มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราต้องการ ถูกต้องทั้งหลับ และทั้งตื่น เมื่อตื่นอยู่ ก็ระวังให้มันถูกต้อง พอจะหลับ ก็กำหนดแต่ความถูกต้องนั้นไว้ แล้วก็ปล่อยให้หลับไป ระหว่างหลับมันไม่มีความหมายอะไร พอตื่นขึ้นมาก็ฉวยเอาความถูกต้อง เป็นต้นเงื่อนต่อไปๆ จนกว่าจะถึงเวลาหลับอีก ทำอย่างนี้เรียกว่า รักษาไว้ได้ทั้งหลับ และตื่น มีความถูกต้อง เป็นผู้ถูกต้องอยู่ ทั้งหลับและตื่น และพร้อมกันนั้น มันเป็นความสนุกในการกระทำ การที่ทำได้อย่างนั้นน่ะมันเป็นความสนุกในการกระทำ รู้สึกตัวเองว่าถูกต้องๆ อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่จะยกมาง่ายๆ ก็เช่นว่า พอตื่นนอนขึ้นมา ก็ถูกต้องแล้ว ไปล้างหน้าก็ถูกต้องแล้ว ไปห้องปัสสาวะอุจจาระ ก็ถูกต้องแล้ว ไปอาบน้ำก็ถูกต้องแล้ว ไปแต่งตัวก็ถูกต้องแล้ว ไปกินอาหารก็ถูกต้องแล้ว ลงเรือนไปทำงานมันก็ถูกต้องแล้ว ตลอดเวลาที่ทำงานก็มีแต่ความถูกต้อง จนกว่าจะหมดเวลาทำงานก็กลับมาพักผ่อน มาที่บ้านก็ มีแต่ความถูกต้องๆ ไปเสียทั้งนั้น นี่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันหายใจที่จะไปหาเหยื่อของกิเลส แม้อยู่ในห้องทำงาน แม้อยู่ในห้องทำงานแท้ๆ จิตใจมันก็อยากไปหาเหยื่อของกิเลส อยากจะไปอบายมุข สถานเริงรมย์ กามารมย์ต่างๆ อย่างนี้มันไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องเลยแม้แต่สักกระเบียดนิ้วเดียว ไม่มีความถูกต้องเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามองเห็น ตามที่เป็นจริง ถึงสิ่งที่สูงสุดอันนี้แล้ว รู้สึกว่าได้อยู่กับสิ่งที่สูงสุด ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งสูงสุด ก็สนุก เมื่อสนุกก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข ฆราวาสทั่วไป จงได้เข้าใจ ไอ้ความลับข้อนี้ ว่าความสุขนั้นเกิดมาจากความพอใจ ถ้าทำความพอใจเกิดขึ้นมาได้ก็จะเป็นความสุข ถ้าเป็นความพอใจ พอใจอย่างเลว อย่างหลอกลวง มันก็เป็นความสุขอย่างเลว อย่างหลอกลวง ถ้าความพอใจนั้นมันถูกต้อง และบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไอ้ความสุขนั้นมันก็ถูกต้อง และบริสุทธิ์ผุดผ่อง เห็นได้ทันทีว่า ชื่อว่าความพอใจแล้วก่อให้เกิดความสุข ถ้าความพอใจเป็นของปลอม ความสุขก็เป็นของปลอม เช่นไปลุ่มหลงในสถานเริงรมย์อบายมุขทั้งหลาย เมื่อมีความพอใจ แต่มันเป็นความพอใจของกิเลสๆ ไม่ใช่พอใจของธรรมะ หรือโพธิ เดี๋ยวนี้เราเอากิเลสเป็นตัวเองกันเสียหมด จนได้ชื่อว่ามีชีวิตเป็นกิเลส มีกิเลสเป็นชีวิต เป็นกิเลสเพื่อชีวี คงจะไม่มีใครรู้สึกเจ็บ ถ้าไม่รู้ความหมายว่ากิเลสเป็นชีวีนี่ มันเป็นคำปรามาส ประณาม ดูหมิ่นยิ่งกว่า คำไหนๆ หมด เป็นกิเลสเพื่อชีวี มีกิเลสเป็นชีวิต แต่ก็เป็นกันเสียจนชิน แล้วก็แสวงหาเหยื่อให้แก่กิเลส แล้วก็พอใจชนิดปลอม หลอกลวง ความสุขมันก็หลอกลวง แล้วเป็นเรื่องให้โทษ ในที่สุด นี่ขอให้สังเกตดูกันเสียใหม่ ให้รู้สึกว่าความพอใจที่ถูกต้อง ไปเกิดความสุขที่ถูกต้อง แล้วไม่ต้องใช้เงิน นี่มันจะประหลาด หรือแปลกก็ที่ตรงนี้ว่า ถ้าเป็นความสุขที่ถูกต้องแล้วจะไม่ต้องใช้เงิน เพราะว่าหาเอาได้จากการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วก็พอใจในการทำหน้าที่ แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำหน้าที่ มันก็เลยไม่ต้องใช้เงินซื้อความสุข แม้แต่สักบาทเดียว สตางค์เดียว ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่หลอกลวงต้องใช้เงิน ยิ่งหลอกลวงเท่าไรก็ยิ่งต้องใช้เงินมากเท่านั้น เราเป็นทาสแห่งความสุขที่หลอกลวง เงินก็ไม่พอใช้ ต้องคดโกงเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอใช้ ต้องคอร์รัปชั่นจนวินาศ มันก็ยังไม่พอใช้ กิเลสยังไม่พอ กิเลสยังไม่อิ่ม นี่กิเลสเพื่อชีวี ก็ต้องมีผลเป็นอย่างนี้ นี่ฆราวาสทั่วไป จงมีธรรมะประยุกต์ คือพอใจในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่การงาน บูชาหน้าที่ ทำดีที่สุดแล้วก็พอใจๆ แล้วก็เป็นสุข เหนื่อยก็นอนเสีย หายเหนื่อยก็ทำอีก ก็พอใจ และเป็นสุข นี่เรียกว่าธรรมะประยุกต์สำหรับฆราวาสทั่วไป หวังว่าท่าน ที่เป็นฆราวาสทั้งหลาย จะได้รู้จักหนทางรอด ทั้งทางกาย และทางใจ ของฆราวาสดังที่กล่าวมา และจะมีความสุข ในการทำหน้าที่การงานไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ไหน เมื่อรู้สึกว่าหน้าที่คือธรรมะ แล้วก็พอใจ และเป็นสุขทั้งนั้น ดังนั้นผู้ที่อยู่กับธรรมะ คือหน้าที่การงานนั้น ดำรงจิตให้ถูกต้องแล้วก็จะมีแต่ความสุขทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายนี้