แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายปาฐกถาธรรมในชุดพุทธธรรมนำสุขในวันนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีวิธีทำให้กลับมา ธรรมะเป็นสิ่งที่มีวิธีทำให้กลับมา นี่ย่อมบอกอยู่ในตัวแล้วว่า ธรรมะหายไป เกิดความเสียหายร้ายแรงขึ้นมา เราจึงต้องการให้ธรรมะกลับมา ถ้ามีถามกันขึ้นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ก็ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาดู ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะของบุคคลในโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้ตามสมควร อันธรรมะได้ค่อยๆ หายไปจากโลก อย่างไร เมื่อไร เท่าไร ลองคิดดู ในโลกที่อยู่อย่างธรรมชาติในยุคป่าเถื่อนโน่น ไม่ได้ลุ่มหลงในเรื่องสวยงามเอร็ดอร่อยเพลิดเพลิน อะไรกันนัก เพราะมันทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ไม่ ไม่มีอุปกรณ์ หรือว่ามันยังไม่มีเรื่องที่จะต้องทำ ครั้นมนุษย์อยู่มานานเข้า ได้ค่อยๆ พบไอ้สิ่งที่อร่อยกว่า หอมกว่า นิ่มนวลกว่า อะไรกว่า กว่า กว่า ก็เอามาสนใจยึดถือเป็นสรณะกันมากขึ้น จนกระทั่งว่า ถ้าใครสามารถจะทำ หรือจะมีอะไรให้ดีกว่าที่แล้วๆ มา ก็เป็นที่ยอมรับนับถือ หรือว่าเป็นการได้เปรียบในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือขูดรีดผู้อื่นก็ยังได้ ถึง เอ่อ, หลงไหลในความเอร็ดอร่อยเป็นต้น มากขึ้นเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกูของกู มันก็มากขึ้นๆ มันจึงทำอะไรไปตามอำนาจของความเห็นแก่ตัว ไม่เคยฆ่าก็ฆ่า ไม่เคยขโมยก็ขโมย ไม่เคยล่วงของรักผู้อื่น ก็มีการล่วงของรักของผู้อื่นอย่างนี้เรียกว่า ธรรมะมันค่อยหายไปๆ ในลักษณะอย่างนี้ มันหายไปเมื่อไหร่ หายไปเมื่อมนุษย์มันเริ่มรู้จักดีด รู้จักสวย รู้จักเอร็ดอร่อย รู้จักสนุกสนาน เมื่อยังไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ก็อยู่กันตามธรรมชาติ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานมันอยู่กันนะ มันไม่กระทบกระเทือนถึงความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เมื่อมนุษย์มันมีความคิดก้าวหน้า ทิ้งสัตว์เดรัจฉานไกลลิบ มนุษย์ก็ทำอะไรแปลกไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน ขอให้สังเกตุดูให้ดีเถอะ บางทีมันจะต้องตั้งคำถามว่านี่เป็นเรื่องบุญ หรือเป็นเรื่องบาปของมนุษย์ คือการที่มนุษย์รู้จักอะไรมากขึ้น รู้จักทำอะไรมากขึ้น ให้ตัวเองลำบากมากกว่าแต่ก่อนนั้นมันเป็นเรื่องบุญหรือเป็นเรื่องบาป แต่ว่าบุญ หรือบาปก็ยังไม่สำคัญเท่า กับจะถามว่ามันเป็นเรื่องสุข หรือเรื่องทุกข์ ความที่ยุ่งมากขึ้นกว่าก่อน หนักอกหนักใจมากขึ้นไปกว่าก่อน มีปัญหานานาชนิด เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนนี่ มันเป็นเรื่องสุขหรือเป็นเรื่องทุกข์ นั่นแหล่ะธรรมะหายไป สิ่งที่เป็นชีวิตกิจการนะ ความเลวร้ายมันก็เกิดขึ้นมา เมื่อมนุษย์มารู้จักไอ้สิ่งที่บำรุงบำเรอยิ่งกว่านี่เอง นานเท่าไหร่ ข้อนี้มันก็บอกยาก และจะบอกตามวิชาประวัติศาสตร์ หรือเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มันก็พูดยากเพราะว่ามันกินเวลาเป็นพันปีหมื่นปี ถ้าเอาเป็นที่แน่นอนอย่างเดียวว่า เมื่อมนุษย์มันรู้จักจะทำให้ดีนั่นแหล่ะ มันก็ตั้งต้น แต่ที่นี้มันมีวิธีดูอีกวิธีหนึ่งคือ ดูที่คนคนเดียว เด็กทารกเกิดมาจากท้องแม่ ไม่มีเรื่องสุขเรื่องทุกข์ไปตามธรรมชาติธรรมดา แต่ไม่กี่วันมันได้กินนมบ้าง กินอาหารอย่างอื่นบ้าง มันไม่รู้สึกพอใจ พอใจ นี่มันเกิดความรู้สึกพอใจแล้ว ก่อนนี้มันไม่ไม่มีความพอใจ หรือไม่พอใจอะไร เดี๋ยวนี้มีให้เลือกแล้ว อย่างนี้อร่อย อย่างนี้สบายอะไรก็ตาม มันก็เลือก เลือก มาข้างที่สวยงามกว่า เอร็ดอร่อยกว่า พอใจกว่า สนุกสนานกว่า มันเป็นอย่างนี้ จนทารกนั้นค่อยๆ โตขึ้นมาเป็นเด็ก เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นคนหนุ่มคนสาว กระทั่งเป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้วก็ยังหลงอยู่ในสิ่งเหล่านี้ นี่คิดดูเอาเองว่ามันนานสักกี่ปี อายุเข้าไปตั้งขึ้นตั้งค่อนแล้วก็ยังหลงอยู่ บางคนก็พอจะกลับตัวทัน แต่บางคนไม่มีทางที่จะกลับตัว มันก็พาเข้าโลงไปด้วย คือเอาความโง่ชนิดนี้เข้าโลงไปด้วย นี่มันนานตลอดชีวิตถึงอย่างนี้ ก็เรียกว่า กิเลสไม่ได้ติดมาแต่ในท้อง เพราะทารกเกิดมาแล้ว รู้จักของสวย ของเอร็ดอร่อยเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจแล้ว นั่นแหล่ะกิเลสมันจึงค่อยๆ เกิดขึ้นมา ริบเอาความเป็นมนุษย์อย่างธรรมดาไปเป็นมนุษย์ชนิดที่มีปัญหา เด็กก็มีกิเลสเกิดขึ้น เพราะพอใจในของอร่อยนั่นแหล่ะใช้คำคำว่าอร่อยคำเดียวก็พอ เมี่อเขาพอใจ เขาก็อยากได้ มันก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง คืออยากได้ ครั้นว่ามันหายไป หรือมันไม่ได้ตามที่อยากได้ มันก็เกิดกิเลสอีกชนิดหนึ่งเกิด คือโทสะ หรือความไม่ชอบ เมื่อมันก็มีสิ่งที่มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีมันก็ได้แต่หลง ไหลกันไป มันก็มีกิเลสอีกชนิดหนึ่งคือโมหะ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็เกิดขึ้นได้จนเต็มที่ของมัน ใช้เวลานาน ตั้งครึ่งอายุคน หรือค่อนอายุของคน จึงจะพอรู้สึกได้บ้างว่า อ้าวนี่มันเป็นอย่างนี้ มันมีแต่ความทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ ก็คิดจะศึกษา จะแก้ไข จะปฏิบัติธรรมให้พ้นจากความเป็นอย่างนี้ มันก็พอจะมีเวลาบ้าง และทำให้มันกลับตรงกันข้ามในความหมายที่ว่า ธรรมมะที่มันหายไปนั่น มันมีวิธีทำให้กลับมา เดี๋ยวนี้โลกนี่ก็เดินไปจนถึงริมเหวแห่งวัตถุนิยม เหลืออยู่แต่จะผลัดตกลงไปในเหว มันจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าที่คนทั้งโลกจะหลงในวัตถุใหม่ๆ ความเจริญก้าวหน้าในวัตถุใหม่ๆ นี่กินเวลาเป็นสิบๆ ปี เป็นร้อยปี หรือสักสองร้อยปี ธรรมะมันก็หายไปโดยใช้เวลาร้อยปี สองร้อยปี จะให้มันกลับมาในพริบตาเดียวนี่มันก็ทำไม่ได้ ดังนั้นต้องใช้เวลานานเท่ากัน ถึงจะเวลามาแต่ไหน เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่รู้สึก แม้แต่ว่ามันผิดเสียแล้ว อย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึก มันก็จะมีแต่รุดหน้าเรื่อยไป การทำซะใหม่ในทางตรงกันข้ามมันก็มีไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ ก็ว่ามันเผอิญก็ได้ หรือมันได้รับการสั่งสอนก็ได้ สามารถคิดนึกรู้สึกว่า อ้าว, อย่างนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องสร้างกิเลส หลงรักในสิ่งที่น่ารัก หลงเกลียดในสิ่งที่น่าเกลียด หลงโกรธในสิ่งที่น่าโกรธ หลงกลัวในสิ่งที่น่ากลัว สำหรับคนโง่นะ ที่ว่าสิ่งที่น่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว นั่นมันสำหรับคนโง่ แต่ถ้าสำหรับคนฉลาดมีธรรมะแล้วไม่มีอะไรที่น่ารัก น่าโกรธ น่าเกลียด น่ากลัว มันมีแต่เหมือนเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามกฎของธรรมชาติ นี่ธรรมะจะเติม จะกลับมาใหม่ ก็เพราะว่ารู้สึกให้ถูกต้องตามปัญหาที่แท้จริงที่กำลังมีอยู่ในโลกปัจจุบัน ต้องสังเกตุคิดเห็นให้เข้าใจ หรือโดยคำแนะนำชี้แจงของผู้อื่นในขั้นต้น แล้วตัวเองก็สังเกตุศึกษาต่อไป นี่ก็ได้ อีกทางหนึ่งถ้าเขาเป็นมนุษย์ที่มีบุญ มีสติปัญญาเป็นเจ้าเรือน เขาอาจจะสังเกตุเห็นเอาเองโดยการกระทบบังเอิญรุนแรง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ในที่สุดมันเหมือนกันตรงที่ว่าต้องมองเห็นข้อเท็จจริงว่า เดี๋ยวนี้ธรรมะมันหายไป วิกฤตการณ์เลวร้ายทั้งหลายก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด ทุกคนควรจะได้ศึกษาชีวิตของตนๆ ให้รู้ตามที่เป็นจริงว่าตามธรรมชาตินั้นมันเป็นอย่างไร แล้วให้รู้อีกขั้นหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้ตามที่เราได้ไปกระทำมันใหม่ จัดสรรมันใหม่นั่น มันเป็นอย่างไร มันมีผลเป็นอย่างไร เมื่อเข้าใจได้ว่า มันมีผลเป็นการสร้างปัญหายุ่งยากแล้ว ก็รีบถอยกลับไปหาไอ้ความถูกต้องที่ไม่เกิดปัญหาใดๆ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะหาว่าไอ้คนนี้มันถอยหลังเข้าคลอง ไอ้คนที่พูดนนั่นมันไม่รู้ ไม่รู้เรื่องถอยหลังเข้าคลอง ไอ้การถอยหลังเข้าคลองนี่มันเป็นเรื่องให้ปลอดภัย ถ้าขืนออกไปมันตาย มันออกมาที่ปากน้ำแล้วเผชิญพายุแล้ว มันก็ต้องถอยหลังเข้าคลองเพื่อความปลอดภัย มันไม่ฝ่าดันไปหาความตาย เดี๋ยวนี้โลกมันออกไปถึงริมเหว แห่งความล้มในวัตถุ คือความสุขสนุกสนานอะไรต่ออะไร ทางเนื้อทางหนังทางวัตถุนั่นนะ มันก็ไม่รู้จักถอยหลังเข้าคลองมาหาความปลอดภัย มันก็ต้องตายแน่ นี่ก็ใช้คำพูดได้ว่า กลับมาหาธรรมะ หรือว่าทำให้ธรรมะกลับมา ก็แล้วแต่จะพูดคำไหน เรื่องมันก็เหมือนกันทั้งนั้น คือ ขอให้มีธรรมะก็แล้วกัน ต้องเกิดใหม่ เกิดใหม่ ฟังไม่ถูกแน่ ต้องเกิดใหม่ คงฟังไม่ถูก ถูกแน่ เพราะว่ามันต้องตายเสียก่อนแล้วก็จึงจะเกิดใหม่ เขาสั่นหัว เขาก็ไม่เอา เกิดใหม่ในที่นี่เกิดทางจิตใจร่างกายไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ร่างกายเดิม แต่ว่าจิตใจเปลี่ยน อย่างนี้เรียกว่าเกิดใหม่ จากคนโง่เป็นคนฉลาด คนโง่ตายแล้วหากคนฉลาดเกิดขึ้น นี่แหล่ะคือเกิดใหม่ ก็จะได้ประสบผลของไอ้ธรรมะที่ทำให้มันกลับมาใหม่ ให้มันมีขึ้นมาใหม่ เห็นแล้วก็มีผลดี ถ้าไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีทางที่จะเข้าไปในโลกของพระอริยเจ้า เพราะว่ามันอยู่กันคนละโลก แม้จะโดยจิตใจ จึงต้องเกิดใหม่ เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงในวัตถุอีกต่อไป มันก็เลยปิดนรกหมดสิ้น นรกคือผลของการลุ่มหลงในเรื่องทางวัตถุที่มันแผดเผาหัวใจ ทีนี้ก็จะมีแต่สวรรค์ที่แท้จริง คือความเยือกเย็นเป็นสุข เป็นที่พอใจของตน หวังว่าท่านผู้ฟังทุกคนคงจะเข้าใจเรื่องธรรมะเป็นสิ่งที่มีวิธีทำให้กลับมาดังว่ามานี้ แล้วพยายามเลิกเป็นทาสของวัตถุ โดยเกิดใหม่เป็นคนที่อยู่เหนือวัตถุ ไม่ยอมแพ้แก่วัตถุ แล้วก็มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ