แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายพุทธธรรมนำสุขในครั้งนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อที่ค่อนข้างจะประหลาดสำหรับท่านทั้งหลายสักหน่อย ขอให้ทำความเข้าใจ จนหายประหลาด ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป คือจะบรรยายโดยหัวข้อว่า อนัตตา อนัตตานี้ฟังดูเหมือนกับการสอนให้ฆ่าตัวตายเสียก่อนเร็วๆ คำสอนในพระพุทธศาสนาที่สูงสุดนั้นก็คือเรื่องอนัตตา สอนว่าไม่มีตัว ไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตน บรรดาสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่นั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรจะเรียกว่าตัวตน เป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา คือการปรุงแต่งตามธรรมชาติ หรือเรื่อยไป เรื่อยไป ทั้งทางกายและทางจิต มันรู้สึกคิดนึกได้ ทำอะไรได้ ก็เลยเข้าใจเอาเองว่ามันเป็นคน เป็นตัวเป็นตน ที่จริงมันเป็นเพียงการปรุงแต่งตามธรรมชาติ แต่มันก็ยังทำอย่างนั้นได้
พระพุทธเจ้าท่านมา ท่านตรัสสอนให้เห็นว่าทุกสิ่งเหล่านี้เป็นอนัตตา อย่าได้ถือว่าเป็นตัวตนเลย เพราะว่าถ้าถือว่าเป็นตัวตนแล้วมันก็จะหลงรักตัวตน เห็นแก่ตัวตน มันก็จะหนัก ด้วยการมีตัวตน แล้วมันก็จะเอาเปรียบผู้อื่น มันก็เกลียดผู้อื่น มันก็เห็นแก่ตัว เพราะว่ามันมีตัวตนของตน ท่านจึงสอนให้เห็นว่ามันเป็นอนัตตา แต่ก็ไม่ได้สอนว่าจงฆ่า ฆ่าตัวเองเสีย ดับชีวิตเสีย เพื่อจะได้เป็นอนัตตา ไอ้อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ มันก็ยังเป็นอัตตา เป็นความโง่เขลา ตายไปอย่างโง่เขลา อนัตตานี้ ต้อง เข้าถึงความไม่ตาย ไม่ใช่อนัตตาแล้วรีบฆ่าตัวเอง แล้วก็จะได้อนัตตา แต่เป็นความจริงอันหนึ่ง ซึ่งถ้าเข้าถึงแล้ว เห็นแล้ว จะกลายเป็นไม่ตาย คือไม่มีตัวตนสำหรับจะตายนั่นเอง
อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงสังขารปรุงแต่งตามธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีความหมายแห่งตัวตน ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตน นี่ฟังดูให้ดี อย่าเข้าใจว่าเป็นคำสอนเพ้อเจ้อ เป็นคำสอนของคนบ้าแล้วกระด้าง ก็ฉันรู้สึกอยู่ คิดนึกอยู่ ทำอะไรได้อยู่ จะว่าไม่ใช่ตัวตนอย่างไร นี่ดูให้ดีเถิดว่า มันไม่ใช่ตัวตน แต่มันทำอย่างนั้นได้ มันคิดนึกได้ อะไรได้ จนเรา จนจิตใจที่โง่ คิดว่าเป็นตัวตน
อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ แต่ทุกคนที่มีความทุกข์ ที่ยึดถือว่าตัวตน ตั้งใจจะพูด แม้แต่แม่ค้านั่งทอดขนมขายอยู่ที่ตลาดก็อยากจะรู้เรื่องนี้ คนถีบสามล้ออยู่ตามถนนก็อยากจะรู้เรื่องนี้ ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวนอะไรอยู่ก็อยากจะรู้เรื่องนี้ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่เป็นทุกข์ ในชั้นแรกนี้จะบอกว่าไอ้ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหลายมันมาจากความรู้สึกว่ามีตัวตน แต่ก่อน มันมีความรู้สึกว่ามีตัวตนก่อน แล้วมันเหน็ดเหนื่อย แล้วมันก็ กูเหนื่อย แล้วมันก็โกธร แล้วมันก็เป็นทุกข์ ถ้ามันอยากมีตัวกู มันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ แล้วมันก็จะไม่รู้สึกโกธรแค้น เมื่อเหน็ดเหนื่อย
รู้ว่าเรามีชีวิต ต้องทำหน้าที่รักษาชีวิตไว้ได้ และทำให้ชีวิตก้าวหน้าสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงจนสูงสุดคือบรรลุมรรคผลนิพพาน เราทั้งที่ไม่มีตัวตน แต่มันมีความรู้สึกของจิตใจ มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วมันก็เคลื่อนไหวไป อย่างว่ามันเป็นเกลอกัน ร่างกายนี้เหมือนกับคนแข็งแรงตาบอด จิตใจนี้เหมือนกับคนแคระเดินไม่ได้แต่ตาดี มันมาพบกันเข้า สองคนนี้รวมกำลังเป็นคนๆ เดียวกัน แล้วก็เดินไปได้ ทำอะไรไปได้ กายกับใจนี้ก็เหมือนกันแหละ ใจเหมือนคนตาดี แต่เป็นคนแคระเดินไม่ได้ ร่างกายนี้เหมือนคนแข็งแรง คนล่ำสัน แต่ตาบอด เอามารวมกันแล้วมันก็ ทำอะไรได้ กายกับใจ เป็นเพียงอย่างนี้ มันเป็นคู่เกลอ กายกับใจนี้ ธรรมชาติให้มันมาอย่างนี้ เพื่อให้มันมา ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ให้จิตใจมันฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น เพราะมันเกิดมาแล้ว มันบอกคืนไม่ได้ มันเกิดมาแล้วมันก็ต้องทำต่อไป ให้เจริญ ให้ดีถึงที่สุด
ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่จะรักษาชีวิต เราต้องทำอาชีพ อาชีพให้รอดชีวิตอยู่ได้ ถ้ามันเหนื่อย ก็รู้ว่าถูกแล้ว ดีแล้ว ถ้ามันมีเหงื่อออกมา ก็ให้เย็นเหมือนกับอาบน้ำมนต์ อย่าให้เป็นน้ำร้อนแล้วโกธรผี แช่งเทวดา ไปขโมยดีกว่า ไม่ทนทำงานอีกแล้ว นี่มันไม่รู้อะไรเป็นอะไร มันก็ไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามความจริงของธรรมะ
ที่จริงร่างกายจิตใจนี้มันเกิดมาแล้วโดยธรรมชาติ แม้ว่าเราไม่มี ไม่มีตัวตนที่ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันได้เกิดมาแล้วตามธรรมชาติ แล้วมันมีกายและมีใจคิดนึกได้ แล้วมันมาโง่เอาเองว่ามีตัวตน ก็รับเอาตามที่ไม่สมหวังต่างๆ มาเป็นความเสียหายของกู โกธรแค้นขัดใจเป็นทุกข์อยู่ ถ้ามองเห็นเสียว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นนั้นเอง อย่ามีความคิดผิดๆ แล้วก็มันก็ไม่เกิดกิเลส แล้วมันก็เย็น ชีวิตเย็น เรียกว่านิพพาน
นิพพานคือชีวิตเย็น แต่ไม่ใช่เย็นอย่างแช่น้ำแข็ง นั่นมันเย็นอีกความหมายหนึ่ง แต่นี่มันเย็นเพราะว่ามันไม่มีความร้อน เมื่อไม่มีความร้อนโดยเด็ดขาด มันเย็นในความหมายนี้ นี่เขาเรียกกันว่านิพพาน อย่าเกลียดนิพพาน อย่ากลัวนิพพาน อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ไอ้เรื่องไม่มีนิพพานแหละจะทำให้เป็นโรคประสาท เป็นบ้าในไม่กี่วัน เพราะว่าจิตใจมันไม่รู้จักเย็นเสียเลย หากจิตใจรู้จักหมดกิเลส เย็นกันเสียบ้าง แล้วก็ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นบ้า การที่ไม่รู้จักทำจิตใจเย็นเสียเลย ไม่เท่าไหร่ก็เป็นบ้า เที่ยวหาความสุขไม่ได้ เกิดมาแล้วบอกคืนไม่ได้นะ ใครจะปฏิเสธการเกิดนี้ มันปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว มันก็ต้องทำต่อไป ทำต่อไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือทำต่อไปจนพบเย็น เย็นเพราะไม่มีกิเลส ไม่มีความโง่แห่งตัวตน ยึดถือเป็นของตัวตน มันก็เกิดปัญหามากขึ้น มากขึ้น มันเป็นความไม่รู้จักตัวเอง มันก็ยึดถือเอาเป็นเรื่องยินดียินร้าย เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องแพ้เรื่องชนะ เรื่องขาดทุนเรื่องกำไร เรื่องต่างๆ ที่ทรมานจิตใจทั้งนั้นแหละ ก็อย่าไปรับเอามาเป็นความหมายอย่างนั้น เพื่อจะไม่ทรมานจิตใจ รู้แต่ว่าทำอย่างไรไม่เป็นทุกข์ ก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน จิตใจนั้นเป็นผู้รู้ ไม่ต้องมีตัวตนบุคคลใดที่ไหนมา จิตใจเป็นผู้รู้ แล้วก็ทำชนิดที่ไม่เกิดความทุกข์แก่ร่างกายและจิตใจ เกลอทั้งคู่นี้ คือทั้งกายและใจนี้มันก็ไม่มีความทุกข์
ขอให้เรามีหลักเกณฑ์ของความมีชีวิตที่ฉลาดถึงขนาดนี้เถิด ก็เรียกว่าศิลปะที่เป็นยอดศิลปะของการเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์อย่างมีศิลปะ เป็นศิลปะของชีวิต มีชีวิตเย็น ถ้าเรามีศิลปะชนิดนี้ได้ เราก็จะมีชีวิตเย็น เย็นที่กายกับใจก็พอแล้ว อย่าเอาตัวกูของกู ซึ่งเป็นของหลอกลวงมายาไม่มีตัวจริงออกมาเลย เมื่อกายเย็นใจเย็น มันก็อยู่ได้แล้ว อย่างเป็นผาสุก เย็นก่อนตายด้วย เย็นก่อนตายเข้าโลง นี่เรียกว่ามีนิพพานก่อนตายเข้าโลง คือมีความเย็นก่อนตายเข้าโลง ตายเข้าโลงแล้วจะไปเย็นที่ไหน เป็นเรื่องละเมอเพ้อฝัน ไม่ถูก มันต้องเย็นกันที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชีวิตนี้ ในอัตภาพนี้ แล้วเย็นไปจนตลอดชีวิต จนนาทีสุดท้าย มันก็พอแล้ว เรียกว่าเย็นก่อนตายสบายเหลือ ตายแล้วจะสบายอะไร แต่ก็เย็นเสียก่อนตายแล้วสบายเหลือ เย็นจนตลอดชีวิต เพราะไม่มีความคิดผิดๆ ว่ามีตัวตน มีของตนสำหรับจะยึดมั่นเอาเป็นตัวตนของกันอย่างเคร่งเครียด อย่างเหนียวแน่น และมีความรัก ความโกธร ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์เพิ่มขึ้นอย่างเข้มข้น อย่างเหนียวแน่น ก็ล้วนแต่เป็นความทุกข์อย่างเข้มข้น อย่างเหนียวแน่น ด้วยกันทั้งนั้น
นี่พุทธศาสนาสอนให้มีจิตใจที่ฉลาด เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยของมัน อย่ามีตัวกู อย่ามีของกู ความรู้สึกที่คิดนึกว่าตัวกูของกูนี้เป็นความคิดผิด เข้าใจผิด เรียกว่าบ้าก็ได้ คือมันเป็นบ้าขึ้นมาเป็นคราวๆ มีตัวกูของกูเดือดพล่านอยู่ แล้วก็เล่นงานตัวเอง สมน้ำหน้ามัน ทำตัวเองให้เป็นทุกข์ร้อนเหมือนกับอยู่ในกองไฟ ต้องเรียกว่าสมน้ำหน้ามัน แล้วนอกจากนั้นมันก็ทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงพลอยเดือดร้อนตามไปด้วย นี่เรียกตัวกู นี่ถ้ามันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่แล้ว ก็ทำให้ทุกฝ่ายแหละเดือดร้อน ตัวเองก็เป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ อย่างนี้เขาเรียกว่ามันเบียดเบียนทั้งตัวเอง และเบียดเบียนทั้งผู้อื่น เมื่อมันเบียดเบียนตัวเองได้แล้วจะไม่ให้เรียกว่ามันเป็นความโง่อย่างที่สุด แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร มันโง่ถึงกับเบียดเบียนตัวเองได้ ก็ต้องเรียกว่ามันเป็นความโง่อย่างที่สุด ไม่มีความเบียดเบียนใดเสมอเหมือน
เพราะฉะนั้น ใครทำให้ตัวเองมีความทุกข์ คนนั้นเป็นคนใช้ไม่ได้อย่างยิ่ง ไม่เรียกว่าเป็นมนุษย์เสียดีกว่า ไม่เรียกว่าเป็นพุทธบริษัทเอาเสียเลย ถ้าเป็นพุทธบริษัท ต้องไม่ทำตัวเองให้เป็นทุกข์ หรือแม้แต่จะเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์มีจิตใจสูง ก็อย่าทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ถ้าทำตัวเองเป็นทุกข์ ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ เป็นเพียงคน สัตว์คน ไม่ใช่สัตว์มนุษย์ ถ้าสัตว์มนุษย์มันสูงกว่าสัตว์คน มันก็รู้จักทำไม่ให้ตัวเองเป็นทุกข์ นี่เพราะว่าสัตว์มนุษย์มีจิตใจสูง มนุษย์แปลว่าจิตใจมันสูง เพราะมันสูงมันจึงมองเห็น เพราะมองเห็นมันจึงเห็นว่า โอ้, ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงการปรุงแต่งของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา มันเป็นอย่างนี้เอง เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี ตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย จนเกิดโลกนี้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จักรวาลนี้เกิดขึ้นมา แล้วก็ในโลกนี้ก็มีคนมีสัตว์มีอะไรเกิดขึ้นมา ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา เป็นมาตามกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่มีตัวตน ซึ่งจะทำอะไรได้ตามชอบใจ หรือตามแห่งเจตนาของใคร ที่มันติดต่อ มันตกลงกัน มันสมยอมกัน อย่างนี้ก็ไม่มี นี่เรียกว่าไม่มีตัวตนเป็นของตน มีแต่กายกับใจที่ปรุงแต่งกันไปตามกฎธรรมชาติ ถ้าเผลอหรือโง่ไปก็คิดเอาว่ามีตัวตน แล้วก็ต้องทุกข์ทรมานเพราะมีตัวตน เพราะมันหนักด้วยความมีตัวตน มันเป็นทาสของกิเลส ที่ยึดถือว่าตัวตน มันก็ต้องสนองกิเลส มันก็ต้องเป็นทุกข์เท่านั้นแหละ ถ้ามีการสนองกิเลสเมื่อใด มันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น
นี่พุทธศาสนาสอนว่าไม่มีตัวตน ก็เพื่ออย่าให้ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้นใครอยากสนองหลักการอันนี้ด้วยการฆ่าตัวตาย มันบ้าหนักขึ้นไปอีก เพราะว่าฆ่าตัวตายมันก็ไม่หมดตัวตน มันตายคาตน ตายคาตัวตน มีตัวตนอยู่ในการตาย ไม่ดับตัวตน นี่จะเป็นยอดมิจฉาทิฏฐิอันลึกซึ้งไปเสียอีก การฆ่าตัวตายโดยคิดว่าจะทำให้หมดตัวตนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิสูงสุดหนักขึ้นไปอีก มิจฉาทิฏฐิว่าตัวตนนี้มันก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ยิ่งไปฆ่าชีวิต ทำลายชีวิตไปหมดตัวตนนี้มันยิ่งมิจฉาทิฏฐิหนักขึ้นไปอีก มันควรจะทำความเข้าใจกันเสียใหม่ ให้จิตใจว่าง จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนในสิ่งใดๆ แล้วก็อยู่ด้วยความเป็นอิสระ หรือความว่างจากของหนัก ไม่ยึดถือของหนัก ไม่มีไฟอะไรมาสุมเผาให้เร่าร้อน ไม่มีอะไรมาครอบงำหุ้มห่อ นี่เรียกว่าพุทธธรรมนำสุข
พุทธธรรมในที่นี่ คือการเห็นแจ้งชัดว่ามีแต่ธรรมชาติปรุงแต่งกันไป ไม่มีตัวตน พุทธธรรม ธรรมะของพุทธะ ของผู้รู้ รู้ว่าไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมชาติปรุงแต่งกันไปตามธรรมชาติ ไม่มีตัวตน พุทธธรรมนี้ทำให้ไม่มีกิเลส ไม่ให้มีความทุกข์ ไม่มีความร้อนใดๆ เรียกว่าพุทธธรรมนำสุข สมชื่อสมนามแล้ว หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่ได้สดับตรับฟังคำบรรยายนี้ จงได้สามารถถือเอาประโยชน์เนื้อหาสาระแห่งธรรมะนี้ ว่าระงับความคิด ว่าตัวว่าตนนั้นเสียเถิด ให้เหลือแต่กายกับใจที่บริสุทธิ์ ปรุงแต่งกันไปในหน้าที่ที่ควรจะทำแล้ว จะได้เป็นผู้มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอให้ความหวังอันนี้ มีผลสำเร็จให้ท่านทั้งหลายมีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ