แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายพุทธธรรมนำสุขในครั้งนี้ อาตมาก็กล่าวในหัวข้อที่ออกจะแปลกสำหรับท่านทั้งหลายบ้างเป็นธรรมดา คือจะกล่าวโดยหัวข้อว่า เราอยู่เหนือโลกได้ เราอยู่เหนือโลกได้ คนที่ฟังไม่ออก ไม่เข้าใจมันก็จะรู้สึกว่าเป็นคำพูด บ้าๆ บอๆ อะไรซะมากกว่าที่จะเป็นเรื่องธรรมมะ แล้วเขาก็จะด่าผู้พูดให้ด้วยซ้ำไป อาตมาก็เคยถูกมาแล้ว แต่ในที่นี้ขอร้องว่าอย่าเพ่อหมดกำลังใจ อย่าเพ่อหมดกำลังใจ อย่าเพ่อปฏิเสธ หรืออย่าเห็นเป็นเรื่องบ้า
ที่ว่าเราอยู่เหนือโลกนั้น หมายความว่าถ้าว่าเราอยู่ใต้โลกแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าทุกอย่างในโลกมันทับถมอยู่บนเรา ทับถมอยู่บนจิตใจของเรา รบกวนเรา แล้วเราจะเป็นอย่างไรถ้าเราอยู่ใต้โลก ถ้าเราอยู่เหนือโลกแล้วจะเป็นอย่างไร ลองคิดกันอย่างนี้ไว้เป็นคร่าวๆ อย่างคร่าวๆ ก่อน
พุทธศาสนานั้นมีวิมุติ คือความหลุดพ้น ไม่มีอะไรบีบคั้นรบกวน นั่นแหละเป็นที่มุ่งหมาย มีอานิสงค์ที่มุ่งหมายคือ วิมุติหลุดพ้น เป็นที่มุ่งหมายของความเป็นพุทธบริษัท ถ้าไม่เอาความมุ่งหมายของพุทธบริษัทแล้วจะเอาอะไร ถ้ายังไม่เข้าใจก็ศึกษากันต่อไปว่าเราจะอยู่เหนือโลกได้อย่างไร
คำว่าโลก หรือสิ่งที่เรียกว่าโลก ก็คือสิ่งที่เข้ามารบกวนจิตใจของเราทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ อะไรเข้ามาสู่เรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้นั่นแหละ คือ โลก มันจะมีเท่าไรก็สุดแท้ มันรู้สึกกันได้เพียง ๖ อย่างนี้เท่านั้น ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกนี้ก็เท่ากับไม่มี ท่านลองคิดดูกันข้อนี้ก่อนว่า ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไร ไม่ได้กลิ่นอะไร ไม่รู้รสอะไร ไม่มีสัมผัสอะไร คิดนึกอะไรก็ไม่ได้ มันก็เท่ากับไม่มี มันก็เท่ากับไม่มี นี่ขอให้ดูให้ดีว่า ไอ้โลก โลกมันมีความหมายเท่านี้ คือเท่าที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันไม่เข้ามาเปล่า มันเข้ามาทำให้เกิดปัญหา เข้ามาบีบคั้นจิตใจ บีบคั้นอย่างไร บีบคั้นตรงที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย พูดง่ายๆ คือให้เกิดความรัก หรือความเกลียด มันมีเท่านั้นแหละ ให้เกิดความชอบใจ หรือไม่ชอบใจ ถ้าว่ามันชอบใจ รักมันก็เกิดกิเลสประเภทความรัก เป็นโลภะ ราคะ เป็นต้น ถ้ามันไม่ถูกใจ มันเข้ามาอย่างไม่ถูกใจ ก็ให้เกิดกิเลสประเภท โทสะ โกธะ เป็นต้น นี่เรียกว่ามันเข้ามาทำให้เกิดเรื่อง ทำให้เกิดปัญหา ทำให้จิตใจนี้มันวุ่นวาย นี่แหละคือโลก ถ้าพูดกันให้ตรงๆ ขออภัยพูดหยาบคายหน่อยก็ว่า มันคือสิ่งที่เข้ามาทำให้เราเป็นบ้า นี่บ้าจริงแหละทีนี้ สิ่งต่างๆ เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ และทำให้จิตใจเป็นบ้า นี่ก็คือ บ้าจริง ทีนี้คำพูดแปลกๆ ทำให้เป็นบ้า เพราะเราไม่เข้าใจนั้น ไม่ ไม่บ้า อย่ากลัว แต่ที่มันเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าไปในจิตใจ ทำให้ยินดียินร้าย นั่นแหละคือทำให้บ้า บ้าอยู่ในความยินดียินร้าย
อาตมาขอร้องให้เห็นชัดในข้อนี้กันเสียก่อน เห็นชัดอย่างที่เรียกว่า สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก จนเห็นว่าเราอยู่กันอย่างนี้ เป็นอยู่กันอย่างนี้ คืออย่างที่ไม่เห็นอะไรตามที่เป็นจริง อะไรมาให้รัก ให้อร่อยก็หลงใหลไปเลย อะไรมาให้โกรธให้เกลียดก็เกิดเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมาเลย เรียกว่าทุกสิ่งนี้มันเข้ามาทำให้เกิดอาการวิปริตต่างๆ กัน มันเข้ามาทำให้รัก เข้ามาทำให้เกลียด เข้ามาทำให้โกรธ เข้ามาทำให้กลัว เข้ามาทำให้วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ เข้ามาทำให้เกิดความนึกคิดอิจฉาริษยา หึงหวง เห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ในที่สุดก็นำไปสู่ปัญหามากมายหลายประการ คือตัวเองก็เป็นทุกข์ ควบคุมไว้ไม่ได้ ก็ทำผู้อื่นให้พลอยเป็นทุกข์ ดูให้ดีๆ ว่าไอ้ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยานี้ มันเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างนี้ นี่ก็เพราะว่าเรามันอยู่ใต้โลก ฟังให้ดีๆ เรามันอยู่ใต้โลก ใต้อารมณ์ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บีบคั้นทำกันอย่างนี้ ถ้าเราอยู่เหนือโลก ก็หมายความว่ามันไม่อาจจะเข้ามาบีบคั้นให้เราเป็นอย่างนี้ คือมันไม่อาจจะบีบคั้นเราได้ เพราะเรามีอำนาจอยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้
คำว่าอยู่เหนือโลก เหนือโลกก็คือ เราอยู่เหนือการบีบบังคับของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก ที่เข้ามาบีบบังคับจิตใจเรา ไม่ต้องคิดอย่างเด็กๆ คิดว่าต้องขึ้นไปสูง ขึ้นไปโดยอวกาศยานแล้วก็อยู่เหนือโลก อย่างนั้นไม่เหนือโลกหรอก เพราะจิตใจมันยังมีอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจยังมีอยู่มันยังรับอารมณ์อย่างเดิม แม้มันจะไปอยู่ที่โลกพระจันทร์โลกพระอังคาร มันก็ยังถูกบีบคั้นอยู่ด้วยเรื่องของโลกอยู่ตามเดิม ไม่ใช่เหนือโลก แต่ว่านั่งอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ที่นี่ ก็รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดีๆ อย่าให้อะไรที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นมาบีบคั้นจิตใจของเรา มากดทับจิตใจของเรา มาเผาลนครอบงำจิตใจของเรา นี่เรียกว่าอยู่เหนือโลก คือทุกสิ่งในโลกไม่ครอบงำจิตใจเราได้ นี่เรียกว่าอยู่เหนือโลก
ท่านลองพิจารณาดูให้ดีว่า อยู่ใต้โลกนั้นเป็นอย่างไร มัวรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์อยู่เสมอไม่เท่าไรก็นอนไม่หลับ ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาท ให้ละอายแมว ขอฝากคำนี้ไว้ด้วยแก่ท่านทั้งหลายทุกคน ว่าอย่าได้เป็นโรคประสาท ให้ละอายแมวเลย เพราะว่าเป็นโรคประสาทหนักเข้าๆ มันก็จะเป็นบ้า เป็นโรคจิตและเป็นบ้า สูญเสียอะไรหมด เสียเกียรติยศของความเป็นมนุษย์ เป็นบ้าจนละอายแมว เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลประสาท หรือโรงพยาบาลโรคจิตนี่เพิ่มขึ้นๆ ก็ปรากฏว่ายังไม่พอ ยังไม่พอที่จะรับคนป่วยประเภทนี้ เพราะว่าคนในโลกทุกวันนี้ มันจมอยู่ใต้โลกมากขึ้น มันไม่รู้จักอยู่เหนือโลกเสียเลย จึงมีโรคจิตโรคประสาทเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มโรงพยาบาลประเภทนี้ จนรัฐบาลไม่มีเงินจะสร้างเพิ่มอยู่แล้ว ขอให้สนใจกันให้ดีๆ เราไม่เคยเห็นแมวเป็นโรคประสาทโรคจิตอย่างนี้เหมือนคน เพราะว่ามันไม่วิตกกังวล เพราะว่ามันไม่มีความรัก โกรธ เกลียด กลัว เหมือนคน เพราะมันไม่ต้อนรับอารมณ์อย่างโง่เขลาเหมือนคน คนรับอารมณ์เข้ามาอย่างโง่เขลาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจด้วยความโง่เขลา มันก็เข้ามาบีบคั้นให้ยินดียินร้าย ให้กระโดดโลดเต้นอยู่เหมือนกับลิงเมาเหล้า นี่ขอสมมติอย่างนี้ทีว่าเหมือนกับลิงเมาเหล้ากระโดดโลดเต้นอยู่ เพราะความยินดียินร้าย คนเราจึงเป็นโรคประสาทกันมากมาย จนอยู่ในฐานะที่เรียกว่า น่าละอายแมว ซึ่งไม่รู้จักเป็น
สรุปความว่า ที่ว่าอยู่เหนือโลก อยู่เหนือโลกนั้น คืออยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่จะเข้ามาทำให้เราเป็นบ้า ก็พูดแล้วว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่จะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี้เข้ามาเพื่อทำให้เราเป็นบ้า บ้ายินดียินร้าย แล้วก็รัก โกรธ เกลียด กลัว อาลัยอาวรณ์ วิตกกังวล จนเป็นประสาท จนเป็นโรคจิต จนเป็นบ้า นี่เราจงอยู่เหนือความครอบงำของสิ่งเหล่านี้ เหนืออิทธิพลของสิ่งเหล่านี้ นั่นแหละเรียกว่าเราอยู่เหนือโลก
ครั้นมีจิตใจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้นั่นแหละคือ พุทธธรรมนำสุข อาการที่อยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้ทุกอย่างในโลกนั่นแหละเรียกว่า ตั้งอยู่ในพุทธธรรม แล้วพุทธธรรมก็นำสุขมา คือให้เราไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเข้ามาทำให้เราเป็นบ้าเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นภูตผีปีศาจอะไรไป ขอใช้คำตรงๆ ค่อนข้างจะหยาบคาย เพราะว่ามันฟังง่ายดี มันรวบรัดดีว่า มันเข้ามาทำให้เราเป็นบ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ในจิตใจสั่นระรัว ยินดียินร้าย มีอาการเหมือนกับยักษ์กับมาร ภูตผีปีศาจอะไรชนิดหนึ่ง หาความสงบไม่ได้
นี่ขอให้เราชนะทุกสิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คงมีจิตใจเป็นปรกติ ไม่มีความทุกข์เลย ก็จะมีผลตามความหมายว่า พุทธธรรมนำสุข หรือ มีความสุขเมื่อมีพุทธธรรม ขอให้สนใจพุทธธรรมว่ามีอยู่อย่างนี้ หรืออย่าให้มีอะไรมาครอบงำจิตใจได้ และเกิดความสุข สงบ เยือกเย็น เป็นนิพพาน แม้ชั่วขณะก็ยังดีกว่าที่จะไม่มีเสียเลย ให้จิตใจมันเยือกเย็นเป็นนิพพาน เพราะไม่มีความร้อนของกิเลสเผาผลาญ มันก็เยือกเย็นเป็นนิพพานอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อใดไม่มีกิเลส เมื่อนั้นเย็นเป็นนิพพาน นี่ยืนยันได้อย่างนี้ แม้ชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ให้บ่อยเข้าๆ แล้วมันก็ยาวไปเอง ก็จะได้นิพพานเต็มตามความหมาย หวังว่าท่านทั้งหลายนั้นจะใช้รายการพุทธธรรมนำสุขนี้ ให้เป็นประโยชน์เพื่อการอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งต่างๆ ในโลกแล้ว มีความสุขอยู่ได้ด้วยกันทุกคน ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ