แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายชุด พุทธธรรมนำสุขในวันนี้ อาตมาจะต้องกล่าวด้วยถ้อยคำที่ออกจะแปลกหูแก่ท่านทั้งหลายอยู่บ้าง ก็ต้องขอให้ทนทำความเข้าใจกันหน่อย ไอ้คำที่ว่านั่นคือคำว่า อมตะธรรม แปลว่า ธรรมที่ไม่ตาย หรือธรรมที่ทำความไม่ตาย เรียกว่า อมตะธรรม มีได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา คำนี้ยิ่งจะแปลกหูเป็นภาษาอินเดียโดยตรง เดี๋ยวก็จะพูดกันให้รู้เรื่อง อมตะธรรม อมตะธรรม คำนี้แปลว่า ธรรมที่ทำความไม่ตาย ถ้าใครได้มีได้รับแล้วคนนั้นก็ไม่ตาย ท่านพูดอย่างนั้น แต่ตามความจริงนั้น หมายความว่าทำให้ความตายไม่มีความหมาย ทำให้ความตายไม่มีอิทธิพลเหนือท่าน ทำให้ท่านไม่ต้องกลัวความตาย จึงเท่ากับว่าความตายนั้นไม่มี คือไม่มีอิทธิพลเหนือท่าน ก็คือความตายไม่มี ที่จริงแม้ว่าร่างกายมันจะต้องแตกตายไปตามธรรมชาติแต่ความตายนั้นไม่เป็นภัยคุกคามแก่ท่าน ท่านไม่ต้องมีความทุกข์กับความตาย จึงเรียกว่า ไม่ตาย มันก็คือ สบาย ไม่มีปัญหาทุกข์ร้อนอะไรเกี่ยวกับความตาย นั่นคือว่า อิทัปปัจจยตานั่น มันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น เห็นอิทัปปัจจยตา คือเห็นสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง สิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง ปรุงแต่งกันไปตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง ไม่มีบุคคลตัวตน ไม่มีบุคคลตัวตนแล้วใครมันจะตาย ไม่มีใครอยู่ไม่มีใครตาย ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความทุกข์ทั้งปวง คือเราต้องเข้าใจให้ได้ ไม่เหลือวิสัย ถ้าไม่สนใจก็จะทำให้ธรรมะ เป็นหมันไป
เรื่องที่จะกล่าวก็คือว่า เราสอนกันท่องกันสวดร้องกันว่า เรามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ บางคนเมื่อพูดว่า มีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ก็ร้องไห้โฮๆ ฮือๆ นี่คือความทุกข์ ถ้าว่าเราจะทำให้ไม่มีปัญหาแก่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องทุกข์ร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะดีสักเท่าไร เราลองคิดดู ที่จริงเราศึกษาท่อนเดียวครึ่งเดียว ศึกษาแต่ว่า เรามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ในส่วนพระพุทธเจ้านั้นท่านตรัสว่าถ้าได้อาศัยตถาคตเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ผู้มีความเกิดจะพ้นจากความเกิด ผู้มีความแก่จะพ้นจากความแก่ ผู้มีความเจ็บจะพ้นจากความเจ็บ ผู้มีความตายจะพ้นจากความตาย ท่านว่าอยู่อย่างนี้ แล้วเราไม่เอามาสวดร้องท่องบ่น ไม่เอามาศึกษา ศึกษาท่อนเดียวว่า เรามีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แล้วก็มานั่งร้องไห้ฮือๆ โฮๆ อยู่มันก็น่าสงสาร
ถ้าเราจะไม่ยอมแพ้ จะเอาชนะ ความเกิดแก่เจ็บตายได้ ถ้าเราจะไม่ยอมแพ้ แล้วก็จะต้องทำพระพุทธองค์ให้เป็นกัลยาณมิตรของเราให้ได้ การทำพระพุทธองค์ให้เป็นกัลยาณมิตรนั้นก็คือ ศึกษาเรื่อง อิทัปปัจจยตา รู้จักอมตะธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ ก็คือรู้ว่าไม่มีตัวตน ทุกสิ่งเป็นเพียงอิทัปปัจจยตา คือมีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็เป็นไปตามปัจจัย ก็โดยบทที่ว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ดังนี้เรื่อยไปเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวตน ดังที่เรียกว่า อมตะธรรม ผู้ใดเห็นแล้ว มันก็เห็นว่า สิ่งทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น พร้อมทั้งความดับแห่งธรรมเหล่านั้นด้วย มันมีแต่สิ่งที่เกิดดับไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ที่ไหน เรียกว่า กฎของอิทัปปัจจยตา ที่ครอบคลุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอยู่
ถ้าหากว่าใช้กฎนี้กับทุกสิ่ง คือมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตา คือถ้าใช้เฉพาะกับสิ่งที่มีชีวิต รู้สึกสุข ทุกข์ได้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท คือถ้าเรียกกันให้เต็มที่หรือเต็มยศก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาคือแสดงอยู่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่แล้วเราก็มาสมมติกระแสแห่งอิทัปปัจจยตานั้นตามความรู้สึกของสัตว์เอง ด้วยอวิชชาว่ามีสัตว์มีบุคคล แล้วก็มีบุคคลเกิด บุคคลแก่ บุคคลเจ็บ บุคคลตาย และสมมติทุกอย่างเป็นเรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องขาดทุน เรื่องกำไร เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป จนกระทั่งว่าเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งแปลกประหลาด อย่างนี้เป็นต้น มันก็มีขึ้นมาสำหรับจะยึดถือ แล้วก็มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายแห่งบุคคล ที่จริงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ตามที่เรามาสมมติหรือที่เรียกว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย การได้ การได้ การเสีย ขาดทุน กำไร
ทีนี้ ถ้าเห็นสิ่งนี้ว่ามันเป็นความจริงอย่างนี้ มันก็หมดความรู้สึกว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคล ความเป็นอย่างนั้น มันเป็นตามธรรมชาติ ความเกิดก็เป็นอย่างนั้นเอง ความแก่ก็เป็นอย่างนั้นเอง ความเจ็บก็เป็นอย่างนั้นเอง ความตายก็เป็นอย่างนั้นเอง มีชีวิตอยู่ก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง กลับมาเกิดอีกก็เช่นนั้นเอง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไร นอกจากความเป็นเช่นนั้นเอง ดังนั้นผู้ใดเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้นั้นเห็นสิ่งสูงสุดที่เป็นอมตะธรรม ทำให้ไม่มีความตาย ผู้ใดเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้นั้นเรียกว่า ตถาคต ตถาคต หมายถึงเป็นพระอรหันต์ กระทั่งเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ตถา แปลว่าอย่างนั้น คตะแปลว่า ถึง ตถาคตะ หรือ ตถาคต ก็ถึงความเป็นอย่างนั้น คือรู้ความเป็นอย่างนั้นเอง บุคคลเช่นนี้ไม่มีตัวตนของตน หรือของใคร สำหรับจะตาย มันก็เลยอยู่เหนือความตาย ไม่รู้สึกว่าตาย เป็นต้น มันก็รวมทั้งไม่มีความเกิด ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความตาย ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย ไม่มีการขาดทุน ไม่มีการกำไร ไม่มีการอยู่ ไม่มีการไป ไม่มีการตาย ไม่มีอะไรทุกอย่าง นี่เรียกว่าเป็นอมตธรรม
ถ้ามองเห็นเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงแม้ร่างกายจะตาย ก็ไม่มีความหมาย ถึงใครๆ จะตาย ก็ไม่มีความหมาย ก็เพราะเห็นเป็นเช่นนั้นเองไปเสียหมด นี่เรียกว่าทำให้ ไอ้สิ่งที่เราสมมติเรียกกันว่า ความตายนั้นมันไม่มีความหมาย ไม่มีอิทธิพลใดๆ ที่จะครอบงำจิตใจของผู้ใดให้เป็นทุกข์ ขอให้เข้าใจเสียให้ถูกต้องว่า ที่เราไม่ ไม่ตาย หมายความว่า ทำให้ความตายไม่มีความหมาย ไม่มีอิทธิพลเหนือเรา เหนือจิตใจของเรา ก็เท่ากับว่ามันไม่มีความตาย เมื่อไม่มีความตายก็เท่ากับว่ามันไม่ตาย ได้ผลอย่างเดียวกัน คือไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา ไม่มีความเดือดร้อนอันเกี่ยวกับความตาย นี่แหละเรียกว่า อมตะธรรม ใครถึงเข้าแล้ว ผู้นั้นก็จะไม่มีความทุกข์เกี่ยวกับความตาย ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความตาย ถ้าใครเข้าไม่ถึงก็มีปัญหา ก็มีความทุกข์ ก็เป็นความโศกเศร้าใหญ่หลวง นั่งร้องไห้โฮๆ อยู่ เพราะคนนั้นตาย เพราะคนนี้ตาย หรือว่าตัวเองมันจะต้องตาย คนที่กลัวตายก็มีความทุกข์อย่างยิ่ง ถ้าจิตใจไม่รู้สึกอย่างนี้ มันก็ไม่มีความทุกข์ไม่ว่าจะต้องตายเองหรือคนที่ที่รักที่พอใจจะตาย
สรุปความสั้นๆ ว่า ไอ้ความตายนั้น ไม่มีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจของบุคคลผู้เห็นธรรมมะนี้ คือเห็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกเป็นบาลีว่า อิทัปปัจจยตา เห็น อิทัปปัจจยตา แล้วก็ไม่มีใครจะตาย ไม่มีใครจะอยู่ ไม่มีภาวะอย่างไรตามที่สมมติกันในโลกนี้ เขาอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เหนือสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์ร้อนทั้งปวง เป็นความสุขอันสูงสุดที่เรียกว่า พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ฟังดูแล้วก็เหมือนกับพูดเล่น บางคนจะกำลังคิดว่าพูดเล่นที่ว่ามันเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรนอกจากเช่นนั้นเอง ฟังดูคล้ายกับพูดเล่น แต่ที่จริงมันเป็นความจริงสูงสุด เด็ดขาดที่สุด ไม่มีความจริงอะไรจะยิ่งไปกว่านี้ คือการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา คือความเป็นเช่นนั้นเอง
บางคนจะคิดว่าทำยาก ทำยาก ทำไม่ไหว ทำไม่ได้ ก็เลยไม่สนใจ เอ้า, ก็นั่งร้องไห้ไปก็แล้วกัน ถ้าไม่สนใจเรื่องที่จะทำให้อยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ ก็นั่งร้องไห้ไปก็แล้วกัน ถ้าใครไม่อยากร้องไห้ ไม่มีความทุกข์ ก็ศึกษาเรื่องความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง อย่าให้ต้องมามีความหมายสำหรับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความได้ ความเสีย ความดี ความชั่ว กำไร ขาดทุน แปลกประหลาดหรือไม่แปลกประหลาด ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่ทำให้จิตใจหวั่นไหวเต้นรัวไปในความทุกข์ เมื่อไม่มีความทุกข์ก็หมดปัญหา
นี่เรียกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา สามารถทำให้ดับทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่เกิดมาจากธรรมชาติที่มันเป็นเช่นนั้นเอง หรือความทุกข์ที่เกิดมาจากบุคคลเค้ากลั่นแกล้ง มันก็เช่นนั้นเอง เป็นอันว่าเอาคาถาเช่นนั้นเองมาขับไล่ปัญหาออกไปเสียให้หมดไม่มีเหลือ พระเครื่องที่แขวนไว้ที่คอนั้น มันจารึกคำว่า ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง เอาไว้เถอะดีกว่าจะจารึกอะไรหมด จะได้เตือนสติไว้ให้ระลึกถึงว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ทำให้มี อมตะธรรม ธรรมที่ทำความไม่ตาย ที่เขาปรารถนากันนักในสมัยพุทธกาล แล้วก็ทำสำเร็จได้
หวังว่าพวกเราทั้งหลายคงจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ อาศัยพุทธธรรมนี้ คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลนี้ ระงับความทุกข์กังวลเสีย เพื่อสมกับคำว่า พุทธธรรมนำสุข เช่นนั้นเองคือยอดของพุทธธรรมนำความทุกข์ออกไปจนหมดสิ้น ทำให้เกิดความสุขขึ้นมาแทน หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะประสบความสำเร็จในการดำรงตน เพื่อมีอมตะธรรมอยู่ประจำใจแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ