แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย รายการพุทธธรรมนำสุข ได้เวียนมาถึงเข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ขอให้เราต้อนรับรายการนี้ชนิดที่สำเร็จประโยชน์แก่เราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ คือขอให้พุทธธรรมนำสุขมาได้จริง ๆ ข้อนี้จะเป็นไปได้ ก็เพราะการกระทำของเราทั้งหลาย คนอื่นไม่ช่วยมาทำให้ได้ ถ้าพูดอย่างชาวพุทธก็ว่า ต้องเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เราต้องทำให้แก่ตัวเราเอง ให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ของ อิทัปปัจจยตา แห่งปัจจุบัน อิทัปปัจจยตาที่จะต้องประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันอย่างไร ต้องทำให้เต็มที่ แล้วก็จะเกิดผลขึ้นมาตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตานั้น สมตามความมุ่งหมายทุกประการ
เดี๋ยวนี้เรามีอิทัปปัจจยตาในข้อที่ว่า จะต้องประพฤติกระทำให้พุทธธรรมนำความสุขมาให้จนได้ ข้อนี้มันอยู่ที่การปรับปรุงชีวิตของเราให้ถูกต้อง ให้เป็นชีวิตที่ถูกต้อง พูดอย่างนี้ก็พอ สำหรับคำพูด แต่ไม่พอ สำหรับจะเข้าใจ คำว่า ชีวิตถูกต้อง มันก็ต้องเป็นชีวิตที่ เย็น สงบสุข เยือกเย็น ไม่มีปัญหา ไม่มีความรู้สึกทนทรมาน นี้เรียกว่า ชีวิตเย็น อีกอย่างหนึ่งตรงกันข้ามคือ ชีวิตร้อน อยู่ด้วยความทนทรมาน เหมือนกับว่านั่งอยู่ในกองไฟ ขอให้จำไว้ในฐานะเป็นข้าศึกต่อกันว่า อย่างหนึ่ง เป็นชีวิตร้อน อย่างหนึ่ง เป็นชีวิตเย็น ถ้าพุทธธรรมนำสุขมาได้จริง ชีวิตนี้จะเป็นของเย็น เป็นชีวิตเย็น เย็นอกเย็นใจเย็นไปทุกอย่าง ตัวเองเย็นและก็ไม่ทำให้ผู้อื่นร้อน ทำให้ผู้อื่นพลอยเย็นไปด้วยได้ นี่เรียกว่าชีวิตเย็น
สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ๆ นี้ มันมีความหมายพิสดาร ลึกลับซับซ้อน เราจะตัดบทเอามาสั้น ๆ แต่เพียงว่าชีวิตนี้คือ จิตชนิดที่กำลังประกอบอยู่ด้วยคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๒ อย่าง คือว่าประกอบอยู่ด้วยกิเลสหรือว่าประกอบอยู่ด้วยโพธิ มันมี ๒ อย่าง เท่านั้น กิเลสคือความผิด ความชั่ว ความเศร้าหมอง ความมืดมน นี้เรียกว่ากิเลส โพธินั้นตรงกันข้าม คือความสว่างไสว ความรู้แจ้ง ความรุ่งเรืองด้วยปัญญา ความเป็นปกติสุข ถ้าจิตประกอบไปด้วยกิเลส ชีวิตนี้ก็เป็นของร้อน ถ้าจิตประกอบอยู่ด้วยโพธิ ชีวิตนี้ก็เป็นของเย็น ท่านทั้งหลายชอบไปที่ต้นโพธิ์ ไปไหว้ที่ต้นโพธิ์ ไปบูชาที่ต้นโพธิ์ เอาไม้ค้ำโพธิ์เก็บใบโพธิ์ มาไว้บูชา นั่นนะ ระวังให้ดี ๆ ว่า ได้รับประโยชน์จากโพธิ์หรือโพธินั้น เพียงพอแล้วหรือยัง โพธินี้ คำเดียวกับคำว่า พุทธะ โดยตัวหนังสือก็แปลว่า ตื่นนอน หรือตื่นจากหลับ คนที่หลับอยู่นั้นไม่มีโพธิ คนที่ตื่นจากหลับ จึงจะมีโพธิ หลับอย่างธรรมดาสามัญนี้ไม่เท่าไหร่ ไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ หลับด้วยความโง่ หลับด้วยอวิชชา นั่นแหละ มีความหมายมาก คนเราหลับอยู่ด้วยความโง่ ลืมตา เที่ยววิ่งเต้นอยู่ หรือกระโดดโลดเต้นอยู่ เล่นหัวอะไรอยู่ มันก็เป็นคนหลับ หลับตรงที่ว่ามันไม่มีโพธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชาที่จะรู้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร นี่คนหลับที่เที่ยววิ่งเต้นอยู่ได้ ถ้ามันมีกิเลสเป็นความหลับอย่างนี้แล้ว ชีวิตนี้จะเป็นชีวิตร้อน แต่มันก็ร้อนแปลก ๆ ที่ว่าคน ผู้ถูกเผานั้น ไม่รู้สึกร้อน บางทีกลับจะชอบไปเสียอีก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความทุกข์ทรมาน เป็นความสนุกสนานไปเสียก็มี อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไปว่า บางคนหลงใหลถึงขนาดที่เรียกว่า เอากงจักรเป็นดอกบัว เอาความวินาศฉิบหายมาเป็นสิ่งที่พอใจ จิตนี้ประกอบด้วยกิเลสอย่างนี้แล้ว ก็เกิดชีวิตร้อน ถ้าจิตนี้ประกอบอยู่ด้วยโพธิ ลืมตา จากความหลับแล้ว มีความถูกต้องแล้ว ก็เป็นชีวิตเย็น ดูให้ดี ๆ จะเห็นได้ว่า ชีวิต ๆ นี้มันเหมือนกับภาชนะ ตัวมันเองยังไม่มีอะไร เป็นของกลาง ๆ เหมือนกับภาชนะ แล้วแต่ว่า เราจะใส่อะไรลงไปในชีวิตนั้น ชีวิตของคนบางคนเต็มไปด้วยกิเลส ชีวิตของคนบางคนเต็มไปด้วยสติปัญญา นี่แหละคือข้อที่ว่า จงมองดูชีวิตนี้ว่า มันเป็นเหมือนกับภาชนะ แล้วแต่จะใส่อะไรลงไป เอาของสกปรกเน่าเหม็นใส่ลงไป มันก็เป็นชนิดหนึ่ง เอาของสะอาดมีประโยชน์ใส่ลงไป มันก็เป็นชนิดหนึ่ง เหมือนว่าภาชนะนี้ เอาดินเอาทราย เอาก้อนอิฐใส่ลงไป มันก็มีค่าเท่านั้นแหละ ทว่าภาชนะนี้เอาเพชรพลอย ทองคำอะไร ใส่ลงไป มันก็มีค่าอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ว่ามันเป็นสิ่งที่กระทำได้ ปรับปรุงได้ ปรุงแต่งได้
เราทั้งหลายจงมีความรู้ที่เพียงพอ ในการที่จะปรุงแต่ง ให้ชีวิตนี้เป็นไปแต่ในทางที่น่าปรารถนา อย่าให้มีความทุกข์ในเบื้องต้น เสร็จแล้วก็มีความพอใจ เป็นความสุข ถ้าจะให้ไปไกลไปกว่านั้นอีก ก็ให้ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นในชีวิตนั้นเสีย ให้จิตอิสระ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ แม้ในชีวิตนั่นเอง อย่างนี้เขาเรียกว่าจิตมันหลุดพ้น ถ้ามันยังมาสาละวนอยู่แต่กับเรื่องของชีวิต ของปรุงแต่งในชีวิต จิตนี้ก็จะไม่หลุดพ้น จิตนี้ก็จะผูกติดกันไปกับความยุ่งเหยิงของชีวิต
ชีวิตนี้ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งมีอยู่มากมาย ทั้งภายนอกและภายใน มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องถ่ายทอด มันก็มีเรื่องมาก ชีวิตมันก็ยุ่งมาก ถ้าจิตไปผูกพันกันเข้ากับสิ่งชนิดนี้ จิตนี้ก็จะต้องทนทรมาน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวฟูเดี๋ยวแฟบ เดี๋ยวยินดีเดี๋ยวยินร้าย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ไม่น่าชื่นใจ ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่น่าชื่นใจ ถ้าจิตเป็นอิสระ มันก็ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เข้ามาแวดล้อม มันอยู่ในความสงบ มันอยู่ด้วยความว่างจากสิ่งรบกวน พูดว่า จิตว่าง ๆ นี้ คนเข้าใจผิดกันอยู่มาก คล้าย ๆ ว่าตายแล้ว ไม่ได้ทำอะไร จิตว่างนั้น ไม่ต้องตาย ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าว่างจากสิ่งรบกวน จิตนั้นก็เลยสบาย เพราะไม่มีอะไรรบกวน ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่มีอะไรมาผูกพัน ไม่มีอะไรมาหุ้มห่อ ไม่มีอะไรมาครอบงำ ไม่มีอะไรมาร้อยรัด แผดเผา ทุกอย่างเลย มันไม่ติดอยู่กับกิเลสหรือความยึดมั่นถือมั่นใด ๆ เรียกว่า มันว่าง เหมือนกับเมื่อเราว่างงานน่ะ เราสบายเท่าไร แล้วเมื่อเราติดธุระยุ่งไปหมดน่ะ เราทนทุกข์สักเท่าไร เอาความหมายนี้เป็นหลักก็พอแล้ว ว่า เมื่อเราว่างจากสิ่งรบกวน เราสบายเท่าไร เมื่อเราเต็มไปด้วยสิ่งรบกวน เราเป็นทุกข์ทรมานเท่าไร เราจงจัดให้จิตของเรานี้ ว่างจากสิ่งรบกวน แม้ว่าชีวิตเปลือกนอกมันจะถูกกระทบกระทั่ง จากสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่าในโลกนี้มันจะเกิดวิปริต อุบัติเหตุอะไรใด ๆ ขึ้นมา ก็ให้มันอยู่ที่เปลือกนอก จิตใจในภายใน อย่าได้หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านั้น
เดี๋ยวนี้โลกนี้อยู่ในภาวะที่เลวร้ายยิ่งขึ้นทุกที โลกนี้จะมีสิ่งที่ทำให้เกิด ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหึง ความหวง ความอาฆาตมาดร้าย อู้ย, สารพัดอย่าง ยิ่งขึ้นทุกที เต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายอย่างนี้มากขึ้น ๆ เราจงอยู่ในโลกนี้ในลักษณะที่ อย่าได้ไปแตะต้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย มีธรรมะในฐานะที่เป็นพุทธธรรมให้เพียงพอ เป็นที่ตั้งเป็นที่ยึดหน่วงแห่งจิตใจ ไม่ต้องไปแตะต้องกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น นี่เรียกว่าจะอยู่อย่างสงบสุข เป็นจิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวง
มีรูปภาพรูปหนึ่งเป็นภาพปริศนาธรรม เขียนไว้ดีว่า จงอยู่ในโลกนี้เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู เป็นภาพลิ้นงูอยู่ในปากงู โดยไม่ถูกกับเขี้ยวของงู ลิ้นงู แกว่งไปแกว่งมาอยู่ในปากของงู โดยไม่ถูกกับเขี้ยวของงู มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เราก็อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเขี้ยวงู นานา สารพัดอย่าง มากมายเหลือเกิน ก็ระวังอย่าไปถูกกันเข้ากับเขี้ยวงู พยายามทำให้เหมือนกับว่า ลิ้นงู ไม่ถูกกับเขี้ยวงู แม้ว่าอยู่ในปากงู ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้ดี ยิ่งในอนาคตนานไกลไปเท่าไร โลกนี้ก็จะยิ่งเต็มไปด้วยเขี้ยวงูมากขึ้นเท่านั้น เผลอนิดเดียวก็กระทบกันเข้ากับเขี้ยวงู แล้วก็จะได้รับพิษงู แล้วก็จะเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอยู่ ในลักษณะอย่างนี้ รู้ได้ตรงที่ว่า คนในโลกนี้ เป็นโรคประสาทกันมากขึ้น ๆ ดูให้ดี มันรวมท่านอยู่คนหนึ่งด้วย หรือเปล่าเล่า ในบรรดาคนที่กำลังเป็นโรคประสาท งอมแงม มันรวมท่านอยู่ด้วยคนหนึ่ง หรือไม่เล่า นี่ก็หมายความว่า มันได้ไปถูกกับเขี้ยวงูเข้าแล้ว มันไม่อยู่ในโลกอย่างปลอดภัยแล้ว มันไปถูกกับเขี้ยวงูเข้าแล้ว เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคหัวใจบ้าง เป็นโรคอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ที่เกิดมาจากการที่ไม่ดำรงจิตไว้ให้ถูกต้อง กระโดดโลดเต้น อยู่ด้วยความรักบ้าง ความโกรธบ้าง ความเกลียดบ้าง ความกลัวบ้าง ความอิจฉาริษยาบ้าง ความอาลัยอาวรณ์บ้าง ความวิตกกังวลบ้าง อู้ว, นับไม่ไหวหลอก เรียกว่ามันจะเป็นพิษงู ที่เขี้ยวงู ที่ไปกระทบเข้านิดเดียว มันก็มีเรื่องแล้ว นี่ไม่มีความสุข ถ้าจะให้พุทธธรรมนำสุข ท่านก็จะต้องจัดการกับสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง มันจะมีเขี้ยวงู มีพิษงู ก็ช่างหัวมัน มันมีไปตามเรื่อง ฉันไม่ถูกก็แล้วกัน ถือหลักที่ว่า อยู่ในโลกนี้เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู ไม่ถูกเขี้ยวงู
มันเป็นคำเปรียบ มันเป็นอุปมา ที่เอามาพินิจพิจารณา แล้วประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามความหมายอันนั้น เท่านั้นเอง เราอาศัยพุทธธรรม ที่สอนถึงที่สุด เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด โดยความเป็นตัวตนของตน จิตว่างจากความยึดถือ จิตเกลี้ยงจากความยึดถือ จิตหลุดพ้นจากความยึดถือ ไม่มีความยึดถือ ไม่เห็นว่าอะไรเป็นตัวตนหรือของตนที่จะต้องยึดถือ เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งจะไม่ยอมอ่อนน้อมให้แก่ใครนี่ มีแต่ผู้นั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ในส่วนที่ไม่ไปแตะต้องกับเขี้ยวงู หรือพิษงู ดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน เป็นของตน จิตดำรงตน ดำรงจิตเองไว้ได้ในลักษณะที่ไม่ผิดพลาดในกรณีใด ๆ อันเกี่ยวกับชีวิตนี้ นี่คือพุทธธรรมนำสุขมา จิตชนิดนี้มีพุทธธรรม และพุทธธรรมก็นำสุขมา
จึงหวังว่าท่านทั้งหลาย จะได้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรม และก็มีความรู้ความเข้าใจในข้อที่ว่าจะนำสุขมาให้ได้อย่างไรยิ่งขึ้นไปทุกที ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันสูงสุดนี้ แล้วอยู่เป็นสุขทุกทิพาราตรีกาล เทอญ