แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย รายการพุทธธรรมนำสุข ได้เวียนมาถึงเข้าอีกรอบหนึ่งแล้ว เราก็ได้มาพบกัน เรื่องที่พูดนาน ๆ ครั้งนี่ อาจจะลืมได้ จึงต้องขอทบทวนอะไรบางอย่างเป็นธรรมดา อย่าเห็นว่าเป็นการพูดซ้ำซาก คำว่า พุทธธรรมนำสุข เป็นคำที่มีความหมายดีมาก ตรงกับลักษณะของพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข แต่การที่จะนำมาซึ่งความสุขได้นั้น หมายความว่าเราจะต้องมีพุทธธรรมนั่นเอง พุทธธรรม แปลว่า ธรรมสำหรับ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามีธรรม คนนั้นก็เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าไม่มีธรรม มันก็ไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน นี่เป็นสิ่งที่จะต้องขอพูดกันอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่าเมื่อต้องการให้พุทธธรรมนำสุขมาให้ เราก็ต้องเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
คำว่า ธรรม เป็นคำพิเศษ หมายถึง ทุกสิ่ง แต่ก็หมายความว่า ถ้าเรารู้ทุกสิ่ง เราก็ปฏิบัติถูกต้อง ต่อทุกสิ่ง คำว่า ทุกสิ่ง ในที่นี้ หมายถึง ทุกสิ่งที่เราควรจะทราบ เราคงไม่สามารถที่จะทราบไปหมดทุกสิ่งแต่ต้องทุกสิ่งที่เราควรจะทราบ
ข้อแรกที่สุดที่ควรจะทราบก็คือ ความหมายของคำว่า ธรรม นั่นเอง คำว่า ธรรม แปลว่าหน้าที่ ภาษาบาลีคำนี้โดยแท้จริง แปลว่าหน้าที่ หน้าที่มีอยู่เท่าไร เราจะต้องทราบ และจะต้องทำให้สมบูรณ์ นั่นแหละคือเป็นผู้มีธรรม ธรรมะของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็จะต้องสูญเสียชีวิต คือ ตาย หน้าที่ก็คือทำให้มีชีวิตนั่นเอง มีชีวิตในที่นี้ ถ้าทางร่างกาย ก็คือร่างกายมันรอดตาย ถ้าทางจิต ก็หมายความว่าจิตมันรอดจากความทุกข์ทรมาน จิตที่เต็มอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ก็เหมือนกับจิตที่ตายแล้ว ความรอดทางกาย คือรอดชีวิต ความรอดทางจิต คือรอดจากความทุกข์ทรมาน นี่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องทำ
ทีนี้ก็ดูกันทั่ว ๆ ไป เราทุกคนมีหน้าที่ ที่จะต้องทำมาหาเลี้ยงชีวิต ระบุไปยังอาชีพการงานนั่นเอง ผู้ใดได้ทำการงานที่เป็นอาชีพ ผู้นั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เขาได้ประพฤติธรรม ธรรม ธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ ถ้าเขารู้สึกอย่างนี้ เขาก็จะพอใจในการทำหน้าที่ แม้ว่าจะมีเหงื่อออกมา ก็ยิ่งพอใจ เหงื่อก็จะเย็นเป็นน้ำมนต์ เพราะเขารู้ว่ามันเป็นการประพฤติธรรม เป็นผลของการประพฤติธรรม แล้วเหงื่อก็ออกมา ถ้ารู้สึกอย่างนี้ ก็มีความสนุกสนานในการทำงาน คนโดยมากไม่รู้สึกอย่างนี้ พอเหนื่อยขึ้นมา ก็เกลียดการงาน ว่าไปขโมยดีกว่า ไปปล้นไปจี้ดีกว่า จะมามัวทำการงานอยู่ทำไม นี่ก็เพราะเขาไม่รู้ว่า การทำการงานนั่นแหละคือประพฤติธรรม คือตัวธรรม ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ นับตั้งแต่ว่ารอดตาย จนกระทั่งว่าอยู่อย่างดีที่สุด คนที่มองเห็นอย่างนี้ ยิ่งทำงานยิ่งสนุก ยิ่งทำงานยิ่งสนุก เขาก็เลยทำได้มาก กว่าธรรมดา คนทั่วไปทำงานวันละ ๘ ชั่วโมง ผู้ที่รู้สึกอย่างนี้ ทำงานได้วันละ ๑๘ ชั่วโมง คิดดูเถอะ อาตมาก็เคยทำได้มาแล้ว ไม่ใช่ดีแต่จะบอกให้คนอื่นทำ ว่าทำงานสนุก จนทำวันละ ๑๘ ชั่วโมงนะ มันทำได้ พักผ่อน หลับนอน กินอยู่อะไร เพียง ๖ ชั่วโมง นอกนั้น ๑๘ ชั่วโมง ทำงาน หากแต่ว่าเป็นทำงานหนังสือ มันไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรง รุนแรงอะไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหน็ดเหนื่อย หรือ น่าเบื่อเหมือนกัน ทำงาน ๑๘ ชั่วโมง แล้วก็ทำได้ มีผลงานเหลืออยู่มากมาย จนคนอื่นเขาไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้คนเดียวทำ นี่ขอร้องท่านทั้งหลายว่า จงเปลี่ยนจิตใจเสียสักนิดนึงเท่านั้นแหละ เลิกเข้าใจผิดว่าการงาน คือ สิ่งที่น่ารังเกียจ เมื่อเห็นว่าการงานนั้นแหละ คือการปฏิบัติธรรม แล้วก็ทำสนุก เมื่อทำสนุกมันก็ได้ผลงานมาก คนทั่วไปทำงานให้สนุก จะมีผลงานมาก จะเป็นคนถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง ทำขนมขาย ทำอะไรก็ตามใจ ที่มันเป็นเรื่องเหงื่อไหลไคลย้อยแล้วก็ จงนึกให้ถูกว่า งานคือธรรมะ ธรรมะคืองาน ยิ่งทำยิ่งสนุก ก็ยิ่งทำได้มาก มันก็เหลือกินเหลือใช้ ไม่มีใครยากจนในโลกนี้ ถ้าเขารู้จักธรรมะในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ก็มีความสุขเสร็จไปในตัว เมื่อทำการงานนั้นเอง ทำการงานไปพลาง เป็นสุขไปพลาง เพราะว่าพอใจ ๆ ตัวเองที่ได้มีโอกาสทำงาน ซึ่งเป็นตัวธรรมะ พอใจด้วยจิตใจที่เฉลียวฉลาดไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่พอใจด้วยกิเลส แต่ว่าพอใจด้วยสติปัญญา มีความพอใจเมื่อไร ก็มีความสุขเมื่อนั้น นี่พูดได้เป็นหลักตายตัวเลยว่า ความสุข ย่อมมาจากความพอใจ ถ้าความพอใจคดโกงหลอกลวง ความสุขก็คดโกงและหลอกลวง ถ้าความพอใจบริสุทธิ์ถูกต้อง ความสุขก็บริสุทธิ์ถูกต้อง เดี๋ยวนี้เรามีความพอใจที่บริสุทธิ์ถูกต้อง คือพอใจในธรรมะ ที่เป็นตัวการงาน หรือตัวการงานซึ่งเป็นตัวธรรมะ เราก็มีความสุขตลอดเวลาที่ทำงาน แม้ว่าจะเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ จะไถนาอยู่กลางแดด จนสาย จนเที่ยงก็ยังมีความสุข เพราะมีความพอใจ ในงานที่ทำนั้น มันก็เป็นสุข พอใจ แล้วต้องเป็นสุขแน่ ขอแต่พอใจอย่างเดียวเท่านั้นแหละมันจะเป็นสุขแน่ ความสุขต้องมาจากความพอใจเสมอ ก็เลยเป็นสุขเสียแล้วเมื่อทำการงาน ไม่ต้องรีบเลิกงานไปหาความสุขสำราญที่หลอกลวงว่าเป็นความสุข ไปสถานเริงรมย์ ไปอาบอบนวด ไปอะไรต่าง ๆ นั่นนะ เขาคิดว่าเป็นความสุข มันเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง อย่าไปเอากับมันเลย จงหาความสุขจากความพอใจในตัวเอง ที่ได้ทำหน้าที่ คือธรรมะอย่างสูงสุด พอใจมาก มากขนาดไหน มากขนาดยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่เราจะพูดให้เป็นหลักไว้เลยว่า เมื่อใดยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อใดเกลียดชังขยะแขยง ตัวเองเมื่อนั้นเป็นนรก ที่นี่ แหละเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอแต่ตายแล้ว เมื่อใดยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ คือมีความสุข ต้องทำจนให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เดี๋ยวนี้พอใจในธรรมะ คือการงาน ทำอย่างสนุกสนาน มันก็อยู่ในลักษณะที่พอใจอย่างยิ่ง ก็มีความสุข ไม่ต้องรีบเลิกงาน ไม่ต้องรีบโกงเวลาทำงาน ไปสถานเริงรมย์เหมือนที่ปฏิบัติกันอยู่ ทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ ทำให้ต้องคดโกง จนมีความผิดเกี่ยวกับการคดโกงเพิ่มขึ้น นี้เรียกว่าทำความพินาศให้แก่ตัว ตกนรกทั้งเป็น เพราะไม่มีพุทธธรรมนั่นเอง ถ้ามีพุทธธรรม คือ ความรู้อันถูกต้องของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วก็จะทำงานสนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อทำการงาน แล้วก็รักเพื่อนมนุษย์ มีเงินเหลือใช้เพราะทำงานสนุก มันก็มีเงินเหลือใช้ และก็รักเพื่อนมนุษย์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มันก็เพิ่มความพอใจอย่างที่สอง คือเกี่ยวกับประโยชน์ของผู้อื่น
เรามีความเมตตากรุณา เป็นธรรมะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง ตัวเองมีความสุข ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มีความสุข เป็นธรรมะสมบูรณ์ นี่เรียกว่าพุทธธรรมนำสุขมาทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นในลักษณะอย่างนี้ ขอให้เราทั้งหลายมองเห็นได้ชัดลงไปอย่างนี้ ว่าพุทธธรรมจะนำสุขมาให้อย่างไร หรือจะต้องทำงานสนุก หน้าที่ของมนุษย์มีอย่างไร ต้องทำให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำ ผลงานที่ได้มา ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องใช้เพื่อแสวงหาความสุขอะไรอีก เพราะมันมีความสุขเสียแล้ว ก็เก็บไว้ทำประโยชน์อย่างอื่นต่อไป เป็นหลักทรัพย์ ช่วยเหลือตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือศาสนา นี้เรียกว่านำมาซึ่งความสุขโดยสมบูรณ์
ขอให้ท่านทั้งหลายทบทวนความเข้าใจในข้อที่ว่า พุทธธรรมคืออะไร แล้วก็นำสุขมาให้อย่างไร ถ้าอาตมาจะต้องพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในเรื่องนี้ก็ขอให้อภัยด้วย เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์เรา และในที่สุดนี้ขออวยพรแด่ท่านทั้งหลายว่า จงทำงานให้สนุก และเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน จะมีเงินเหลือช่วยผู้อื่น รักผู้อื่น เพราะว่าสามารถช่วยผู้อื่นแล้ว ก็มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล โดยตลอดไป