แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสแห่งอาสาฬหบูชาอันเป็นโอกาสแห่งการทำในใจระลึกถึงพระบรมศาสดา ผู้ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรในวันเช่นวันนี้ พระสูตรนั้นแสดงเรื่องความดับทุกข์ เอาชนะความทุกข์ และข้อปฏิบัติตามนั้น ทำให้เกิดสิ่งๆ หนึ่งซึ่งเรียกว่า ธรรมจักษุ ดวงตาของธรรม ดวงตาเห็นธรรม ดวงตาในธรรม ดวงตาโดยธรรม ดวงตาเอื้อประโยชน์แก่ธรรม เรียกว่า ธรรมจักษุ
ธรรมจักษุเป็นการแสดงผลสุดท้ายของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราเอาเรื่องนี้มาเป็นหัวใจของการบรรยาย ดังนั้น ในวันนี้อาตมาจึงจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ชนะ การชนะอวิชชาด้วยธรรมจักษุ จะเรียกว่าเรื่องธรรมจักษุก็ได้ หรือจะเรียกว่าการชนะอวิชชาก็ได้ เป็นการลืมตาๆ ๆ ๆ ที่หลับมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่อ้อนแต่ออก คือ ออกมาจากท้องแม่ พอออกมาจากท้องแม่ก็เริ่มหลับตา เมื่ออยู่ในท้องแม่นั่นน่ะ มันไม่มีความโง่หรือความฉลาดอะไรเกิดขึ้นได้ มันอยู่เป็นกลางๆ พอออกมาจากท้องแม่แล้วมันก็เริ่มหลับตา คือได้รับสัมผัสทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ แล้วมันก็เริ่มโง่เริ่มหลงในสิ่งที่มากระทบอายตนะ แล้วก็ทำผิดต่อสิ่งเหล่านั้น นี่เราเรียกว่าหลับตา
ตามปกติธรรมดาสามัญทั่วไป พอเกิดออกมาก็เริ่มหลับตา คือ โง่หลงในความสวยความไม่สวย โง่หลงในความไพเราะไม่ไพเราะ โง่หลงในความหอมความเหม็น โง่หลงในความอร่อยหรือไม่อร่อย โง่หลงในความนิ่มนวลหรือแข็งกระด้าง โง่หลงในความถูกใจหรือความไม่ถูกใจ มันมัวโง่อยู่แต่ในสิ่งเป็นคู่ๆ ๆ ๆ เหล่านี้จนตลอดเวลา จนตายก็ได้แล้วแต่กรณี นี่เรียกว่าหลับตามาแต่อ้อนแต่ออก คือ หลงไปในสิ่งที่เป็นคู่ๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ก็ว่าหลงในความมีความจน หลงในความแพ้ หลงในความชนะ หลงในความได้ความเสีย ความดีความชั่ว ในบุญในบาป ในสุขในทุกข์ มันหลงไปหมดทุกสิ่งที่เป็นคู่ มันไม่อยู่ตรงกลาง เรียกว่าหลับตามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
วันนี้เป็นวันที่ลืมตา พระศาสดาทรงเปิดตาด้วยการแสดงให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นอย่าไปหลงกับมัน เกิดมาจากท้องแม่นั้นมันลืมแต่ตาเนื้อนะ พอเกิดมาจากท้องแม่ อยู่ในท้องมันหลับตา พอออกมาจากท้องแม่มันก็ลืม แต่มันลืมแต่ตาเนื้อ ตาลูกตานี่ ตาที่เป็นก้อนลูกตานี่ แต่ตาใจมันไม่ลืม มันยังหลับอยู่จนกว่าเมื่อไรได้รับการศึกษาถูกต้องเพียงพอ มันจึงจะเกิดธรรมจักษุ ดวงตาแห่งธรรม นี่การลืมตาโดยธรรมจักษุ หลังจากที่หลับตามาตลอดเวลาตั้งแต่แรกคลอด เรียกว่าเปิดตาธรรมะกันเสียที เกิดมาก็ปิดตาธรรมะเรื่อยๆ มา จนถึงวันหนึ่ง วันดีคืนดีได้ฟังธรรมะของพระอริยเจ้า แล้วก็เปิดตาธรรมะกันเสียที
เมื่อได้ฟังดีก็เปิดตาธรรมะได้อย่างหนึ่ง เปิดในระดับหนึ่ง เมื่อเราได้ฟังอย่างถูกต้องอย่างดีมันก็เปิดตาธรรมะได้ชั้นหนึ่ง เมื่อได้ปฏิบัติดีมันก็เปิดตาธรรมะสูงขึ้นไป เมื่อได้รับผลของการปฏิบัติดีมันก็เปิดตาถึงที่สุด เปิดตาธรรมะถึงที่สุด ถ้าจะพูดก็เหมือนกับการเกิดใหม่อีกทีหนึ่ง เกิดมาจากท้องแม่มันหลับตามาตลอดเวลา วันดีคืนดีมันลืมตา นี่มันจึงเหมือนกับเกิดอีกครั้งหนึ่ง เกิดใหม่ เกิดโดยจิตใจ เกิดในอริยชาติของพระอริยเจ้า มันลืมตาแล้ว มันจะเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมีการเดินทางอย่างคนตาบอด ตลอดเวลาที่มันหลับตามันก็เหมือนกับเดินทางอย่างตาบอด คนตาบอดเดินทางน่าสังเวชสงสาร เดี๋ยวนี้มันเปิดตาแล้ว มันก็มีการเดินทางอย่างคนที่ตาดีเดินไป นี่คือธรรมจักษุ มีจักษุในธรรม โดยธรรม เห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างถูกต้องทุกอย่างเลย โดยสรุปแล้วก็เห็นว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย และต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เรียกกันเป็นภาษาธรรมะก็ว่า ตามกฎของอิทัปปัจจยตา เห็นชัดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายหนึ่งก็เป็นทุกข์ ฝ่ายหนึ่งก็ดับทุกข์ นี่กฎอิทัปปัจจยตา เรียกว่ามันมีความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเช่นนั้นเอง
กฎอิทัปปัจจยตาเป็นกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด ครองโลกอย่างเฉียบขาดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรมาต้านทานกฎอันนี้ได้ นี่เปิดตา เปิดธรรมจักษุดูให้รู้จักกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วทำตน ประพฤติตน ดำเนินตน ให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา ให้สนุกสนานไปด้วยกันในการเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา ข้อนี้ขอยืนยันว่าถ้าเดินถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาแล้ว ก็จะเป็นการเดินที่สนุกสนาน แล้วชีวิตนี้ก็จะเป็นสิ่งที่มีความสนุกสนาน ไม่มีความทุกข์ทรมาน
ที่เขาพูดกันว่าชีวิตเป็นทุกข์ ชีวิตเป็นทุกข์นั้น เพราะมันเดินผิด ผิดจากกฎของอิทัปปัจจยตา มันเป็นชีวิตที่หลับตา ชีวิตที่โง่เขลา ชีวิตธรรมดาอย่างนี้ต้องเป็นทุกข์เสมอแหละ ชีวิตเป็นตัวทุกข์ ตัวทุกข์เป็นตัวชีวิตอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นตัวโง่ เป็นตัวอวิชชา ถ้ามันกลายเป็นตัวธรรมจักษุ เป็นปัญญา เป็นวิชชา เป็นแสงสว่าง เป็นความรู้อะไรขึ้นมา มันก็ตรงกันข้าม มันเป็นชีวิตที่สนุกสนาน ยิ่งทำงานยิ่งสนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อทำงาน อันนี้ขอยืนยันร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง ว่าจงทำงานให้สนุก และเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เพราะว่าเรามีธรรมจักษุ ทำอะไรๆ ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา มันก็ถูกต้อง และก็ได้ผลดี เพราะทำสนุก แล้วเป็นสุขอยู่ที่ตรงนั้นเอง ไม่ต้องไปหาความสำราญแก่กิเลส ซึ่งไม่ใช่ความสุข เป็นสุขอยู่ที่นั่น ในขณะที่ทำงานนั้น ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา เรียกว่าชีวิตนี้มันเป็นชีวิตเกิดใหม่ในโลกของพระอริยเจ้า
ก่อนนี้มันเกิดอยู่ในโลกของปุถุชน มันก็ต้องทนทุกข์ไปตามแบบของคนกิเลสหนา ปุถุชนแปลว่า มีกิเลสหนาในดวงตา มีฝ้าหนาในดวงตา เขาเรียกว่าปุถุชน มันก็ไม่มีธรรมจักษุ เดี๋ยวนั้นฝ้าในดวงตามันถูกขจัดออกไปแล้ว มันก็เกิดธรรมจักษุ เห็นสว่างแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งปวง สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามกฎของสัจจะ คือ กฎของอิทัปปัจจยตา ในทางที่ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ สรุปเป็นคำสั้นๆ ที่สุดก็ว่าไม่ทำผิดในขณะแห่งผัสสะอีกต่อไป
จะดูให้ดีว่าเดี๋ยวนี้ดวงจักษุของโลกได้เกิดขึ้นแล้ว และก็ไม่รู้จักดับ คือ พระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นดวงจักษุของโลก เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ ไอ้ที่ดับน่ะมันร่างกาย ร่างกายของท่าน พระพุทธเจ้าเองดับไม่ได้ หมายความว่าปัญญาที่จะรู้ความดับทุกข์นี่ไม่สิ้นสูญ ไม่มีสิ้นสูญ ใครทำถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาเมื่อไร ธรรมจักษุนี้ก็จะเกิดขึ้น ดังนั้น พระพุทธเจ้าอาจจะอยู่กับเราได้ตลอดไป ตลอดกัปตลอดกัลป์ ถ้าว่าเรายังมีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้านี่ดูให้ดีเถิด ท่านมีกายหลายกาย อย่างหนึ่งเรียกว่าสัมโภคกาย ได้แก่ร่างกายเนื้อๆ เหมือนคนเรา ที่เกิดแล้ว ตายแล้ว เผาแล้ว นั่นล่ะสัมโภคกาย คนไปหลงที่นั่นกันซะโดยมาก หลงพระพุทธเจ้าที่ร่างกายนั้นกันซะโดยมาก เลยไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจริง
พระพุทธเจ้าที่เป็นสัมโภคกายเหมือนคนเรานั้นอย่างหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นนามกาย เรียกว่า ธรรมกาย ธรรมกาย ธรรมกาโย พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำว่าธรรมกาโยเป็นชื่อของตถาคต กายแห่งธรรมมะ ก็คือกายแห่งกฎของธรรมชาติตามที่เป็นจริงว่า ทุกข์เป็นอย่างไร ดับทุกข์อย่างไร ทางดับทุกข์อย่างไร ธรรมกาย ธรรมกายนี้อยู่ นี้ไม่รู้จักตาย พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ก็หมายความว่า ผู้ใดเห็นธรรมกาย ผู้นั้นเห็นตถาคตโดยแท้จริง ที่เห็นตัวที่เป็นเนื้อหนังนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่ตถาคตที่แท้จริง ฉะนั้น เราจึงมีโอกาสที่จะเห็นพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมกายได้ตลอดกัลปาวสานดีกว่า เมื่อไรก็ได้ ขอให้ทำธรรมะให้ปรากฏก็เห็นพระพุทธเจ้าในรูปของธรรมกาย
ทีนี้ก็ยังมีอีกกายหนึ่ง พวกที่กล่าวนั้นเขาว่า นิรมานกาย คือ พระพุทธเจ้าที่มีร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ จะเรียกว่าเมื่อต้องการจะทำหน้าที่อย่างใดท่านก็จะมีร่างกายอย่างนั้น นี่อยากจะเรียกว่าไอ้ธรรมกายนั้นน่ะหาดูได้ในที่ทุกแห่ง ในที่ทุกสถาน ในสิ่งทุกสิ่งก็ได้ เพราะว่าเราดูเข้าไปที่อะไร ถ้าเราเห็นธรรมะแล้ว มันก็จะเหมือนกับเห็นพระพุทธเจ้าแหละ ดูก้อนหินให้เห็นธรรมะก็ได้ถ้าคนมันฉลาดพอ เพราะว่ามันจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อิทัปปัจจยตา เป็นต้น ได้จากก้อนหินนั้นเอง ดูต้นไม้ก็ได้ ดูอะไรๆ ก็ได้ในโลกนี้ที่มีมันอยู่ในรูปของธรรมชาติธรรมดาที่สุด แต่ในนั้นมีธรรมะ คือสัจจะ คือความจริงที่เป็นตัวอิทัปปัจจยตา อย่างนี้ก็หมายความว่าพระพุทธเจ้ามีรูปกายได้ทุกอย่าง ทุกประการ ถ้าพูดอย่างบุคลาธิษฐาน ก็เรียกว่าท่านแปลงกายได้ ไปเที่ยวแสดงอะไรสำเร็จประโยชน์ได้ในที่ทุกหนทุกแห่งตามที่ควรจะแปลงร่างกายนั้นเป็นอย่างไร พูดอย่างเป็นบุคลาธิษฐานให้มากไปก็จะพูดว่า ท่านแปลงกายเป็นยักษ์ก็ได้ แปลงกายเป็นเทวดาก็ได้ แปลงกายเป็นพรหมเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าท่านเห็นว่ามันจะต้องแปลงกายอย่างนั้นจึงจะไปทรมานคนนั้นได้ ชนะคนนั้นได้ ท่านก็ทำตัวเป็นคนอย่างนั้น
นี่ก็แปลว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วที่เราจะพบพระพุทธเจ้าได้ในที่ทุกสถาน ในโอกาสทุกแห่ง แต่เรามันโง่ไปเอง เลยไม่ได้พบพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง แม้ในรูปของสัมโภคกายธรรมดาเราก็ไม่ได้พบเพราะมันอยู่อินเดีย นิพพานแล้ว เผาแล้ว ธรรมกายเราก็ไม่ได้เห็น สัมโภคกายเราก็ค้นไม่พบ ขอให้เรารู้จักดวงตาของโลก ธรรมจักษุของโลก เอากันง่ายๆ ว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นดวงตา พระพุทธเจ้าก็แจกดวงตาก็ได้ ผู้แจกดวงตาสอนให้รู้ให้เป็น
พระพุทธเจ้าแล้วพระธรรม พระธรรมนี่คือดวงตาที่พระพุทธเจ้าท่านแจก แล้วพระสงฆ์ก็คือผู้ที่ได้รับดวงตามาใช้สอย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรับนี่ นี่ที่รูปภาพที่ตรงนั้นน่ะไอ้รูปภาพที่โรงหนังน่ะมี แจกดวงตาและสองสามคนรับเอา เป็นฝูงๆ วิ่งหนีไม่ยอมรับ ท่านอยู่ในพวกไหนก็พิจารณาดูเอาเอง
ในที่สุดนี้ ในโอกาสแห่งอาสาฬหบูชานี้ ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีดวงตา ได้รับแจกดวงตาจากพระพุทธเจ้าผู้มีอยู่ตลอดกาล เป็นชีวิตที่มีดวงตา มีธรรมจักษุแห่งธรรมะแล้ว แก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการได้ในชีวิตนี้ และก็มีชีวิตที่เป็นสุขตามทางของธรรมะ เยือกเย็นในความหมายของพระนิพพานอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ