แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมะบรรยายตามรายการพุทธธรรมนำสุข หรือ ธรรมะช่วยได้ ในวันนี้อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า เหงื่อคือน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ฟังดูมันก็แปลกหูอยู่ ขอให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า เหงื่อคือน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ อาตมานั่งอยู่ที่วัด แต่ละวันละวัน คนที่มาเยี่ยม มาเที่ยว มาดูนี่ล้วนแต่ขอน้ำมนต์ บอกว่าไม่มี ไม่ได้ทำ เขาก็ไม่เชื่อ ว่าทำไม่เป็น เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่พอใจ แล้วก็กลับไป เดี๋ยวนี้อาตมาคิดว่า จะไม่บอกว่าไม่มีน้ำมนต์ หรือ ทำน้ำมนต์ไม่เป็นแล้ว จะบอกคนที่ขอน้ำมนต์ว่า ไอ้เหงื่อนั่นแหละ คือ น้ำมนต์อันศักดิ์สิทธ์ ท่านทั้งหลายจงกลับไปบ้าน จงจับเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับทำการงานขึ้นให้เหงื่อท่วมตัว และนั่นแหละ คือน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ กินน้ำมนต์ กันที่นั่นเถิด น้ำมนต์นี้ศักดิ์สิทธิ์ น้ำมนต์นี้ทำให้พ้นจากความยากจนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ น้ำมนต์นี้ป้องกันการลงนรก น้ำมนต์นี้จะส่งขึ้นสวรรค์ ที่ว่าน้ำมนต์นี้จะไม่ทำให้ยากจน ก็เห็นแต่ง่ายๆว่า ถ้าใครมันทำงานสนุก เป็นอาบเหงื่อต่างน้ำแล้วมันไม่ยากจนแน่ แต่ไม่มีใครชอบก็เลยไม่ได้ทำ คิดว่าไปขโมยดีกว่ามานั่งทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ทำไม ก็ไปปล้นไปจี้ ไปเป็นอันธพาล อย่างที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน วันละหลายๆ เรื่อง ที่ว่าเหงื่อป้องกันการลงนรกนี่ หมายความว่าถ้าเราสมัครทำงานจนอาบเหงื่ออย่างน้ำอยู่แล้ว ก็ไม่ไปทำชั่วที่ไหน เมื่อไม่ไปทำชั่วที่ไหนก็ไม่ต้องตกนรก นรกคือที่นี่ นรกที่นี่คือ ความยากจนก็ไม่ตก เพราะว่ามันสนุกในการทำงาน มันไม่ยากจน นรกในชาติหน้าอย่างที่เขาพูดกันๆนั้นก็ไม่ตกแน่ หากเพราะว่าคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำนั้นย่อมไม่ต้องไปทำผิด ทำเลว ไปทำชั่วที่ไหน เพราะเขาพอใจอาบเหงื่อต่างน้ำ ก็เลยไม่ต้องตกนรก ที่ว่าเหงื่อจะส่งขึ้นไปสวรรค์นั้นน่ะ ไม่เห็นได้ เห็นได้โดยไม่ยาก เพราะว่าคนอาบเหงื่อนั้นเป็นคนที่สมัครทำความดี ยึดถือดี ความดีเป็นเบื้อง หน้า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี เขาก็ได้ไปสวรรค์ มีเหงื่อป้องกันความยากจน ป้องกันไม่ให้ลงไปในนรก ป้องกันให้ขึ้นไปสู่สวรรค์ ยุวชนวัยรุ่นทั้งหลายของเราเกลียดเหงื่อ ไม่อยากทำนา จะไปเรียนหนังสือหนังหากันที่กรุงเทพฯ จะเป็นนายอำเภอ เป็นรัฐมนตรี เป็นอะไรไปโน่น ดิ้นรนอย่างนั้น ไม่อยากอยู่บ้านทำนาเพราะเกลียดเหงื่อ ก็อุตส่าห์ไปเรียนเพื่อจะไม่ต้องอาบเหงื่อ แล้วมันเรียนไม่ได้ มันก็เรียนลัด คือเรียนโกง ได้ก็มี ไม่ได้ก็มี ในที่สุดมันก็เรียนลัด คือ คอรัปชั่น ฉ้อฉลต่างๆนานา กระทั่งไปเป็นขโมย กระทั่งไปเป็นอาชญากรนานาชนิด นี่ก็เพราะว่าไม่ชอบเหงื่อ ไม่อยากทำงานให้ออกเหงื่อ ขอให้คิดดูเถิดว่าถ้าใครสามารถที่จะรู้จักเหงื่อ พอใจในเหงื่อ ยินดีในการออกเหงื่อ ก็ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยอาชญากรก็เพราะว่าคนมันไม่ชอบเหงื่อ ดูบนโลกนี้เต็มไปด้วยอาชญากรรม เพราะเขาไม่มีใครสมัครที่จะออกเหงื่อ คือทำงานด้วยเหงื่อเพื่อแลกเอาผล ต้องการจะใช้อำนาจอย่างอื่น กระทั่งได้เกิดการแย่งชิงประหัตประหารกัน รวมหมู่แล้วประหัตประหารกันนี่เรียกว่า มนุษย์ในโลกไม่ชอบเหงื่อด้วยกันทั้งนั้น ผลก็คือวิกฤตการณ์อันถาวรในโลกไม่รู้จักสิ้นสุด ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ว่าไอ้เหงื่อนั่นแหละ คือเครื่องหมายของความเป็นมนุษย์ เครื่องหมายของความเป็นผู้มีการกระทำอันบริสุทธิ์ ไม่คดโกงแต่ประการใด ในการอาบเหงื่อ การมีเหงื่อนั้น ง่ายที่จะบรรลุพระนิพพาน คือเขามีความจริงใจต่อความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม จะออกเหงื่อสักเท่าไรก็ไม่ว่า นี่มันก็เลยเป็นการดี เป็นความดี เป็นการกระทำความดีที่ก้าวหน้าไปตามลำดับ มีจุดหมายอยู่ที่ปลายทาง คือ พระนิพพาน คนที่รู้จักเหงื่ออย่างนี้มันก็มีผลอย่างนี้ คนที่ไม่รู้จักเหงื่อ ไม่รู้จักค่าของเหงื่อ ไม่บูชาเหงื่อ มันก็เดินไปทางอื่น ท่านผู้ใดรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเหงื่ออย่างถูกต้องแล้ว เขาจะรู้สึกขึ้นมาเองว่า เหงื่อนี้มันเย็นกว่าน้ำอมฤต น้ำอมฤต นี่ก็พูดกันตามที่พูดกันมา มีความหมายว่าอาบแล้วไม่ตาย อาบแล้วเป็นสุข อาบแล้วเยือกเย็น เอาความหมายอย่างนี้ ก็ขอให้รู้ว่าเหงื่อนั่นแหละคือน้ำอมฤต ถ้าจิตใจมันรู้จักเหงื่ออย่างถูกต้อง สติปัญญารู้จักเหงื่ออย่างถูกต้องแล้ว เหงื่อก็จะกลายเป็นน้ำอมฤตที่น่ารักที่สุด แต่เมื่อไม่รู้จักแล้วก็จะเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียด เกลียดชังที่สุด เหมือนที่คนโดยมากเขาเกลียดเหงื่อกัน เหงื่อเป็นเครื่องหมายของการกระทำหน้าที่ที่ควรกระทำแล้วอย่างถูกต้อง ถ้ามีเหงื่อมากเท่าไรก็หมายความว่ามีการกระทำที่ถูกต้องหรือที่ดีมาแล้วมากมายเท่านั้น ถ้าเหงื่อมันจะออกมาเป็นถังๆ มันก็หมายความว่าได้ทำความดี ความถูกต้อง หรืออย่างถูกต้องมาแล้วเป็นถังๆ เช่นเดียวกันนั้นมันเป็นเรื่องวัตถุ ผลทางวัตถุ อาตมายังอยากจะชี้ผลอีกส่วนหนึ่ง อีกประเภทหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง คือผลทางจิตใจ ว่าคนได้มีเหงื่อออกมาแล้วเท่าไร เขาก็จะมีความรู้เรื่องกระทำอย่างมากเท่านั้น เขาจะรู้จักสิ่งที่เขาผ่านมาแล้วเป็นอย่างดีในการทำหน้าที่จนออกเหงื่อ ความยากจนเขาก็รู้จักมันดี ความมั่งมีเขาก็รู้จักมันดี ความสุขความทุกข์เขาก็รู้จักมันดี ความไม่เที่ยงของสิ่งเหล่านี้เขาก็รู้จักมันดี ความทุกข์มันเกิดมาจากสิ่งเหล่านี้เขาก็รู้จักมันดี การขจัดความทุกข์ออกไปเสียได้ด้วยการทำหน้าที่ให้ถูกต้องเขาก็รู้จักมันดี แม้ที่สุดแต่ว่าอนัตตา อนัตตาถือเอาเป็นของเราไม่ได้ เขาก็รู้จักมันดี เงินทอง ข้าวของ เกียรติยศ บริวารชื่อเสียงอะไรต่างๆ ที่เขาแลกเอามาด้วยเหงื่อนั้น ครั้นมาบริโภคอยู่ตามสมควรแล้ว เขาก็รู้ว่ายึดถือเป็นของเราไม่ได้ ไม่ต้องมาใครสอน ไม่ต้องมีใครมาสอนมาบอกเขา เขาก็รู้ได้เองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอนัตตา ยึดมั่นถือมั่นเป็นของเราไม่ได้ หรือว่าตลอดเวลาที่เขาผ่านการงานมาด้วยเหงื่ออันมากมายนั้น เขามีธรรมะในการทำการงาน ธรรมะที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์มีเท่าไร แม้เขาจะเคยใช้มาแล้วทั้งนั้น แต่ธรรมะสำคัญที่สุด เช่นธรรมะสร้างชาติ สร้างคน สร้างตน ว่ามีอยู่ ๔ ข้อว่า สัจจะ ธรรมะ ขันตี จาคะ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยกเอามาเป็นหลัก ๔ ประการสำหรับให้ประชาชนยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ นี่มันก็มีอยู่ในพระคัมภีร์ว่า สัจจะจริง จริงต่อทุกสิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จริงต่อความเป็นมนุษย์ของตัวเอง อย่าให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ ธรรมะอดกลั้น อดทนอย่างเฉลียวฉลาด เอาชนะอุปสรรคให้ได้ เมื่ออดกลั้นอดทน เมื่อ เมื่อบังคับตัวเองแล้วมันต้องเจ็บปวด ก็ต้องมีขันตี คือความอดกลั้น อดทน เพื่อไม่ต้องอดกลั้นอดทนมากก็ระบายมัน ความชั่วเสียออกไปเรื่อยๆ ๆ ๆ เรียกว่าจาคะ สัจจะ ธรรมะ ขันตี จาคะ นั่นน่ะสำเร็จประโยชน์ทำให้สำเร็จประโยชน์ในหน้าที่การงาน ทั้งอย่างโลกๆ และอย่างโลกุตตระ คือจะไปนิพพาน แม้ปฏิบัติเพื่อไปนิพพานก็ต้องใช้สัจจะ ซื่อตรงต่อพระนิพพานและธรรมะบังคับตัวให้ประพฤติกระทำ เมื่อประพฤติกระทำเจ็บปวดมันก็ต้องขันตี คืออดทนได้ ระบายความชั่วร้ายออกไปเสียเรื่อย เรียกว่า จาคะ มันก็พอทนไหว พอทนทำไปได้ รักษาสัจจะไว้ได้ โอกาสหนึ่งก็ถึงซึ่งนิพพาน แม้จะเป็นธรรมะหมวดอื่น เช่น อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็ดี แม้ธรรมะสูงสุดที่เรียกว่าพละอินทรีย์ คือ ศรัทธา วิระยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็ดี ตลอดถึงโพชฌงค์ มันก็มีได้ เพราะการใช้ธรรมะ ๔ ประการนี้ เรียกว่า จะรอดตัวทางโลกก็ธรรมะ ๔ ประการนี้ จะรอดตัวทางธรรมะ ทางโลกุตตระ ก็เพราะธรรมะ ๔ ประการนี้ ธรรมะ ๔ ประการนี้จะปรากฏอย่างยิ่งแก่ผู้ที่กำลังอาบเหงื่อ หรือผู้ที่เคยอาบเหงื่อมาแล้ว หรือผู้ประสบความสำเร็จจากการอาบเหงื่อมาแล้ว เขาได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เขาได้ทำมาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ที่เขามีเหงื่อมากหน่อย ก็เคยมีสัจจะมาแล้ว มีธรรมะมาแล้ว มีขันตีมาแล้ว มีจาคะมาแล้ว เป็นต้น จึงถือว่าเหงื่อเป็นเครื่องหมายของการมีธรรมะทุกอย่างที่ควรจะมี เหงื่อคือสัญลักษณ์ของความมีธรรมะ เหงื่อแสดงว่าได้ผ่านสิ่งที่ควรผ่านมาแล้วอย่างดีเป็นการฝึกฝนที่ ที่สิ่งมีชีวิตต้องฝีกฝนจะเป็นคนหรือสัตว์ มันก็ต้องผ่านเหงื่อ ต้องมีเหงื่อ แล้วมันก็รู้จักเหงื่อ รู้จักการลุล่วงไปด้วยการอาบใช้เหงื่อ การมีเหงื่อ ถ้าจะพูดให้ดีแล้วการอาบเหงื่อก็คือการบำเพ็ญบารมี นี่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดอย่างเล่นลิ้นอีกเหมือนกัน พูดว่าการอาบเหงื่อนั่นแหละคือการบำเพ็ญบารมี บารมีแปลว่าการพยายามทำสิ่งที่ไม่เต็มให้มันเต็ม สิ่งใดมันยังพร่องอยู่ไม่ถึงขนาด พยายามทำให้มันเต็ม สิ่งนี้ก็เรียกว่าบารมี หรือการบำเพ็ญบารมี ฉะนั้นการอาบเหงื่อนั่นแหละคือการบำเพ็ญบารมี แต่เหงื่อที่ออกมานั่นแหละแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีบารมี เดี๋ยวนี้ชาวบ้านรู้จักเหงื่อนิดเดียว ไม่ได้รู้จักมากถึงขนาดที่ว่ามานี้ ชาวบ้านนั้นก็รู้จักว่าเหงื่อคือเงิน เงินคือเหงื่อ เหงื่อคือเงินเท่านั้นเอง เหมือนกับเด็กอมมือ เด็กอมมือมันรู้เท่านั้นเองว่าเหงื่อคือเงิน เงินคือเหงื่อ ออกเหงื่อเพื่อได้เงิน มันก็เลยติดอยู่ที่นั่น แล้วมันก็หลงเงิน จนว่าไอ้เงินนั่นแหละมันกัดเอา เงินนั่นมัน มัน กัดเจ้าของ ไอ้คนนี้มันเป็นคนโง่ คือ รู้จักแต่เพียงว่า เหงื่อคือเงิน เงินคือเหงื่อ มันเป็นคนโง่ เมื่อมันเป็นคนโง่ เงินนั่นแหละมันจะกัดเอาอย่างเจ็บปวด เลิกโง่กันเสียที อย่าถือว่าเหงื่อคือเงิน เงินคือเหงื่อเลยให้รู้จักกันว่า เหงื่อนั่นแหละเป็นสิ่งที่จะส่งเจ้าของเหงื่อไปสู่พระนิพพาน ดังหัวข้อที่กล่าวข้างต้นว่าเหงื่อ คือ น้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ มนต์แปลว่าความคิดหรือความฉลาด น้ำมนต์ คือ น้ำที่ประกอบไปด้วยความคิดหรือฉลาด เหงื่อนั้นคือน้ำที่ประกอบด้วยความคิดหรือความฉลาด มันก็จะส่งบุคคลนั้นให้ลุถึงที่หมายปลายทางอยู่เหนือความทุกข์ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงรู้จักสิ่งที่เรียกเหงื่อ กันเสียใหม่ว่าเหงื่อคือน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ พยายามอาบน้ำมนต์นี้อยู่จนตลอดชีวิต มันก็จะเป็นการก้าวหน้าไปตามครรลองคลองธรรมของพระธรรมอยู่ มีความสุข สวัสดี อยู่ทุกทิพาราตรีกาล