แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายในชุดพุทธธรรมนำสุขครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า พุทธบริษัทต้องเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน คำว่าพุทธธรรมนำสุขนี่ก็มีความหมายเต็มที่ หมายความว่า ถ้าไม่นำสุขมาให้ ก็ไม่ใช่พุทธธรรม ถ้าเป็นพุทธธรรมจริงก็ต้องนำสุขมาให้ แต่ว่าท่านทั้งหลายจะต้องทำให้สิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรมนั้นมีมา จึงควรจะศึกษาสิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรมให้เป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ในที่นี่อาตมาก็จะได้แสดงให้ทราบถึงการปฏิบัติ สิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรม สำหรับความเป็นพุทธบริษัทนั่นเอง จึงได้ตั้งชื่อหัวข้อการบรรยายนี้ว่า พุทธบริษัทต้องเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน พุทธบริษัททำงานสนุก เพราะเห็นว่าการงานนั้นคือการปฎิบัติธรรม ธรรมะนั้นเป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะนั้นย่อมนำสุขมาให้ ธรรมะนั้นช่วยให้เรารอดได้เป็น 2 ชั้นคือ รอดชีวิตอยู่ได้ และก็รอดจากอุปสรรค หรือความทุกข์ทั้งปวง จนไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย รอดชีวิตอยู่ได้นี้อย่างหนึ่ง รอดจากความทุกข์ทั้งปวง จนไม่มีความทุกข์เลยนี้อีกชั้นหนึ่ง พุทธบริษัทมองเห็นความจริงข้อนี้ จึงพอใจในการทำงาน นั้นก็คือความพอใจในความเป็นมนุษย์ของตน งาน คือการทำความเป็นมนุษย์ พอใจในความเป็นมนุษย์ก็คือ พอใจในการทำงาน
อยากจะให้ศึกษาต่อไปว่า ความพอใจ เป็นเหตุให้เกิดความสุข ถ้าไม่พอใจ มันก็ไม่มีทางที่จะมีความสุข ขอท้าให้ท่านทั้งหลายพิสูจน์ความจริงข้อนี้ว่า ถ้าเรามีความพอใจในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ให้ความสุข ถ้าพอใจในสิ่งที่เลว มันก็ให้ความสุขอย่างเลว ถ้าพอใจในสิ่งที่ดี ก็ให้ความสุขชนิดที่ดี เราจึงต้องพอใจให้ถูกที่ถูกทาง คือพอใจในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความดี ความเจริญงอกงาม ท่านทั้งหลายจะรู้สึกได้ด้วยจิตใจของท่านเองว่า ความจริงข้อนี้ มันเป็นอย่างนี้ จงสังเกตุดูจิตใจของตนเองที่เคยพอใจในอะไร แล้วมันก็เป็นความสุขอย่างไร ถ้าเกิดไม่พอใจขึ้นมาในสิ่งนั้นนั่นแหละ มันก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาอย่างไร เราจะเห็นได้ตั้งแต่จำความได้มาทีเดียวว่า ความพอใจเป็นเหตุให้เกิดความสุข เดี๋ยวนี้เราอาจจะทำความพอใจให้เกิดขึ้นได้ แม้ในการงาน ที่เรียกกันว่างานหนัก หรืองานที่เกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งสกปรก เน่าเหม็น หรือเป็นการงานที่ต้องกรำแดดกรำฝน เป็นต้น ถ้าเรารู้จักค่าของการงานถึงที่สุดแล้ว ความหนัก หรือ ความสกปรก หรือ การกรำแดดกรำฝนนั้น ก็จะหมดความหมายไปเอง
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปว่า ความพอใจนั้นเรียกเป็นบาลีว่า ปีติ ก็ได้ เป็นความอิ่มใจก็ได้ เป็นความพอใจก็ได้ ถูกอกถูกใจ ร่าเริงยินดีก็ได้ นี้เรียกว่า ความพอใจ ความพอใจหรือปีตินี่มันเป็นฐานรากของสมาธิ การที่จิตจะเป็นสมาธิได้ ต้องได้ความพอใจเป็นรากฐานเสียก่อน แม้ในการทำสมาธิ วิปัสสนา ก็ได้มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น ในการเป็นสมาธิ ย่อมประกอบอยู่ด้วย ปีติคือความพอใจ ปีติ เป็นองค์แห่งฌาณองค์หนึ่ง แม้ในธรรมะที่สูงขึ้นไปคือสัมโพชฌงค์ทั้งหลาย ก็ได้กล่าวถึงสติ มาก่อน ระลึกนึกถึงทุกสิ่งแล้ว ก็ วิจัย คือ เลือกว่าสิ่งที่เหมาะสมสำหรับจะทำ แล้วก็มี วิริยะ คือ การลงมือทำ แล้วต้องมี ปีติคือความพอใจ หล่อเลี้ยงวิริยะความเพียรนั่นไว้ จิตจึงจะสงบรำงับเป็นปัสสัทธิ แล้วจึงจะเป็น สมาธิ ครบถ้วนถูกต้อง แล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของธรรมะนั้นจึงเรียกว่า อุเบกขา สิ่งที่เรียกว่าว่าปีติ ความพอใจ หรือความอิ่มใจนี้ มันอิ่มได้ยิ่งกว่าอิ่มอาหาร ยิ่งกว่าอาหาร อิ่มใจนี่มันยิ่งกว่าอิ่มทางกาย อิ่มทางกระเพาะ ความอิ่มทางใจทำให้เกิดวิมุตติสุข อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วเสวยวิมุตติสุข ไม่ต้องฉันอาหารอยู่เป็นสัปดาห์ ๆ ให้เรียกว่าปีตินั้น หนุนให้เกิดความสุข มีกำลังแก่กล้าพอที่จะคลอบงำเสียซึ่งความเหน็ดเหนื่อย ลำบากตรากตรำ แม้กระทั่งว่าไม่กินอาหารทางกายก็อยู่ได้ด้วยอาหารทางใจคือปีตินี้ ในกรณีที่เราจะเอาปีติหรือความพอใจมาทำให้เกิดความสุขนี้ จะต้องพิจารณาดูให้เห็นชัดลงไปในความจริงที่ว่า ปีติหรือความพอใจในตัวเองนั้น ความพอใจตัวเองนั้น มันชอบใจตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง จนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ก็เป็นสุขแน่นอน และเป็นสุขชั้นสุดยอด และนี่ก็เป็นไปได้เองตามธรรมชาติ ตามธรรมชาตินะ ขอให้ดูให้ดี ๆ ใครกำลังยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็ลองทดสอบตัวเองดู ที่นั่งฟังกันอยู่นี้ ใครยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ายกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ มันก็ไม่มีปีติอันนี้ ไม่มีความพอใจอันนี้ แล้วจะเอาความสุขอันสูงสุดนั้นมาแต่ไหน ต้องทำอะไรให้ขนาดยกมือไหว้ตัวเองได้ มันก็คือการทำการงานที่ดีที่สุดนั่นเอง ความพอใจกับความสุขมันเป็นเกลอกัน ท่านทั้งหลายดูให้ดี อาตมากำลังกล่าวว่า ความพอใจกับความสุขนั้นมันเป็นเกลอกันนะท่านทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งสันโดษที่เรียกว่าเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ความสันโดษพอใจด้วยของมีอยู่ พอใจเท่าไรก็เป็นสุขเท่านั้น มีทรัพย์อย่างนั้น เท่านั้น
ทีนี้ก็ดูสำหรับพุทธบริษัทเรา ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมามากแล้วว่าพุทธบริษัทนั้นคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นในกรณีนี้ไม่ใช่ตื่นตกใจ แต่ว่าตื่นจากหลับ ความหลับเหมือนกับความโง่ เหมือนกับความบอด เราต้องตื่นจากหลับ คนตื่นกับคนหลับต่างกันอย่างไร ก็ดูเอาเอง เรามีความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ สำหรับทำให้ตื่นจากความโง่คือความหลับ ครั้นแล้วก็เบิกบาน เบิกบานนั่นแหละ คือความสุข หรือในตัวความเบิกบากนั้นมันมีความพอใจรวมอยู่ด้วย ไม่มีพุทธบริษัทไหนที่จะหลับ ถ้าหลับก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ไม่มีพุทธบริษัทที่โง่เขลา ซบเซา หลับไหล ไม่ว่าพุทธบริษัทนั้นจะเป็นใคร ถ้าเขาเป็นพุทธบริษัทจริง แล้วก็จะมีความรู้ มีความตื่น มีความเบิกบาน แม้เขาจะเป็นกรรมกรแบกหาม ทำงานหนักอยู่ก็ได้ เขาจะเป็นชาวสวนหรือเป็นชาวนา เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นครูบาอาจารย์ ก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเขาเป็นพุทธบริษัท เขาบูชาธรรมะยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าเหน็ดเหนื่อยเพื่อธรรมะเขาก็ยิ่งพอใจ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เขายกมือไหว้ตัวเองได้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะเป็นพุทธบริษัทกันนั่นเอง เป็นแต่ทะเบียน เป็นแต่ลงชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท แล้วก็ไม่มีความรู้ ไม่มีความตื่น ไม่มีความเบิกบาน มันจึงไม่ได้รับความสุขที่ควรจะได้รับจากธรรมะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าต้องไปสงสัยว่า กรรมกร ชาวสวน ชาวนา จะมีธรรมะในระดับนี้ได้อย่างไร ก็ขอให้มองเห็นให้ชัดลงไปว่า การทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม คือทำหน้าที่ของมนุษย์ ถ้าทำงานได้บริสุทธิ์ มันก็กำจัดกิเลสไปในตัว กำจัดความเหลวไหลไปในตัว กำจัดความทุกข์ไปในตัว เขาก็จะได้รับผลของการงานนั้นในด้านจิตใจที่สูงขึ้นไป คือมีความสุขที่แท้จริง เป็นพุทธบริษัทมีความสนุกเมื่อทำการงาน มันก็พอใจในการทำการงาน ก็ได้รับความสุขที่แท้จริง คือไม่ปลอม เป็นความสุขที่มาจากการทำการงาน คือการประพฤติธรรม ความสุขที่แท้จริงนี้ท่านดูให้ดี ท่านจะเห็นว่าเป็นการให้เปล่า ไม่มีใครคิดสตางค์ คิดค่าเป็นเงินเป็นทองเอาจากเรา ความสุขที่แท้จริงนั้น ธรรมชาติให้เปล่า ธรรมชาติให้เปล่า ๆ ธรรมชาติให้แก่เราเปล่า ๆ ขอแต่ให้เราประพฤติให้ถูก ให้ตรงตามกฎของธรรมชาติ อย่าไปฝืนกฎของธรรมชาติเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่า การทำงานนั้นคือการปฏิบัติธรรม ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ความสุขปลอมไม่ใช่ความสุข แต่ท่านทั้งหลายมันเรียกกันว่าความสุข สุขปลอมเป็นความเพลิดเพลิน คือทำเงิน ทำงานได้เงินมาแล้ว ก็ไปซื้ออบายมุข ไปซื้อกามารมณ์ จนเงินไม่พอใช้ จนต้องคดโกง จนต้องคอร์รัปชั่น จนต้องไปจี้ ไปปล้น จนต้องอันธพาล เต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง คนเหล่านี้หลงใหลในความเพลิดเพลินโดยคิดว่าเป็นความสุข จะเรียกว่าความสุขก็ได้ แต่มันเป็นความสุขปลอม ความสุขปลอมชนิดนี้ธรรมชาติคิดเงิน และคิดแพงมาก แพงจนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องทำชั่ว จนต้องตกนรกทั้งเป็น เช่นติดคุก ติดตาราง เป็นต้น สุขที่แท้จริงมาจากความพอใจในเมื่อทำงาน กำลังทำหน้าที่ของตนแล้วพอใจในความเป็นมนุษย์ของตน แล้วก็เป็นสุขโดยไม่ต้องใช้เงิน ทำงานทั้งวันเป็นสุขทั้งวัน ก็ไม่ต้องเลิกงานไปหาอบายมุขหรือกามารมณ์ ก็เลยไม่ต้องใช้เงิน พุทธบริษัทจะมีความสุขชนิดนี้ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่าคนจำพวกอื่น เพราะพุทธบริษัทมีอุดมคติว่า การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นก็คือทำให้ รอดชีวิตและ รอดจากความทุกข์ทั้งปวง
ท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท จงมีกันแต่ความสุขที่แท้จริง อย่าได้ไปหลงใหลในความสุขปลอมทั้งหลาย ซึ่งที่แท้ก็เป็นพียงความเพลิดเพลินเท่านั้นเอง อบายมุขทุกชนิดก็ดี กามารมณ์ทุกชนิดก็ดี เป็นเพียงความเพลิดเพลิน เป็นเหยื่อของกิเลส หลอกลวงคนโง่ให้หลงใหลเข้าใจไปว่าเป็นความสุข แต่ที่แท้มันก็เป็นเหตุแห่งความทุกข์ หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายจะเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วรู้จักเลือกเอาความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อกำลังทำงาน เป็นความสุขที่แท้จริงแล้ว เจริญอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ