แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมบรรยายในวันนี้อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า เห็นความเพลิดเพลินเป็นความสุข คนในโลกกำลังมีความคิดเห็นที่วิปริตผิดไปจากความจริง เรียกว่ามีความเห็นวิปลาส เห็นความเพลิดเพลินว่าเป็นความสุข จึงเกิดปัญหาขึ้นเพราะความเห็นผิดนั้น เห็นความเพลิดเพลินเป็นความสุข นี่ท่านเปรียบอุปมาไว้ว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว บางคนไม่เข้าใจคำพูดที่ว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เพราะไม่มีใครเคยเห็นกงจักรชนิดหนึ่ง ซึ่งหมุนเป็นซี่แล้วหมุน แล้วก็ฟาดฟันคนให้ขาดกระจุยกระจายไป ถ้าจะดูกันเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกับเลื่อย เลื่อยไม้ที่เขาเรียกกันว่าเลื่อยวงเดือน นั่นแหละคือจักรชนิดหนึ่งที่หมุนแล้ว ก็จะฟาดฟันไอ้สิ่งที่มากระทบนั้นให้ขาดกระจุยกระจายไป คำว่ากงจักรก็มีความหมายอย่างนั้น ดอกบัวก็มีกลีบเป็นซี่ๆ ถ้าดูไม่ดีดูไกลๆ อาจจะเห็นเป็นรูปกงจักร มีความสวยงามเป็นที่พอใจ คนโง่เห็นกงจักรสวยงามเป็นดอกบัว ก็เลยรับเอามาใส่ตัว จนเกิดความวินาศ
มนุษย์เราเห็นความเพลิดเพลินเป็นความสุข เพราะเขาพอใจในรสอร่อยของความเพลิดเพลิน มันเป็นความเพลิดเพลินของกิเลส มันก็เป็นความสุขของกิเลส ไม่ใช่ความสุขของมนุษย์ที่ถูกต้อง ขอให้เราดูกันให้ดีที่ว่าไอ้ความเพลิดเพลินนี้มันไม่ใช่ความสุข ความเพลิดเพลิน คือ ความรู้สึกที่กระตุ้นอารมณ์ของกิเลส ความเพลิดเพลินนี้มันเป็นความลุกโพรงๆ ความโพรงๆ ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นความสงบ เป็นความหยุด เป็นความสงบเย็น เรียกว่ามันต่างอย่างตรงกันข้ามก็ได้ ความเพลิดเพลินมันโพรงๆ แล้วปั่นป่วน ไอ้ความสุขแท้จริงนั้น มันหยุดนิ่งสงบเย็น แต่ก็มีทางที่จะลวงให้คนเข้าใจผิด คือเข้าใจตามอวิชชาความโง่เขลาของเขา ถ้าถูกใจแก่กิเลสของเขา เขาก็เรียกว่าความสุข จึงเอาความเพลิดเพลินมาเป็นความสุข ความเพลิดเพลินนั้น มันเป็นความหลอกหลอนที่ระบบประสาท ทำให้เกิดรสอันหนึ่งที่ระบบประสาทเป็นที่พอใจของกิเลส คือความรู้สึกธรรมดาสามัญของคนโง่ ความรู้สึกตามธรรมดาสามัญของคนโง่นี้ เราเรียกว่ากิเลส มันหลอนที่ระบบประสาทสำหรับรับอารมณ์ เอาความเพลิดเพลินเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ สำหรับความสงบนั้นมันไม่หลอน มันแสดงไอ้ความจริงที่เป็นความสงบ เป็นความสงบสุขเยือกเย็นลงไปจริงๆ เราจะรู้จักความแตกต่างของสิ่งทั้งสองนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความเพลิดเพลินนั้นเป็นความสุขหลอก ไม่ใช่ความสุขจริง ความสุขหลอกนี้ต้องจ่ายเงินซื้อหามา ความสงบสุขแท้จริงนั้นไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ต้องซื้อหามา เรียกว่าให้เปล่าๆ ช่วยจำไว้สักคำหนึ่งว่า ในพระพุทธศาสนานี้มีหลักเกณฑ์ที่ว่าพระนิพพานเป็นของให้เปล่า ไม่คิดสตางค์ หมายความว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงนั้นหามาได้โดยไม่ต้องใช้สตางค์ ไม่ต้องเสียสตางค์ ถ้าเป็นความสุขหลอกลวงเท่าไร ยิ่งจะต้องใช้เงินมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องระวังให้ดีในข้อที่ว่า อย่าให้ถูกหลอกด้วยความเพลิดเพลิน ความสุขหลอกกับความสุขจริงมันต่างกันอย่างยิ่งตรงที่ว่าอย่างหนึ่งต้องใช้เงินซื้อ อย่างหนึ่งไม่ต้องใช้เงินซื้อ ให้เปล่า
ทีนี้ก็จะมาดูกันถึงความสุขจริง คือความสุขจริงนี้คือความพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้รู้สึกว่าเรามีความถูกต้อง มีความปลอดภัย ความสุขจริงนี้หาได้เมื่อทำการงาน เมื่อกำลังทำการงานอยู่ ทำการงานได้ดี ได้มากและสนุกในการทำงาน แล้วก็มีความสุขอยู่ที่ความสนุกในการทำการงาน จนรู้สึกว่าการงานนั่นแหละคือตัวธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์นั้นก็คือการงานที่ทำให้มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ ถ้าจิตใจมันเป็นจิตต่ำ จิตธรรมดาเกินไปก็ไม่อาจจะรู้สึกอย่างนี้ คือจิตมันโง่เกินไป ไม่อาจจะรู้สึกอย่างนี้ จิตที่มีอวิชชาเกินไปไม่อาจจะรู้สึกอย่างนี้ จึงเอาไปปนกันได้ แล้วก็ไม่ชอบสิ่งที่จะเป็นของจริง เพราะไม่มีการประเล้าประโลมใจตามความต้องการของกิเลส
ถ้าว่าเรามีความรู้อย่างถูกต้องว่า การงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ เมื่อทำการงานรู้สึกว่าได้ปฏิบัติธรรมะเป็นบุญ เป็นกุศล หรือเป็นทุกอย่างที่มนุษย์ควรปรารถนา แล้วก็เกิดความพอใจในสิ่งนั้น ก็มีความสุขเป็นธรรมดา ความสุขต้องเกิดมาจากความพอใจเสมอ ถ้าสิ่งที่พอใจนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ความสุขนั้นก็ถูกต้อง ถ้าสิ่งที่พอใจนั้นเป็นความจริง ความสุขนั้นก็เป็นความจริง ถ้าผิดจากนี้ก็เป็นความเท็จ เป็นหลง เป็นความหลง ไปเอากงจักรมาเป็นดอกบัว
ดูกันให้ง่ายๆ อีกทีหนึ่งก็ว่าไอ้ความสุขหลอกลวงนั้นน่ะมันกัดเจ้าของ ในความสุขแท้จริงไม่กัดใคร ความสุขที่หลอกลวงสุขปลอมคือความเพลิดเพลินนั้นมันจะกัดเจ้าของ มันจะทรมานใจชนิดที่ไม่รู้สึกตัวบ้าง ชนิดที่รู้สึกตัวบ้าง กระทั่งทรมานซึ่งหน้า ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากลำบาก นี่เรียกว่าความสุขปลอมมันกัดเจ้าของ ความสุขแท้จริงไม่กัดเจ้าของ ความสุขปลอมนั้นจะทำให้เงินไม่พอใช้ จนต้องไปคดโกง ไปปล้น ไปจี้ ไปขโมย ไปประพฤติเลวทรามต่างๆ นานา เพราะว่าไปหลงในความสุขปลอม ส่วนความสุขจริงนั้น เงินมันจะเหลือเพราะมันไม่ต้องใช้เงิน ความสุขจริงทำให้ทำงานสนุก ทำงานได้มาก มีผลงานมาก เงินมันก็เหลือ เพราะว่ามันไม่ต้องใช้เงิน มันได้ความสุขอยู่ในการทำงาน
ท่านทั้งหลายมองเห็นอย่างนี้หรือเปล่า ท่านทั้งหลายกำลังเห็นอย่างนี้หรือเปล่าว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นมันมีอยู่เมื่อทำการงานในหน้าที่ของมนุษย์ จะเป็นชาวนา ชาวสวน พ่อค้า ข้าราชการ หรือเป็นคนชั้นต่ำ แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ แม้แต่ว่าแม่ค้ากำลังทอดขนมขายเหงื่อไหลไคลย้อย ถ้ามันมีความรู้ที่ถูกต้องพอจะเข้าใจถูกต้อง ก็จะพอใจในการที่จะทำนั้นว่า มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ คือเป็นการประพฤติธรรม แล้วก็พอใจ ก็มีความสุข มันก็เลยจะมีความสุขเมื่อทำงาน ไม่ต้องใช้เงินซื้อหาความสุขเหมือนคนส่วนมาก เอาเงินเดือนไปทำอบายมุข ด้วยคิดว่าเป็นความสุข ก็ยังไม่พอ ต้องคดโกง ต้องคอรัปชั่น ต้องไปจบชีวิตอยู่ในตะราง หรือว่าถูกฆ่าตาย
ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูข้อนี้ให้ดี อย่าได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว กงจักรนั้นอาจจะถูกเห็นเป็นดอกบัวได้ง่าย สำหรับคนโง่ สำหรับคนที่ดูอะไรอย่างผิวเผิน คิดอะไรอย่างผิวเผิน ในความหลอกลวงนั้น มันมีเสน่ห์ เสน่ห์มันอาจจะซ่อนอยู่ได้แม้ในความเจ็บปวด ที่คนเราทนความเจ็บปวดเพื่อเป็นทาสของกิเลส ไปหาเงินมาซื้อเหยื่อของกิเลส มีความเจ็บปวดทนได้ เพราะมันมีเสน่ห์ซ่อนอยู่ในความเจ็บปวด นี่คนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อโง่แล้ว ก็ไปเห็นแต่สิ่งหลอกลวงที่เป็นเสน่ห์ ไม่เห็นของจริงที่แสดงอยู่ตามที่เป็นจริง คิดดูเถิด คนทำชั่ว บางทีมันก็รู้อยู่ว่าทำชั่ว แต่มันบังคับไม่ได้ เพราะมันหลง หลงในเสน่ห์ของความชั่ว เขาเป็นคนทำชั่ว เช่น ข้าราชการทำคอรัปชั่นทั้งที่รู้อยู่ว่าจะต้องถึงกับถูกไล่ออกจากงาน นี่คิดดูเถอะว่าไอ้เสน่ห์ของความชั่วนี่มันอยู่ลึกเท่าไร แล้วมันกลับอยู่ลึกเท่าไร จนคนต้องหลงกระทำไปตามอำนาจของความโง่ นี่แหละคืออาการที่เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ท่านทั้งหลายอย่าได้ถือว่าเป็นคำพูดเล่นๆ เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยเป็นคำพูดเล่นๆ เลย จงเห็นตามที่เป็นจริงและกลัวให้มาก ระมัดระวังให้มากอย่าได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เดี๋ยวนี้เรามีระบบบูชาความเอร็ดอร่อยสนุกสนามเพลิดเพลิน ไปดูในบ้านในเมืองที่เรียกกันว่ามีความเจริญ มีความเจริญ เจริญด้วยอะไร ในเมืองหลวงนั่นแหละ ดูเถอะว่ามันเจริญด้วยอะไร มันเจริญอยู่ด้วยการเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเสียเป็นส่วนมาก มีระบบบูชาความเอร็ดอร่อย ความสวยงาม จนกระทั่งลืมตัว เอาความลามกอนาจารมาเป็นศิลปะ เอามาหลอกกันในนามของศิลปะหรือวัฒนธรรม ที่แท้เป็นเรื่องลามกอนาจาร เป็นทาสของกิเลสทั้งนั้น ดูให้ดีเถอะว่าที่พูดกันว่าแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมนั้น มีแต่แลกเปลี่ยนเหยื่อของกิเลสด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่าเขาบูชาความเอร็ดอร่อยจนกลายเป็นประเพณีหรือเป็นวัฒนธรรมไป ไม่มีใครที่เตือนใครเพราะว่ามันเหมือนกันหมด มันทำเหมือนๆ กันหมด มันโง่เหมือนกันหมด มันเลวเหมือนกันหมด มันเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเหมือนกันหมด มันก็ไม่ต้องมีใครติเตียนใคร มีแต่สนับสนุนเป็นไปในทางเดียวกันหมด
นี่ความที่ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์เพราะว่ามีความเห็นผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว สิ่งที่เขาคิดว่าจะทำเพื่อสันติภาพนั้น มันกลายเป็นทำเพื่อความเลวร้ายมากขึ้นในโลกทุกๆ ที เห็นความเอร็ดอร่อยสนุกสนานสวยงาม ซึ่งเป็นเพียงความเพลิดเพลินนั้นว่าเป็นความสุข เป็นความหลอกลวงอยู่ที่ระบบของประสาท ไม่ได้เป็นความสงบสุขอันแท้จริงอยู่ในจิตใจ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันทำความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือยุวชน ลูกเด็กๆ ของเรา ควรจะได้รับการอบรมที่ถูกต้องมาแต่อ้อนแต่ออกเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นเพียงความเพลิดเพลิน อะไรเป็นความสงบสุขที่แท้จริง อย่าให้ลูกเด็กๆ ของเราหลงสำคัญผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็ถึงขนาดที่ว่ากล่าวกันไม่ได้ ตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง มันไปเอากงจักรมาเป็นดอกบัวยิ่งขึ้นทุกที บิดามารดาเป็นผู้สร้างจิตสร้างวิญญาณของเด็กๆ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สร้างดวงจิตดวงวิญญาณของเด็กๆ ก็ได้สนใจในข้อที่อบรมสั่งสอนให้รู้ว่าอะไรเป็นกงจักร อะไรเป็นดอกบัว อะไรเป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง อะไรเป็นความสุขสงบเย็นที่แท้จริง ให้เขาดำรงตนอยู่ในทางที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะมีความสุขกันอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน