แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมในรายการพุทธรรมนำสุข หรือจะเรียกว่าธรรมะช่วยได้ในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า การทำงานคือการแสดงความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ช่วยฟังอีกครั้งหนึ่งว่า การทำงานคือการแสดงความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องของมนุษย์ การทำงาน คนเขารู้สึกกันว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง นี่มันก็มีความหมายเช่นนั้น เพราะว่าคนมันรู้จักแต่ปากแต่ท้อง มันรู้จักแต่เรื่องปากเรื่องท้องมันก็รู้สึกไปว่าการทำงาน คือ การหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ทำมันจะอดตาย มันจะยากจน เดี๋ยวนี้เรามาพูดกันอีกลักษณะหนึ่ง อีกนัยยะหนึ่ง อีกระดับหนึ่งทีเดียวว่า การทำงานนั้นคือการแสดงความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง มนุษย์มีหน้าที่ของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ การทำหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละ คือ การทำงาน การทำงานนั้นเพื่อให้ความเป็นมนุษย์มีอยู่ได้และเลื่อนชั้นเป็นลำดับ เป็นลำดับ สูงขึ้นไปจน กว่าจะถึงระดับสูงสุดและยังมีอีกความหมายหนึ่ง คือว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อื่นๆ ด้วยกัน ถ้าสรุปสั้นก็เหลืออยู่ว่า หน้าที่ของตัวเอง หน้าที่เพื่อประโยชน์ของตัวเองก็ทำสำเร็จ แต่หน้าที่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นก็ทำสำเร็จ ถ้าสำเร็จทั้งสองอย่างนี้แล้วเรียกว่าเขาทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ขอให้ทุกคนยอมรับรู้ว่าธรรมชาติไม่ได้จัดมาให้มนุษย์อยู่คนเดียวหรืออยู่แต่ฝ่ายเดียวไม่มีฝ่ายผู้อื่น ธรรมชาติมันจัดมาสำหรับมนุษย์อยู่ด้วยกันหลายๆ คน คือมีทั้งฝ่ายเราเองและฝ่ายผู้อื่น เราจะต้องยอมรับกฏของธรรมชาติอันนี้เหมือนกับเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าอันสูงสุด มนุษย์จะอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ คำนวณดูเอาเองว่าถ้าเขาจะยกสิ่งทุกสิ่งในสากลจักรวาลให้มาเป็นของเราแต่เพียงคนเดียวและให้เราอยู่คนเดียวในสากลจักรวาลนี้เราจะอยู่ได้อย่างไร จะอยู่ได้อย่างไรคิดดูให้ดี นอกจากจะอยู่ไม่ได้แล้วมันจะเป็นบ้าตายเสียด้วยซ้ำไป จึงต้องยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่า ธรรมชาติไม่ได้สร้างมนุษย์มาสำหรับอยู่คนเดียว แต่อยู่กันมากๆ แล้วก็เจริญรุ่งเรืองพร้อมกันไปเป็นโลกมนุษย์ที่ที่น่าดู ดังนั้น เราจึงมาหน้าที่ที่จะต้องทำให้ตรงตามกฏของธรรมชาติในข้อนี้ ที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่ของมนุษย์ในส่วนตัวเองก็ทำเสร็จ ทำหน้าที่ของมนุษย์ในส่วนเพื่อผู้อื่นก็ทำเสร็จ นี้เรียกว่าการปฏิบัติธรรม ใครทำหน้าที่ที่ไหนก็มีการปฏิบัติธรรมที่นั่น พูดได้เลยว่าไม่ต้องมาที่วัดก็ได้ ไม่ต้องมานั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่ที่วัดก็ได้ ทำนาอยู่ที่นา ทำสวนอยู่ที่สวน ค้าขายอยู่ที่ไหนก็ได้ แจวเรือจ้างอยู่ก็ได้ ถีบสามล้ออยู่ก็ได้ ขอแต่ให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ อย่างมนุษย์และมีความพอใจว่าได้ทำหน้าที่และก็มีความสุขอยู่ในการงานนั้น แม้ว่าจะเป็นคนถีบสามล้อแจวเรือจ้างก็มีการปฏิบัติธรรมเท่าๆ กันกับที่คนอย่างอื่น ประเภทอื่นเขาทำงานอย่างอื่นเพราะเขามีสติปัญญามาก เรามีสติปัญญาน้อย แต่ถ้าแจวเรือจ้างหรือถีบสามล้ออย่างดีที่สุด พอใจที่สุด เป็นสุขอย่างยิ่งอยู่ในการทำงานนั้นแล้วก็เรียกว่ามีผลเสมอกัน ทีนี้ก็จะให้ดูให้สูงขึ้นไปว่าการทำงานนั้นน่ะมันมีความประเสริฐหรือคุณค่าอันประเสริฐอย่างไร การทำงานนี้มีความหมายลึก คือว่าต้องทำงานจึงจะรู้ว่าคนนั้นคืออะไร ชีวิตนั้นคืออะไร ผิดถูกดีชั่วอยู่ที่ไหน เราต้องทำงานให้รู้จักผลได้ ผลเสีย กำไร ขาดทุน ความสุข ความทุกข์ จะได้รู้ว่าอะไรมันเป็นอย่างไร อยู่ตามที่เป็นจริง ถ้าเรามานั่งอ่านหนังสือ ไม่เคยทำงานแล้วก็รู้จักการงานเท่าที่อ่านหนังสือเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ว่าฉันรู้จักสิ่งที่เรียกว่าการทำงานด้วยการอ่านจากหนังสือ นั่นแหละมันเป็นคนโง่ คิดเอาเองว่าเอาเอง ตัดสินใจเอง ตามที่อ่านจากหนังสือ เขาจะต้องกระโดดลงไปทำงานเป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นคนแจวเรือจ้างอะไรก็ตาม เพื่อสัมผัสงานนั้นจริงๆ จึงจะรู้ว่าการงานนั้นคืออะไร ถ้าเขาฉลาดและสังเกตเรื่อยๆ ไปอย่างถูกต้อง เขาจะรู้ได้ว่าการงานนั้นน่ะมีไว้สำหรับการดำเนินไปสู่นิพพาน นิพพาน คือ สิ่งสูดสุดเหนือสิ่งทั้งปวง คนจะดำเนินไปสู่นิพพานได้ด้วยการทำการงาน ไม่ใช่ว่ามานั่งอ่านหนังสือหรือว่ามานั่งทำสิ่งที่มิใช่การงาน แม้ว่าจะมานั่งทำกรรมฐานมันก็เป็นการงาน แต่ก็คงจะเป็นคนโง่นั่งทำกรรมฐาน โดยที่ไม่เคยผ่านการงานมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่แรกมีชีวิตเกิดมาเป็นคน ที่จะต้องทำการงานตั้งแต่เป็นเด็กทารก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนเฒ่าคนแก่ ถ้าไม่ทำการงาน จะไม่รู้จักว่าชีวิต ในระดับนั้น ในระยะนั้นเป็นอย่างไร มันก็ไม่รู้เรื่องความทุกข์ มันก็ไม่รู้เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ภาวะที่เป็นความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ มันก็ไม่รู้จักความทุกข์เพราะมันไม่เคยผ่านชีวิตโดยแท้จริง คือการงาน จำเป็นที่จำต้องมีการงานให้ชีวิตเต็มไปด้วยการงาน และก็มีผลออกมาให้เห็นว่าสุขเป็นอย่างไร ทุกข์เป็นอย่างไร ผิดเป็นอย่างไร ถูกเป็นอย่างไร ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร โง่เป็นอย่างไร ฉลาดเป็นอย่างไร ต้องทำการงานจึงจะรู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งมีอยู่เป็นคู่ๆ รู้ได้เมื่อทำงานแล้วก็พอใจว่าความรู้ที่เพิ่มขึ้นๆ รู้ได้จากการผ่านมาด้วยชีวิตแท้จริง คือ ประกอบอยู่ด้วยการงาน เขาจะรู้ความหมายของคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะเขาเคยรู้มาแล้วว่าความสุข ความทุกข์เป็นอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร เดี๋ยวขาดทุนเดี๋ยวกำไร เป็นอย่างไร รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ มิเช่นนั้นมันก็ไม่มีทางจะรู้เรื่องความจริงของสิ่งทั้งปวงของสังขารของชีวิต เขาจะต้องเป็นคนหรือเป็นสัตว์ที่มีความคิดนึกมีความรู้สึกต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่การงานสำหรับ การงานช่วยให้เป็นการดำเนินไปสู่พระนิพพาน โดยผ่านทางการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การงานมีค่าสูงสุดถึงอย่างนี้ คือถึงกับว่าเป็นทางดำเนินไปสู่ความดับทุกข์หรือพระนิพพาน เอ้า ทีนี้มาดูกันถึงพวกเราคนสมัยนี้ไม่รู้สึกอย่างนี้ ไม่เห็นว่าการงานน่ะ มันมีความหมายอย่างนี้ มีคุณค่าอย่างนี้ คนทั่วไปรู้สึกว่าการงานนั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ มันเหนื่อย มันต้องเหน็ดเหนื่อยต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ และมันก็จัดว่าการงานนี่เป็นโชคร้าย เป็นเคราะห์กรรมอันเลวร้าย คือมันต้องเหนื่อย ถ้าไม่ต้องการ ถ้าไม่ต้องทำงานเพราะว่าโชคดี คนนี้เป็นเศรษฐี เป็นเทวดาไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องอาบเหงื่อกลายเป็นคนโชคดี หารู้ไม่ว่านั้นน่ะ มันคือทำให้โง่ เราจะต้องรู้ว่าไอ้การงานนั่นแหละจะนำไปสู่จุดสูงสุดของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต่ำต้อย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไร้เกียรติ แต่เป็นเกียรติสูงสุดที่ได้ทำการงาน แม้ว่าจะต้องแจวเรือจ้าง จะต้องถีบสามล้อ ถ้าเขาทำงานในหน้าที่นั้นให้ดี เขาก็จะได้รับสิ่งสูงสุด แล้วก็จะไม่เบื่อที่ในการที่จะต้องทำหน้าที่หรือทำการงาน ไม่เห็นว่าการออกเหงื่อเป็นสิ่งเลวร้าย ที่ขอให้พวกเราทั้งหลายทุกคนนี้มาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ ว่าการงานนั่นแหละ คือ การแสดงความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ซึ่งเราจะต้องแสดงให้ดียิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป เป็นการงานสูงสุดประสบความสำเร็จทั้งตัวเราเองและผู้อื่น ในที่สุดก็จะเห็นไอ้สิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริงว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างไร เกิดเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในโลกในสังขารทั้งปวงมีจิตน้อมไปสู่พระนิพพานได้อย่างไร เพราะการงานที่ได้ทำมาแล้วแต่หนหลัง ขอให้เราทุกคนเห็นการงานเป็นสิ่งสูงสุด การงานเป็นสิ่งที่มีเกียรติที่สุด และจะพูดว่าการงานนั้นเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด บางคนมันจะว่าบ้าแล้ว ว่าการงานเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด แต่ถ้าเขามองเห็นตามที่เป็นจริง ก็จะเห็นได้อย่างที่ว่ามาแล้วว่ามีค่าสูงสุดอยู่ในการงาน มีเกียรติสูงสุดของความเป็นมนุษย์อยู่ในการงาน ดังนั้น ต้องถือว่าการงานเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด แม้ว่ามันจะให้เราอาบเหงื่อต่างน้ำก็ตาม ที่พูดว่าการงานเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดนี้ ไม่ใช่แกล้งพูด ไม่ใช่พูดอย่างเล่นลิ้นหรือตลบแตลง ชวนหัวอะไรก็หามิได้ แต่หวังว่าท่านทั้งหลายจะมองเห็นว่าการงานนั่นแหละ เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด เป็นสิ่งที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องมี และมียิ่งๆขึ้นไปจนกระทั่งว่าการงานนั่นแหละคือชีวิต หรือว่าชีวิตนั่นแหละคือการงาน มองเห็นอยู่อย่างนี้แล้วก็จะเป็นสุขอยู่ในการงาน ไม่ต้องคดโกง ไม่ต้องทำคอรัปชั่น ไม่ต้องทำสิ่งเลวร้ายใดๆ เพราะมันมีความสุขเสียแล้วในการประกอบการงานอย่างถูกต้องของมนุษย์ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรี