แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมะบรรยายในรายการพุทธธรรมนำสุข หรือธรรมะช่วยได้ในวันนี้นี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว” ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว ดีสำหรับทุกคนจะดำรงตนให้มีความสุขได้ ดีคืออย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรารับเอาไม่ดี ใช้มันไม่ดี ก็เลยไม่ได้รับประโยชน์ตามที่ธรรมชาติกำหนดให้ ดังนั้นจึงขอพูดย้ำว่า สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้วสำหรับคนจะมีความสุขได้โดยแท้จริง แต่ว่าเราไม่ได้ใช้ให้ตรงตามนั้น เพราะว่าเราไม่ประสีประสาว่าธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร คืออะไร สร้างมาอย่างไร เราเหมือนกับคนตาบอดในเรื่องอันลึกซึ้งนี้
ทีนี้มันยังร้ายไปอีกว่า ไปใช้มันในทางที่ตรงกันข้าม คือเขาจัดมาให้สำหรับจะเป็นสุข เราใช้ไปในทางที่ตรงกันข้าม กลายเป็นทุกข์เต็มไปด้วยความทุกข์ เขาสร้างมาสำหรับได้สวรรค์มีสวรรค์ แต่เรากลับมาสร้างนรก สร้างเป็นนรก หรือเป็นอบาย เราฝืนธรรมชาติแห่งวิวัฒนาการ เราต่อต้านธรรมชาติสวนทางกับธรรมชาติเพื่อทำลายตัวเราเอง ที่ว่าธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว นี่หมายความว่าสร้างมาครบให้มีร่างกายที่เหมาะสมที่สุด ทุกคนพิจารณาดูเถอะว่าร่างกายนี่มันวิเศษอย่างไร ไม่สนใจไม่สังเกตก็จะไม่เห็น ใครลองเอาน้ำเทลงบนศีรษะทำไมน้ำจึงไม่เข้าไปในหูในจมูก เพราะว่าเขาสร้างมาดี ลองดูเถอะเอาน้ำเทลงบนศีรษะสักขันหนึ่ง มันก็ไม่เข้าไปในหูอย่างนี้เป็นต้น ทุกๆ อย่างทั้งภายนอกและภายในธรรมชาติสร้างมาดี สำหรับปฏิบัติหน้าที่ของอวัยวะส่วนนั้นๆ ระบบกลืนอาหาร ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบส่งไปเลี้ยงร่างกาย มันล้วนแต่ดีดีทั้งนั้น นี่ส่วนร่างกาย
ส่วนจิตใจเขาได้ใส่ธรรมชาติแห่งโพธิ คือธรรมชาติแห่งการรู้อะไรต่างๆ ได้มาให้ ใจสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่ละคนก็ไม่ได้ใช้จิตใจในลักษณะเช่นนั้น ไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ไม่ได้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ หรือถ้าไปรู้ก็รู้ผิดๆ สิ่งที่ควรจะรู้ให้ถูกก็กลายเป็นรู้ผิดๆ นี่เรียกว่า ไม่สมกับที่ว่าเขาสร้างจิตใจมาให้อย่างไร ผู้ที่มีความรู้ เขารู้และเขาถือกันเป็นหลักว่า ธรรมชาติแห่งโพธิมีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน จิตนั้นจึงสามารถรู้อะไรได้ ยิ่งถ้าไปอบรม บ่ม ที่เรียกว่าบ่มจิตใจ คือเจริญภาวนาด้วยแล้วก็ยิ่งรู้อะไรมาก รู้จนถึงที่สุด รู้จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เขาจึงกล้ากล่าวกันว่า ธรรมชาติแห่งพุทธะมีอยู่แล้วในจิตใจของสิ่งที่มีชีวิต ลดลงไปแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน ก็มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในจิตใจของมันด้วยเหมือนกัน หากแต่ว่ายังต่ำอยู่ ยังอ่อนอยู่ ยังดิบอยู่ เหมือนเมล็ดพืชพันธุ์ที่ไม่ได้เพาะ หรือว่าเพาะเพียงออกเป็นหน่อมาจากเม็ด มันยังไม่เป็นต้น ยังไม่เติบโต ยังไม่ออกใบออกดอกออกลูก แต่ถ้าเลี้ยงดูให้ดีมันก็จะออกใบออกดอกออกลูกเต็มตามที่ควรจะมี นี่เรียกว่าโดยจิตใจธรรมชาติก็สร้างมาดี
ในส่วนที่มีความหมายแห่งจิตใจ และในส่วนที่มีความหมายแห่งสติปัญญา จิตใจเราหมายถึงกำลังจิต คือจะมีจิตเข้มแข็งพอที่จะทำหน้าที่ของจิต ส่วนสติปัญญานั้นมีความรู้ มีปัญญา มีไหวพริบ มีปฏิภาณพอที่จะรู้อะไรได้ถูกต้องรวดเร็วทันทีอย่างนี้ เรียกว่าทางจิตใจก็สร้างมาดี ทั้งส่วนที่เป็นจิตและส่วนที่เป็นปัญญา แปลว่าร่างกายก็สร้างมาดี จิตใจก็สร้างมาดี สำหรับถึงที่สุดของความดี หรือความประเสริฐที่มนุษย์ควรจะได้รับ แต่แล้วทำไมมนุษย์ส่วนมากในโลกนี้ไม่ได้รับในสิ่งที่ควรจะได้รับ กลายไปช่วยกันสร้างสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง คือวิกฤตการณ์ ความยาก ความลำบาก ทนทรมานอยู่ในชีวิตนั้น
นี่คือข้อที่จะขอร้องให้พวกเรามองดูเป็นพิเศษว่า ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้วสำหรับจะดี ทีนี้คนมันไม่ได้ใช้ไปในทางที่จะทำให้ดี แต่ใช้ไปในทางที่จะให้ตรงกันข้าม เรียกว่าเราฝืนธรรมชาติ เราฝืนวิวัฒนาการของธรรมชาติ เราต่อต้านธรรมชาติเพื่อทำลายตนเอง ก็ลองคิดดูเถอะว่าเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาด เราฝืนธรรมชาติเพื่อทำลายตัวเราเอง
ทีนี้จะดูกันต่อไปว่าธรรมชาตินั้นคืออะไร มีอำนาจเฉียบขาดอย่างไรและเพียงไรด้วย ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราเป็นธรรมชาติด้วย และยังอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติด้วย เราไม่มองเห็นความจริงข้อนี้ จะเรียกว่าเป็นคนลืมตาหรือว่าเป็นคนหลับตา ถ้าถามว่าธรรมชาติคืออะไร มันตอบยาก คำอธิบายมันมาก สรุปสั้นๆ ก็ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ได้ในตัวมันเอง เรียกให้มันสูงขึ้นไปก็เรียกว่าสัจจะ สัจจะ คือของจริงของสิ่งที่มีอยู่ได้โดยตัวมันเอง มันไม่ต้องอาศัยใคร ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยอย่างอื่นก็ได้ นี่ธรรมชาติแท้จริง ไอ้ธรรมชาติที่ไม่แท้นั้นก็คือเป็นเพียงผลิตผลหรือปฏิกิริยาของธรรมชาติ แต่เราก็ยังเรียกว่าธรรมชาติอยู่นั่นเอง
เรื่องนี้เคยกล่าวไว้เป็นหัวข้อสั้นๆ จำง่ายว่า ตัวธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้อย่างหนึ่ง กฎของธรรมชาติที่ควบคุมธรรมชาติเหล่านั้นอยู่ นี่ก็อย่างหนึ่ง หน้าที่ที่จะต้องทำตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็อย่างหนึ่ง ผลต้องเกิดขึ้นมาโดยแน่นอนจากการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้น เป็นสี่ความหมาย หรือสี่ขั้นตอนอย่างนี้ รวมเรียกได้ด้วยกันทั้งหมดว่าธรรมชาติมีอำนาจเฉียบขาด ราวกับเป็นพระเจ้าสูงสุด มันไม่เชื่อฟังใคร เฉียบขาดไปตามกฎของธรรมชาติ เฉียบขาดยิ่งกว่าสิ่งใดที่มนุษย์รู้จักกันอยู่ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เรียกว่าเฉียบขาดนั้นดูไม่มีหรอก เพราะมนุษย์ยังรวนเร ยังกินสินบน มันก็เฉียบขาดไปไม่ได้ แม้แต่พระเจ้าบางชนิด ก็ยังกินสินบนให้คนบูชา บวงสรวงอ้อนวอนแล้วก็ช่วยทำอะไรให้ได้ พระเจ้าอย่างนี้ยังกินสินบน ไม่เรียกว่าเฉียบขาด แต่ว่ากฎของธรรมชาตินั้นเฉียบขาด ไม่เห็นแก่หน้าใคร ควรจะถือเอากฎของธรรมชาตินี่แหละว่าเป็นพระเจ้า เนื้อหนังของเราทั้งตัวเป็นตัวธรรมชาติ แล้วมีกฎธรรมชาติควบคุมเนื้อหนังทั้งตัวของเราอยู่ เนื้อหนังทั้งตัวของเรามีหน้าที่ที่จะต้องบริหารกายให้ถูกต้อง บริหารจิตให้ถูกต้อง และก็ได้รับผลเต็มตามที่ธรรมชาติจะมีให้ พระเจ้าตามธรรมชาติจะมีให้ ถ้าเรามองเห็นความจริงข้อนี้ว่าธรรมชาติมีอยู่อย่างนี้ เราโง่ต่อธรรมชาติ ใช้ธรรมชาติไปในทางผิด เราก็จะรู้สึกว่า แหม เรานี่มันช่างโง่เสียจริงๆ คือมันช่างมีอวิชชามากเกินไปเสียจริงๆ แล้วความเป็นพุทธบริษัทของเราก็เป็นหมันสูญเปล่าอย่างน่าละอาย
ท่านทั้งหลายจะฟังออกหรือไม่ฟังออกก็ไม่ทราบ อาตมาพูดว่าความเป็นพุทธบริษัทของคนชนิดนั้นมันเป็นหมัน มันเป็นของสูญเปล่าอย่างน่าละอาย เพราะไม่ได้รับประโยชน์โดยแท้จริงสมกับที่ธรรมชาติเขาจัดมาไว้ดีแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนรู้สึกละอายกันในข้อนี้แล้วประพฤติตนกันเสียใหม่เรียกร้องเอาความเป็นพุทธบริษัทอย่างถูกต้องกลับคืนมา พุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน บริษัทแปลว่า หลายคนนั่งกันเป็นวงล้อมรอบวัตถุประสงค์อันใดอันหนึ่งอยู่ ในที่นี้ก็คือล้อมรอบวัตถุประสงค์คือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง เรามี ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครบถ้วนอยู่ในจิตใจเราก็มีความเป็นพุทธบริษัทที่ไม่เป็นหมัน ความรู้ของพุทธบริษัทนั้นจะรู้จักธรรมชาติว่าชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว สำหรับจะมีความสุขตามลำดับ ตามลำดับขึ้นไปจนถึงระดับสุดท้าย เราไม่รู้ เราก็ใช้ไม่ได้ ยังแถมรู้ผิดใช้ไปในทางผลตรงกันข้าม จึงสูญเสียความเป็นพุทธบริษัทไปอย่างน่าละอาย ละอายแก่ใคร ละอายแก่ผู้รู้ก็ได้ ละอายแก่สัตว์เดรัจฉานที่มันมีความทุกข์น้อยกว่าคนก็ได้ ในกรณีที่คนมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็ควรจะละอายสัตว์เดรัจฉาน ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนนั้นมันไม่รู้เรื่องของธรรมชาติเอาเสียเลย ขอให้เราลืมตารู้จักธรรมชาติในข้อที่ว่าชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว แล้วเราจงรับเอาความดีหรือคุณสมบัติอันนี้มาศึกษามาประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องไม่มีความทุกข์ใดๆ มาแผ้วพานได้ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ