แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมบรรยายในวันนี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ทำงานให้สนุกเหมือนผีเสื้อ ทำงานให้สนุกเหมือนผีเสื้อ บางคนจะงง หรือบางคนอาจจะคัดค้านอยู่ในใจ ขอให้เราได้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้พอสมควร จะพูดถึงคำว่า การงานเสียก่อน ท่านทั้งหลายก็รู้จักดีแล้วว่า การงานคืออะไร และกำลังทำการงานอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่บางคนทำงานอยู่ด้วยความระทมทุกข์ ทรมานใจ เพราะไม่อยากทำงาน เพราะเห็นว่ามันเหนื่อย แต่มีคนอีกจำพวกหนึ่งทำงานอยู่ด้วยความพอใจ ไม่ทุกข์ทนทรมานใจแต่ประการใด กลับสนุกสนานเพลิดเพลินในการงาน แต่ว่าเมื่อดูกันทั่วๆ ไปแล้วส่วนใหญ่จะเรียกว่า ๙๐% หรือ ๙๙ % ก็ไม่แน่ เขาไม่เห็นสนุกในการทำงาน เขารู้สึกเบื่อ เพราะว่ามันเหนื่อย เพราะว่ามันไม่ได้ใช้กิเลส เพื่อความเพลิดเพลินตามความต้องการของเขา เขาทนทรมานทำงานเพื่อหาเหยื่อให้แก่กิเลส เขาชอบใจที่ได้สนุกสนานตามกิเลส แต่ไม่ชอบใจในการงานที่จะทำหาเหยื่อเพื่อกิเลส มันขัดขวาง หรือมันสวนทางกันอยู่อย่างนี้ มันจึงเกิดเป็นปัญหาขึ้น ถ้าอย่างไรเราควรจะหาวิธีที่ทำให้การงานนั้นเป็นความสนุกสนาน เพลิดเพลินและพอใจ จึงให้หัวข้อสำหรับพูดในวันนี้ว่า ทำงานให้สนุกเหมือนผีเสื้อ
งาน งาน หรือการงานนั้นคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต บรรดาสิ่งที่มีชีวิตนับตั้งแต่ต้นไม้ขึ้นไปถึงสัตว์เดรัจฉานถึงมนุษย์ ล้วนแต่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เพื่อดำรงชีวิต การงานจึงเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นท่านจึงถือกันว่าคุณค่าของชีวิตก็คือการงาน เพราะว่าชีวิตนี้มันอยู่ได้ด้วยการงาน ค่าของชีวิตก็คือการงาน หรือว่าศักดิ์ศรีของชีวิตก็คือการงานนั่นเอง ชีวิตที่ไม่มีการงานถือว่าเป็นชีวิตเลว ไม่มีศักดิ์ศรีอะไร
ขอให้เรามองดูกันในข้อนี้ให้ดีๆ งานคือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำ ท่านเรียกหน้าที่ของชีวิตนี้ว่า ธรรมะ หรือ การปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นก็เพื่อให้รอด เพื่อให้รอดนี้ มันต้องตั้งต้นไปตั้งแต่รอดชีวิตเพื่อมีอะไรกินมีอะไรใช้ มีที่อยู่ที่อาศัยให้ชีวิตรอด นี่ก็เรียกว่าทำหน้าที่ของชีวิต เป็นการปฏิบัติธรรมในระดับต้น แล้วก็ทำให้สูงขึ้นไปจนถึงระดับสูง
การงานจึงเป็นคุณค่าของชีวิต เป็นศักดิ์ศรีของชีวิต และเป็นหน้าที่โดยตรง ผู้ใดทำการงาน ผู้นั้นควรได้รับการยกย่องสรรเสริญว่า มีการกระทำที่ถูกต้อง แต่คนโง่ ขออภัยใช้คำอันค่อนข้างจะหยาบคาย เพราะคนโง่มันมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ คนโง่ก็ไม่อยากทำงาน ทำงานด้วยความจำเป็น จำใจ ก็เกลียดการงาน เหมือนกับว่ามันเป็นข้าศึกศัตรู อย่างนี้แล้วมันจะเจริญได้อย่างไร ส่วนคนฉลาดผู้มีปัญญาเป็นวิญญูชนนั้นเขามองเห็นว่าอันนี้มันคือสิ่งที่มีค่าหรือเป็นศักดิ์ศรีของชีวิตของมนุษย์เรา จึงไม่เกลียดการงานแต่รักการงาน บูชาการงาน ยกย่องการงาน เพราะเป็นหน้าที่ของมนุษย์โดยตรง กระทั่งมองเห็นว่าจะเป็นหน้าที่ในระดับไหน ก็เป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์เหมือนกันหมด เป็นธรรมะของมนุษย์เหมือนกันหมด จะเป็นการงานชาวทำนาของชาวนา ทำสวนของชาวสวน การงานของพ่อค้า ของข้าราชการ ของคนที่เป็นใหญ่เป็นโต ลงมากระทั่งถึงว่าการงานของคนกวาดถนน คนแจวเรือจ้าง คนล้างท่อถนน คนที่อาบเหงื่ออยู่วันยังค่ำ
การงานทุกชนิดเป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์ มีคุณค่าเสมอกันในด้านจิตใจ ในด้านธรรมะ แต่ถ้าโลกสมมุติแล้ว เขาสมมุติกันไปอย่างหนึ่งว่า ที่ไม่ต้องอาบเหงื่อนั่นแหละดีหรือสูง จะต้องอาบเหงื่อกลายเป็นยาจกเข็ญใจ เป็นงานชั้นต่ำชั้นเลว ไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย นี่มันเป็นเรื่องของคนที่มอง คนฉลาดก็มองเห็นอย่างหนึ่ง คนโง่ก็มองเห็นอีกอย่างหนึ่ง คนฉลาดมองเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริง คนโง่ก็ย่อมจะมองเห็นตรงกันข้ามจากความเป็นจริง ดังนั้น คนโง่จึงมองการงานผิดไปหมด คนฉลาดก็มองการงานถูกต้องไปหมดเหมือนกัน คนฉลาดจึงมีจิตใจกระหยิ่มที่จะทำการงาน มีความทะเยอทะยานที่จะทำการงานเพราะเห็นเป็นความถูกต้อง คนฉลาดจึงทำงานสนุก ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะว่ายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งพอใจ ยิ่งพอใจมันก็ยิ่งกลบความเหน็ดเหนื่อยไม่ให้รู้สึก ความพอใจจะกลบไม่ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กลบความเหน็ดเหนื่อยเสียไม่ให้รู้สึก
ดังนั้น คนที่มีธรรมะเป็นสัตบุรุษ จึงพอใจในการทำการงาน อาตมาอยากจะกล่าวตามความสังเกตของตนว่า เมื่อหลายสิบปีมานี้ ชาวนาทำนาด้วยความพอใจ สนุกสนานอยู่กับนา อยู่กับวัวกับควายกับนา ตั้งแต่เช้าจนสาย กระทั่งลืมกินข้าวเพราะว่ามันสนุกในการทำงาน เพราะจิตใจมันไม่ฟุ้งซ่านเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งมีจิตใจฟุ้งซ่านแล่นไปในทางที่จะหาความสนุกสนาน เพลิดเพลิน หลอกลวงทางอายตนะ จึงไม่สนุกในการทำงาน ทนทำงานเหมือนกับว่าตกนรกอยู่ทีเดียว ไม่มีความสุขอยู่ในการงาน แต่คนฉลาดมีความสุขอยู่ในการงาน ไม่ต้องขายข้าวเปลือกไปซื้ออบายมุข เพราะว่าเขาหาความสุขได้เสียแล้วในการทำการงาน คนฉลาดจึงทำงานได้มาก เหลือกินด้วย แล้วก็เหลือใช้ด้วย แล้วก็เหลือเก็บอีกด้วย เอามาใช้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ ตลอดเวลามีความเย็นอกเย็นใจอยู่ในการทำการงาน เป็นสุขอยู่ในการทำการงาน จึงทำได้มาก แล้วไม่ต้องไปจ่ายเงินเพื่อซื้อหาเหยื่อของกิเลสมาหลอกตัวเองเหมือนคนโง่ นี่เรียกว่ามีความสุขอยู่ในการงาน ให้มองเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นสิ่งที่อาจจะหาได้จริง คือหาพบความสุขจากตัวการกระทำงาน การทำการงานตามหน้าที่ของตน เหงื่อนั้นมันก็เลยกลายเป็นน้ำ น้ำอมฤตดีกว่า อันเยือกเย็น อาบรดบุคคลนั้นให้เยือกเย็น เหงื่อนั้นแหละ จะกลายเป็นน้ำอันแสนจะเยือกเย็น อาบรดคนนั้นให้เยือกเย็น เพราะเขาเป็นคนฉลาด ส่วนคนโง่ก็ออกเหงื่อสักนิด เขาก็เกลียดชัง เขาก็คิดไปในทางที่ไม่ชอบ คิดแต่จะมามัวทำงานอยู่ทำไม ไปขโมยดีกว่า แล้วเขาก็ทิ้งการงานไปเป็นขโมยอย่างนี้เป็นต้น หาความสุขไม่ได้แม้แต่นิดเดียวในขณะที่ทำงาน มีแต่การทนทุกข์ ส่วนคนฉลาดนั้นมีความสุข พอใจอยู่ตลอดเวลาที่ทำงาน ตรงนี้ขอให้สนใจสังเกตเป็นพิเศษว่า ความสุขหาได้แม้ในขณะที่กำลังทำงาน เหงื่อไหลอยู่ท่วมตัว ถ้าเข้าใจข้อนี้ไม่ได้แล้ว ท่านจะไม่อาจเข้าใจคำว่าทำงานให้สนุกเหมือนผีเสื้อ
ทีนี้เราก็จะพูดถึงคำว่าทำงานให้สนุกเหมือนผีเสื้อ นี้เป็นอุปมา เป็นอุปมาเท่านั้นแหละ จะให้เอาอย่างแต่ไม่เอาเยี่ยง ให้เอาเยี่ยงแต่ไม่เอาอย่าง อันนี้ก็ก็แล้วแต่จะพูดมันเป็นอุปมาเท่านั้น คือมันมีคติหรือมีทิฏฐานุคติ ที่มองเห็นได้ เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ คือเราดูผีเสื้อที่ทำงาน ผีเสื้อนั้นมันทำงานไปพลาง สนุกไปพลาง เพราะว่าผีเสื้อนั้นมันเที่ยวหาน้ำหวานในดอกไม้ เที่ยวชมดอกไม้ไปพลาง ดูดน้ำหวานในดอกไม้ไปพลาง นั่นแหละคือการทำงานของมัน การทำงานของผีเสื้อจึงเต็มไปด้วยความสวยงาม เบิกบาน และเป็นสุข เหมือนกับว่าเที่ยวชมโลกอันเป็นสุขไปพลาง แล้วการกระทำนั้นก็กลายเป็นการได้อาหาร การได้มาซึ่งอาหารนั่นเลี้ยงชีวิต
ที่ว่าสนุกก็หมายความว่ามันน่าเพลิดเพลิน ที่มันเป็นสุข ก็คือว่าไม่เป็นทุกข์ ไม่ลำบาก หาความสุข หาความสนุก พร้อมกันไปในตัวในการงาน นี่ถ้าเราเอาอย่างผีเสื้อ เราก็รู้จักทำจิตของเราให้เป็นสุข สนุกเมื่อทำงาน แล้วก็ทำงานไปพลาง มันก็มีผลอย่างเดียวกัน คือทำงานไปพลาง เป็นสุขไปพลาง สนุกไปพลาง แม้ว่าคนเราจะต้องจับจอบ ปั้นดิน เหงื่อไหลไคลย้อยเป็นชาวนา แต่ถ้าจิตใจมันสงบเย็น มันเห็นการทำงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม มันก็เป็นสุขในจิตใจได้ในขณะที่ทำงานมีเหงื่อท่วมตัว
ผีเสื้อ เรารู้ไม่ได้ว่ามันจะมีเหงื่อท่วมตัวหรือไม่ แต่ดูแล้วมันก็ไม่ถึงกับว่าต้องมีเหงื่ออะไร เพราะมันเป็นงานที่ว่าทำไปตามสบาย เที่ยวบินไปดอกไม้ ตามดอกไม้ดอกนั้นที ดอกโน้นที ล้วนแต่ดูดน้ำหวานหรือหาอาหาร มันมีความสุขในการงานอย่างยิ่ง ถ้ามนุษย์เรารู้จักทำใจเสียสักหน่อยหนึ่งเท่านั้นแหละ สักอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ รู้จักทำใจดีเสียสักอย่างหนึ่งเท่านั้น การงานก็จะกลายเป็นความสุข เช่นเดียวกับว่าความสุขของผีเสื้อ
ใจความมันอยู่ที่ว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม เมื่อรู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข ดังนั้นจึงมีความสุขเมื่อทำการงานได้เหมือนกับผีเสื้อ เดี๋ยวนี้พวกเราจะสามารถทำความฉลาดกันถึงขนาดนั้นไหม จะทำจิตใจให้มองเห็นลึกซึ้งถึงขนาดนั้นไหม ถ้าเราทำได้จะดีไหม ถ้าเราทำได้ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง เพราะจะมีชีวิตที่เป็นสุขตลอดชีวิตทีเดียว ขอให้เราทั้งหลายมีหลักเกณฑ์อย่างนี้ เรามีการบังคับตัวเองให้ทำได้อย่างนี้ จนเราพอใจตัวเองว่าทำได้อย่างนี้ เคารพชีวิตหรือการงานของเราพร้อมกันไปในตัว แล้วก็มีความสุข เพราะความพอใจนั้น
ท่านทั้งหลายพิจารณาดูสักหน่อยก็คงจะเห็นได้ว่า การกระทำอย่างนี้ มันละเอียดลึกซึ้งสุขุมอยู่ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นศิลปะก็ได้ ศิลปะคือสิ่งละเอียด ประณีต สุขุม ทำยาก แต่ถ้าทำได้แล้วมันมีผล สุขุม ละเอียดประณีตเกินคาด ดังนั้นการจะมีชีวิตอย่างนี้ จะมีความสุขอยู่ในการงานแบบผีเสื้อนี้ มันก็เป็นศิลปะอยู่มาก เป็นศิลปะสูงสุด เป็นศิลปะที่บริสุทธิ์ คือไม่หลอกลวงใคร ก็ต้องถือว่ามันเป็นเคล็ด มันเป็นเคล็ดลับที่คนทั่วไปมองไม่เห็นและทำไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเคล็ด
สิ่งที่เรียกว่าเคล็ดนี้มันก็หมายความว่าไม่ได้เปิดเผย ไม่ได้ง่ายๆ มันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งจะต้องคลำให้ดี ค้นคว้าให้ดี สังเกตให้ดี จึงจะพบสิ่งที่เรียกว่าเป็นเคล็ด ศิลปะกับเคล็ดนี้ มันก็คล้ายๆกัน มีความหมายคล้ายๆ กัน คือว่ามันอยู่ลึก จะเรียกว่ามันเป็นทางลัด ทางลัดก็ได้ คือมันไม่ได้ไปตรงๆ มันตัดลัดไปอย่างลึกซึ้ง จะเรียกว่ามันเป็นทางลับก็ได้ ทางลับคือทางที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเดิน เป็นหนทางที่ไม่ค่อยมองเห็น ไม่รู้จักเดิน มันก็เป็นทางลับ เป็นทางลัด เป็นทางลับ เป็นศิลปะเป็นเคล็ดอันลึกซึ้ง แต่แล้วมันก็มีผลเกินคาด มีผลเกินคาด นั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะเป็นเช่นนั้นเอง ธรรมะคือหน้าที่ที่เราจะต้องมีศิลปะ มีเคล็ด มีความลับ ธรรมะคือหน้าที่นั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง
ขอให้เรารู้จักเคล็ดของธรรมะ ของชีวิต ของความเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะสามารถมีชีวิตชนิดที่มีความสุขสนุกอยู่ในการงาน เรียกว่าทำการงานสนุกเหมือนผีเสื้อ ทำการงานสนุกเหมือนผีเสื้อ ไม่เสียเปรียบกัน นับว่าเป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์ที่เฉลียวฉลาดเพียงพอแล้ว
หวังว่าท่านทั้งหลายได้ฟังแล้วจะนำไปพินิจพิจารณาดูให้ดี ใช้ประโยชน์อันนี้ให้ได้ คือให้มีความสุขจากการงานเหมือนผีเสื้อแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ