แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมะบรรยายในวันนี้จะกล่าวโดยหัวข้อว่า หนทางมี แต่ไม่เดิน หนทางมีแต่ไม่เดิน เกี่ยวกับข้อนี้จะต้องมองดูมาจากสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิตของคนเรา คนเรามีชีวิต หลายสิ่งหลายอย่างมีชีวิต คำว่าชีวิตนี้หมายถึงความเป็นอยู่อย่างมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเรียกว่า คน ชีวิตคน แต่ว่าชีวิตชนิดไหนก็ตาม เป็นสิ่งที่เดินทาง เป็นสิ่งที่กำลังเดินทาง เป็นสิ่งที่ต้องเดินทาง ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่เดินทาง หมายความว่า ไม่คงที่ ไม่อยู่กับที่ ไม่หยุดอยู่กับที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นและสูงขึ้น ชีวิตนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินทาง มิฉะนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไร มันจะเป็นชีวิตที่ไม่เป็นชีวิต คือเป็นชีวิตที่เลวที่สุด จะต้องสูญเสียชีวิต จึงขอให้ใคร่ครวญให้ดีว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นๆ นั่นแหละเรียกว่ามันเดินทาง
ทางที่ชีวิตจะเดินหรือจะเปลี่ยนแปลงไปนี้ สามารถเรียกกันว่า วิวัฒนาการ การที่วิวัฒน์คือเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มนุษย์เรามีผู้วินิจฉัยแล้วให้ความคิดกันไว้เป็นสองอย่าง คือพวกหนึ่งเขาถือว่าชีวิตนี้ พระเจ้าสร้าง อีกพวกหนึ่งถือว่าชีวิตนี้เป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าที่ไหนสร้าง พวกที่เขาถือว่าชีวิตนี้พระเจ้าสร้าง เขาก็มีวิธีปฏิบัติตามแบบของเขา แต่มีหลักว่า แล้วแต่พระเจ้าจะฝืนความต้องการของพระเจ้าไปไม่ได้ จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้าจะโปรดให้เป็นไปอย่างไร เขามีหน้าที่เพียงอ้อนวอนพระเจ้า ถ้าอย่างนี้เราก็ไม่เรียกว่าเป็นการเดินทางของชีวิตตามกฎของธรรมชาติ
แต่เราชาวไทยนี้อยู่ในบุคคลที่ถือพุทธศาสนา ถือว่าชีวิตนี้เป็นวิวัฒนาการไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นลำดับมาของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง ชีวิตมีวิวัฒนาการ เรามีหน้าที่ที่จะช่วยให้วิวัฒนาการนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง เราจึงศึกษาธรรมชาติ ศึกษากฎของธรรมชาติ ศึกษาหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ศึกษาผลอันเกิดมาจากหน้าที่นั้น แล้วเราก็สามารถกระทำให้เกิดความถูกต้องในกระแสแห่งวิวัฒนาการ ชีวิตที่มีวิวัฒนาการชนิดนี้เรียกว่าเดินทางไปอย่างถูกต้อง จะมองเห็นชัดว่าวิวัฒนาการนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมได้โดยมนุษย์ผู้มีสติปัญญา ควบคุมได้โดยธรรมะที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประกอบกันเข้ากับชีวิต เพื่อให้ชีวิตเดินถูกทางนั่นเอง
ขอให้มองดูให้เห็นในข้อที่ว่า ในชีวิตนี้มันจะวิวัฒนาการ จะมีวิวัฒนาการ คือการเดินทาง มนุษย์มีสติปัญญาพอที่จะศึกษาธรรมชาติอันเป็นปัจจัยอย่างยิ่งของวิวัฒนาการ ควบคุมวิวัฒนาการนั้นให้เป็นไปแต่ในทางที่ถูกที่ควร อย่าให้ย้อนกลับ หรือเป็นไปในทางที่เลวร้าย สรุปความว่าชีวิตเป็นวิวัฒนาการที่ต้องควบคุม ควบคุมด้วยความรู้ในเรื่องของธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงที่เรียกว่าความรู้เรื่องธรรมะ เพื่อให้มันเดินถูกทาง
ทีนี้ก็มาดูกันถึงคำว่าทาง คำว่าทางนี้ก็เป็นภาษาธรรมดา ถนนหนทางสำหรับเดิน เดินไปสู่จุดหมายแห่งใดแห่งหนึ่ง คำว่าธรรม ธรรมะนี้ก็มีความหมายเหมือนกับทาง คือเป็นกระแสแห่งความถูกต้องที่มนุษย์จะต้องเดินไป ธรรมะจึงเป็นตัวทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วย ความเห็น ความรู้ ความเชื่ออันถูกต้อง ความปรารถนาถูกต้อง การพูดจาถูกต้อง การกระทำถูกต้อง การดำรงชีวิตถูกต้อง การพากเพียรพยายามถูกต้อง มีสติถูกต้อง มีสมาธิ คือความตั้งมั่นแห่งจิตถูกต้อง รวมความถูกต้อง ๘ ประการนี้เข้าด้วยกันแล้วเรียกว่า ทาง หรือเรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือทาง
ธรรมในภาษาอื่น เช่น คำว่า เต๋า เป็นต้น แห่งลัทธิเต๋าของศาสดาชื่อว่า เหลาจื๊อ นั่นก็หมายถึงทาง ทางที่มนุษย์ไม่ค่อยรู้จักที่เรียกว่าลึกลับสำหรับมนุษย์ ถ้ามนุษย์รู้จักมนุษย์ก็จะเดินถูกทาง เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักก็ไม่อาจจะเดินถูกทาง ก็วกวนอยู่ในกองทุกข์
คำว่าทาง ทาง ต้องหมายถึง ทางที่นำไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงประสงค์ ดังนั้นจึงเล็งถึงความถูกต้อง กระแสแห่งความถูกต้อง ที่คนเขาประพฤติปฏิบัติให้ชีวิตนี้เจริญวิวัฒนาการไปตามแนวนั้น ความถูกต้องทางกาย ความถูกต้องทางวาจา ความถูกต้องทางใจ เราจะมองให้เห็นความถูกต้องตรงตามกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่ความเชื่ออย่างงมงายกลายเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ถ้าไม่มีสติปัญญาของตนเอง ก็จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องมีความเชื่ออย่างไสยศาสตร์ มีหนทางอย่างไสยศาสตร์ นี่มันก็จำเป็นในขั้นแรก ในขั้นริเริ่ม หรือในขั้นต้น เมื่อมนุษย์ยังมีปัญญาอ่อนในสมัยคนป่าโน้นก็ดี หรือมีปัญญาอ่อนในสมัยที่ยังเป็นเด็กทารกนี้ก็ดี ก็ต้องอาศัยแนวทางชนิดที่เป็นไสยศาสตร์ไปก่อน คือแนวทางที่ผู้อื่นบอกให้ ที่ตนไม่อาจจะเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นแนวทางที่ต้องพึ่งผู้อื่น ไม่สามารถจะพึ่งตัวเอง ไม่มีเหตุผลที่จะรู้ได้ด้วยตนเองก็ต้องเชื่อผู้อื่น เพราะว่าเราหวาดกลัวต่อสิ่งต่างๆ เช่น ความตาย เป็นต้น เขาสอนให้พอจะระงับความหวาดกลัวนั้นได้ก็ยึดถือเอาเป็นหนทาง แต่เพียงเท่านั้นมันไม่พอมันต้องวิวัฒนาการให้สูงกว่านั้น จึงเลื่อนจากไสยศาสตร์มาสู่ความเป็นพุทธศาสตร์ พูดตรงๆ ก็ว่าเลื่อนจากปัญญาอ่อนมาสู่ปัญญาแก่ นั่นแหละคือการเดินทาง ใครมีปัญญาอ่อนก็รีบเลื่อนให้มันมีปัญญาแก่ นั่นแหละคือการเดินทาง
การเดิน เดิน นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ ธรรมะคือทาง ปฏิบัติธรรมะคือการเดินทาง ให้เกิดความถูกต้องทางกาย หรือสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับกาย นี่เขาเรียกว่ามีศีล ให้มีความถูกต้องทางจิต หรือสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับจิต นี่เรียกว่าถูกต้องทางสมาธิ ให้ถูก ให้มีความถูกต้องการทางความรู้ ความเชื่อ ความคิด ความเห็น นี่เรียกว่าถูกต้องทางปัญญา เมื่อเดินอยู่ในความถูกต้องทางศีล ทางสมาธิ ทางปัญญา แล้วก็เรียกว่าเป็นการเดินทางที่ถูกต้อง
อย่างไรเรียกว่าถูกต้อง นักปรัชญาเขาบัญญัติกันตามเหตุผลทางปรัชญา ทุ่มเถียงกันมากเพราะว่าไม่เอาของจริงเป็นหลัก เอาเหตุผลที่นึกเอาเป็นหลัก เราก็ได้ความถูกต้องตามแบบปรัชญา ถ้าเป็นอย่างนี้ใช้ไม่ได้กับพุทธศาสนา พวกที่ถือพุทธศาสนาถือความถูกต้องอยู่ที่ของจริงที่แสดงพิสูจน์ให้เห็นอยู่ว่าทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ คนทุกฝ่ายคือเราเอง หรือผู้อื่น หรือทุกคนได้รับประโยชน์ คือสิ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขความเกื้อกูล อย่างนี้เรียกว่าความถูกต้อง การประพฤติกระทำอย่างนี้เรียกว่าประพฤติกระทำอย่างถูกต้อง เราเรียกว่าถูกต้อง ถ้าจะขยายความออกไปอีกหน่อยก็ว่าเรามีความถูกต้องส่วนตัวเรา คือ มีความรอดชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุข นี่ขั้นหนึ่ง ถ้ารอดชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุขแล้วเราก็พัฒนาชีวิตนี้ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับๆ จนถึงระดับสูงสุดของความมีชีวิตนี้อีกขั้นหนึ่ง นี่คือถูกต้อง เราได้รับความถูกต้องได้มีความถูกต้อง ได้รับผลของความถูกต้อง
ต่อไปจากนั้นเราก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเรา ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เราจะต้องเป็นเพื่อนเดินทางแก่กันและกัน พูดว่าชีวิตทุกชีวิตจะต้องเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน แก่กันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะว่าจะเหลือเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ สมมติว่าเขาจะให้เราอยู่คนเดียวในโลก ยกสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกให้เป็นสมบัติของเราคนเดียว ให้เราคนเดียวอยู่ในโลก อย่างนี้เราจะอยู่ได้หรือไม่คิดดู แล้วจะมีประโยชน์อะไร ดังนั้นเราจึงถือหลักเกณฑ์คือว่าชีวิตทุกชีวิตต้องเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือหลุดพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง เป็นมนุษย์สูงสุด หลุดพ้นออกไปจากปัญหา นี่เราจึงต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาหรือมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า หนทางนั้นมีอยู่ แต่เรามันไม่เดิน หนทางมันมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน คิดดูเถิด ธรรมะซึ่งเป็นเหมือนหนทางนั้นมีอยู่ แต่คนมันไม่เดิน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เพราะว่าหนทางนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องเดินเอง พระตถาคตทั้งหลายจะเป็นแต่ผู้ชี้ทางเท่านั้น เดี๋ยวนี้พระองค์ก็ทรงชี้ทางไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งครบถ้วน เรียกว่าหนทางมันมีแล้วเราก็ไม่เดิน เราไม่เดินตามหนทางแล้วก็ไปเดินนอกทาง คือทางที่ผิด ทางที่จะให้เกิดผลร้าย คือไม่ถูกต้อง ดังนั้นโลกนี้จึงเต็มไปด้วยวิกฤติกาล ยิ่งมาถึงสมัยที่มีเหยื่อกิเลส เหยื่อของกิเลสเจริญงอกงามขึ้นในโลก โลกก็ยิ่งมีความหลอกลวงให้เดินนอกลู่นอกทาง คนในโลกเดี๋ยวนี้ชอบใจเหยื่อของกิเลส เขาช่วยกันสร้าง ช่วยกันใช้ ช่วยกันทุกอย่างเพื่อให้มันเต็มไปด้วยเหยื่อของกิเลสในโลก จนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤตกาล จึงทำให้หนทางนั้นเป็นหมัน คือหนทางรอดของชีวิตนั้นมีอยู่แต่คนไม่เดิน ขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเห็นความจริงข้อนี้แล้ว เตรียมพร้อมเพื่อจะเดินตามหนทางที่ถูกต้องเป็นลำดับๆ ไปแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ