แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อ่า, การพูดกาลครั้งนี้ของอาตมาจะกล่าวกับท่าน ทั้งหลาย โดยหัวข้อว่า ชีวิตที่มีความสดชื่นเยือกเย็น คือ จะพูดถึงชีวิตชนิดที่มีความสดชื่น เยือกเย็น พร้อมทั้ง ความงดงาม น่าดูน่าชม น่าชื่นใจอีกด้วย อ่า, ท่านคิดว่ามีอยู่ไหม เมื่อกล่าวตามทางธรรมะหรือตามหลักแห่ง พระพุทธศาสนาแล้ว ชีวิตที่สดชื่นเยือกเย็นงดงามนั่นแหละ เป็นจุดหมายปลายทาง อ่า, ของการปฏิบัติธรรมะ ในพระพุทธศาสนา เรามันชินอยู่กันแต่ด้วย ชีวิตที่ร้อนมาตลอดเวลา ชินอยู่กับชีวิตชนิดนี้ จนรู้สึกเอร็ดอร่อย ในการเกลือกเกื้อ อ่า, เกลือกกลั้วอยู่ด้วยชีวิตชนิดนั้น มันก็ไม่ได้นึกถึงว่า จะมีอะไรอื่นอีกที่ดีกว่านั้น
เขาเคยเปรียบความข้อนี้กันว่า เหมือนกับสัตว์ เช่น หนอน เป็นต้น ที่เกิดอยู่ในของร้อน เช่น พริก เป็นต้น หนอนนั้นก็อยู่สบาย แล้วก็เอร็ดอร่อยอยู่ด้วยการ กินของร้อน มันไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะความเคยชิน ตัวอย่างนี้ยกมาเพื่อให้เห็นในแง่ของความเคยชิน และการที่หลับหูหลับตา อยู่ในสิ่งนั้น ด้วยความเคยชิน แล้วก็ถือเอาว่า นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเรา อย่างนี้เป็นต้น
เดี๋ยวนี้เราจะมาพูดกันถึงชีวิตที่สดชื่น เยือกเย็น คือ ไม่ร้อน แล้วก็มีความงดงาม ดูแล้วก็งดงาม สบายตาสบายใจน่าชื่นใจ เราจะพิจารณากันดูว่า มันได้แก่ชีวิตชนิดไหน ถ้าจะกล่าวให้สั้นเข้า ก็เราเอาว่า ชีวิตที่งดงามนั่นก็แล้วกัน มันมีความงดงามอยู่ที่ความสดชื่นเยือกเย็น หรือเพราะเป็นชีวิตที่สดชื่นเยือกเย็น มันจึงมีความงดงาม ไม่ใช่งดงามเหมือนภาพเขียน ด้วยเส้น เออ, สีเหลืองเขียวแดง เป็นต้น มันงดงามอยู่ที่มี ความสดชื่นเยือกเย็น เรามาเรียกกันเสียใหม่ว่า เป็นชีวิตที่สวยงาม เอ้า, เราก็ลอง เออ, ไล่ดูไล่ไปว่า เป็นชีวิต ชนิดไหน อย่างไรกัน เพราะที่เราทราบได้ หรืออาจจะอย่างทราบได้ก็ดี ที่เราเห็นได้ด้วยตาเราเองก็ดี หรือแม้แต่ จะมีการคำนวณเอาบ้างก็ดี มันก็พอจะเห็นได้ จากชีวิตนานาชนิดเหล่านี้
ชีวิตเทวดา เราไม่เคยไป เราไม่เคยเป็น แต่เราเคยได้ยิน การพูดจาที่ทำให้เชื่อได้ว่าชีวิตชนิดนั้นมีอยู่ แบบหนึ่งจริง ๆ เป็นชีวิตเทวดา สวยงามไหม มันก็ไม่แน่เพราะว่าเทวดา ก็ยังมีกิเลสและตัณหา ยังมีกิเลส ตัณหา มันก็เร่าร้อนอยู่ด้วยกิเลสตัณหา มันก็ไม่สวยงาม เออ, เทวดายังมีตัวกูของกู ทะเลาะวิวาทกันก็มี ก็ไม่สวยงาม เทวดาก็ยังกลัวตาย เหมือนคนทั่ว ๆ ไป มันก็ไม่งาม ทีนี้ลดลงมาเป็นชีวิตพระจักรพรรดิ คือ พระราชาเหนือพระราชา งดงามไหม เอ้า, มันก็ยังมีกิเลส ไม่ไม่ดีไปกว่าเทวดา ก็นอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็เป็น โรคระบบประสาทก็ได้ เพราะว่าวิตกกังวลอยู่ด้วย การที่จะได้มาซึ่งอำนาจ หรือการจะสูญเสียไปซึ่งอำนาจ มันก็ยังไม่งดงาม ไม่เย็น
ชีวิตนายทุน เศรษฐีประเภทนายทุน ก็เดือดร้อนอยู่ด้วยเรื่องทุน ด้วยเรื่องที่จะเพิ่มทุน ด้วยเรื่องที่จะ เอาเปรียบคนอื่นด้วยเรื่องทุน มันก็ไม่งาม ชีวิตชาวนาตามธรรมดา มันก็อาบเหงื่อต่างน้ำอยู่ ชาวไร่ชาวสวน คนค้าขาย คนอะไรก็ตาม มีความเห็นแก่ตัวอยู่ ลงไปถึงคนยากจน ก็ทนทรมานอยู่ จะเป็นคนกวาดถนน ล้างท่อถนน คนแจวเรือจ้าง มันก็ดู ไม่งามในลักษณะธรรมดาทั่ว ๆ ไป อ่า, แต่ขอให้กำหนดให้ดีก่อนว่า มันเป็นชีวิตที่จะทำให้งามได้เหมือนกัน
ทีนี้มาดูชีวิตสัตว์เดรัจฉาน ช้าง ม้า วัววัว ควาย นก หนู ปู ปลา แม้แต่ว่าชีวิตยุง มันก็ไม่เห็นว่า สวยงาม น่าชื่นอกชื่นใจที่ตรงไหน อาตมาเห็นอยู่อย่างหนึ่ง ว่าชีวิตแบบผีเสื้อที่สวยงาม อ่า, ตัวมันก็สวยงาม และอาชีพของมันก็ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ผีเสื้อนี้พอรุ่งเช้าขึ้นมา ก็บินไปตามดอกไม้สวย ๆ ดอกไม้ดอกนั้น ดอกนี้ ดอกโน้น เปลี่ยนเรื่อยไป เพื่อจะดูดน้ำหวานของดอกไม้เหล่านั้นกิน นั่นนะคือ การงานของมัน เที่ยวบินไปในอากาศ อันสดชื่นยามเช้า ดูดเอาน้ำหวานจากดอกไม้สวย ๆ ไปเทียบกับอาชีพคนแจวเรือจ้าง คนถีบสามล้อ คนล้างท่อถนนดู มันก็ต่างกันมาก
เพราะฉะนั้นเราจะเอาชีวิตผีเสื้อนี่ เป็นจุด สำหรับเปรียบเทียบ อ่า, หาความงดงามแห่งชีวิต อาตมาขอ ให้ท่านกำหนดไว้ว่า ผีเสื้อตัวมันสวย อยู่กับแต่ดอกไม้สวย ๆ งานอันเหน็ดเหนื่อยของมันก็คือ การดูดน้ำหวานจากดอกไม้ มันมีความหมายอย่างนี้ ขอให้ถือเอาความหมายอย่างนี้ ว่าเป็นชีวิตที่งดงาม เราจะมีชีวิต ที่มีความหมายงดงาม อย่างผีเสื้อได้หรือไม่ อาตมาว่าได้ พวกที่เขาดูกันแต่ทางวัตถุ เขาก็ว่าไม่ได้ เพราะว่าคนจะเป็นผีเสื้อก็ไม่ได้ หรือว่าผีเสื้อนี้ เดี๋ยวก็ถูกนกโฉบเอาไปกินเสีย ตายแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น อย่าไป เอาความหมายอย่างนั้น เอาความหมายแต่ว่า มันเป็นชีวิตที่สดชื่น เป็นชีวิตที่เยือกเย็น เป็นชีวิตที่สวยงาม
เราจะปรับปรุงชีวิตของคนเรา เรานี่แหละที่อยู่บนบ้านบนเรือนนี่แหละ ให้มีความหมายเช่นนั้นบ้าง คือ มีความงดงาม ไม่มีความทุกข์ อ่า, ผีเสื้อไม่มีความทุกข์เพราะมันคิดให้เป็นทุกข์ไม่ได้ ไอ้ส่วนคนเรานี่คิดได้ แต่ไปคิดให้มีความทุกข์ คือ คิดไม่เป็น มันไม่คิดชนิดที่ว่า จะมีความสงบสุข อาตมาหมายความว่า เราทำอะไร ไปตามเดิม ชาวสวน ชาวนา ค้าขาย ถีบสามล้อ แจวเรือจ้างไปตามเดิม แต่เราเปลี่ยนชีวิต ส่วนลึก คือ ความหมายในชีวิตส่วนลึกเสียใหม่ คือ มีความพอใจ ในเมื่อเราได้ทำหน้าที่อย่างนั้น แม้จะถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง เหงื่อไหลไคลย้อย แต่เมื่อรู้สึกอย่างถูกต้อง ว่านั่นคือ หน้าที่ของมนุษย์ เป็นธรรมะของมนุษย์
เมื่อได้ประพฤติธรรมะของมนุษย์แล้ว ก็ควรจะพอใจ ไม่พอใจในธรรมะของมนุษย์แล้วจะไปพอใจ อะไรเล่า เราก็พอใจในธรรมะ คือ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ จะแจวเรือจ้าง จะถีบสามล้อ แต่ถ้าทำด้วยความพอใจ มันก็ไม่เป็นทุกข์ มันก็เป็นสุขอยู่ในการงาน เมื่อเป็นสุขอยู่ในการงาน มันก็ทำได้มาก เมื่อทำได้มาก ไม่เท่าไร มันก็พ้นจากความยากจน ไม่ต้องถีบสามล้อ ไม่ต้องแจวเรือจ้าง แม้ว่าจะต้องถีบสามล้อหรือแจวเรือจ้าง อยู่ก็ตาม แต่ถ้าทำอยู่ได้ด้วยความพอใจ มันก็มีชีวิตที่งดงาม เหมือนกับผีเสื้อพอใจในดอกไม้งดงาม เราก็พอใจ ในการงานที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ เพราะเรารู้จริงรู้ถูกต้องว่าหน้าที่นั่นคือ ธรรมะ
เมื่อมีธรรมะแล้วก็พอใจ พอใจในธรรมะแล้วก็จะรู้สึกเป็นสุข เหมือนกับว่าผีเสื้อเที่ยวดูดน้ำหวาน ดอกไม้นั้นเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้คนเราทำจิตใจเป็นอย่างนั้นไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันทำไม่เป็น มันไม่มีปัญญา จะทำ ไม่มีปัญญาที่จะคิดว่า ไอ้หน้าที่ของมนุษย์แล้วเป็นธรรมะทั้งนั้น ไปทำเข้าแล้วควรจะพอใจ เมื่อพอใจ ก็ทำได้มาก เมื่อทำได้มากก็มีผลมาก เดี๋ยวมันก็มีได้ผลล้นเหลือ เหลือใช้ เหลือกิน เปลี่ยนเป็นไปมีชีวิตที่ไม่ต้อง อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำหน้าที่อย่างอื่นอยู่ด้วยความพอใจ นี่มันก็เป็นชีวิตของผีเสื้อ ยิ่งขึ้นไป ๆ นั่นคือ ชีวิตที่มี ความพอใจเป็นสุขอยู่ในการงาน
เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้ เรามีจิตชนิดที่บูชากิเลส รักความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยของกิเลส จะมาพอใจ ในการถีบสามล้อหรือแจวเรือจ้างไม่ได้เพราะอำนาจของกิเลส มันก็คิดว่าไปขโมยดีกว่า ไปปล้นไปจี้ดีกว่า ข่มขืนเอาดีกว่า มันก็เลยทำไม่ได้ เพราะมันไม่มีธรรมะ อ่า, ถ้ามันมีธรรมะ มันก็มีสติปัญญา พอที่จะสร้าง ความพอใจขึ้นมาได้จากการงาน ที่เรียกว่า อาบเหงื่อต่างน้ำนั่นเอง เดี๋ยวนี้เรามีกิเลสชนิดที่ มันไม่ยอมให้เราคิด อย่างนั้น เรา อ่า, มันไม่คิดอย่างนั้น มันคิดแต่เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ไปท่าเดียว มันก็ทรมาน แม้มันจะได้ ทำงานเบา ๆ มีเงินเดือนมาก มันก็ทรมาน เพราะมันหิวอยู่ด้วยกิเลส ไม่เป็นชีวิตชนิดผีเสื้อได้
แม้จะเป็น แม้จะเป็นอ่า, คนแจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ แต่ถ้ามีจิตชนิดที่ถูกต้อง พอใจในหน้าที่ของ มนุษย์แล้ว มันก็มีความสุขอยู่เมื่ออาบเหงื่อต่างน้ำนั่นเอง นี่เรียกว่า ชีวิตที่สดชื่น เยือกเย็น งดงาม ตามความหมายแห่งชีวิต เออ, ของสัตว์สวยงาม เช่น ผีเสื้อ เป็นต้น เดี๋ยวนี้เรา มีเราชนิดกิเลส ไม่มีเราชนิด สติปัญญา ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรากันทั้ง ๒ อย่างนั่นแหละ กิเลสก็ไม่ใช่เรา สติปัญญาก็ไม่ใช่เรา แต่เดี๋ยวนี้ที่เรา ยึดถือว่าเป็นเรานั้นนะ มันมีอยู่ ๒ ชนิด ความโง่ทำให้ยึดถือกิเลสเป็นเรา ความฉลาดถ้าไม่ยึดถือสติปัญญา เป็นเรา มีเรากิเลส มันก็เต็มไปด้วยกิเลส มันก็โง่ ถ้ามีเราของสติปัญญา มันก็ฉลาด มันก็ไม่โง่
จิตที่รู้ อ่า, เป็นที่ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามความหมายของคำว่า พุทธนั้น รู้จักกันกี่มากน้อย รู้จักกันกี่มากน้อย อ่า, ขอให้ลองคิดดู เราไม่รู้ เราหลับอยู่ เราเหี่ยวแห้งอยู่ ในจิตใจ เพราะว่ากิเลสมันเผาลน แล้วชีวิตจะไปสดชื่น เยือกเย็น สวยงาม ได้อย่างไรกัน เราจงเป็นพุทธบริษัทให้สมชื่อ เป็นผู้รู้สิ่งที่ควรรู้ เป็นผู้ตื่นจากความหลับ คือ ความโง่ แล้วก็เบิกบานอยู่ด้วยความพอใจในธรรม พอใจในความถูกต้อง นี่มันเป็น สิ่งที่ทำได้ อย่าเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทำได้สำหรับทุกคน แม้แต่คนแจวเรือจ้าง คนกวาดถนน คนถีบสามล้อมันก็ทำได้ ถ้ามันมีธรรมะพอ มันศึกษาธรรมะพอ เออ, มันมีความรู้อย่างถูกต้อง ตื่นจากความโง่ แล้ว ก็เบิกบานอยู่ เมื่อทำงานชนิดที่อาบเหงื่อต่างน้ำ
บรรพบุรุษของคนไทยเรา เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว เคยรอดตัวด้วยความเป็นอย่างนี้มาแล้ว คือ เป็นสุข อยู่ในการงาน สนุกอยู่ในการงาน พอใจอยู่ในการงาน ทำงานเพลิดเพลินได้ผลมาก ไม่ต้องไปปล้นไปจี้ไปขโมย เหมือนที่เดี๋ยวนี้กำลังมีมากขึ้น ๆ เพราะเขาไม่รู้ว่า ธรรมะนั้นคือ หน้าที่ ที่เราควรจะพอใจและเป็นสุข เมื่อได้ทำหน้าที่ เออ, คนชนิดนี้ก็จะมีชีวิตที่งดงามแบบผีเสื้อไม่ได้ มันก็จะมีชีวิตอย่างสกปรก ในสิ่งสกปรก หรือจะมีชีวิตอย่างสิ่งที่โหดร้าย เป็นเสือ เป็นสาง เป็นสัตว์ร้ายดุร้าย ไปตามเรื่องของเขา ไม่เป็นชีวิตที่สดชื่น เยือกเย็น
แต่อาตมาพูดว่า มีชีวิตที่สดชื่นเยือกเย็นและงดงามด้วย คือ ชีวิตของพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นสุขสนุกสนาน อยู่ด้วยความพอใจในหน้าที่การงาน เหมือนผีเสื้อที่เป็นสุขอยู่เมื่อเที่ยวดูดน้ำหวาน จากดอกไม้อันสวยงาม ฉะนั้นหวังว่าท่านทั้งหลาย จะรู้จักชีวิตที่ประกอบไปด้วยธรรมะ อันเป็นชีวิตที่สดชื่น เยือกเย็นและงดงาม ยิ่งขึ้นทุกทีและมากขึ้นทุกทีทุปปี กว่าจะมีจิตใจชนิดที่เป็นสุข ปราศจากความทุกข์ เพราะพอใจในธรรมะที่อยู่ ที่เนื้อ ที่ตัว คือ การทำหน้าที่ของตนอยู่ แล้วก็มีความสุขอยู่ตลอดเวลา
การบรรยายแค่นี้ หมดเวลาแล้ว ขอยุติการบรรยาย ด้วยความหวังว่า ท่านทั้งหลายคงจะเริ่มเข้าใจ ชีวิต ที่สดชื่น เยือกเย็นและงดงาม แล้ว ด้วยกันทุกคน