แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประเพณีชาวใต้ โบราณนานมา โอ้ โบราณ ประเพณีชาวใต้ โบราณนานมา
ท่านว่าตายาย ล้มตายนานช้า บ้างเกิดเป็นเทพยดาบ้างเป็นอสุรกาย โอ้ เป็นเปรต บ้างเกิดเป็นเทพยดาบ้างเป็นอสุรกาย
ตกนรกหมกไหม้ ขุมใหญ่ขุมน้อย เฝ้านับวันคอย พบญาติทั้งหลาย โอ้ พบญาติ เฝ้านับวันคอยพบญาติทั้งหลาย
/** ครบเอ้ยวันนี้ ปล่อยผีตายาย เค้าปลดปล่อยให้ สิบห้าราตรี โอ้ สิบห้า เค้าปลดปล่อยให้ สิบห้าราตรี
ชะแง้แลจ้องๆ เมียงมองซ้ายขวาๆ ลูกหลานไม่มาๆ ยายตาโศกีๆ
ครวญคร่ำร่ำไห้ๆ เขาไม่ใยดีๆ เสียแรงตูนี้ๆ กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาๆ
เป็นลูกหลานเขา แต่งเต้าควักปลา หวังข้าวจัดมา รับตารับยาย โอ้ รับตายาย หวังข้าวจัดมา รับตารับยาย
สุดแสนระกำ ค้นตามเคหะ ไปตามวัดวา คลองบึงทั้งหลาย โอ้ คลองบึง ไปตามวัดวา คลองบึงทั้งหลาย
โอ้ลูกหลานตูๆ อยู่บ่อนชนไก่ๆ ชนวัวชนควายๆ ธุระยะบานๆ
ตายายขื่นขมๆ ลมลุกคลุกคลานๆ ระทมซมซานๆ กลับสถานแดนเดิมๆ **/
ซ้ำ ** อีก 1 รอบ
(เสียงเด็กร้องเพลงเรือ)
เอ่อ เออ เอิง เอ๊ย แรมหนึ่งสิบเดือนสิบ ควรยกหยิบขึ้นมาเอ่ย พ่อเฒ่าแม่เฒ่าคุณเจ้าเอย ลูกกราบไหว้ๆ
พระคุณท่านสูงส่ง ท่านดำรงประเพณี มาถึงลูกหลานนี้ สืบต่อไปๆ
โบราณเล่า กล่าวมาว่าตายายที่ล่วงลั บ มาช้านานกาลกลับ ไม่นับได้ๆ
บ้างเกิดเป็นเทพบุตร บ้างจุติเทพธิดา บ้างตกนรกชั่วช้า ขุมน้อยใหญ่ๆ
วันนี้เขาปล่อยยายตา ให้มาเยี่ยมลูกหลานแค่สิบห้าวัน ต้องกลับไปๆ
จึงพวกเราลูกหลาน มาร่วมกันทำบุญ เพราะตั้งใจแทนคุณ แก่ตายายๆ
ท่านเคยเหนื่อยยาก เคยลำบากเพื่อเรา วัวควายไร่นาอีกเล่า ท่านก็ให้ๆ
อาหารหวานคาว ฟักแฟงแตงเต้า จัดมา ให้สมกับยายตา มีคุณไว้ๆ
ตายายมาพบลูกหลาน ทำกุศลทานหนักหนา ท่านก็โมทนา อวยพรให้ๆ
ท่านที่หาไม่พบ ไม่ประสพลูกหลาน ก็ต้องเที่ยวซมซาน เสาะไปๆ
เที่ยวค้นตามเคหา ตามวัดวาลำคลอง อกช้ำร่ำร้อง ระทมใจๆ
หิวโหยหนักหนา เหลียวหาอาหาร เค้าวางไว้ให้เป็นทาน บนร้านใหญ่ๆ
เค้าเรียกว่าร้านเปรต โอ้ทุเรศจริงเรา พอมีแรงไต่เต้า ออกตามไหมๆ
โน่นแน่ะลูกหลานเรา มันกินเหล้าเสเพล ประพฤติพาลเกเร ชั่วร้ายๆ
มันชนไก่ชนวัว มันหมกมั่วการพนัน อบายมุขหกนั้น ไม่พ้นได้ๆ
บาปบุญไม่รู้สิ้น ทานศีลไม่รักษา นี่เป็นเพราะยายตา ไม่นำไว้ๆ
ไม่ทำตัวอย่างให้เด็กดู เด็กไม่รู้คุณโทษ เมื่อไม่ได้รับประโยชน์ จะโทษใครๆ
เปรตตายาย คิดตกโอ้หัวอกร้าวราน หลั่งน้ำตาซมซาน กลับไปๆ
ขอจบเพลงเรือก่อน ขอวอนท่านลูกหลาน ที่ตายายยังอยู่บ้าน มั่นเอาใจ หมั่นกราบไหว้
ยามท่านชราอย่าทิ้งขว้าง ท่านยังนั่งตาดำๆ อย่าให้ท่านต้องช้ำ เอ้ยใจเอย ช้ำใจเอย
ยามท่านชราอย่าทิ้งขว้าง ท่านยังนั่งตาดำๆ อย่าให้ท่าต้องช้ำ หัวใจเอย
----------------------------------------------------------------------------------
ขอโอกาส ปราศรัยในนามของตายาย แก่ลูกหลาน ได้พูด ให้ถนัด เป็นเรื่องเป็นราว วันนี้เป็นวันทำบุญ ให้เป็นที่ระลึกบูชาคุณของตายาย คำว่าตายาย ตายายนั้น อย่าฟังเป็นเรื่องตลกขบขันให้ฟังถึงความหมาย ให้เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ตายาย นั่นคือ ผู้ที่เกิดเรามาตามลำดับๆนะ มีพระคุณในฐานะที่ให้กำเนิดเกิดมาอย่างหนึ่ง แล้วก็มีพระคุณในฐานะได้สร้างสรรอะไรไว้ให้ เป็นมรดกตกทอดอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง และได้รับพุทธศาสนาเข้าไว้ในสายเลือดของตายาย แล้วคลอดออกมาเป็นลูกหลาน มันมีสายเลือดเป็นพุทธบริษัทมาแต่กำเนิดนี้ดีที่สุด ขอให้ช่วยกันรักษาความจริงข้อนี้ไว้ ให้ทุกๆคน แล้วมาซ้อมความจำย้ำในการกระทำ อย่างน้อยปีละครั้ง อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น อย่างน้อยปีละครั้ง มาซ้อมความจำ ทุกอย่างเกี่ยวกับตายาย ดูคล้ายๆกับเป็น วันเข้าโรงเรียนเพื่อเป็นคนกตัญญูกตเวที ปีละครั้งๆก็ยังดี ไอ้เรื่องศึกษาเล่าเรียนนี้มันไม่ต้องทำมากแต่เรื่องปฏิบัตินั้นต้องทำมาก พูดกันพักเดียวปฏิบัติตั้งปีก็ยังไม่ค่อยจะจบ ฉะนั้นขอให้สนใจฟังให้ดี เมื่อเวลาที่ได้มาพบปะพูดจากัน ในเรื่องสำคัญที่สุด คือให้เป็นลูกหลานที่ดีของตายาย ให้เป็นลูกหลานที่ดีของตายาย คำว่าตายายนี้ มีความลึกลับสำคัญอยู่อย่างคือว่า เมื่อแรกมันมีไม่กี่คน มันมีน้อยคนนะ แล้วค่อยๆเกิดออกมา เวลาแสนๆปีนี้มันเกิดออกมาเป็นล้านๆเป็นสี่พันล้าน ห้าพันล้านคนแล้วเวลานี้ ถ้านับถือคริสต์ ถือคริสต์ พูดตามแบบคริสต์ เขาว่าเกิดมาจาก พ่อแม่ คู่เดียวเท่านั้นแหละ พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คู่เดียวเท่านั้นแหละ คู่แรกคือ อดัมกับ อีวานอกนั้นเป็นลูกหลานของ อดัมกับอีวามาเรื่อยๆๆๆ มาจนบัดนี้ นี้ยิ่งง่ายที่สุดที่ตายายคนเดียวนะ แล้วพูดอย่างเอาเถอะว่า ไม่ใช่ว่าคนเดียว มีหลายคนพร้อมๆกันก็ยัง ก็ยังเรียกว่ามันน้อยที่สุด ทีแรกมันมีน้อยที่สุด ตายายนะ แล้วมันค่อยเกิด มากขึ้นๆๆมันยอมถือเสียเลย ว่าทุกคนคือญาติ ร่วมตายายกันทุกคนดีกว่า มันจะได้ไม่มีมึง มีกู มีอะไรกัน ให้รักใคร่เพื่อนมนุษย์ทุกคน เหมือนกับว่าลูกหลานร่วมตายาย แม้ที่สุดที่คนไทยนี้ ทีแรกมันเกิดไม่กี่คนนะ เวลานี้ประวัติศาสตร์เริ่ม แสดงออกมาตรงกันข้ามกับที่เคยเชื่อมาแต่ก่อน ว่าอารยธรรมบ้านเชียง ที่ภาคอีสานนั้น ตั้งห้าหกพันปีโน้น คนอยู่ที่นั่น ตั้งห้าหกพันปีเมื่อก่อน แล้วมันไปไหน ประวัติศาสตร์กระท่อนกระแท่น เรี่ยร่ายไป เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ฉันเชื่อว่านะ เชื่อเอาเองนะ ว่าไอ้คนเหล่านี้ มันไปทุกทิศทุกทางในทวีปเอเชียนี้แหละ ที่สำคัญที่สุด ก็คือไปเมืองจีนนะไปตั้งรกตั้งรากอยู่ที่เมืองจีนเป็นคนไทยนะ คนตายายเดียวกันทั้งนั้น ตอนแรกๆมันคงไม่กี่คน เพราะฉะนั้นถือไว้ว่าทุกคนเป็นลูกหลานตายายร่วมกันนั้น ดีนะ ได้เปรียบนะ มีประโยชน์นะ มีประโยชน์กว่าจะแยกแตกกันเป็น พวกเล็ก พวกน้อย เป็นมึง เป็นกู นับกันแต่เพียง เจ็ดชั่ว ตามกฎหมายว่าอย่างนั้น โบรมโบราณนั้น นับกันแค่เจ็ดชั่ว ว่าข้างบน สามชั่ว ข้างล่าง สามชั่ว ตรงกลาง หนึ่งชั่ว เป็นเจ็ดชั่ว นับกันเป็นเพียงเจ็ดชั่ว มันก็น้อยแหละ นับให้ไปถึงสิบ ยี่สิบ สามสิบ ตั้งร้อยเป็นพันชั่วเถอะ มันก็จะเป็นลูกหลานตายายเดียวกันหมดแหละ เราถ้าถือแบบนั้นนั้นมันรักใคร่กันง่าย แล้วมันก็สงเคราะห์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร่วมมือ อะไรกันง่าย มันก็เป็นความสุขแหละไม่เบียดเบียนกันนะ เวลานี้มันไม่ไหวนี่ ฟังดู ตั้งแต่อ่าน ฟังดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ นั้นมาถึงว่าพี่น้องกันแท้ๆ พี่น้องท้องเดียวกันแท้ๆมันยังฆ่ากันนี่ แล้วไอ้ที่ร้ายกว่านั้น มันฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ กันเลยนะ มันไม่มีธรรมะในข้อนี้ ไม่รู้จักบุญคุณของตายาย ขอให้นึกถึงว่า มันเป็นตายายที่ร่วมกันมาสลับซับซ้อน กลับกันไปกลับกันมาจนผูกพันกันจนแยกกันไม่ได้แหละ และก็รักใคร่กันเป็นพี่น้องแหละ แต่ว่าธรรมะยังไปไกลกว่านั้น ธรรมะให้รักกันในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าแบบนี้มันรักกันหมดเลยหมดเลย ไม่ว่าจะสายไหนสาขาไหนพวกไหน ล้วนแต่เป็นเพื่อนมนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น มีตายายร่วมกัน คือ ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ กฎปฏิจจสมุปปาท กฎอิทัปปัจจยตา เป็นเหตุให้เกิดมา เกิดมา เกิดมาไปรวมตายายกันที่กฎธรรมชาติ จะได้รักใคร่ด้วยความรู้สึกว่า เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความทุกข์อย่างเดียวกัน มีความต้องการอย่างเดียวกัน ปรารถนาอย่างเดียวกัน จะมามัวเกลียดชัง อิจฉา ริษยากันนี้มันผิดนะ มันก็ผิด มันผิดเกินกว่าผิดไปอีก เอาแหละรวมความว่า ทำในจิตใจให้กว้างๆๆออกไปให้ขอบเขตของญาติของความร่วมตายายนั้นไกลออกไปๆ กว้างออกไปจะได้มีจิตใจประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุติทา อุเบกขา เป็นอัปปมัญญาไม่มีขอบเขต ตามเจตนารมณ์ของพระพุทธศาสนา ให้รักใคร่เมตตากันเป็น อัปปมัญญาไม่มีขอบเขตทุกทิศทุกทางข้างบนข้างล่าง รอบตัว นี่วันนี้ชวน ชักชวนเอาสักกว้างกว่าทุกทีแหละ ให้ขอบเขตของตายายกว้างไกลออกไปจนจะครอบจักรวาลแหละ นี้มาพูดถึงเรื่องที่ จะต้อง จะต้องกำหนดจดจำหรือประพฤติหรือกระทำ ให้สมกันโดยเฉพาะก็ว่าเป็นร่วมศาสนากัน เดี๋ยวก่อนเรื่องร่วมศาสนานี้ไว้ พุทธโน่นก็มากเหลือมากแหละ และก็ศาสนาอื่นก็ร่วม คิดว่าจะต้องอยู่ร่วมในโลกกัน เพราะว่าทุกคนมันชอบกินต่างๆกัน มันก็ต้องมีอาหารครบตามที่คนมันมีหลายจำพวก แล้วมันก็ต้องการหลายจำพวก เหมือนเรากินข้าว กินน้ำพริก แบบนี้ ฝรั่งมันก็กินขนมปัง กินเนื้อสัตว์ แบบนี้ มันกินรวมกัน ไม่เหมือนกันได้ มันก็ต้องยอมให้ ยอมให้ ให้ว่าให้มันมีอาหารครบทุกอย่างในโลก สำหรับคนต่างพวก ต่างชาติ ต่างอะไรมันกินได้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการที่มีศาสนา หลายๆศาสนา ก็เหมาะแล้ว สำหรับคนที่มันมีอยู่ในโลก ต่างพวก ต่างชนิดกัน นึกเสียว่า อันนี้พูดไม่ใช่ดูถูกใครนะ นึกว่าบางคนมันถือพุทธศาสนาไม่ได้ หัวสมองมันไม่ถึง มันถือพุทธศาสนาไม่ได้ มันดีเกินไป สูงเกินไป มันถือไม่ได้ ถือไม่ถึง ก็ต้องมีศาสนา ที่ลด ต่ำลงไปให้ง่าย ให้ง่าย ให้สะดวก ให้ง่ายกว่านั้นให้ถือแหละ ก็เลยต้องมีศาสนาทุกชนิดไว้คอยสนองความต้องการของคนที่มีมากชนิดอยู่ในโลก เราจะต้องยอมรับว่า เป็นเพื่้อนเกิด แก่ เจ็บตาย หวังดี ที่ร่วมตากับยาย แยกไปนับถือศาสนาอื่น ก็มี บางทีไปแต่งงานกับคนศาสนาอื่นก็มี มันก็เลย มีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าเราถือว่า เป็นหลักทั่วไป เคยร่วมตายายกันมา ถือหลักพุทธศาสนามีหลัก เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเครื่องปรองดองกันแล้วก็ ไม่มีปัญหา ทีนี้ก็เหลือแต่ว่า เราจะสนองคุณตายายกันอย่างไร จะตอบแทนบุญคุณตายายกันอย่างไร เรื่องในในคัมภีร์ก็มี เป็นเรื่องเอามาสวดพิมพิสาร เด็กๆเอามาร้องเป็นเพลงเมื่อประเดี๋ยว เมื่อตะกี้นี้ก็ได้ยิน ว่าถ่ายทอดมาแบบนั้นแหละ ว่าวันนี้ ยุคสมัยยุคนี้เป็นยุคที่ ตายายมาเยี่ยมลูกหลาน แล้วมาเห็นลูกหลานดีบ้างไม่ดีบ้าง มีความสุขบ้างมีความทุกข์บ้าง ตายายก็พลอยเป็นไปด้วย ถ้าลูกหลานมีความสุขดี ก็ดีใจ ถ้าลูกหลาน มีความทุกข์ ด้วยก็เสียใจ ถ้า ลูกหลานชั่วถึงขนาดชั่วแล้วก็ยิ่งเสียใจ ยิ่ง คัดค้านแหละ แช่งด่า คัดค้าน เพียงเท่านี้มันก็เป็นหลักที่พอแล้วนะ ว่าลูกหลานทุกคนจงทำให้เป็นเหมือนกับว่า ถ้าตายายมาเห็นแล้วให้ ตายาย มันชื่นใจ ก็แล้วกัน ที่ทำอะไรอยู่ทุกๆวัน ทุกๆวันนี้ถ้าตายายมาเห็น แล้วให้ตายายชื่นใจนี้มีมากแหละ มันเหลือจะกล่าวแหละ ข้อที่จะทำให้ชื่นใจ มีได้มากมาย คือทำดีนั่นแหละ ทำดี ทุกอย่าง ทุกประการแหละ รักใคร่ปรองดองกันดี สมัครสมาน สามัคคีกันดี ช่วยเหลือกันดี แล้วก็เรื่องมันก็ ไม่ ไม่เป็นปัญหาแหละ ถ้าทุกคนพร้อมใจกันช่วยผู้อื่น เรื่องมันก็ไม่เป็นปัญหาอยู่ในโลกนี้ จะแตกต่างกันอย่างไรโดยอำนาจวาสนา โดยทรัพย์สินสมบัติจะแตกต่างกันอย่างไร ก็ตามใจ แต่ยังรักใคร่กันอย่างยิ่ง อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แบบนี้ ตายาย ก็ชอบใจ เรื่องที่ น่าจะเอามานึกมาคิด ถือเป็นหลักได้อีกเรื่องหนึ่งคือ ฉันนะ เข้าใจเอาเองนะ ว่าสมัยก่อนนั้น ตายาย มันมีความสุข ตายาย สมัย ตายายโน้น อยู่กันอย่างมีความสุขยิ่งกว่าสมัยลูกหลานนะ นี้มันหลายอย่างหลายประการเพราะโลกมันเปลี่ยนแปลงนั้นแหละ โลกมันเปลี่ยนแปลง ไอ้ลูกหลานบางคน มันเปลี่ยนแปลง เตลิดเปิดเปิงไปเป็นเรื่องโกหกพ้นปลักไปเลยไปหลงใหลในเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องเอร็ดอร่อย เรื่องสนุกสนานมากเกินไป จนไม่รู้จักเพื่อนมนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง ทำร้ายตัวเองให้มีความทุกข์ และเบียดเบียนเพื่อนให้มีความทุกข์ ไอ้แบบนี้นั้นในสมัย ตายาย นั้นมีน้อยนะ อยู่ในศีลในธรรม เขาว่าอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่ทำแบบนี้ มันก็มีน้อย ต้องการเบียดเบียนกัน ก็ มีน้อยแหละ และการช่วยเหลือมันก็มีมาก คนอายุมาก สักหน่อยก็ทันเห็นว่าสมัยก่อน ถ้าใครมาเจ็บ มาไข้ มาเป็น มาตาย ก็ช่วยเหลือ สมัยนี้ก็ช่วยแหละ ช่วยเก็บ เก็บให้หมด ให้เหลือแต่กางเกงตัวสุดท้ายแหละ มัน มัน มันต่างกันถึงขนาดนั้นแหละ นี้แหละสมัยที่ตายาย กับสมัยลูกหลาน มันต่างกันขนาดนั้น สมมุติว่า รถมาคว่ำแบบนี้ สมัยก่อนเขาช่วยกัน ช่วยกันให้รอดชีวิต ช่วยเอาข้าวมาให้กิน เอายามาให้กิน ช่วยเก็บข้าวของไว้ให้ ช่วยคุ้มครองป้องกันไว้ให้ สมัยนี้ลองดูสิ มันขนหมด จนเหลือกางเกงตัวสุดท้ายที่นุ่งอยู่นั่นแหละ นี้มันต่างกันขนาดนี้ และเมื่อจิตใจมันต่างกัน ขนาดนี้ เหตุการณ์ทั้งหลายมันต้องต่างกันเป็นอย่างยิ่ง เป็นธรรมดาแหละ และขอให้กลับไปคิดนึกถึงเรื่องว่าเราจะมีความสงบสุข ตามแบบ ตายายกันได้อย่างไร สมัย ตายายไถนา ไถนานะ ไถนากลางแดดเหงื่อโทรมตัวนะ ตายายไถนานะ ในใจคิดว่า จะเอาข้าวใส่บาตร จะเอาข้าวใส่บาตรจะได้บุญ จึง จึงไม่ ไม่ร้อน ไม่ไม่เหนื่อยไม่ร้อนไถนา กลางแดดได้ ไอ้สมัยนี้ลูกหลานมัน ถ้าไถนาโน่น ว่าจะเอาข้าวไปขายซื้อเหล้ากิน ไปเล่นโป เล่นไพ่ ซื้อสามตัว ซื้ออะไร มันคิดคนละอย่าง เพราะฉะนั้นมันก็ จิตใจ มันก็ต่างกัน มันก็เหนื่อยแหละ ก็โน้นมันทำเพื่อจะเอาบุญ มันก็จิตใจมันก็เป็นบุญ ตั้งแต่เมื่อแรกทำ ก็มันมีความสุข เมื่อไถนานั้นเอง ครั้นไอ้ลูกหลานสมัยนี้มันไถนา เอาเงินไปซื้อเหล้า มันยังไม่ ยังอีกตั้งนานโน่นกว่าข้าวจะงอก กว่าข้าวจะเก็บข้าวได้ ยังอีกนาน มันทนไม่ไหว มันก็ไปขโมยดีกว่า ไปปล้นไปจี้ดีกว่าไหนๆก็ทำไปพลางๆทำนาก็ทำแต่ไปปล้นไปจี้กัน เอามาใช้มากินไปพลาง มันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ เดือดร้อนกันหมด แล้วมีความร้อนใจเหมือนกับตกนรก ไถนาอยู่มันคิดแบบนั้นมันก็ร้อนใจเหมือนกับตกนรก มันไม่ได้ซักที เมื่อไรจะได้ ไม่ได้ซักที มันตกนรก คือไถนาไปพลาง ตกนรกไปพลาง สมัยปู่ย่า ตายาย ไถนาไปพลาง ดีใจไปพลาง คือขึ้นสวรรค์ไปพลาง ขึ้นสวรรค์ไปพลาง ขึ้นสวรรค์ล่วงหน้าไปพลางเมื่อกำลังไถนาอยู่แท้ๆ พอใจ อิ่มใจ พอใจ ข้าวใส่บาตรแน่ มีความสุข ตั้งแต่เมื่อไถนาโน่นแหละ แล้วสมัยนี้มันไม่ มันต้องการใหญ่โต สร้างวิมานในอากาศที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ทันใจ ก็ไปลัก ไปตี ไปขโมยดีกว่า มันก็ขโมยเพื่อนบ้านข้างเคียงนั้นแหละ เอาเปรียบฉ้อฉลอะไรกันไปตามเรื่อง นี้แหละมันจึงต่างกันลิบนะ สมัยลูกหลานกับสมัยตายาย ต่างกันลิบ จึงขอให้ทุกคน มีความรู้ เพิ่มขึ้นสักข้อหนึ่งว่า ไอ้ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนนั้นแหละ คือการปฏิบัติชอบ ปฏิบัติดี ทำหน้าที่ทุกๆอย่าง ทุกๆประการของต้น ตั้งแต่ทำนาทำไร่ จะเก็บจะงำ จะมี จะใช้ จะซื้อ จะขาย จะเป็นอยู่ ด้วยอาการอย่างไร ก็เป็นหน้าที่หมด หน้าที่ทั้งหมดนั้นคือเรียกว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดนะ อย่ามองข้ามไปนะ สิ่งที่จะช่วยให้รอดนะ ไม่ ไม่ใช่สิ่งอื่นคือหน้าที่ ที่จะทำอย่างถูกต้องนะ หน้าที่ ที่จะทำอย่างถูกต้องนั้นแหละคือธรรมะ จงมีธรรมะด้วยการปฏิบัติหน้าที่ ไถนาอยู่ก็ได้ เลี้ยงวัว เลี้ยงควายอยู่ก็ได้ ทำงานอะไรอยู่ก็ได้ เป็นหน้าที่ ที่โดยตรง ชิ้นใหญ่เลย หน้าที่น้อยๆที่บ้าน ที่เรือนนี้ จะมีบ้าน มีเรือน จะทำบ้าน ทำเรือน จะหุงข้าวกิน จะกินข้าว จะถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ จะอาบน้ำอาบท่าอะไรก็ต้องรู้ เป็นหน้าที่ๆๆที่จะทำให้รอดชีวิต แล้วก็ ปฏิบัติธรรม นั้นคือปฏิบัติธรรม มันก็ทำหน้าที่รอดชีวิตอยู่แล้วมันก็คือ ให้รู้ว่าปฏิบัติธรรม แล้วก็ทำอยู่ตลอดไป ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ว่ามากกว่าเดิม ไม่เคยคิดนี่ โง่นี่ไม่อยากจะทำด้วยซ้ำไป มันเหนื่อย มันลำบากนี่ แต่ถ้าว่ารู้สึกว่า ไอ้หน้าที่นี้คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด แล้วมันก็ไม่เหนื่อยแหละ มันไม่กลัวลำบากมันทำสนุก สนุกแล้วก็เป็นความสุข เมื่อทำหน้าที่ นี้จะได้มีความสุขไปเสียตั้งแต่เมื่อกำลังทำหน้าที่ ถึงจะกินอาหาร ก็กินด้วยสติ สัมปชัญญะ มันเป็นหน้าที่ กินให้ดีที่สุด อย่ากินด้วยกิเลส เดี๋ยวนี้มันกินด้วยกิเลส มันเจริญด้วยเรื่องของอาหาร ของกิเลสมันมากเกินไป เดี๋ยวมันก็เดี๋ยวก็ได้ไปฉ้อ ไปโกง ไปขโมยมากินอีกแหละ ใช่ไหม แต่ถ้าว่าอะไรละ อาบน้ำ ด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าอาบตูมตามๆ บ้าๆบอๆความจริงมันไม่อยากจะอาบหลอก และก็ไม่มีรู้สึกเป็นสุขหรือพอใจในการอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะก็เหมือนกัน ขอให้รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ ที่ทำให้เกิด ความรอดชีวิต ทำให้ดีที่สุด แล้วพอใจๆ เลยเป็นสุข แม้กำลังนั่งถ่ายอุจจาระ นั่งถ่ายปัสสาวะอยู่ พอใจแล้วเป็นสุขนี่ จะทำอะไรทุกอย่างตาม ที่จะต้องทำในประจำวัน จะตื่นนอนขึ้นมา จะล้างหน้า จะนุ่งผ้า จะกินข้าว จะถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ทุกอย่างได้ความพอใจๆๆๆไปทุกเวลาทุกวินาที ไปทำงานที่ไร่ ที่นา ที่สวน ที่ออฟฟิต ที่ไหนก็พอใจตลอดเวลาว่าได้ทำหน้าที่คือธรรมะ เลยมีความสุขทุกนาทีทั้งวันทั้งคืนนะ นี้แหละ เป็นลูกหลานของตายายที่มีพุทธศาสนามาจริงๆ คนไทยนี้ถือพุทธศาสนามา ไม่น้อยกว่า พันกว่าปี คือว่าเมื่อพุทธศาสนาทางเหนือไปถึงเมืองจีน แผ่มาทางฝ่ายเหนือนะ คนไทยยุคแรกก่อนมาตั้งที่แถวใต้นี้ได้รับพุทธศาสนาจาก ไอ้พวกนั้นแล้ว พวกที่แผ่มาจากอินเดียโดยตรง เอาแหละสรุปความว่าเรามีพุทธศาสนากันมาเป็น พันปี สองพันปีแล้ว อยู่ในเลือด อยู่ในเนื้อแล้ว รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ มีจิตใจถูกต้องอยู่เสมอโดย โดยได้รับเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีไม่ต้องพูดว่าถือศาสนาอะไร แต่ปฏิบัติอยู่ ครบถ้วนหมดในพุทธศาสนาในบ้านในเรือน นี้เขาเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม คือธรรมะในศาสนา ที่มากลายเป็นข้อปฏิบัติประจำวัน ในบ้านในเรือน เขาเรียกเป็นวัฒนธรรม เป็นอารยธรรม เป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ว่าต้องความถูกต้องทั้งนั้น เมื่อมีความถูกต้องมันก็แก้ปัญหาได้ ก็อยู่เป็นสุขกันมาได้ จนกว่าจะมาถึงยุค ที่ความเจริญสมัยใหม่ทางวัตถุเกิดขึ้นนี้ ทำให้คนหลงใหลในความสวย ความงาม ความสนุกสนาน ความเอร็ดอร่อย ความ บ้าคลั่งในกิเลส นี้มันเปลี่ยนมันเปลี่ยนตรงนี้ ใครทนไม่ได้ก็ไป เปลี่ยนไป ไป ไป ไปนิยมไอ้ความสุขสนุกสนาน ทาง ทางวัตถุใครทนอยู่ได้ก็ถือ ธรรมะไปตามแบบเดิม แต่เดี๋ยวนี้ดูว่ามันไป ทาง วัตถุนิยมสมัยใหม่มากขึ้นๆเรื่องมันก็มากขึ้น ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ปัญหามันก็เกิดขึ้น การฆ่าฟันก็มากขึ้น การที่ฆ่าตัวเองตายนั่น มันก็มากขึ้น นี้เพราะว่ามันยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวกู ของกู มากเกินไป เป็นทุกข์ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนโน่น จิตมันตัวกู ของกู ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน แล้วมันก็หัวดื้อ แล้วก็มันขี้โกรธ แล้วมันขี้ขลาด ตั้งแต่เป็นเด็กเพราะความยึดมั่นถือมั่น นั่นเพราะพุทธศาสนามันจางเสียแล้ว ถ้าพ่อแม่ในบ้านในเรือนมีธรรมะเข้มข้นอยู่ มันก็ อบรมลูก ไม่ให้เป็นแบบนั้นแหละ เช่นว่าของ กำลังตกแตก ตุ๊กตาตกแตกคุณยายก็บอกลูกๆหลานว่ามันเช่นนั้นเองๆไม่ต้องร้อง นี่อบรมสั่งสอนกันไม่ให้ เห็นแก่ตัวแหละ ให้รักผู้อื่นแหละ ให้กตัญญู ให้กตเวทีแหละ นี้แหละเรื่องมันไปคนละทาง ทีนี้ถ้าทั้งพ่อ ทั้งแม่ มันไปเห่อไอ้กิเลส เห่อวัตถุนิยมสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ตามแบบสมัยใหม่แล้วมันก็ไม่มี โอกาสที่จะสอนลูกให้เป็นเช่นนั้น ไอ้ลูกมันก็เป็น ทาส ของกิเลสเป็นตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที เอาอย่างพ่อแม่มันนั้นเอง ฉะนั้นพ่อแม่ทั้งหลาย จงระวังในข้อนี้ให้มาก ให้ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดี แล้วมันก็ติดไปในลูก แล้วมันก็ค่อยดีไปตามลำดับ นี้สมัยปู่ย่า ตายาย มันเป็นมาแบบนี้ แต่ทว่า น่าเห็นใจแหละสมัยโน้นเครื่องยั่วยวนไม่มากเหมือนสมัยนี้ เครื่องยั่วยวนสมัยนี้ มันมากเกิน จ เสียหลักกันไปหมด ตั้งแต่พ่อแม่แล้วไอ้ลูกมันก็เป็นไปตาม ถึงวันนี้ มานึกถึง ตายาย สมัยก่อนอยู่ได้ ไม่ตายนะไม่ต้องมีเสื้อผ้าสวยงามไม่ต้องมีอะไรที่ว่าสมัยนี้ต้องใช้ ต้องกิน เช่นว่า น้ำแข็ง แบบนี้ปู่ย่าตายายไม่เคยกิน แล้วก็ไม่ตาย น้ำอัดลมอย่างนี้ ปู่ย่า ตายายไม่เคยกิน แล้วก็ไม่ตาย ไอ้เสื้อผ้าที่ชุบเป็นดอก เป็นดวง แปลกๆนะปู่ย่า ตายายไม่เคยมี ก็ไม่ตาย อะไรอีกหลายอย่างที่ปู่ยา ตายายไม่เคยมีแล้วก็อยู่ได้ แล้วก็ไม่ตาย ขอให้คิดนึกเถอะว่า ให้กลับไปเอาอย่าง เรียนหลักเกณฑ์ของปู่ย่าตายาย ให้มากไม่ใช่ว่าทำเหมือนทุกอย่างได้ มันพ้นวิสัยแล้วที่จะทำเหมือนทุกอย่าง แต่ว่าให้มันมีหลักเกณฑ์เดียวกันคือไม่บ้า ไม่บ้าสวยบ้างาม ไม่บ้าสนุกสนาน ไม่บ้าเอร็ดอร่อย ไม่บ้าอะไรที่จะ เป็นการส่งเสริมให้จิตใจมันวิปริต แล้วมันก็เครียด มันจะเอาให้ได้ ถ้าเมื่อไม่ได้มันจะเป็นโรคประสาท เดี๋ยวมันก็บ้า ฆ่าตัวตายก็เพราะเหตุเป็นโรคประสาทนี้ ที่ฆ่าพ่อแม่ตาย เพราะเหตุไร นี้ความเลวร้ายมันกำลัง เกิดขึ้น เพิ่มขึ้น เกิดขึ้น เพิ่มขึ้น ที่มาระลึกถึง ตายาย ในวันนี้โดยเฉพาะ เป็นวันระลึกถึงตายาย ระลึกถึงความเป็นอยู่ของ ตายาย ความร่มเย็น ที่ตายายได้รับ ความเป็นสุขตลอดวันตลอดคืน เป็นสุขเมื่อไถนา เป็นสุขเมื่อทำการงาน ข้อนี้ให้กลับมา เป็นสุขเมื่อกำลังทำการงานขอให้กลับมายังลูกหลาน แล้วก็จะได้ ถูกต้อง มีความถูกต้อง มีธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลาทุกๆวินาที ทุกๆกระเบียดนิ้ว โดยเวลาก็ถูกต้องอยู่ทุก วินาที โดย เนื้อที่ก็ถูกต้องอยู่ทุกๆกระเบียดนิ้ว เขาเรียกว่าถูกต้องอยู่ทุกๆ กิริยาบถ ถ้าอันนี้กลับมาเป็นบุญมหาศาลของลูกหลานสมัยนี้ ขอให้ภาวนาหวังไว้ทุกๆคน อย่าหาว่า มันเป็นล่วงสมัย ครึคระ เอามาใช้อีกไม่ได้มันกำลังจะต้องกลับมา เวลานี้ไอ้พวกฝรั่งไอ้หัวแหลม หัวเจ้าความคิดต่างๆหมดปัญญาแล้ว หมดปัญญาว่าจะทำโลกให้มีความสงบสุขอย่างไร หมดปัญญา แล้ว เริ่มหันมาศึกษาธรรมะ ศึกษาศาสนา ฟื้นฟูศาสนาของตน ของตน กันขึ้นแล้ว เพราะมันหมดปัญญาที่จะสร้างไอ้สันติภาพด้วย ความเจริญ อย่างสมัยใหม่ มันมีแต่เรื่องเพิ่มปัญหานะ ลดลงให้อยู่พอดีๆอย่างแบบเก่านั้น มันจะหมดปัญหา ระลึกถึงตายาย เอาอย่างตายาย ทำให้เป็นที่ถูกใจตายายให้ ตายายมาเห็นว่าลูกหลานยังปกติดี ยังไม่บ้า ยังไม่บ้าสวยบ้างาม บ้าอะไรต่ออะไรที่บ้าๆ ไม่บ้า แล้วตายายก็ชื่นใจ เรื่องก็จบ ถ้าตายายกลับไปด้วยความชื่นใจเรื่องมันก็จบแหละ เรื่องสำหรับวันนี้ นี่แหละขอให้ทุกคน ฟังให้ดีๆและเข้าใจ และก็พยายามให้เป็นลูกหลานที่ดีของตายายจนได้ คือให้มีความสุขพอสมควรแหละ อย่าต้องเป็นทุกข์ให้ละอายแมว เวลาก็มีจำกัดถ้ากลัวว่าฝนจะตกให้รีบทำอะไรต่ออะไรให้เสร็จๆเสียตั้งแต่ช่วงเช้า ฉันก็มาปราศรัย พูดจา ตามเคยแหละ ตามสมควรแก่เวลา แต่ขอให้กลับไป ด้วยความรู้สึกว่า เรากำลังละทิ้ง ตัวอย่างของตายาย มากเกินไป จนเต็มไปด้วยความยุ่งยาก ลำบาก ขอให้กลับไปสู่ความสงบสุข ความเยือกเย็น อย่างเดิมแหละ ยิ่งๆขึ้นไป จะได้มีความพอใจ พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้พอ เอาแหละทีนี้ลงมือ จะได้ทำไปตามลำดับจุดเทียนจุดอะไร