แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) เอ้า, เด็ก ๆ นั่ง นั่ง นั่ง นั่ง นั่งลงไป มาเร็ว ๆ เด็ก ๆ มาเร็ว ๆ เด็ก ๆ มาเร็ว ๆ นั่ง
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับคนอื่น) ไหนนาฬิกาอะไรมี ตรงไหน เอามาไว้ดูสิ นี้มันดังจนฟังไม่ค่อยจะถูกแล้ว
(เสียงท่านพุทธทาส) เอ้า, เด็ก ๆ นั่ง เด็ก ๆ มาเร็ว เด็ก ๆ มาเร็ว อย่าไปเที่ยวเถลไถลที่ไหน
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับคนอื่น) ตั้งเอาไว้ เดี๋ยวจะพูดเกินเวลา มันเท่าไร เขากันไว้เก้าครึ่งไม่ใช่หรือ เก้าครึ่งต้องไปทำพิธีนะ นี้มันเข้าไปตั้ง
(เสียงท่านพุทธทาส) เอ้า, ทีนี้คนที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ มา เด็ก ๆ มาแล้ว คนที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ มา พูดกับเด็ก ๆ ที พูดกับเด็ก ๆ ที นะเรา วันนี้พูดกับเด็ก ๆ ที เด็กคนไหนเกิดจากโพรงไม้ ยกมือ เด็กคนไหนเกิดจากโพรงไม้ ยกมือ เอ้า, เด็กคนไหน เด็กคนไหน เกิดจากโพรงไม้ เหอ, ไหน ไหน คนไหนเกิดจากโพรงไม้ยกมือ ยกมือสิ ใครเกิดจากโพรงไม้ ไม่มี ไม่มีใครเกิดจากโพรงไม้ ดี ดี ดี
ใครเกิดจากพ่อแม่ ยกมือ ยกมือ ใครเกิดจากพ่อแม่ ทุกคนเลย คนนี้เหรอ ใครเกิดจากพ่อแม่ ยกมือด้วยสิ ใครเกิดจากพ่อแม่ นั่งสิ เกิดจากพ่อแม่ ไม่ต้องถามแล้ว ไม่ต้องถามแล้วว่าใครเกิดเองได้ ใครเกิดเองได้ ใครเกิดเองได้ ไม่มี นั่งสิ ล้วนแต่เกิดจากพ่อแม่ทั้งนั้น
เอ้า, คอยฟังให้ดีนะ คราวนี้พ่อแม่ พ่อแม่เกิด เกิดเองได้หรือ พ่อแม่ พ่อแม่เกิดเองได้หรือว่าพ่อแม่ต้องเกิดจากพ่อแม่ของพ่อแม่ พ่อแม่เกิดเองได้หรือ ใครว่าพ่อแม่เกิดเองได้ ใครว่าพ่อแม่เกิดเองได้ ใครว่าพ่อแม่ก็เกิดจากพ่อแม่อีกทีหนึ่ง ยกมือ ใครว่าพ่อแม่เกิดจากพ่อแม่อีกทีหนึ่งก็ยกมือ พ่อแม่ต้องเกิดจากตา จากยาย จากปู่ จากย่า ทีนี้ปู่ย่าตายายก็ต้องเกิดจากพ่อแม่ของปู่ย่าตายาย ก็มีปู่ย่าตายายถอยหลังกันไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ทุกคนไม่ได้เกิดเอง ทุกคนไม่ได้เกิดจากโพรงไม้ ทุกคนไม่ได้เกิดจากควาย มีใครเกิดจากควายบ้าง อาจจะมีหลงสักคนละมัง ใครเกิดจากควายบ้าง ใคร ที่อาจจะหลงมาสักคน ใครเกิดจากควายบ้าง ไม่มี เกิดจากพ่อแม่ทั้งนั้น พ่อแม่เกิดจากปู่ตาย่ายาย ยายทวด ตาทวด ตาเทียด หลายร้อยชั่วคนมาแล้ว รวมความว่าเกิดเองไม่ได้ ฉะนั้นอย่าอวดดี เด็ก ๆ อย่าอวดดี อย่าอวดดีนะ เกิดเองไม่ได้ เกิดจากพ่อแม่ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ถึงจะสมกับที่เราเกิดจากพ่อแม่
เด็กคนไหนดื้อพ่อแม่ ยกมือ เด็กคนไหนดื้อพ่อแม่ ยกมือ ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง เด็กคนไหนดื้อพ่อแม่ ยกมือ เด็กคนไหนไม่ดื้อ เด็กคนไหนไม่ดื้อพ่อแม่ เด็กคนไหนที่ไม่ดื้อพ่อแม่ แล้วมันจะไม่ค่อยจริงอีกแล้วเหมือนกัน ???? (นาทีที่ 04:14) เอ้า, เด็กคนไหนเคยทำให้พ่อแม่โมโห เด็กคนไหนเคยทำให้พ่อแม่โมโห ใคร ใครเคยทำให้พ่อแม่โมโห ทั้งหญิงทั้งชายเลย ใครเคยทำให้พ่อแม่โมโห นี้ไม่เด็กแล้วนี่ เอ้า, เด็ก ๆ นี้ใครเคยทำให้พ่อแม่โมโห เท่านี้ก็พอแล้ว ทีหลังอย่าทำให้พ่อแม่โมโห มันบาป เด็ก ๆ ทุกคนจำไว้ว่ากันถ้าบาปแล้วซวย ไม่ต้องมีใครแช่ง มันซวยเองถ้าบาปนะ อย่าทำให้บาป อย่าทำให้เป็นบาป บาปมีหลาย ๆ อย่างนะ แต่ว่าที่สำคัญที่สุดอย่าทำให้พ่อแม่โมโห มันบาปนั่น
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับคนอื่น)ไหน เตรียมไว้สิ เดี๋ยวจะหันหน้ากลับไปทางฝั่งโน้นแป๊บ แล้วจะถ่ายรูป จะได้เตรียมไว้ให้พร้อม เพราะต้องนั่งหันหน้านี้ไปฝ่ายโน้น ถ่ายรูป ไปเตรียมให้พร้อม
(เสียงท่านพุทธทาส) อ้าว, ร้องทำไมล่ะ ทำไมล่ะ หาพ่อ พาไปหาพ่อหน่อย มันร้อง มานั่งแป๊บเดียวก็คิดถึงพ่อแล้ว มันไม่ได้เกิดเอง นี่มันเกิดจากพ่อ มานั่งแป๊บเดียวร้องหาพ่อแล้ว สัญญาทีนะ อย่าทำให้พ่อแม่โมโหนะ บาปนะ บาปแล้วจะซวยนั่น จำไว้เถิด ถ้าบาปมันซวยไม่ต้องมีใครแช่ง คนที่ไม่เจริญนั่นแหละคือคนมันซวย แล้วมันก็ไม่รู้ว่ามันซวย แล้วมันไม่เจริญเพราะมันไม่รู้ว่ามันซวย แล้วมันก็ไม่รู้ว่ามันบาป นี่เราเคยสังเกตมาหนักหนาแล้ว ถ้าทำให้พ่อแม่ร้อนอกร้อนใจนี้มันบาป นี่เราถามว่าใครเคยทำให้พ่อแม่โมโห ใครเคยทำให้พ่อแม่โมโห ไม่ยกมือ ชักจะสงสัยนี่ ต้องเรียกพ่อแม่มาถามสักทีเถิด ไอ้นี้ ไอ้อยู่หน้าวัดนี่ ไม่เคยทำให้พ่อแม่โมโหหรือ เดี๋ยวไปเรียกแม่มาถามดูที ไอ้นี้อยู่หน้าวัดนี่
เอาละที่แล้วก็แล้วกัน ยกเลิก ที่แล้วยกเลิก ไม่ต้องถาม แต่ว่าต่อไปอย่าทำให้พ่อแม่โมโหสักทีได้หรือไม่ ???อย่าทำให้พ่อแม่โมโห (นาทีที่ 06:48) บางทีแกโกรธบ้าง ตีบ้างก็มี ตกลงหรือไม่ตกลง ต่อไปอย่าทำให้พ่อแม่โมโห นี้ฟังเราเถิด ตกลงไม่ตกลง ใครเอา ใครสัญญา ต่อไปไม่ทำให้พ่อแม่โมโห ใครสัญญา ยกมือ ยกมือ ใครสัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำให้พ่อแม่โมโห นี้พวกนี้ล่ะ สัญญาหรือไม่สัญญา ต่อไปอย่าทำให้พ่อแม่โมโห วันนี้มาทำบุญตายาย พอตายายมาเห็นว่าเด็ก ๆ ทำให้พ่อแม่โมโห แล้วตายายโกรธ ตายายแช่ง วันนี้วัน วันที่เขาทำบุญตายายทุกวัดนะ ตายายมา ถึงไม่เห็นตัวแต่ตายายก็มา และตายายที่เป็นตัวและเห็นตัวอยู่ก็มีมาก เต็มไปหมด ตายายของเธอที่ยังไม่ตายทีก็มีมากนั่น ที่ตายแล้วก็มีมากนั่น สำคัญอย่าให้ตายายโมโห แล้วก็อย่าทำให้ตายายที่เป็น ๆ โมโห แล้วก็ตายายที่ตายแล้วก็ไม่โมโหเหมือนกัน นี่เรามันจะต้องทำให้ดี อย่าให้มีบาป
ข้อที่ ๑ เราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ข้อที่ ๑ เราจะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ถ้าพูดให้เพราะ คือว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เอ้า, ใครสมัครเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ยกมือเว้ย ใครสมัครเป็นบุตรที่เลว ใครสมัครเป็นบุตรที่เลว ไอ้นี้ไม่ฟัง สมัครเป็นบุตรที่เลวของบิดามารดาก็มี เอาใหม่เอาใหม่ ไม่เอา ผิดแล้ว ใครสมัครเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ยกมือสิ ใช้ได้ เอ้า, ว่าพร้อม ๆ กันถ้าอย่างนั้นนะ
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) เป็นบุตรที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) เป็นบุตรที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของบิดามารดา
(เสียงเด็กพูดตาม) ของบิดามารดา
(เสียงท่านพุทธทาส) ไหนว่าดูสิ ว่าใหม่สิ
(เสียงเด็กพูด แต่ฟังไม่ชัด)
(เสียงท่านพุทธทาส) เอาว่า อย่าทำเล่น ไม่ทำเล่น ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นบุตรที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นบุตรที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของบิดามารดา
(เสียงเด็กพูดตาม) ของบิดามารดา
(เสียงท่านพุทธทาส) ปู่ย่าตายาย
(เสียงเด็กพูดตาม) ปู่ย่าตายาย
(เสียงท่านพุทธทาส) ตลอดไป
(เสียงเด็กพูดตาม) ตลอดไป
(เสียงท่านพุทธทาส) ไม่มีใครเป็นบุตรที่เลว ไม่ต้องว่า ข้าพเจ้าจะเป็นศิษย์ที่ดี ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของครูบาอาจารย์
(เสียงเด็กพูดตาม) ของครูบาอาจารย์
(เสียงท่านพุทธทาส) เวลานี้ใครไม่มีครูบาอาจารย์บ้าง เวลานี้เด็กคนไหนไม่มีครูบาอาจารย์บ้าง ยกมือ ยกมือ ใครไม่มีครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าว่า ไม่ใช่เราว่า ว่าพ่อแม่เป็นครูคนแรกของบุตร ครูคนแรกน่ะคือบิดามารดา ปุพพาจริโย มาตาปิตโร (นาทีที่ 10:22) บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรกของลูก ใครกินข้าวเป็นเอง แม่ไม่ต้องสอนบ้าง ยกมือสิ ใครกินข้าวเป็นเอง แม่ไม่ต้องสอนบ้าง ยกมือสิ นั่นแหละเขาว่าบิดามารดาเป็นครูอาจารย์คนแรกของบุตรนั่น สอนให้ดูดนม สอนให้กินข้าว สอนให้เดิน สอนให้พูด แล้วก็สอนหลาย ๆ อย่าง แล้วต่อมาก็เรามาเข้าโรงเรียน มีครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน ฉะนั้นเราก็เป็นผู้ที่มีครูบาอาจารย์แหละ นับตั้งแต่บิดามารดาเป็นครูบาอาจารย์คนแรก แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน ตัวเล็ก ๆ นี้ยังไม่เข้าโรงเรียนก็มันมีพ่อแม่เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นพี่มันช่วยสอนนั่นสอนนี่ สอนกอขอให้ก็มี นี่เราต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพครูบาอาจารย์ เอ้า, ว่าอีกที
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของครูบาอาจารย์
(เสียงเด็กพูดตาม) ของครูบาอาจารย์
(เสียงท่านพุทธทาส) นั่นแหละ จำไว้เถิด นี่ข้อที่ ๑ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้อที่ ๒ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้อที่ ๓ ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นเพื่อน
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นเพื่อน
(เสียงท่านพุทธทาส) ที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) ที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของเพื่อน
(เสียงเด็กพูดตาม) ของเพื่อน
(เสียงท่านพุทธทาส) เวลานี้ใครไม่มีเพื่อนบ้างยกมือ ใครไม่มีเพื่อน เด็กคนไหนไม่มีเพื่อน ยกมือ เด็กคนไหนไม่มีเพื่อน เวลานี้เด็กคนไหนไม่มีเพื่อน อยู่คนเดียวไม่มีเพื่อน เด็กคนไหน ไอ้นี้ฟังไม่เข้าใจว่าเพื่อนคืออะไร ไอ้ติ๊ด (นาทีที่ 12:24) ไม่รู้ว่าเพื่อนคืออะไร เอ้า, ใครไม่มีเพื่อน ใครอยู่ในโลกไม่มีเพื่อนเวลานี้เด็กคนไหน มันมีเพื่อนเล่น เพื่อนโรงเรียน เพื่อนที่โรงเรียนเป็นเพื่อนเรียนและก็เป็นเพื่อนเล่น เพื่อนที่บ้านก็เพื่อนให้กิน เพื่อนพาไปเที่ยว เพื่อนหัวเราะ เพื่อนเป็นเพื่อนทั้งนั้น เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ใครเคยชกเพื่อนบ้าง
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับเด็ก) เสาวภา เคยด่าเพื่อนหรือเปล่า ไม่เคยแน่เหรอ
(เสียงท่านพุทธทาส) ใครเคยชกเพื่อนบ้าง ที่อยู่ตรงนี้ ไม่ค่อยเชื่อแล้ว ใครข่วนหน้าเพื่อนบ้าง เอาว่าแบบนี้ดีกว่า นั้นแหละมันไม่ดี ด่าเพื่อนบ้าง ข่วนหน้าเพื่อนบ้าง ชกเพื่อนบ้าง นี่มันไม่ใช่เพื่อนที่ดี จำไว้ เราต้องช่วยเพื่อน ต้องช่วยเหลือเพื่อน ต้องมีความรักเพื่อน มีอะไรต้องปันกัน ถ้ามีอันตรายต้องช่วยเหลือกันอย่าให้เป็นอันตราย เอ้า, ว่าอีกที
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นเพื่อนที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นเพื่อนที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของเพื่อน
(เสียงเด็กพูดตาม) ของเพื่อน
(เสียงท่านพุทธทาส) ๓ ข้อนี้พอแล้ว สำหรับเด็ก ๆ นี้ ๓ ข้อนี้มันพอแล้ว หนึ่ง
(เสียงเด็กพูดตาม) หนึ่ง
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้าจะเป็นบุตรที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้าจะเป็นบุตรที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของบิดามารดา
(เสียงเด็กพูดตาม) ของบิดามารดา
(เสียงท่านพุทธทาส) ปู่ย่าตายาย
(เสียงเด็กพูดตาม) ปู่ย่าตายาย
(เสียงท่านพุทธทาส) สอง
(เสียงเด็กพูดตาม) สอง
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นศิษย์ที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของครูบาอาจารย์
(เสียงเด็กพูดตาม) ของครูบาอาจารย์
(เสียงท่านพุทธทาส) สาม
(เสียงเด็กพูดตาม) สาม
(เสียงท่านพุทธทาส) ข้าพเจ้า
(เสียงเด็กพูดตาม) ข้าพเจ้า
(เสียงท่านพุทธทาส) จะเป็นเพื่อน
(เสียงเด็กพูดตาม) จะเป็นเพื่อน
(เสียงท่านพุทธทาส) ที่ดี
(เสียงเด็กพูดตาม) ที่ดี
(เสียงท่านพุทธทาส) ของเพื่อน
(เสียงเด็กพูดตาม) ของเพื่อน
(เสียงท่านพุทธทาส) ๓ อย่างพอ เด็ก ๆ เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี และถ้าเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีก็ไม่มีอะไรจะชั่ว ไม่มีเหลวไหล ไม่มีทำให้พ่อแม่โมโห ไม่ลักไม่ขโมย ไม่ทำชั่วให้เขาเกลียดน้ำหน้า ให้เขาด่า ให้เขาแช่ง ให้เสียชื่อของพ่อแม่ เวลาเด็กทำชั่วนี่พ่อแม่เสียชื่อ ฟังให้ดีนะทุกคนเด็ก ๆ ทุกคนฟังนะ เวลาเด็ก ๆ ทำชั่วน่ะ พ่อแม่เสียชื่อทั้งเสียใจและโมโห อย่าทำให้พ่อแม่โมโห มันบาป บาปมันซวย
ทีนี้ต่อไปโตขึ้น โตขึ้นมา เราจะต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ โตขึ้นต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ทำให้บ้านเมืองเจริญ อย่าทำลายสิ่งของของประเทศชาติ สิ่งที่เขามีไว้สำหรับความเจริญก็ต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ นี้สร้างวัด สร้างถนน สร้างโรงเรียน สร้างสารพัดอย่างนี่ก็ทำให้มันเจริญ เราเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นี่คนหนุ่มคนสาวก็มาถึงขนาดที่ว่าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ
ทีนี้ก็รวมหมดทุกคนทีว่าจะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า นี่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั้งคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนแก่อะไรก็ต้องเป็นสาวก คือเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า คือเป็นอุบาสกอุบาสิกาของพุทธศาสนาที่ดี นี่รวมความแล้วมันมี ๕ อย่าง เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นพุทธบริษัทที่ดี ถ้าเป็นอย่างนี้ตายายชอบใจ วันนี้ทำบุญให้ตายายโดยเฉพาะ เด็ก ๆ จะต้องนึกถึงบิดามารดาปู่ย่าตายายเป็นพิเศษ ไม่ใช่เขาให้มาเล่นอย่างเดียววันนี้ มาที่วัดนี้ก็มาเล่น มาดูมามองมาเที่ยวก็ได้ แต่สำหรับวันนี้ไม่ใช่มาเล่นอย่างเดียว มาเที่ยวอย่างเดียว ต้องมานึกถึงบุญคุณของบิดามารดาปู่ย่าตายาย วันอื่น ๆ มันอาจจะลืมไป แต่วันนี้ต้องไม่ลืม ทุกคนแหละคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนแก่ วันนี้เป็นวันตายาย ตั้งใจทำบุญกุศลอุทิศให้ตายาย เพราะว่าเราเกิดเองไม่ได้ เราเกิดจากปู่ย่าตายาย อย่าไปนึกอะไรที่มันผิดไปจากที่ของดี ๆ ที่ปู่ย่าตายายเคยทำ เวลานี้ชอบไปเล่น ไปดูหนัง ไปดูละคร ไปร้องเพลง ไปอะไรมากเกินไปแล้ว จนไม่ทำไอ้สิ่งที่ดี ๆ ที่ปู่ย่าตายายเคยทำแล้ว ฉะนั้นมันจึงเปลี่ยนแปลง มันจึงมีการเบียดเบียนรบราฆ่าฟันอันธพาลอะไรกันมากขึ้น เด็ก ๆ ไม่เชื่อครู บางทีคิดทำร้ายครู เขาว่าโรงเรียนบางโรงเรียนเวลานี้ ชั้นวิทยาลัยนะ เวลาสอบไล่ต้องเอาตำรวจไปคุม ไม่อย่างนั้นนักเรียนมันจะฆ่าครู ครูก็ตรวจแรง (นาทีที่ 18:28) หรือให้คะแนนไม่ดี จะทำให้มันตก มันจะฆ่าครู ก็ต้องเอาตำรวจไปคุมเวลาสอบไล่ ไปกันใหญ่แล้วนั่น บางทีเผาโรงเรียนเสียก็มี นักเรียนน่ะ นี่มันไม่รู้ว่า ไม่รู้บุญคุณของบิดามารดาครูบาอาจารย์หรือว่าเพื่อน หรือว่าประเทศชาติศาสนา นี่เด็ก ๆ เราจะต้องเป็นบุตรที่ดีเป็นลูกหลานที่ดีและอุตส่าห์เล่าเรียนให้ดี ๆ จะได้ดี มีความสุข ปู่ย่าตายายจะให้พร
เอ้า, ใครอยากให้ตายายแช่ง ยกมือ เด็กคนไหนอยากให้ตายายแช่ง ยกมือ ไม่มีอีกแล้ว เด็กคนไหนอยากให้ตายายให้พร เด็กคนไหนอยากให้ตายายให้พร ใครตอบได้ว่าให้พรน่ะให้ทำอะไร ที่ว่าให้ตายายให้พรน่ะ ให้ทำอะไรล่ะ ตายายทำอะไร อ้าว, ตอบไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้พรไหนอีก ที่ว่าตายายให้พร ให้เราเป็นคนที่ดี ประพฤติดี แล้วก็ร่างกายสบายดี จิตใจสบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ เรียนหนังสือดี และทำการงานดี และมีความเจริญดี นี้เขาเรียกว่าพร ตายายให้พร อย่าลืมนะวันนี้ ถ้าต้องการให้ตายายให้พร และวันหลัง ๆ ต่อไปก็ต้องให้ตายายให้พร แล้วเธอก็อย่าทำให้ตายายโมโหนะ ตายายที่ยังเป็น ๆ ก็ยังมี อย่าทำให้ตายายโมโหนะ เข้าใจไหม ที่แล้วก็แล้วไปนะ ต่อไปอย่าทำให้ตายายโมโห
หนึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สองเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ สามเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เท่านี้ตายายก็ไม่โมโหแล้ว พอโตขึ้นก็เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าเลย
วันนี้วันอะไรใครตอบได้ ยกมือ ใครตอบได้วันนี้วันอะไร
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับเด็ก) คนนี้ว่าวันอะไร วันอะไร
(เสียงท่านพุทธทาส) วันนี้เขาเรียกว่าวันอะไร วันอะไร วันอะไร ไม่ใช่วันจันทร์ วันนี้ไม่เอา ไม่ใช่วันจันทร์ วันนี้วันอะไร
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับเด็ก) เสาวภา วันอะไร
(เสียงเสาวภาตอบ แต่ได้ยินไม่ชัด)
(เสียงท่านพุทธทาส) ไม่ใช่วัน วันที่ระลึกให้ตายาย มันเรียกว่าวันส่งตายายเสียแล้ว ถูกนั่นแหละวันส่งตายาย ก็ถูกนั่นแหละ แต่ว่าวันนี้มันวันทำบุญเป็นที่ระลึกแก่ตายาย เรามาประชุมกันเพื่อคิดถึงตายาย เพื่อขอบคุณ ขอบคุณที่ตายายได้เกิดพ่อแม่ของเรามา พ่อแม่เกิดเรามาอีกทีหนึ่ง เราขอบใจตายาย ถ้าไม่มีตายายเราไม่ได้เกิด จริงหรือไม่จริง ถ้าไม่มีตายายเราก็ไม่ได้เกิดและไม่ได้มานั่งอยู่แบบนี้นั่น ที่เราได้มาเกิดเพราะมันมีตามียายเกิด เกิด เกิดกันมา ต้องขอบใจตายายวันนี้ มาประชุมกันนะ มาประชุมกันที่นี่เพื่อทำบุญทำกุศลอุทิศให้ตายาย
(เสียงท่านพุทธทาสหันไปพูดกับเด็ก) วันนี้เสาวภาทำบุญอะไร ที่มาทำบุญให้ตายาย มาทำบุญอะไร ทำอย่างไรทำบุญวันนี้น่ะ เอาข้าวของมาทำอะไร
(เสียงเสาวภาตอบ แต่ได้ยินไม่ชัด)
(เสียงท่านพุทธทาส) เอามาให้ตายาย มันเอาข้าวของมาให้ตายาย เอ้า, เดี๋ยวตายายเอาสิ เอ้า, ใครคนอี่นล่ะทำบุญอะไร ทำบุญให้ตายายทำอย่างไร วันนี้เราต้องมานึกถึงตายาย ขอบพระคุณตายายนี้ก็เรียกว่าได้บุญแล้ว ถ้าเด็กคนไหนเก่งก็รับศีลด้วย รับศีลถือศีลให้เคร่งครัด นี้ทำบุญให้ตายาย เอาของมาไหว้พระ ถวายพระได้บุญก็ทำบุญให้ตายาย แล้วก็อุตส่าห์(นาทีที่ 22:28) ไหว้พระสวดมนต์ทำบุญให้ตายาย คนหนุ่มคนสาวก็เหมือนกัน เมื่อก่อนก็เคยเป็นเด็ก ต่อไปเป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นคนเฒ่าคนแก่
เอ้า, เขาตีระฆังประชุมแล้วเรารีบพูดกันให้จบ
วันนี้ทำบุญให้ตายาย อุตส่าห์ทำให้ดีที่สุด นึกถึงตายายตลอดวันตลอดคืน ก่อนที่มาบ้าน เอ้อ, ก่อนจะมาวัด อยู่ที่บ้านก็นึกแล้วว่าวันนี้มาวัดเพื่อทำบุญให้ตายาย มานั่งที่วัดก็ทำบุญให้ตายาย แล้วก็ทำทุกอย่างเลย อย่าไปเที่ยวอยู่เปล่า ๆ เลยวันนี้ มานั่งรับศีล มานั่งฟังเทศน์ มานั่งเลี้ยงพระยังดีกว่า แล้วก็จะไม่ ไม่ลืมตายาย นี่พาน้องมา ก็พามา ให้มันรู้จักว่าวันนี้มาทำบุญให้ตายาย
(นาทีที่ 23:28 - 25:13) ทีนี้เขาจะถ่ายรูป ไหนมาถ่ายรูป หันหน้าไปทางโน้น ไปเลย หันหน้าไปทางโน้น ไปนั่งที่แดด หันหน้าไปทางโน้น เด็ก ๆ หันหน้าไปทางโน้น ไม่หลอก ถ่ายรูป หันหน้าไปทางโน้น ออกไปที่แดด ออกไปที่แดด นั่งอย่างนั้นแหละถูกแล้ว ถูกแล้ว นั่งกลางแดด นั่งกลางแดด หันหน้าไปทางโน้น หันหน้าไปทางโน้น หันหน้าทางโน้น นั่ง นั่งสิ ถ้ายืนบังกันหมด นั่งกันบ้าง เอ้า, เข้ามาสิ เข้ามาสิ ตรงนั้นใครช่วยจัดแถวหน่อย อยู่เกินกันหมด คนถ่ายนะ นี่มาช่วยจัดแถวหน่อย เข้ามาตรงนี้ นี่คุณบอก บอก นี่ไปบอกให้จัดแถวที เสียเวลา บอกมานั่ง นั่งสิ นั่งสิ นั่งสิ นั่งสิ นั่งสิ นั่ง นั่ง นั่ง นั่ง ถ่ายไปเลยสิ ถ่ายอะไรแบบนี้ล่ะ ใครช่วยบอกที ช่วยบอกให้เขาเข้ามาอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ บอกให้เข้ามาตรงนี้ ช่วยบอกที บอกที บอกให้เข้ามา ให้เรียบร้อยที
มันสำคัญเหมือนกันที่ต้องพูดกับคนแก่สักที ถ้าคนแก่ทำไม่ถูกเรื่อง แล้วก็ล้มละลาย วันนี้มาทำบุญตายายให้คนแก่ล่วงลับไปแล้วก็จริง แต่ว่าคนแก่ ๆ ที่ยังอยู่นี้ก็มี ถ้าคนแก่ ๆ ทำมันผิดเรื่อง เด็ก ๆ ก็รวนหมด มันก็ล้มละลาย ขอให้คนแก่ ๆ ตั้งอกตั้งใจทำให้มันดี ให้เด็กยึดถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ แล้วมันก็จะยืนยาวต่อไปเรื่อย ๆ อุตส่าห์มาแต่ไกล ลำบาก ก็ขอให้ได้รับประโยชน์ ให้คุ้มกันกับที่อุตส่าห์มาแต่ไกล ๆ คือว่าคนแก่ ๆ เป็นคนที่รับช่วงมา รับมรดกต่าง ๆ ตกทอดมาก่อนที่จะมาถึงเด็ก ๆ มันเรื่อยมาชนิดนี้ คนแก่ ๆ ก็เป็นผู้รับมอบสิ่งต่าง ๆ มาจากคนที่ตายไปแล้ว ก็เรื่อย ๆ มาจนบัดนี้ ฉะนั้นคนแก่ ๆ นั้นช่วยยืนให้เป็นหลักสักนิดสิ อย่าให้มันโลเล ไอ้โลกกำลังจะโลเล มันกำลังจะวินาศ กำลังจะลงไปในเหว ไอ้โลกสมัยนี้ ถ้าไม่มีใครยืนเป็นหลักไว้สักพวก แล้วมันก็จะลงเหว
เมื่อก่อนนะฝรั่งผู้หญิงนะใส่เสื้อยาวถึงข้อมือ คลุมมือก็มี นุ่งผ้าถึงตาตุ่ม ผู้หญิงฝรั่งนะ เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ไม่ถึงร้อยปีมานี้ ผู้หญิงฝรั่งมันนุ่งผ้ายาวแบบนั้น แล้วคนไทยรุ่นโบราณก็เอาอย่าง ใส่เสื้อยาว นุ่งผ้ายาว ถึงเวลานี้พวกฝรั่งมันจะไม่นุ่งผ้ากันแล้ว คราวนี้ก็ไปตามอย่างมันอีก มันจะไม่นุ่งผ้ากันอีก รูปบางรูปน่าเกลียดมาก ที่เขาว่าไม่น่าเกลียดน่ะ น่าเกลียดมาก นุ่งผ้าสั้น ผู้หญิง พอนั่งบนเก้าอี้อะไรต่ออะไร มันคล้าย ๆ ถลกไปหมดเลย ถ่ายรูปติดตามหนังสือพิมพ์อยู่บ่อย ๆ ดูสิที่หน้าหนังสือพิมพ์น่ะ มันน่าเกลียด มันอุดจาด มันอนาจาร แต่เจ้าของรูปก็มันไม่เห็นว่าอนาจาร มันเอามาลงหนังสือพิมพ์ได้ เมื่อตอนเช้าก็ยังมีอยู่รูปหนึ่ง ผู้หญิงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างนี้ ดูเหมือนไม่นุ่งผ้าเลย ยังยอมให้เขาเอามาลงในหนังสือพิมพ์ได้ คนมันหน้าด้าน ผู้หญิงหน้าด้านเสียแล้ว นี่คนแก่ ๆ มันต้องยืนโรงให้ดี ๆ อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงมากขนาดนั้น ไอ้ลูกหลานมันจะลงนรกกันหมดนะ ไอ้พวกเด็ก ๆ พวกลูกหลานนี่ก็ต้องระวังอย่าไปตามอย่างสิ่งที่มันโง่ มันเขลา มันบ้า มันบาป คนที่นุ่งผ้าที่ไม่ค่อยมิดชิด เอานั้นเที่ยวอวด เอานี้เที่ยวอวดเขานั้น มันเป็นคนบาป คนหนุ่ม ๆ ก็จะคอยสอดตาดู ดูผ้าที่ปิดไม่มิดนั่นแหละ เขาตัดเสื้อตัดกระโปรงให้มันสั้นเข้าไปทุกที ไอ้คนหนุ่มมันก็คอยดู แค่นั้นมันก็บาป ไอ้คนสาวมันก็บาป เพราะมันตั้งใจที่จะอวดด้วยความโง่ไปตามแบบแฟชั่น มันก็บาป ไอ้คนหนุ่ม ๆ มันก็จะบาปมากขึ้น แต่ในใจมันก็เลวกันทั้ง ๒ ฝ่าย ทีนี้ก็จะทำสิ่งที่เป็นอาชญากรรม เขาเรียกถือเป็นบาป เพราะมันกลุ้มแต่เรื่องกิเลสตัณหา นี้คือปัญหา ทีนี้ปู่ย่าตายายจะเอาไว้ไหวหรือไม่ไหว เตือนกันบ้างสิว่าอย่าไปเร็วนักสิ (นาทีที่ 29:23) ลูกหลานเอ๋ย นึกถึงกูบ้างนะ ปู่ย่าตายายมันเกิดลูกหลานเหล่านี้มาด้วยความสงบปกติ เพิ่งมาเปลี่ยนกันเมื่อเร็ว ๆ นี้แหละ เปลี่ยนให้มันเลอเทอะ มันไม่ใช่เปลี่ยนให้มันสงบ ปกติ ไม่ใช่ เลยถือโอกาสว่าทำบุญตายายนี้นึกถึงความสงบ ปกติเราเคยสงบ เมื่อก่อนเราเคยสงบ ไม่ต้องระแวงภัยอันตรายมากเหมือนสมัยนี้ เทียบกันได้ไหม เคยมีจี้ไหม เคยมีขโมย หรือว่านอนใต้ถุนบ้านจนสว่างก็ได้ ไม่มีใครมาฆ่าตาย ทีนี้มันเปลี่ยนถึงขนาดมีไม่ได้ มันเปลี่ยนเพราะเหตุใด เพราะมันไปตามสมัย ที่นิยมกิเลสนั่นแหละ ตายายของเราไม่เคยนิยมกิเลส ก็อยู่สบาย สมัยใหม่ไปนิยมกิเลส นิยม นิยม นิยมจนไม่รู้ว่าจะไปไหนแล้ว ก็เลยเกิดเรื่อง
ทีนี้วันนี้มาทำบุญตายาย ขอให้มันมีความหมาย ก็ยังไม่ตาย ก็เป็นตาเป็นยายอยู่มาก ไอ้ตัวเล็ก ๆ เรียกตา เรียกยาย เรียกปู่ นี่ก็ยังอยู่ ปู่ย่าตายายก็ยังอยู่ ทีนี้ปู่ย่าตายายของคนแก่ ๆ นี้ก็ตายไปแล้ว เป็นส่วนมาก วันนี้จะมาบังสกุลกันบ้างอะไรบ้าง เรียกว่าทำบุญให้ตายายแท้ ๆ เลย ถ้าว่าใครมีการบังสกุลตายาย ก็หมายความว่านึกถึงตายายมากทีเดียวจึงคิดบังสกุล บังสกุลตายายควรจะให้เป็นในรูปที่ว่าถูกใจตายาย ไม่มีอะไรดีกว่าทำให้ถูกใจตายาย คือให้มันมีความสงบสุขกลับมาอีก
เมื่อก่อนได้ก่อเจดีย์ทราย ได้ขนทรายเข้าวัด ได้ชักพระ แห่พระ สนุกกันมาก ชอบ หาความสนุกสนานด้วยการลากพระ ก่อเจดีย์ทราย เวลานี้มันไม่เอาแล้ว มันจะไปรำวง หรือมันจะไปทำยิ่งกว่ารำวง หรือมันจะไม่นุ่งผ้า ไปรำวง ไปเต้นรำ ก่อเจดีย์ทรายไม่สนุก ชักพระก็ไม่สนุก อะไรก็ไม่สนุก จะไปทำเรื่องกิเลสถึงสนุก คิดดูสิตายายจะแช่งหรือไม่แช่ง ฉันว่าแช่งแน่ ตายายที่ตายไปแล้วน่ะแช่งแน่ ถึงตายายที่ยังไม่ตายก็โมโหกลัดกลุ้มเหลือ เหลือ เหลือทนนะ ที่ลูกหลานจะไปทำอย่างนั้น นี่มันเห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันเป็นเรื่องร้อน เรื่องทุกข์ เรื่องร้อน ไปยอมกิเลสมาก ๆ ทีนี้มันก็จะไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ ไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เคารพศาสนา ไม่เคารพอะไรหมด มันหดหมดกันตอนนี้ พินาศหมด
ฉะนั้นอย่าให้มันหมด อย่าให้มันพินาศหมด คิดถึงตายาย วันนี้ทำบุญด้วยรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ทุกอย่างที่จะรักษาไว้ได้ ขอให้ช่วยกันรักษา นับตั้งแต่สวดพิมพิสารนี่ พระเณรมันโง่มันเอง มันไม่สวด มันขี้เกียจสวด มันเอาแต่เอาเปรียบ พระเณรสมัยฉันแรกบวช ไม่มีขี้เกียจ ไม่มีเอาเปรียบ ต้องมีสวดพิมพิสารตั้งแต่หัวรุ่งจนบัดนี้ยังสวดอยู่ ก็มีคนไปฟังนะ ก็รู้เรื่องพิมพิสาร คือทำอย่างไร เรื่องทำบุญตายายอย่างไร เวลานี้มันขี้เกียจขี้คร้านมันไม่สวด ก็พอดีชาวบ้านก็ไม่อยากฟังเหมือนกัน ก็เลิกไป พิมพิสารเลิกไป หมดไป มันน่าเสียดาย มันไม่รู้เรื่อง ไอ้เรื่องสวดพิมพิสาร มันเป็นเรื่องให้กตัญญูกตเวที นั่นถ้าฟื้นขึ้นมาได้จะดีนะ มันจะมีความคิดนึกกตัญญูกตเวทีกันบ้าง ไปช่วยกันไปนั่งฟัง ให้เด็ก ๆ มันนั่งฟัง มันก็รู้เรื่องพิมพิสาร เรื่องเปรตพิมพิสาร ไม่ทำบุญให้ทานต้องลำบาก ต้องพึ่งบุญ แต่ทำบุญให้ทานก็ยังดี นี่โทษที่ว่าเลิกล้างประเพณี คนก็มันไม่กตัญญู ฉะนั้นสิ่งไหนที่เขาทำไว้ดี อย่าเลิกล้างเลย นี้ถ้าว่าเลิกล้างที่สุด มันก็คงเลิกล้างไอ้ทำบุญตายายนี้ด้วย วันทำบุญตายายนี้ยกเลิก ก็ไม่ต้องทำกัน ก็หมดเลย เวลานี้วันทำบุญตายายยังไม่ยกเลิก แต่ได้ยกเลิกอะไรไปบางอย่างซึ่งน่าเสียดาย มันมากอย่างเหลือเกิน ประเพณีก็มี เรื่องธรรมะธัมโมก็มี เรื่องสั่งสอนอบรมก็มี เคยพูดมาแล้วทุกปีเดี๋ยวจะรำคาญ ก็ไม่พูดบางอย่าง แต่พูดเตือนแต่หัวข้อ วันนี้ต้องนึกถึงคนทุกคนที่ล่วงลับไปแล้ว และคนที่กำลังลำบากเป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่ในโลกนี้ที่ยังไม่ตาย ยังมีมาก เรียกว่าเปรตก็ดี เยาะ เงาะง่อย ก็ดี อะไรก็ดี ให้นึกถึงบ้าง ช่วยเหลือกันไปตามเรื่อง
คนที่เข้าวัดไม่ได้ เขาเรียกว่า เยาะ เงาะง่อย นี้มันมาจากอินเดีย อินเดียมีคนพวกหนึ่งเขาไม่ยอมให้เข้าวัด แล้วก็ต้องอยู่นอกวัด แต่ก็มีคนเอาไปให้ที่นอกวัด วางไว้ให้ที่ประตูวัด มันเผื่อแผ่กันขนาดนั้น แต่ประเทศไทยเราไม่มี คนที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าวัดไม่มี แต่ประเทศอินเดียมีและมาก เขาจึงทำประเพณีว่าจะต้องมีอะไรวางไว้นอกวัด แต่เมื่อรับประเพณีนี้ของอินเดียมา ก็เคยทำเหมือนกันนะ ก็วางเยาะ เงาะ ง่อย ไว้นอกประตูวัด ฉันเคยทำ เมื่อโยมทำ ฉันเป็นเด็ก ๆ ก็ต้องทำ ต้องวางไว้ให้ที่ประตูวัดต่างหาก ก็ยังมีที่ร้านเปรต เปรตยังดีกว่าเยาะ เงาะ ง่อย คือเขายอมให้เข้าวัด ก็ทำร้านเปรตกันในวัด ยังให้มีถวายพระอีก หรือว่าเลี้ยงดูกันเองอีก นี้หมายความว่าเรามัน มันมีจิตใจเอื้อเฟื้อ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั่วถึง กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน วันนี้สัตว์เดรัจฉานก็จะต้องได้กินได้อยู่เหลือเฟือ ทั้งเด็ก ๆ ก็ดี คนหนุ่มคนสาวก็ดี คนแก่คนเฒ่าก็ดี วันนี้ต้องมีจิตใจที่มันกว้างขวางชนิดนี้แหละ ให้สมกับที่ปู่ย่าตายายเขาเคยทำและเขามุ่งหมายไว้ เป็นวันที่ยอมรับรู้นับถือกันอย่างทั่วถึง แต่ที่ดีที่สุดก็คือว่าให้อบรมเด็ก ๆ ให้มีจิตใจชนิดนี้ไว้เรื่อย ๆ อย่าให้ขาดตอน ฉันต้องโทษคนเฒ่าคนแก่หรือพ่อหรือแม่ไม่อบรมเด็ก ๆ ไม่สั่งสอนเด็ก ๆ ว่าวันนี้มาทำอะไรก็ไม่สอนไม่ใช่หรือ พ่อแม่คนไหนบอกลูกเล็ก ๆ ว่าวันนี้มาทำอะไร ก็ไม่ได้บอก พ่อปู่พ่อตาพ่อย่าแม่ยายก็ไม่ได้บอก ว่า ไม่ได้บอกเด็ก ๆ ว่าวันนี้มาวัดทำอะไร จริง ๆ มันควรบอกแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่เมื่อคืนว่าพรุ่งนี้ไปวัด เพื่อแบบนั้นแบบนี้ ถ้าพ่อปู่บอกสักคำ มันดีนะ หรือว่าพ่อตาบอกสักคำ มัน เด็กมันจะรู้ มันจะจำได้ นี้ทั้งพ่อตาพ่อปู่แม่ย่ามันขี้เกียจ ไม่บอก ไม่เอาใจใส่ลูกตาดำ ๆ มันก็ไม่รู้ นี้มันจึงค่อยเสื่อมไป ๆ มันเปลี่ยนไปทางฝ่ายโน้นอย่างเดียว มันไม่มาฝ่ายนี้เสียเลย เพราะเราไม่สนใจ บางทีทอดอาลัยไม่ไหวแล้ว ๆ ปล่อย ปล่อย ปล่อย ตามใจมัน ตามใจมัน ก็เหมือนกับแกล้งมันนะนี่ ยิ่งกว่าแช่งอีก ถ้าทำแบบนี้ ถ้าปู่ย่าตายายที่เป็น ๆ ที่มีชีวิตอยู่คิดเสียแบบนี้ มันยิ่งกว่า ยิ่งกว่าแช่งลูกหลานอีก เพราะปล่อย ปล่อย ปล่อยให้กิเลสตัณหา ให้พญามารมันครอบงำ ขออ้อนวอน ขอร้อง ขออ้อนวอนว่าคนที่เป็นบิดามารดาปู่ย่าตายายนั้นช่วยให้เด็ก ๆ รู้ทีว่าวันนี้มาทำอะไรที่วัดนี่ พูดกันตั้งแต่เมื่อวาน ตั้งแต่กลางคืนแล้ว พรุ่งนี้นี่เอาของไปวัด ก็ทำแบบนั้น เป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้น ให้มันเข้าใจ เพราะอย่างน้อยที่สุดมันยังเป็นความรู้ เป็นวิชาความรู้ แต่มันต้องดีกว่านั้น คือมันปฏิบัติ และมันเกิดความกตัญญู เกิดความคิดนึกที่ไกล ที่กว้าง รักเพื่อนมนุษย์ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องรักวงศ์ตระกูลของมัน
นี้กำลังไปตามหลังคนสมัยใหม่ ตามหลังฝรั่งแบบสมัยใหม่ พูดถึงเรื่องตามหลังฝรั่ง นี่ก็ต้องรู้เหมือนกัน ฝรั่งที่ดี ๆ ก็มี ไม่เอา มันไม่ตาม คนพวกนี้มันบ้า ไปตามหลังฝรั่งที่เลว ๆ เช่นไม่ให้นุ่งผ้านั่น เดี๋ยวนี้แต่งตัวดูสิ ผีหรือคนก็ไม่รู้ นี่มันไปเอาแบบนั้น ไอ้ฝรั่งที่ดี ๆ มันไม่ได้เอาอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็ดี โดยส่วนรวมเราก็ถือว่าฝรั่งเขามันก้าวหน้าในทางกิเลสมากไป เราไปตามหลังฝรั่งก็มันเป็นเรื่องของกิเลสมาก เรื่องกินดีอยู่ดีนั่นแหละ มันเป็นกิเลสมากเลย ถ้าเอาตามแบบของเราแท้ ๆ คือกินอยู่แต่พอดี พยายามไปสอนไปพูดให้กันมาก ๆ กับพวกลูกเล็ก ๆ ว่ากินอยู่แต่พอดี ไอ้กินดีอยู่ดีมันเกินไป อย่าเอาเลย มันไม่มีขอบมันไม่มีเขตจำกัด ไอ้กินดีอยู่ดีมันไม่มีเขตจำกัด ไปกันจนเป็นบ้าไปเลย แต่ว่ากินอยู่แต่พอดี และพออยู่ได้ และพอทำประโยชน์ได้ ทำการงานได้นี้เอา แบบนี้เรียกว่าเรารักษาของเดิมไว้ได้ รักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ได้ว่ากินอยู่แต่พอดี แล้วเด็ก ๆ มันจะเชื่อฟัง เพราะมันคือธรรมะ มันคือศาสนา ทีหลังจะได้เชื่อฟังแล้วก็จะไม่ยุ่งยากกันนัก
ฉันก็มีความคิดแต่เรื่องแบบนี้ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย คิดว่าให้ศาสนายังอยู่ด้วยการปฏิบัติในศาสนายังอยู่ อุตส่าห์ปล้ำทำวัดนี้ขึ้นมาในรูปร่างอย่างนี้ในแบบชนิดนี้ก็เพื่อว่าให้มันง่าย ให้แก่การเข้าใจธรรมะได้ง่าย ถ้ามันหรูหราเกินไป มันเข้าใจธรรมะยาก และที่อยากจะพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่เรื่อง ก็คือว่า อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้านั้นเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนสาวกกลางดิน และอยู่กลางดิน เพราะว่ากุฏิของพระพุทธเจ้านั้นฉันเคยเห็นแล้ว มันพื้นดิน ไปดูที่ประเทศอินเดีย กุฏิของพระพุทธเจ้าทุกแห่งพื้นดิน เวลานั่งสอนก็สอนกลางดิน ที่กำลังเดิน เดินทางก็สอน ท่านประสูติที่สวนลุมพินีก็กลางดิน ใต้ต้นไม้สาละ เอามาปลูกให้ดูแล้ว อยู่ที่ตรงนั้น ต้นสาละ ไปดูเสียบ้างเถอะถ้ายังไม่รู้จัก ต้นสาละนั่นแหละที่พระพุทธเจ้าประสูติ ถึงเวลาตรัสรู้ ก็ตรัสรู้กลางดิน โคนต้นโพธิ์ เวลาพระพุทธเจ้านิพพานคือตาย ก็ตายใต้ต้นสาละอีก ต้นสาละนี้ได้เปรียบนะ พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาละ นิพพานใต้ต้นสาละ มี ๒ อาการ แล้วต้นสาละนี่ก็ยังได้เปรียบที่ว่าไม้มันดี ไม้แข็งเหมือนกับไม้เคี่ยม ต้นโพธิ์ไม่มีแกน ต้นไม้สาละนี้ถ้าปลูกกันมาก ๆ ยังมีประโยชน์บ้าง
พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดินและอยู่กลางดิน นี้เรามานั่งกลางดินนี่ ทุกทีที่นั่งกลางดินขอให้ชื่นอกชื่นใจว่ามันได้นั่งได้นอนอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ไม่ต้องรำคาญ ถ้ามานั่งกลางดินนี่ไม่ต้องรำคาญ ว่ามันได้นั่งอย่างเดียว อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ควรจะชื่นใจ นี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่ทำให้มันเข้าใจศาสนาง่ายขึ้น ทีนี่มันจึงพยายามให้มันกลางดินมากที่สุด อบรมสั่งสอนนี้ก็กลางดิน เวลาที่เขามาจากที่อื่น เมืองอื่น เป็นคนมารับการอบรมสั่งสอน ก็จัดให้นั่งกลางดินตรงนี้แหละ ถึงตรงบนโน้นก็นั่งกลางดิน เว้นไว้แต่ฝนตกจึงจะเข้ามาในโรง ในศาลา นี้เป็นเรื่องของการเป็นอยู่แต่พอดี ให้มันใกล้ชิดธรรมชาติ ให้มันสงบ ให้มันเยือกเย็น อย่าชอบหรูหราสวยงาม พระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน ตายกลาง ดิน นิพพานกลางดิน อะไรกลางดิน แต่สาวกมันอยากจะอยู่วิมาน การทำบุญวันนี้อย่าอธิษฐานวิมานสักทีได้หรือไม่ได้ ที่ทำบุญทำทานวันนี้อย่าอธิษฐานเอาวิมานกันสักทีได้หรือไม่ได้ เอาความไม่เห็นแก่ตัว ใครจะเอาวิมานให้นึกว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อะไรกลางดิน เราอย่าเอาเลยวิมาน เอาอย่างพระพุทธเจ้าอยู่กันตามธรรมดาสามัญบ้าง แต่ว่าให้ทานนี้ก็ให้เพื่อว่าขจัดความเห็นแก่ตัว ขจัดความเห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวมี มันเกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วมันร้อนเป็นนรก ถ้าขจัดความเห็นแก่ตัวเสีย มันไม่เกิดโลภะโทสะโมหะ มันก็เย็นดีกว่าสวรรค์อีก สวรรค์มันก็เป็นเรื่องยุ่ง เรื่องกิเลสเหมือนกัน เรื่องหญิง เรื่องชาย เรื่องเทวบุตรเทวธิดา อะไรมันเรื่องยุ่งเหมือนกัน มันไม่เย็น มันไม่สงบ พยายามทำบุญแบบเย็น ๆ กันบ้าง เหมือนต้นไม้นี่ ก้อนหินนี่ ทราย ดินนี่มันเย็น นั่งตรงนี้มันเย็น ๆ ทั้งวันมันไม่ก็ทุกข์ไม่ร้อน ภายนอกร่างกาย และในจิตใจก็ควรเป็นอย่างนั้น ถ้าเรามีจิตใจเย็นแล้วเราจะทราบหัวใจของตายาย ตายายหัวใจมันเย็น ลูกหลานก็หัวใจควรจะเย็นเหมือนกัน อย่าไปบ้าตามคนสมัยใหม่ ซึ่งมันร้อนมากกันทุกที โลกนี้มันจะร้อนกันเป็นไฟแล้ว
เท่านี้แหละ พูดเท่านี้ก็พอ เวลามันมีจำกัด แต่สรุปความแล้ววันนี้ต้องเป็นวันตายาย ตายายทำตัวให้ดี เป็นตัวอย่างให้ลูกหลานให้ดี ตายายที่ตายไปแล้วมาเห็นจะได้ชื่นอกชื่นใจ ที่ยังไม่ตายนี้ก็ทำให้เชื่อได้แน่ว่าถ้าตายายมาเห็นแล้วก็จะชอบอกชอบใจ จะมาหรือไม่มาอย่าไปคิดเลย แต่ว่าถ้ามาเห็นแล้วก็ดีใจ ให้ตายายดีใจ นี้แหละทำบุญตายาย ก็ให้ทานได้คิดถึงตายาย รับศีลได้คิดถึงตายาย ฟังเทศน์ได้คิดถึงตายาย สวดมนต์เมตตาภาวนาคิดถึงตายาย แม้จะบังสกุลก็ให้คิดกันจริง ๆ เพื่อตายายจริง ๆ อย่าสักว่าทำ ๆ ละเมอ ๆ และขอให้ความคิดถึงตายายมันชัดเจนแจ่มแจ้งให้เข้มข้นขึ้นทุกปี ๆ ขออนุโมทนาล่วงหน้าไว้ด้วยกันทุก ๆ คน ทั้งเด็กตัวเล็ก ๆ ถึงคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว คนพ่อแม่ คนแก่คนเฒ่าอะไร ช่วยกันแก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกปี ๆ ด้วย